คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : PART II |เริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ 100% 15-10-64**ครบ
ไม่เคยมีใครเข้ามารับรู้ถึงความเสียใจของเขา
ดวงตาที่เบิกกว้างเพราะความตกใจของฉันค่อยๆอ่อนลงแปรเปลี่ยนเป็นความสงสารเข้ามาแทนที่
“ร้องออกมาเถอะ
ฟองไม่ล้อหรอก”
ฉันยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นลูบกลุ่มผมหนาของคนที่กอดกันอยู่อย่างแผ่วเบา
หวังแค่ว่าการกระทำนี้จะช่วยปลอบประโลมความรู้สึกภายในจิตใจของเขาได้
ให้เขาได้รับรู้ว่าอย่างน้อยวันนี้
เวลานี้ ที่ตรงนี้เขาก็ยังมีฉันอยู่
อย่ารู้สึกโดดเดี่ยวอีกเลยนะ
เนิ่นนานจนกระทั่งแขนแกร่งคลายอ้อมกอดออก
เขาเงยหน้าขึ้นมาและตัวฉันเองก็ก้มมองเขาที่อยู่ต่างระดับกัน
“ไหนบอกไม่เป็นไร” อยู่ๆประโยคคำถามที่ไม่มีที่มาที่ไปก็ถูกเขาเอ่ยขึ้น
“หมายถึง?” ฉันเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“หน้าผาก”
พอเขาบอกแบบนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บตึงนิดๆขึ้นมาทันที
ลืมไปเลยว่าตัวเองโดนหนังสือกระแทกหัวมา
“ถลอกนิดเดียวค่ะ”
ฉันว่าพร้อมยกมือขึ้นลูบบริเวณหน้าผากใกล้กับตำแหน่งที่มีพลาสเตอร์ติดอยู่
“มืดแล้ว”
คนที่นั่งอยู่บนพื้นเอ่ยอีก “พี่ไปส่ง” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
พยักหน้าตอบตกลงตามที่เขาเสนอก่อนลุกขึ้นยืนเก็บกระเป๋าหนังสือขึ้นมาสะพายก่อนจะเดินตามเขาซึ่งกำลังเดินไปยังประตูห้อง
“พี่เฟรนช์”
เขาหยุดเดินและเตรียมจะหันกลับมาฉันจึงดันไหล่ทั้งสองข้างเขาไว้ก่อน “อย่าเพิ่งหันมาค่ะ”
คนถูกห้ามทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย
ดังนั้นฉันจึงค่อยๆยื่นมือทั้งสองออกไปสวมกอดร่างหนาจากทางด้านหลัง แล้วแนบแก้มข้างหนึ่งลงบนแผ่นหลังกว้างของเขา
ตึกตัก
ตึกตัก
เป็นคนเริ่มความใกล้ชิดนี้เอง
แต่ดันใจเต้นเร็วจนแทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่แล้ว
“...”
คนถูกกอดยังคงนิ่งเงียบ เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร
เพราะท่าทีที่สงบนิ่งนั้นฉันจึงเริ่มเอ่ยต่อว่า
“ฟองตกลง”
หลังจากได้คิดไตร่ตรองเหตุการณ์วันนี้แล้ว
ตัวฉันเองไม่อยากให้เขารู้สึกตัวคนเดียวอีกแล้ว
แม้ฉันจะไม่รู้ว่าปัญหาต่างๆที่เขาเผชิญอยู่มันคืออะไร แต่การที่คนเก็บอาการเก่งอย่างเขามานั่งร้องไห้กับฉัน
นั่นก็คงจะบอกได้ว่าสิ่งที่เขาเจออยู่มีผลต่อความรู้สึกของเขามากจริงๆ
อย่างน้อยตั้งแต่นี้ไปฉันก็อยากเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเขาในวันที่เขาเสียใจได้
“ฟองเบียร์”
เอ่ยชื่อของฉันจบ
มือหนาก็แกะมือฉันออกอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากัน
ใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาตอนนี้
มันทำให้ฉันเริ่มหวนคิดและพิจารณาการกระทำเมื่อครู่ของตัวเองอีกครั้ง
หรือฉันทำอะไรผิดไปแล้วใช่ไหม?
