ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HOLD MY HAND เปลี่ยนรัก

    ลำดับตอนที่ #6 : PART II |หลายเรื่อง หลายความรู้สึก 100% 5-9-64

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 65



         

              

    นานหลายนาทีก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น “รู้หรือเปล่าว่าพี่จีบเราอยู่”

    แล้วก้เป็นประโยคที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ

    ตึกตัก ตึกตัก

    เพราะอยากรู้ว่าคนถามมีสีหน้ายังไง ฉันจึงหันไปมองคนที่ยืนอยู่ใกล้กัน “อืม แบบนั้นหรอคะ?” เอ่ยพร้อมเอียงคอเล็กน้อยคล้ายไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังสื่อ

    มุมปากข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มือหนาจะเปลี่ยนข้างจับถุงขนมปังจากนั้นก็เลื่อนมือที่ว่างขึ้นมาวางบนศีรษะของฉันอย่างแผ่วเบา

    จ้องหน้ากันอยู่สักพักก็รู้สึกว่าภาพคนตรงหน้าค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ “ในวัดนะคะ” ดังนั้นจึงเอ่ยท้วงพร้อมยกมือข้างหนึ่งดันอกแกร่งให้ออกห่าง

    คำถามก่อนหน้านั้นของเขา ฉันได้แต่ตอบในใจว่ารู้ รับรู้มาตลอดว่าสิ่งที่เขาทำมันหมายถึงอะไร แม้จะไม่เคยผ่านการมีแฟนมาก่อน แต่ก็เคยดูซีรีย์ เคยเห็นการกระทำเหล่านี้จากคนรอบข้างมาตลอด ดังนั้นฉันเข้าใจมันเป็นอย่างดี

    “คำตอบ?” คนโดนดันเลิกคิ้วถามอีกครั้ง

    “อนุญาตให้จีบได้ค่ะ” ฉันว่า

    “ไม่ดิ”

    “...?” คราวนี้เป็นฉันที่เลิกคิ้วบ้าง

    “ก็ตอนนี้จีบอยู่” คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน “ต้องตอบว่าเป็นแฟนกันได้แล้ว”

    โห รีบไปไหนพ่อคุณ

    ฉันส่ายหน้าก่อนจะหันออกไปมองสระน้ำที่เราเพิ่งให้อาหารปลาไป “ยังไม่ถึงเวลาค่ะ”

    ตอบคำถามเขาไปแบบนั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากเขา เพราะไม่ได้หันไปมองเลยไม่รู้ว่าคนข้างกายมีสีหน้าอย่างไร แต่คิดว่าคงไม่ประทับใจในคำตอบเท่าไหร่

    “นานไหม” เงียบไปเกือบนาทีเขาจึงเอ่ยขึ้น

    คำถามนี้ ฉันก็ไม่สามารถตอบได้เหมือนกัน เพราะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองชอบใครมาก่อน การที่อยู่ๆเขาก็เริ่มเข้ามาใกล้ชิด มาคอยดูแลเอาใจใส่ แน่นอนว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ย่อมทำให้ฉันเกิดความรู้สึกดี

    ฉันยังไม่รู้สึกว่าชอบเขา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะปฏิเสธความรู้สึกของเขา แค่หวังว่าเวลาต่อจากนี้จะสามารถช่วยให้ความรู้สึกของฉันชัดเจนยิ่งขึ้น

    “คงต้องมาดูว่าพี่เฟรนช์ฟรายจะทำให้ฟองชอบได้หรือเปล่า”

    ในอนาคตไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วตอนนี้ตัวฉันเองไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยากมีแฟนมากขนาดนั้น เพราะฉะนั้นก็ปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติของความรู้สึกเถอะ

    “อืม” เสียงครางรับพร้อมกับหางตาฉันเห็นว่าเขาพยักหน้าอยู่สองสามครั้ง “ฟอง...”

    เสียงทุ้มเอ่ยชื่อของฉันแล้วก็เงียบไป จึงดึงให้ฉันหันกลับมามองเขาอย่างสงสัย

    “คะ?

