คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : PART II |หลายเรื่อง หลายความรู้สึก 100% 5-9-64
นานหลายนาทีก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น
“รู้หรือเปล่าว่าพี่จีบเราอยู่”
แล้วก้เป็นประโยคที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ
ตึกตัก
ตึกตัก
เพราะอยากรู้ว่าคนถามมีสีหน้ายังไง
ฉันจึงหันไปมองคนที่ยืนอยู่ใกล้กัน “อืม แบบนั้นหรอคะ?” เอ่ยพร้อมเอียงคอเล็กน้อยคล้ายไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังสื่อ
มุมปากข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเล็กน้อย
ก่อนที่มือหนาจะเปลี่ยนข้างจับถุงขนมปังจากนั้นก็เลื่อนมือที่ว่างขึ้นมาวางบนศีรษะของฉันอย่างแผ่วเบา
จ้องหน้ากันอยู่สักพักก็รู้สึกว่าภาพคนตรงหน้าค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้
“ในวัดนะคะ” ดังนั้นจึงเอ่ยท้วงพร้อมยกมือข้างหนึ่งดันอกแกร่งให้ออกห่าง
คำถามก่อนหน้านั้นของเขา
ฉันได้แต่ตอบในใจว่ารู้ รับรู้มาตลอดว่าสิ่งที่เขาทำมันหมายถึงอะไร
แม้จะไม่เคยผ่านการมีแฟนมาก่อน แต่ก็เคยดูซีรีย์ เคยเห็นการกระทำเหล่านี้จากคนรอบข้างมาตลอด
ดังนั้นฉันเข้าใจมันเป็นอย่างดี
“คำตอบ?” คนโดนดันเลิกคิ้วถามอีกครั้ง
“อนุญาตให้จีบได้ค่ะ”
ฉันว่า
“ไม่ดิ”
“...?” คราวนี้เป็นฉันที่เลิกคิ้วบ้าง
“ก็ตอนนี้จีบอยู่”
คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน “ต้องตอบว่าเป็นแฟนกันได้แล้ว”
โห
รีบไปไหนพ่อคุณ
ฉันส่ายหน้าก่อนจะหันออกไปมองสระน้ำที่เราเพิ่งให้อาหารปลาไป
“ยังไม่ถึงเวลาค่ะ”
ตอบคำถามเขาไปแบบนั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากเขา
เพราะไม่ได้หันไปมองเลยไม่รู้ว่าคนข้างกายมีสีหน้าอย่างไร
แต่คิดว่าคงไม่ประทับใจในคำตอบเท่าไหร่
“นานไหม”
เงียบไปเกือบนาทีเขาจึงเอ่ยขึ้น
คำถามนี้
ฉันก็ไม่สามารถตอบได้เหมือนกัน เพราะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองชอบใครมาก่อน
การที่อยู่ๆเขาก็เริ่มเข้ามาใกล้ชิด มาคอยดูแลเอาใจใส่
แน่นอนว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ย่อมทำให้ฉันเกิดความรู้สึกดี
ฉันยังไม่รู้สึกว่าชอบเขา
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะปฏิเสธความรู้สึกของเขา แค่หวังว่าเวลาต่อจากนี้จะสามารถช่วยให้ความรู้สึกของฉันชัดเจนยิ่งขึ้น
“คงต้องมาดูว่าพี่เฟรนช์ฟรายจะทำให้ฟองชอบได้หรือเปล่า”
ในอนาคตไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แล้วตอนนี้ตัวฉันเองไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยากมีแฟนมากขนาดนั้น
เพราะฉะนั้นก็ปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติของความรู้สึกเถอะ
“อืม”
เสียงครางรับพร้อมกับหางตาฉันเห็นว่าเขาพยักหน้าอยู่สองสามครั้ง “ฟอง...”
เสียงทุ้มเอ่ยชื่อของฉันแล้วก็เงียบไป
จึงดึงให้ฉันหันกลับมามองเขาอย่างสงสัย
“คะ?”