“...” ฉันประสานมือตัวเองเข้าด้วยกันอย่างรู้สึกกดดัน
สายตาคมที่จดจ้องกันนั้นทำให้ฉันประหม่าจนเผลอกัดริมฝีปากล่างตัวเอง
คนตรงหน้าถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะพูดว่า “เพราะสงสารหรอ”
“คะ?” ฉันไม่เข้าใจในคำถามนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มือหนึ่งของเขาถูกยกขึ้นมาสัมผัสที่ปลายคาง
“อย่ากัด”
เขาว่าพร้อมลงน้ำหนักมายังนิ้วมือราวกับสั่งให้ฉันหยุดกัดปาก
เพราะถูกบังคับทั้งการกระทำและสายตาฉันจึงปล่อยริมฝีปากตัวเองให้เป็นปกติ
ก่อนที่จะตีความหมายคำถามก่อนหน้าของเขาได้ จึงรีบเอ่ยแย้งแก้ไขความเข้าใจผิด
“เรื่องนั้น...ไม่ใช่เพราะสงสารสักหน่อย”
ฉันยกมือจับมือหนาออกจากปลายคางแล้วเกาะกุมมันไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของตัวเอง
“แค่อยากให้พี่รู้ว่าบนโลกที่ใหญ่ขนาดนี้ นอกจากครอบครัวของพี่ พี่ก็ยังมีฟองอยู่”
“...”
แม้จะไม่มีคำพูดจากปากเขา
แต่ฉันรับรู้ได้ว่าสายตาที่มองกันอยู่ตอนนี้มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
“อย่างน้อยตอนนี้
พี่ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ”
ฟุบ!
จบประโยคนั้นร่างของฉันก็ถูกคนที่มีพละกำลังมากกว่าดึงเข้าไปกอดไว้
เขากดหน้าลงบนไหล่ข้างขวาของฉัน แขนแกร่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเหมือนตอนแรกที่กอดฉัน
“แล้วมันต่างจากสงสารตรงไหน”
เสียงอู้อี้ดังพึมพำมาจากเขา
ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจที่คนๆนี้ไม่ยอมเข้าใจในการกระทำและความหวังดีของฉันเลย
“พี่เฟรนช์” ฉันยกมือขึ้นขยุ้มเสื้อด้านหลังของเขา
“ตอนซื้อขนมคุณยายหน้าตลาด เพราะฟองสงสารเขา” ยกตัวอย่างที่เขาน่าจะเข้าใจง่าย “การที่ฟองสงสารคนอื่น
ฟองมีวิธีช่วยเหลือโดยไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปลำบากด้วย พี่ก็เห็นไม่ใช่หรอคะ”
พูดขนาดนี้ก็หวังว่าเขาจะเข้าใจได้แล้ว
เวลาที่ฉันสงสารคนที่เจอความลำบาก
ฉันก็มีวิธีช่วยเหลือที่แตกต่างไปตามสถานการณ์ที่เหมาะสม แน่นอนว่ามันย่อมไม่ได้ทำให้ฉันเดือดร้อน
ช่วยแล้วก็จบ
แต่การที่ฉันตกลงคบกับเขา
ฉันมีเหตุผลอื่น
“ชอบพี่แล้ว?” เขาถามอีกครั้งพร้อมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“พี่ชอบฟองจริงๆใช่ไหม”
คราวนี้เป็นฉันเองที่ตั้งคำถามบ้าง
ข้อนี้ตัวฉันเองก็อยากรู้
“อือ อยากดูแล”
“เป็นเพื่อนพี่ชายก็ดูแลได้”
“อยากพาไปกินข้าวด้วย”
“เพื่อนพี่ชายก็นัดฟองกินข้าวได้”
“แต่เพื่อนพี่ชายกอดแบบนี้ไม่ได้”
มุมปากทั้งสองข้างของฉันยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ
ก่อนจะค่อยๆผละออกจากเขา
“คบกันแล้วฟองให้ได้แค่กอดนะ”
ฉันบอกเขาให้เข้าใจ
ฉันรู้ว่าตอนนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก
สังคมก็เปิดกว้างมากขึ้น แต่ในทุกความสัมพันธ์มันควรจะมีขึ้นตอนและการพัฒนาของมัน