    “ต่อไปเรียกแค่เฟรนช์ก็พอ” เขามองฉันอย่างตั้งใจ ราวกับว่าดวงตาคู่คมนั้นกำลังตรึงสายตาของฉันไว้ไม่ให้หันมองไปทางอื่นก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อว่า “ยาวไป ไม่สนิท”

    ได้ฟังแบบนั้นฉันก็อดที่จะยิ้มขำไม่ได้ แบบนี้เรียกว่าบังคับให้สนิทกันหรือเปล่านะ

    ยืนให้อาหารปลาต่อจนหมดก็เป็นเวลาเดียวกับที่พวกผู้ใหญ่เสร็จออกมาจากศาลาพอดี

    “เดี๋ยวแวะกินข้าวก่อน ตอนบ่ายไปอีกวัด” พี่ไวน์บอกอย่างจัดแจงถึงรายละเอียดการเดินทางหลังจากนี้

    ฉันย้ายกลับมานั่งรถตู้ครอบครัว ส่วนพี่ชายเป็นคนนั่งไปกับพี่เฟรนช์ เขาบอกให้เรียกสั้นๆนี่เนอะ

    พวกเขาขับออกไปก่อน เห็นบอกว่าจะไปสั่งอาหารไว้รอ ประโยคนี้ถ้าแปลอีกความหมายหนึ่ง ก็คงจะย้ำเรื่องที่พี่เฟรนช์ขับรถเร็วนั่นเอง

    ใช้เวลาขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงร้านอาหารที่พี่ไวน์บอก และใช่ เมื่อเดินมาถึงโต๊ะก็พบร่างหนาของผู้ชายสองคนนั่งเล่นโทรศัพท์ซึ่งเบื้องหน้ามีอาหารวางเรียงรายพร้อมรับประทานเรียบร้อยแล้ว

    ขับรถกันเร็วขนาดไหนเนี้ย

    ฉันเดินไปนั่งลงเก้าอี้ข้างตัวอีกฝั่งของพี่ชาย พร้อมสำรวจเมนูอาหารบนโต๊ะอย่างละเอียด

    น่ากินทั้งนั้นเลย

    หลังจากทานอาหารไป คุยกันไปสักพัก จู่ๆเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของใครสักคนก็ดังขึ้น

    “ครับ” เป็นของพี่เฟรนช์ซึ่งกดรับเรียบร้อยแล้ว “.....โรงบาลไหนครับ”

    แม้จะไม่ได้ตั้งใจจะฟังเขาคุย แต่ประโยคนี้ก็รับรู้ได้ถึงความร้อนรนและความกังวลอย่างชัดเจน ฉันวางช้อนลงกับจาน ซึ่งทุกคนก็ทำเช่นกัน ราวกับรับรู้ว่ามีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้น

            “ผมอยู่ต่างจังหวัด” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งเหยิง “อีกหนึ่งชั่วโมงครับ”

            “ว่า?” พี่ไวน์เอ่ยถามหลังจากคนข้างตัววางสายจากโทรศัพท์

            “โมรถล้ม” ตอบคำถามเสร็จก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว “ผมขอตัวก่อนนะครับ”

            เขายกมือไหว้พ่อกับแม่เสร็จก็รีบออกไปอย่างเร่งรีบ และพี่ไวน์เองก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน

            ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉันสามารถสรุปได้ว่าพี่โมเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้ผู้ชายทั้งสองคนรีบร้อนออกไปอย่างเป็นห่วง

            เพราะหลังจากฉันขึ้นปีสอง พี่โมก็จบออกไปแล้ว เราจึงไม่ได้เจอกันเลย ส่วนเรื่องที่เธอเป็นว่าที่คู่หมั้นพี่ไวน์ก็เงียบหายไป ครอบครัวฉันก็ไม่เห็นมีใครพูดถึง

            ฉันคิดว่าอาจเป็นเพราะพี่ชายฉันกับพี่โมคงไม่ได้พึงพอใจต่อกัน และท่าทีของพี่ไวน์ก็ดูไม่ได้อยากหมั้น ฉันจึงเข้าใจว่าทั้งคู่คงไม่ได้รู้สึกดีต่อกัน จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่มีงานหมั้นเกิดขึ้น

            แต่ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจผิด

            จากสีหน้าพี่ไวน์ก่อนวิ่งออกไปเมื่อกี้ ก็มองออกแล้วว่าเป็นห่วงพี่โมแค่ไหน

            “เฮ้อ หวังว่าหนูโมจะไม่เป็นอะไรมากนะคะ” แม่พูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนพ่อ