“ต่อไปเรียกแค่เฟรนช์ก็พอ”
เขามองฉันอย่างตั้งใจ ราวกับว่าดวงตาคู่คมนั้นกำลังตรึงสายตาของฉันไว้ไม่ให้หันมองไปทางอื่นก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อว่า
“ยาวไป ไม่สนิท”
ได้ฟังแบบนั้นฉันก็อดที่จะยิ้มขำไม่ได้
แบบนี้เรียกว่าบังคับให้สนิทกันหรือเปล่านะ
ยืนให้อาหารปลาต่อจนหมดก็เป็นเวลาเดียวกับที่พวกผู้ใหญ่เสร็จออกมาจากศาลาพอดี
“เดี๋ยวแวะกินข้าวก่อน
ตอนบ่ายไปอีกวัด” พี่ไวน์บอกอย่างจัดแจงถึงรายละเอียดการเดินทางหลังจากนี้
ฉันย้ายกลับมานั่งรถตู้ครอบครัว
ส่วนพี่ชายเป็นคนนั่งไปกับพี่เฟรนช์ เขาบอกให้เรียกสั้นๆนี่เนอะ
พวกเขาขับออกไปก่อน
เห็นบอกว่าจะไปสั่งอาหารไว้รอ ประโยคนี้ถ้าแปลอีกความหมายหนึ่ง
ก็คงจะย้ำเรื่องที่พี่เฟรนช์ขับรถเร็วนั่นเอง
ใช้เวลาขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงร้านอาหารที่พี่ไวน์บอก
และใช่ เมื่อเดินมาถึงโต๊ะก็พบร่างหนาของผู้ชายสองคนนั่งเล่นโทรศัพท์ซึ่งเบื้องหน้ามีอาหารวางเรียงรายพร้อมรับประทานเรียบร้อยแล้ว
ขับรถกันเร็วขนาดไหนเนี้ย
ฉันเดินไปนั่งลงเก้าอี้ข้างตัวอีกฝั่งของพี่ชาย
พร้อมสำรวจเมนูอาหารบนโต๊ะอย่างละเอียด
น่ากินทั้งนั้นเลย
หลังจากทานอาหารไป
คุยกันไปสักพัก จู่ๆเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของใครสักคนก็ดังขึ้น
“ครับ”
เป็นของพี่เฟรนช์ซึ่งกดรับเรียบร้อยแล้ว “.....โรงบาลไหนครับ”
แม้จะไม่ได้ตั้งใจจะฟังเขาคุย
แต่ประโยคนี้ก็รับรู้ได้ถึงความร้อนรนและความกังวลอย่างชัดเจน ฉันวางช้อนลงกับจาน
ซึ่งทุกคนก็ทำเช่นกัน ราวกับรับรู้ว่ามีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้น
“ผมอยู่ต่างจังหวัด”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งเหยิง “อีกหนึ่งชั่วโมงครับ”
“ว่า?” พี่ไวน์เอ่ยถามหลังจากคนข้างตัววางสายจากโทรศัพท์
“โมรถล้ม”
ตอบคำถามเสร็จก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว “ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เขายกมือไหว้พ่อกับแม่เสร็จก็รีบออกไปอย่างเร่งรีบ
และพี่ไวน์เองก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฉันสามารถสรุปได้ว่าพี่โมเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่โรงพยาบาล
ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้ผู้ชายทั้งสองคนรีบร้อนออกไปอย่างเป็นห่วง
เพราะหลังจากฉันขึ้นปีสอง
พี่โมก็จบออกไปแล้ว เราจึงไม่ได้เจอกันเลย
ส่วนเรื่องที่เธอเป็นว่าที่คู่หมั้นพี่ไวน์ก็เงียบหายไป
ครอบครัวฉันก็ไม่เห็นมีใครพูดถึง
ฉันคิดว่าอาจเป็นเพราะพี่ชายฉันกับพี่โมคงไม่ได้พึงพอใจต่อกัน