อย่างน้อยก็ให้เวลาได้ช่วยให้เราสองคนรู้จักกันมากขึ้น
เขามองฉันอยู่อย่างนั้นก่อนจะระบายยิ้มออกมา
มือหนายกขึ้นมายีผมของฉันสองสามครั้งพร้อมกับพูดว่า “คิดว่าพี่จะทำอะไรมากกว่ากอด
หืม?”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ฉันไม่หลงกลหรอก
“มืดแล้วค่ะ” ดันมืออีกข้างของเขาให้ห่างจากเอวตัวเอง
“พี่ต้องไปส่งฟองแล้ว” พูดจบก็เดินนำเขาออกมาจากห้อง
พอหายเศร้า
ก็กลายเป็นคนละคนเลยนะ
เมื่อเดินเข้ามาในลิฟต์แล้ว
ฉันถึงนึกบางอย่างขึ้นได้
“จริงสิ
รถพี่จอดอยู่ห้างไม่ใช่หรอ” เพราะตอนที่ฉันพาเขากลับ เรานั่งแท็กซี่มา ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่ารถของเขาอาจถูกจอดทิ้งไว้ที่ห้าง
คนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกันทำเพียงพยักหน้าลงสองสามครั้ง
เขาไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร อาจจะเป็นเพราะนึกขึ้นได้แต่แรกอยู่แล้วนั่นเอง
“งั้นส่งฟองขึ้นแท็กซี่ก็พอ”
ฉันบอก
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
แต่กลับยื่นมือมายกสายกระเป๋าสะพายข้างออกจากไหล่ของฉัน
เมื่อเอาไปไว้ในมือตัวเองสำเร็จเขาก็ทำท่าเปิดแง้มดูหน้าปกหนังสือพร้อมกับที่คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
“เตรียมสอบมอหก?” เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างงงๆ “เอามาทำไร”
“จะเอาไปบริจาค”
ตอบเขาเสร็จก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟต์มาถึงชั้นหนึ่ง
เขาเดินถือกระเป๋านำฉันออกไปยังหน้าคอนโด
และดูเหมือนว่าจะมีรถคันคุ้นตาจอดอยู่
รถยนต์ของเขานี่
ใครขับมา?
ความสงสัยของฉันถูกไขให้กระจ่างเมื่อคนขับเปิดประตูลงจากรถมาทักทายกัน
“ไง กูก็ว่าทำไมคะยั้นคะยอให้กูไปเอารถมาให้จัง”
ท้ายประโยคสายตาของพี่เก้ามองมาที่ฉันอย่างล้อๆ
อย่าบอกนะว่าเรื่องที่พี่เฟรนช์จีบฉัน พี่เก้าก็รู้น่ะ แต่ว่าพวกเขาก็เป็นเพื่อนกันนี่
ขนาดฉันเองยังเล่าให้วารินฟังเลย
“หวัดดีค่ะ”
ฉันเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มแห้ง
แต่เดี๋ยวนะ
กุญแจรถพี่เฟรนช์ไปอยู่กับเพื่อนได้ยังไง เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องตอนบ่ายจนตอนนี้เขายังไม่ได้เจอพี่เก้าเลยสักครั้งนี่
ความสงสัยอีกข้อผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
“ขอบใจ” เจ้าของรถตัวจริงเอ่ยก็จะเดินไปฝั่งคนขับ
เพราะเข้าใจว่าพี่เก้าจะนั่งรถไปด้วยกัน
ฉันจึงเดินไปประตูรถด้านหลังพร้อมเปิดมันออกเตรียมจะเข้าไปนั่ง
“นั่งหน้ากับพี่”
คนที่นั่งตำแหน่คนขับแล้วเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมหันมาจ้องฉันที่เพิ่งจะค่อมตัวเตรียมจะนั่ง
“อ่า พี่เก้า?” แต่พอหันไปมองหาเพื่อนสนิทเขาอีกครั้ง
ก็พบว่าตอนนี้กำลังเดินไปขึ้นรถอีกคันที่จอดอยู่ด้านหลัง ฟิล์มรถคันนั้นมืดสนิทกว่ารถพี่เฟรนช์
เรียกได้ว่าเพ่งสายตาให้ตายก็มองไม่เห็นด้านในตัวรถ