            “แต่ดูแล้วลูกชายคุณจะเป็นเอามากอยู่” พ่อว่าพร้อมอมยิ้ม “เราน่าจะได้ไปสู่ขอลูกสาวบ้านนั้นจริงๆแล้วล่ะ”

            พ่อเองก็คงคิดไม่ต่างจากฉันหรอก


         วันนั้นหลังจากทำบุญเสร็จพอกลับถึงบ้านก็พบว่าพี่ไวน์นั่งดื่มเหล้าจนเมาหลับอยู่ห้องรับแขก พฤติกรรมแบบนี้ของพี่ชายนั้นทำให้คนทั้งบ้านค่อนข้างตกใจและสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติเขาจะรู้ลิมิตในการดื่มเหล้าของตัวเองดี และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมามายได้ถึงขนาดนี้

            ถามจากปากพี่ชายว่ามีเรื่องอะไรทำให้ต้องกินเหล้าเมาขนาดนี้ เจ้าตัวก็ไม่ยอมบอก ฉันจึงส่งข้อความไปถามเรื่องราวจากพี่เฟรนช์ เขาก็บอกเพียงว่าปัญหาส่วนตัว จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องไป

            ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพี่โมนั้น ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บมากอยู่ทีเดียว ตัวฉันเองมีโอกาสได้ไปเยี่ยมอยู่ครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะออกจากโรงพยาบาล ใจจริงอยากจะถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่โมกับพี่ชายตัวเองด้วย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรไป เพราะคิดว่าทั้งคู่คงมีวิธีการจัดการกันเอง

            (กินข้าวยัง) เสียงทุ้มในสายเอ่ยถาม

            ตั้งแต่ตอนที่ยอมรับว่ากำลังตามจีบฉันอยู่ เขาก็ขยันโทรหาฉันเช้าเย็น ไม่ก็ส่งข้อความมาหาบ่อยๆ บทสนทนาก็เป็นประโยคเดิมที่ถามว่าทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง ทำไมยังไม่นอน แม้มันจะซ้ำซากแต่ฉันกลับเต็มใจตอบ

            “กินแล้ว” ตอบออกไปก่อนจะยกไหล่ขึ้นดันโทรศัพท์ให้แนบกับหูแทนแล้วใช้มือทั้งสองข้างเอื้อมขึ้นไปยกกล่องหนังสือบนตู้ลงมา “อ๊ะ!

            เพราะดึงกล่องหนังสือออกมาโดยไม่ทันมองว่ามีหนังสือเล่มอื่นที่วางพิงอยู่หล่นลงมาด้วย

            ปึก!

            “โอ้ย!

            ความเจ็บแล่นเข้าสู่ความรู้สึกอย่างรวดเร็ว วางกล่องหนังสือลงพื้นข้างโทรศัพท์ที่ตกไปก่อนแล้วจึงยกมือขึ้นแตะบริเวณหน้าผากข้างขวา ซึ่งเป็นจุดที่สันหนังสือตกกระแทกเมื่อครู่

            แสบ เลือดออกด้วยหรอ!

            รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งไปหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มองหน้าผากตัวเองที่เริ่มปูดขึ้นมาให้เห็น ผิวแดงเป็นวงหนึ่งและมีเลือดซิบออกเล็กน้อย

            อ่า ห่วงแต่โทรศัพท์จนได้เรื่อง

            เดินตีหน้ายุ่งกลับมายังจุดเกิดเหตุก่อนจะก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง

            (ฟองเบียร์ ได้ยินพี่ไหม)

            “ค่า” ตอบกลับคนที่ถือสายรอ คาดว่าเสียงฉันร้องเมื่อครู่คงทำเขาตกใจเช่นกัน

            (เป็นไร เมื่อกี้ร้อง)

            “หนังสือตกใส่หน้า” ฉันว่าก่อนที่มืออีกข้างจะหยิบหนังสือเล่นนั้นขึ้นไปวางไว้หลังตู้เช่นเดิม

            (เป็นไรมากไหม)

            “ไม่ค่ะ” ใครจะกล้าบอกว่าหัวเกือบแตกล่ะ ขายหน้ากันพอดี

            (ระวังหน่อย)

            นอกจากคำถามทั่วไปที่เขาชอบพูดแล้ว ไอ้ประโยคเป็นห่วงกึ่งบังคับแบบนี้ฉันก็ได้ยินบ่อยมากเช่นกัน แม้จะรู้สึกว่าถูกควบคุมพฤติกรรมไปบ้าง แต่กลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลย

    “ค่า” มุมปากทั้งสองข้างยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

           

            ล้างแผลด้วยน้ำเกลือเสร็จจึงติดพลาสเตอร์สีเนื้อปิดบริเวณที่เนื้อถูกสันหนังสือกระแทกจนเป็นแผลเล็กๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นหรือสิ่งสกปรกไปสัมผัสมัน จากนั้นก็แต่งตัวเพื่อไปบริษัทขนส่งซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ฉันตั้งใจจะเอาหนังสือเตรียมสอบของมัธยมไปบริจาค เพราะเมื่อวานเลื่อนๆทวิตเตอร์อยู่ เห็นโพสต์หนึ่งขอรับบริจาคหนังสือมัธยมสำหรับเด็กนักเรียนบนดอย ตัวฉันเองก็ไม่ได้ใช้แล้ว ดังนั้นจึงควรส่งต่อให้คนที่เขาได้ประโยชน์จะดีกว่า

            หยิบหนังสือสี่เล่มที่มีความหนาประมาณหนึ่งใส่ถุงผ้า ก่อนจะเดินออกจากบ้านเพื่อไปบริษัทขนส่งซึ่งอยู่หน้าปากซอยเข้าหมู่บ้าน แต่เหมือนจิตใจที่พร้อมจะทำความดีของฉันจะถูกอุปสรรคบางอย่างขวางกั้นไว้

            ร้านปิดได้ไงก่อน

            “ปิดทำการหนึ่งสัปดาห์ เพื่อต่อเติมอาคาร และจะกลับมาให้บริการลูกค้าอีกครั้งอย่างมีประสิทธิภาพ” ฉันอ่านป้ายประกาศขนาดเท่ากระดาษเอสี่ที่ถูกติดไว้บริเวณประตูหน้าร้าน

            ไปห้างก็ได้

    เนื่องจากจำได้ว่าในห้างมีบริการขนส่งอยู่ ดังนั้นจึงตัดสินใจโบกรถแท็กซี่ไป เพราะขี้เกียจเดินกลับไปรอรถเมล์

    จ่ายค่าโดยสารเรียบร้อยก็ลงจากรถ แต่จังหวะที่เตรียมจะเดินไปตามทางเข้าห้างนั้น ภายในรัศมีหางตาของฉันกลับเห็นร่างสูงที่คุ้นตาจนทำให้ต้องหันไปมองอย่างรวดเร็ว

    ผู้ชายรูปร่างดูดีในชุดนักศึกษาเดินออกมาจากห้างอย่างเร่งรีบ ฉันมองเห็นว่าเขาถือซองสีน้ำตาลไว้ในมือ แม้ว่าสิ่งนั้นจะดูเป็นเอกสารที่มีความสำคัญมาก แต่มือหนากลับกำมันไว้แน่นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายต่อเอกสารด้านในเลย

    ตอนนี้เพิ่งบ่ายสามเอง เขาต้องฝึกงานอยู่บริษัทไม่ใช่หรอ?

    สัปดาห์หน้าถึงจะเปิดเทอมสอง แต่สำหรับปีสี่ที่ตามแผนการเรียนต้องออกฝึกงานก่อนเพื่อเก็บเวลาฝึกงานให้ครบตามที่มหาลัยกำหนด และเพราะพี่เฟรนช์มีชื่อเป็นพนักงานของโรงแรมเรา ดังนั้นเขาจึงต้องไปลงสถานที่ฝึกงานที่บริษัทอื่น ซึ่งฉันจำได้ว่ามันไม่ได้อยู่แถวห้างนี้นี่

    หรือมาติดต่ออะไร?