และท่าทีของพี่ไวน์ก็ดูไม่ได้อยากหมั้น ฉันจึงเข้าใจว่าทั้งคู่คงไม่ได้รู้สึกดีต่อกัน
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่มีงานหมั้นเกิดขึ้น
แต่ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจผิด
จากสีหน้าพี่ไวน์ก่อนวิ่งออกไปเมื่อกี้
ก็มองออกแล้วว่าเป็นห่วงพี่โมแค่ไหน
“เฮ้อ
หวังว่าหนูโมจะไม่เป็นอะไรมากนะคะ” แม่พูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนพ่อ
“แต่ดูแล้วลูกชายคุณจะเป็นเอามากอยู่”
พ่อว่าพร้อมอมยิ้ม “เราน่าจะได้ไปสู่ขอลูกสาวบ้านนั้นจริงๆแล้วล่ะ”
พ่อเองก็คงคิดไม่ต่างจากฉันหรอก
วันนั้นหลังจากทำบุญเสร็จพอกลับถึงบ้านก็พบว่าพี่ไวน์นั่งดื่มเหล้าจนเมาหลับอยู่ห้องรับแขก
พฤติกรรมแบบนี้ของพี่ชายนั้นทำให้คนทั้งบ้านค่อนข้างตกใจและสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เพราะปกติเขาจะรู้ลิมิตในการดื่มเหล้าของตัวเองดี และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมามายได้ถึงขนาดนี้
ถามจากปากพี่ชายว่ามีเรื่องอะไรทำให้ต้องกินเหล้าเมาขนาดนี้
เจ้าตัวก็ไม่ยอมบอก ฉันจึงส่งข้อความไปถามเรื่องราวจากพี่เฟรนช์
เขาก็บอกเพียงว่าปัญหาส่วนตัว จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องไป
ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพี่โมนั้น
ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บมากอยู่ทีเดียว ตัวฉันเองมีโอกาสได้ไปเยี่ยมอยู่ครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะออกจากโรงพยาบาล
ใจจริงอยากจะถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่โมกับพี่ชายตัวเองด้วย
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรไป เพราะคิดว่าทั้งคู่คงมีวิธีการจัดการกันเอง
(กินข้าวยัง) เสียงทุ้มในสายเอ่ยถาม
ตั้งแต่ตอนที่ยอมรับว่ากำลังตามจีบฉันอยู่ เขาก็ขยันโทรหาฉันเช้าเย็น
ไม่ก็ส่งข้อความมาหาบ่อยๆ บทสนทนาก็เป็นประโยคเดิมที่ถามว่าทำอะไรอยู่
กินข้าวหรือยัง ทำไมยังไม่นอน แม้มันจะซ้ำซากแต่ฉันกลับเต็มใจตอบ
“กินแล้ว” ตอบออกไปก่อนจะยกไหล่ขึ้นดันโทรศัพท์ให้แนบกับหูแทนแล้วใช้มือทั้งสองข้างเอื้อมขึ้นไปยกกล่องหนังสือบนตู้ลงมา
“อ๊ะ!”
เพราะดึงกล่องหนังสือออกมาโดยไม่ทันมองว่ามีหนังสือเล่มอื่นที่วางพิงอยู่หล่นลงมาด้วย
ปึก!
“โอ้ย!”
ความเจ็บแล่นเข้าสู่ความรู้สึกอย่างรวดเร็ว วางกล่องหนังสือลงพื้นข้างโทรศัพท์ที่ตกไปก่อนแล้วจึงยกมือขึ้นแตะบริเวณหน้าผากข้างขวา
ซึ่งเป็นจุดที่สันหนังสือตกกระแทกเมื่อครู่
แสบ เลือดออกด้วยหรอ!
รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งไปหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
มองหน้าผากตัวเองที่เริ่มปูดขึ้นมาให้เห็น ผิวแดงเป็นวงหนึ่งและมีเลือดซิบออกเล็กน้อย
อ่า ห่วงแต่โทรศัพท์จนได้เรื่อง
เดินตีหน้ายุ่งกลับมายังจุดเกิดเหตุก่อนจะก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง
(ฟองเบียร์ ได้ยินพี่ไหม)
“ค่า” ตอบกลับคนที่ถือสายรอ คาดว่าเสียงฉันร้องเมื่อครู่คงทำเขาตกใจเช่นกัน
(เป็นไร เมื่อกี้ร้อง)
“หนังสือตกใส่หน้า”
ฉันว่าก่อนที่มืออีกข้างจะหยิบหนังสือเล่นนั้นขึ้นไปวางไว้หลังตู้เช่นเดิม
(เป็นไรมากไหม)
“ไม่ค่ะ” ใครจะกล้าบอกว่าหัวเกือบแตกล่ะ ขายหน้ากันพอดี
(ระวังหน่อย)
นอกจากคำถามทั่วไปที่เขาชอบพูดแล้ว
ไอ้ประโยคเป็นห่วงกึ่งบังคับแบบนี้ฉันก็ได้ยินบ่อยมากเช่นกัน
แม้จะรู้สึกว่าถูกควบคุมพฤติกรรมไปบ้าง แต่กลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลย
“ค่า”
มุมปากทั้งสองข้างยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
ล้างแผลด้วยน้ำเกลือเสร็จจึงติดพลาสเตอร์สีเนื้อปิดบริเวณที่เนื้อถูกสันหนังสือกระแทกจนเป็นแผลเล็กๆ
เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นหรือสิ่งสกปรกไปสัมผัสมัน จากนั้นก็แต่งตัวเพื่อไปบริษัทขนส่งซึ่งอยู่ใกล้บ้าน
ฉันตั้งใจจะเอาหนังสือเตรียมสอบของมัธยมไปบริจาค
เพราะเมื่อวานเลื่อนๆทวิตเตอร์อยู่ เห็นโพสต์หนึ่งขอรับบริจาคหนังสือมัธยมสำหรับเด็กนักเรียนบนดอย
ตัวฉันเองก็ไม่ได้ใช้แล้ว ดังนั้นจึงควรส่งต่อให้คนที่เขาได้ประโยชน์จะดีกว่า
หยิบหนังสือสี่เล่มที่มีความหนาประมาณหนึ่งใส่ถุงผ้า
ก่อนจะเดินออกจากบ้านเพื่อไปบริษัทขนส่งซึ่งอยู่หน้าปากซอยเข้าหมู่บ้าน แต่เหมือนจิตใจที่พร้อมจะทำความดีของฉันจะถูกอุปสรรคบางอย่างขวางกั้นไว้
ร้านปิดได้ไงก่อน
“ปิดทำการหนึ่งสัปดาห์ เพื่อต่อเติมอาคาร
และจะกลับมาให้บริการลูกค้าอีกครั้งอย่างมีประสิทธิภาพ”
ฉันอ่านป้ายประกาศขนาดเท่ากระดาษเอสี่ที่ถูกติดไว้บริเวณประตูหน้าร้าน
ไปห้างก็ได้
เนื่องจากจำได้ว่าในห้างมีบริการขนส่งอยู่
ดังนั้นจึงตัดสินใจโบกรถแท็กซี่ไป เพราะขี้เกียจเดินกลับไปรอรถเมล์
จ่ายค่าโดยสารเรียบร้อยก็ลงจากรถ
แต่จังหวะที่เตรียมจะเดินไปตามทางเข้าห้างนั้น
ภายในรัศมีหางตาของฉันกลับเห็นร่างสูงที่คุ้นตาจนทำให้ต้องหันไปมองอย่างรวดเร็ว
ผู้ชายรูปร่างดูดีในชุดนักศึกษาเดินออกมาจากห้างอย่างเร่งรีบ
ฉันมองเห็นว่าเขาถือซองสีน้ำตาลไว้ในมือ
แม้ว่าสิ่งนั้นจะดูเป็นเอกสารที่มีความสำคัญมาก
แต่มือหนากลับกำมันไว้แน่นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายต่อเอกสารด้านในเลย
ตอนนี้เพิ่งบ่ายสามเอง
เขาต้องฝึกงานอยู่บริษัทไม่ใช่หรอ?