เมื่อเห็นดังนั้นฉันจึงเปลี่ยนมานั่งข้างคนขับแทน
กดดูเวลาในโทรศัพท์ก็พบว่าเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว
ก่อนออกมาฉันบอกพ่อกับแม่ไว้แล้วว่าจะมาส่งหนังสือ ดังนั้นท่านจึงไม่ได้ว่าอะไร
แต่คิดว่าหากก่อนสองทุ่มยังไม่ถึงบ้าน
ท่านคงโทรมาตามแน่ๆ คิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยเร่งคนที่ทำหน้าที่ขับรถ
“พี่ช่วยส่งฟองถึงบ้านก่อนทุ่มครึ่งได้ไหมคะ”
แน่นอนว่าคำถามนั้นไม่ได้คำตอบกลับมา
แต่เขาเพิ่มความเร็วในการขับขึ้นมาทันที ฉันจึงเอ่ยอีกประโยคว่า
“แต่ต้องถึงบ้านอย่างปลอดภัยนะ”
เข้าสู่ช่วงเปิดเทอม
เรื่องการเรียนยังคงดำเนินไปอย่างปกติ บางครั้งมีกิจกรรมของคณะบ้าง
ตัวฉันเองก็เข้าร่วมบ้าง ไม่เข้าร่วมบ้างแล้วแต่กิจกรรมไป
เพราะไม่ได้บังคับให้เข้าทุกคน
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับพี่เฟรนช์
ก็ไม่ได้แตกต่างจากก่อนเป็นแฟนกันเท่าไหร่นัก แค่รู้สึกว่าเขาอยากคุยมากขึ้น
อยากเจอกันมากขึ้นแค่นั้น วันไหนที่ฉันเลิกเรียนพร้อมกับที่เขาเลิกงาน
เขาก็จะอาสามารับฉันไปส่งบ้าน ก็คงต้องบอกว่าเราค่อยๆเรียนรู้นิสัยใจคอกันมากขึ้นนั่นเอง
พอได้คุ้นเคยกันมากขึ้น
ฉันพบว่าพี่เฟรนช์มีความคล้ายกับพี่ไวน์อยู่หลายอย่างเหมือนกัน
เขาจะชอบพูดเฉพาะเรื่องที่สำคัญ หรือตอบเฉพาะสิ่งที่ฉันต้องการความเห็น
แต่หากวันไหนที่ฉันระบายเรื่องนู่นเรื่องนี่ให้ฟัง เขาจะรับฟังแบบเงียบๆ
โดยไม่ได้ออกความคิดเห็นแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้ฉันรู้สึกสบายใจและไม่รู้สึกเกร็งเวลาอยู่ด้วยกัน
“พรุ่งนี้ยาวแน่
สามทุ่มจะได้เลิกไหม”
เสียงเพื่อนข้างตัวในขณะที่มือก็เก็บอุปกรณ์การเรียนต่างๆใส่กระเป๋า
เนื่องจากวันนี้อาจารย์ติดประชุมตอนบ่ายสอง
โดยตามตารางเรียนอาจารย์ต้องสอนถึงสามชั่วโมงคือตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงสี่โมงเย็น พอสอนได้แค่ชั่วโมงเดียวอาจารย์ก็เลิกคลาสแล้วนัดให้นักศึกษามาเรียนพรุ่งนี้ตอนหกโมงเย็น
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้วารินเริ่มบ่นกระปอดกระแปด
ซึ่งฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอหรอก เพราะอยู่ๆพวกเราก็ต้องเสียเวลาการพักผ่อนของพรุ่งนี้ไปทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรับผิดชอบ
แต่เหตุผลคือตอนแรกอาจารย์นัดสอนตอนบ่าย แต่มีบางคนติดเรียนวิชาอื่น
นัดไปนัดมาเวลาว่างตรงกันทุกคนของนักศึกษาในคลาสเรียนคือหกโมงเย็นพรุ่งนี้นั่นแหละ
ทำอะไรไม่ได้
ได้แค่ถอนหายใจซ้ำๆอยู่อย่างนั้นพร้อมกับเดินออกจากห้องเรียนพร้อมเพื่อน
“ฟองเบียร์ วาริน
กลับบ้านยังไงกัน”
เสียงนั้นดังขึ้นรั้งให้ฉันและเพื่อนต้องหันกลับไปยังเจ้าของเสียงที่เพิ่งเดินออกจาห้องเรียนตามกันมา
เป็นฟร้องค์
อีกแล้ว
“นั่งรถจ้า
เดินไม่ไหวหรอก” วารินตอบพร้อมกับจะคล้องแขนฉันออกเดินอีกครั้ง
หากแต่ก็ถูกรั้งด้วยอีกประโยค “เราไปส่งไหม”