    ในตอนที่จะเอ่ยเรียกชื่อเขา ฉันก็สังเกตว่ามีใครบางคนวิ่งตามเขาออกมาจากประตูห้าง ผู้หญิงวัยกลางคนวิ่งมาคว้าท่อนแขนแกร่งไว้ ใบหน้าสวยสง่านั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา

    เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

    นี่มันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแล้ว

    พี่เฟรนช์ไม่ได้สนใจที่จะมองกลับไปหาเธอด้วยซ้ำ ภาพการฉุดยื้อกันอยู่อย่างนั้นเริ่มทำให้คนแถวนั้นหันมอง บางคนก็ลังเลว่าควรจะเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยดีไหม เพราะพวกเขาก็คงไม่ได้รู้จัก เกรงว่าจะเป็นการเข้าไปยุ่งในเรื่องส่วนตัว

    แล้วฉันละ ความสัมพันธ์ของฉันกับพี่เฟรนช์เรียกว่าสนิทได้ไหม

    ตอนนี้ในสมองกำลังประมวลผลว่า ฉันสามารถเดินเข้าไปเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยได้เรื่องนี้หรือเปล่า แต่ไวกว่าความคิดเมื่อเท้าทั้งสองข้างเดินมาหยุดลงตรงหน้าพวกเขา

    “พี่เฟรนช์” ฉัน

    “แม่ พอเถอะ” เสียงราบเรียบดังมาพร้อมร่างสมส่วนของพี่โม ซึ่งตอนนี้บางจุดบนแขนเรียวเล็กของเธอมีผ้าพันแผลอยู่ เธอเดินเข้าไปถึงสองคนนั้นก่อนจะพยายามดึงให้อีกฝ่ายปล่อยมือจากพี่เฟรนช์

    แต่แปบหนึ่งนะ

    นี่คือคุณแม่ของพวกเขาหรอ?

    “เฟรนช์ฟังแม่ก่อนได้ไหม” คนมีอายุเยอะกว่าเอ่ยประโยคขอร้องนั้นด้วยเสียงสั่นเครือ

    นี่คือปัญหาครอบครัวแน่ๆ

    “ฟองเบียร์ พาเฟรนช์ไปก่อน” พี่โมหันมาสั่งกึ่งขอร้อง ดังนั้นฉันจึงพยักหน้ารับก่อนจะคว้าท่อนแขนแกร่งที่หลุดจากมือบางของแม่เขาพอดี

    ฉันดึงร่างหนาให้เดินตามไปบนฟุตบาทก่อนจะพาเดินขึ้นสะพานลอยจึงค่อยผ่อนความเร็วในการเดินลง จนเราสองคนเดินเคียงข้างกันอย่างช้าๆ

    เขาใช้มือข้างหนึ่งแกะมือของฉันออกจากแขนของเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประสานนิ้วมือข้างนั้นกับมือของฉันจนไม่เหลือที่ว่างให้อากาศเคลื่อนผ่านได้

    “...”

    “...”

    ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น เราเดินจับมือกันอยู่อย่างนั้นจนลงจากสะพานลอย ฉันเลือกที่จะเรียกรถแท็กซี่ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธอะไร ดังนั้นจึงบอกที่อยู่คอนโดเขาให้คนขับรู้

    ลอบมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างกันก็จนปัญญาที่จะคาดเดาความรู้สึกเขา ใบหน้าหล่อที่เคยส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กันตอนนี้กลับราบเรียบเฉยชาราวกับคนไร้ความรู้สึก ฉันมีคำถามเกิดขึ้นมากมายภายในใจที่อยากถามเขา

    มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมมีเรื่องอะไรถึงต้องทะเลาะกับครอบครัว

    วันนี้เขาขาดงานหรือเปล่า ได้ลางานไหม

    ซองสีน้ำตาลที่เขากำมันแน่นไว้ในมือนั่น เป็นเอกสารสำคัญหรือเปล่า ฉันอยากจะหยิบมันออกมาจากมือเขาเพราะกลัวว่าเขาจะทำให้มันเสียหายไปมากกว่านี้

    สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ถามอะไรอยู่ดีจนเราถึงจุดหมาย

    เหลือบมองเวลาในโทรศัพท์ตอนนี้สี่โมงเย็นแล้ว

    “ร้อยเจ็ดห้า” เสียงบอกราคาค่ารถดังมาจากคนขับ

    ฉันเตรียมโทรศัพท์จะแสกนจ่ายผ่านแอปธนาคาร แต่ช้ากว่าคนที่นั่งข้างกัน เขายื่นธนบัตรสีแดงสองใบให้คนขับ “ไม่ต้องทอน” แล้วดันให้ฉันลงจากรถพร้อมกัน

    ความตั้งใจแรกคือมาส่งเขาถึงคอนโดแล้วจะกลับบ้านนะ แต่เห็นแบบนี้แล้วก็ไม่อยากปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่ จนมาถึงหน้าห้องของเขาที่อยู่ชั้นสิบเจ็ด มือหนาก็ยังสอดประสานมือฉันไว้อยู่อย่างนั้น

    สิ่งเดียวที่รับรู้ได้จากสัมผัสตอนนี้คือความชื้นจากเหงื่อบนมือของเราสองคน

    ความรู้สึกแปลกตาและตื่นเต้นเล็กๆค่อยๆปรากฎขึ้นภายในใจของฉันเมื่อเข้ามาภายในห้องของเขา พื้นที่ห้องค่อนข้างใหญ่และถูกแบ่งออกเป็นโซนต่างๆอย่างชัดเจน มีประตูสีดำสนิทตัดกับผนังห้องสีขาวอยู่บานหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน

    มือหนาค่อยๆปล่อยมือออกจากฉันอย่างช้าๆก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งลงบนพื้นหน้าโซฟา ภาพแผ่นหลังกว้างที่เคยเห็นมาวันนี้กลับให้ความรู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก

    จริงๆที่ผ่านมา ฉันก็พอจะมองออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัวอาจจะไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นัก สังเกตจากการที่เขามาทำงานให้พี่ไวน์ทั้งๆที่ครอบครัวเขาก็มีธุรกิจ การออกมาอยู่คอนโดคนเดียว การหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยหรือเข้าหาพี่สาวตัวเอง และที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยพูดเรื่องในครอบครัวให้ฉันฟังเลยสักครั้ง

    การกระทำเหล่านี้ก็น่าจะบ่งบอกให้เห็นถึงปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ในมุมมองหนึ่งหรือบางเหตุการณ์ เขาก็ยังแสดงออกว่าเป็นห่วงพี่โมอยู่

    ฉันมองไปรอบห้องอีกครั้ง พบว่ามันถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่าย ดูหรูหรา ใหญ่โต แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่โดดเดี่ยว ว่างเปล่า

    ไม่มีความสุขเลยใช่ไหม คำถามนี้ผุดขึ้นมาเมื่อมองไปยังคนที่นั่งเงียบอยู่บนพื้น

    ฉันเดินเข้าไปใกล้เขาทีละนิด วางกระเป๋าผ้าที่ใส่หนังสืออยู่ลงบนพื้นอย่างเบามือ ปลายเท้าหยุดลงห่างจากเขาเพียงเล็กน้อย

    “พี่หิวไหม” เอ่ยถามเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจว่าการเริ่มต้นบทสนทนาแบบนี้จะเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้หรือเปล่า

    “...” เขายังนิ่งอยู่อย่างนั้น

    “พี่เฟรนช์” ฉันขยับตัวเข้าใกล้เขาอีกนิดก่อนจะวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่กว้างที่เคยสง่าผ่าเผยกว่านี้ “โอเคหรือเปล่า”

    พรึ่บ!

    เพียงเสี้ยววินาทีที่มือหนาคว้าตัวฉันให้ขยับเข้าไปใกล้ ฉันถูกดึงให้นั่งลงบนโซฟาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นแขนแกร่งของคนที่ยังนั่งอยู่บนพื้นก็ยกขึ้นมาโอบรอบเอวของฉันไว้

    ใบหน้าคมซบลงมาที่หน้าท้องของฉัน

    ใกล้มาก ใกล้จนรับรู้ถึงลมร้อนจากการหายใจของเขา

    “ฮึก!” เสียงสะอื้นที่พยายามอดกลั้น

    แรงโอบรัดที่เพิ่มขึ้นนั้นกำลังยิ่งตอกย้ำความโดดเดี่ยวอ้างว้างภายในใจของเขา เพราะไม่เคยมีใครเข้ามาตรงนี้

    ไม่เคยมีใครเข้ามารับรู้ถึงความเสียใจของเขา

    ดวงตาที่เบิกกว้างเพราะความตกใจของฉันค่อยๆอ่อนลงแปรเปลี่ยนเป็นความสงสารเข้ามาแทนที่

    “ร้องออกมาเถอะ ฟองไม่ล้อหรอก”

    **********

    Writer's zone

    ไรต์เองมีงานประจำที่ต้องทำแล้วนะคะ อาจจะไม่ได้อัพบ่อยเท่าที่นักอ่านต้องการ 

    แต่จะพยายามเขียนและมาลงให้ได้อ่านกันนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามผลงานของไรต์นะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×