คนถามเอ่ยอย่างใจดี แต่คนที่ถูกถามอย่างเราสองคนกลับรู้สึกเบื่อหน่าย ผู้ชายคนนี้มักจะอาสาช่วยเหลือฉันอย่างใจดีในหลายเรื่อง
การกระทำของเขาฉันมองออกว่าต้องการอะไร แต่ก็นั่นแหละ
อาจจะด้วยอะไรหลายๆอย่างหรือเหตุผลอื่นที่มีภายในใจฉันทำให้ไม่ยอมรับน้ำใจจากเขา ปฏิเสธทั้งทางตรงและทางอ้อมหลายครั้ง
คิดว่าสักวันเขาคงจะถอดใจไปเอง แต่เขากลับเมินเฉยกับท่าทางอึดอัดของฉัน
แค่นี้ก็ยิ่งทำให้ฉันไม่อยากรู้จักเขาไปมากกว่านี้แล้ว ฉันเคยพูดไปแล้วว่าฉันมีแฟนแล้ว
ตั้งแต่ก่อนที่จะคบกับพี่เฟรนช์ซะอีก แต่เขาก็ยังไม่หยุดและบอกว่าไม่เชื่ออีกต่างหาก วารินเองก็ช่วยฉันหลายครั้ง
และเหมือนว่าครั้งนี้จะ... “โทษนะประธาน
เพื่อนฉันชัดเจนขนาดนี้ ชัดเจนมาตลอดว่าไม่สะดวกใจกับนาย นายก็ยังจะตามตื๊ออยู่นั่น” เพื่อนของฉันน่าจะหมดความอดทนแล้ว เพราะตอนนี้เพื่อนในคลาสคนอื่นๆก็กำลังทยอยเดินออกจากห้องแล้ว
ดังนั้นตรงนี้จึงเหลือนักศึกษาคนอื่นๆอีกไม่กี่คนเท่านั้น ถึงจะอึดอัดใจแค่ไหน
แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ทั้งเขาและฉันขายหน้าคนอื่น “เบาก่อน”
ฉันบอกเพื่อนพร้อมดึงแขนเล็กน้อย เรารอให้คนไปจนหมด
จนตอนนี้เหลือแค่พวกเรา ฉันจึงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“ขอบคุณที่ประธานหวังดีกับฟองนะ แต่ฟองมีแฟนแล้ว
ก็หวังว่าจะเข้าใจและให้เกียรติกันด้วย” พูดไปก็คิดในใจไปด้วยว่าไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องมาอธิบายเลย
อายุแค่นี้สิ่งที่ควรใส่ใจคือเรื่องเรียนมากกว่าด้วยซ้ำ ตอนที่ตกลงคบกับพี่เฟรนช์
พอมีเวลากลับมานั่งคิดนอนคิดก็รู้สึกอยากหยิกตัวเองสักทีที่ปากไวใจเร็ว
แต่มันไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจสำหรับฉัน แค่หวังว่าให้เราค่อยๆพัฒนาค่อยๆเรียนรู้กันไป
เพราะยังตอนนี้สิ่งที่สำคัญก็คือการเรียนมากกว่า “ครับ เข้าใจแล้ว”
คนถูกตำหนิทางอ้อมเอ่ยเสียงอ่อน เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเขาเศร้าลง
แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกสงสารเลยสักนิด “กลับกันเถอะ”
ฉันว่าพร้อมคล้องแขนเพื่อนเดินออกมา สิ่งที่ฉันรู้สึกคือโล่ง
สิ้นสุดปัญหาที่แสนจะอึดอัดสักที “แกเคยบอกเรื่องนี้กับพี่เฟรนช์ฟรายบ้างหรือเปล่า”
วารินถาม “ไม่อ่ะ”
ฉันส่ายหน้า ก่อนจะขยายว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างวันนี้ก็ถือว่าจบแล้ว” ปัญหามันไม่ได้เริ่มจากฉัน
แต่มันเกิดจากคนอื่น
ดังนั้นไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเล่าเรื่องคนอื่นให้เขาฟังสักหน่อย “แต่พูดก็พูดเถอะนะ
ประธานก็เหลือเกินจริงๆ” วารินเริ่มว่าในตอนที่รถบัสมอเข้ามาจอด
“หน้าเราก็แสดงออกว่าบุญไม่รับทุกครั้ง แต่ก็ขยันจะเข้าหาอยู่นั่น”
เดินขึ้นมาบนรถก็เลือกที่นั่งติดกันสองที่ “ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
ฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง คนเรามักหาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเองเสมอ
ดังนั้นต่อให้ฉันมองว่าสิ่งที่ฟร้องค์ทำอยู่มันเปล่าประโยชน์
แต่ในมุมมองของเขาอาจจะมีบางอย่างที่สามารถโต้แย้งความคิดของฉันก็ได้ ในความหมายเดียวกันนั้น
การที่ตกลงคบกับใครสักคนนั่นก็เป็นการใช้เหตุผลร่วมกับความรู้สึกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะมีประโยคที่บอกว่าเธอชอบเขาเพราะเขาเป็นคนดี
หรือเธอชอบเขาเพราะเขาเป็นคนหล่อ ประโยคเหล่านี้ก็เหมือนกับบรรยายความรู้สึกที่มีจากเหตุผลที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเงื่อนไขในการตัดสินใจนั่นเอง แต่ไม่มีใครรู้เท่าเจ้าของความคิดหรอก
ว่าการตัดสินใจครั้งสุดท้ายจริงๆ จุดจบมันจะเป็นแบบไหน หลายวันผ่านไปฉันก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นเกิดเรื่องอะไรที่พี่เฟรนช์ต้องทะเลาะกับแม่ของเขา
อยากจะถามก็ไม่กล้า
แต่ไม่ถามก็รู้สึกว่ามันติดค้างอยู่ในใจจนต้องระมัดระวังคำพูดทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อคนในครอบครัวเขาต่อหน้าเขา มองใบหน้าหล่อที่กำลังตั้งใจอย่างจนใจที่จะพูด
ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “เป็นไร”
ราวกับว่าการถอนหายใจครั้งนี้จะสามารถส่งความรู้สึกที่แสนอัดอั้นไปถึงจนเขาต้องเอ่ยถาม แม้ว่าคำถามปลายเปิดของเขาจะเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้พูด
แต่ฉันก็ทำได้เพียงเม้มปากพร้อมกับส่ายหน้าไปมาสองสามครั้งเท่านั้น สุดท้ายก็ไม่กล้าถามอยู่ดี ตอนนี้เรานั่งอยู่ในร้านคาเฟ่ร้านหนึ่งที่ค่อนข้างเงียบสงบ
อาจจะเพราะบรรยากาศการตกแต่งร้านเป็นฟีลธรรมชาติ ดังนั้นคนที่มาใช้บริการจึงเป็นการทำกิจกรรมที่ชอบความเงียบมากกว่า
เช่น การอ่านหนังสือ ทำการบ้าน หรือแม้แต่มานั่งชมธรรมชาติเฉยๆ ฉันนั่งเขียนสรุปงานอยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงข้ามกับพี่เฟรนช์ที่กำลังนั่งทำงานอยู่
บนโต๊ะไม้ที่ทาเคลือบสีขาวนอกจากอุปกรณ์ เอกสารการเรียนและการทำงานต่างๆ ก็มีจะมีแก้วน้ำแต่ละคนและเค้กอีกสองชิ้นที่ถูกตักกินไปเกือบครึ่ง
และใช่ เป็นฝีมือของฉันทั้งนั้น วันนี้เป็นวันหยุดของเราทั้งคู่
ฉันจึงถูกคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าแฟนกันชวนออกมานั่งคาเฟ่ที่นี่นั่นแหละ “อยากกลับ?” อาจจะเพราะยังไม่ได้คำตอบที่พอใจสักเท่าไหร่ เขาจึงเลิกคิ้วเข้มถามด้วยประโยคใหม่ แสดงว่าสีหน้าของฉันที่ปรากฎให้เขาเห็นอยู่ตอนนี้น่าจะยับยู่ยี่ราวกับมีคามทุกข์จนเขาต้องออกปากแบบนั้น ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้คำตอบ ถ้าไม่ถามก็จะทำท่าทางอึดอัดอยู่แบบนี้ อีกเดี๋ยวก็ได้อกแตกตายพอดี “พี่เฟรนช์” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกกำลังใจให้ตัวเอง
ก่อนจะถามต่อว่า “วันนั้นทะเลาะอะไรกับที่บ้าน”
ความคิดเห็น