สัปดาห์หน้าถึงจะเปิดเทอมสอง
แต่สำหรับปีสี่ที่ตามแผนการเรียนต้องออกฝึกงานก่อนเพื่อเก็บเวลาฝึกงานให้ครบตามที่มหา’ลัยกำหนด และเพราะพี่เฟรนช์มีชื่อเป็นพนักงานของโรงแรมเรา
ดังนั้นเขาจึงต้องไปลงสถานที่ฝึกงานที่บริษัทอื่น
ซึ่งฉันจำได้ว่ามันไม่ได้อยู่แถวห้างนี้นี่
หรือมาติดต่ออะไร?
ในตอนที่จะเอ่ยเรียกชื่อเขา
ฉันก็สังเกตว่ามีใครบางคนวิ่งตามเขาออกมาจากประตูห้าง ผู้หญิงวัยกลางคนวิ่งมาคว้าท่อนแขนแกร่งไว้
ใบหน้าสวยสง่านั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา
เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
นี่มันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแล้ว
พี่เฟรนช์ไม่ได้สนใจที่จะมองกลับไปหาเธอด้วยซ้ำ
ภาพการฉุดยื้อกันอยู่อย่างนั้นเริ่มทำให้คนแถวนั้นหันมอง
บางคนก็ลังเลว่าควรจะเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยดีไหม เพราะพวกเขาก็คงไม่ได้รู้จัก
เกรงว่าจะเป็นการเข้าไปยุ่งในเรื่องส่วนตัว
แล้วฉันละ
ความสัมพันธ์ของฉันกับพี่เฟรนช์เรียกว่าสนิทได้ไหม
ตอนนี้ในสมองกำลังประมวลผลว่า
ฉันสามารถเดินเข้าไปเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยได้เรื่องนี้หรือเปล่า แต่ไวกว่าความคิดเมื่อเท้าทั้งสองข้างเดินมาหยุดลงตรงหน้าพวกเขา
“พี่เฟรนช์” ฉัน
“แม่ พอเถอะ”
เสียงราบเรียบดังมาพร้อมร่างสมส่วนของพี่โม ซึ่งตอนนี้บางจุดบนแขนเรียวเล็กของเธอมีผ้าพันแผลอยู่
เธอเดินเข้าไปถึงสองคนนั้นก่อนจะพยายามดึงให้อีกฝ่ายปล่อยมือจากพี่เฟรนช์
แต่แปบหนึ่งนะ
นี่คือคุณแม่ของพวกเขาหรอ?
“เฟรนช์ฟังแม่ก่อนได้ไหม”
คนมีอายุเยอะกว่าเอ่ยประโยคขอร้องนั้นด้วยเสียงสั่นเครือ
นี่คือปัญหาครอบครัวแน่ๆ
“ฟองเบียร์
พาเฟรนช์ไปก่อน” พี่โมหันมาสั่งกึ่งขอร้อง
ดังนั้นฉันจึงพยักหน้ารับก่อนจะคว้าท่อนแขนแกร่งที่หลุดจากมือบางของแม่เขาพอดี
ฉันดึงร่างหนาให้เดินตามไปบนฟุตบาทก่อนจะพาเดินขึ้นสะพานลอยจึงค่อยผ่อนความเร็วในการเดินลง
จนเราสองคนเดินเคียงข้างกันอย่างช้าๆ
เขาใช้มือข้างหนึ่งแกะมือของฉันออกจากแขนของเขา
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประสานนิ้วมือข้างนั้นกับมือของฉันจนไม่เหลือที่ว่างให้อากาศเคลื่อนผ่านได้
“...”
“...”
ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น
เราเดินจับมือกันอยู่อย่างนั้นจนลงจากสะพานลอย ฉันเลือกที่จะเรียกรถแท็กซี่
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธอะไร ดังนั้นจึงบอกที่อยู่คอนโดเขาให้คนขับรู้
ลอบมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างกันก็จนปัญญาที่จะคาดเดาความรู้สึกเขา
ใบหน้าหล่อที่เคยส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กันตอนนี้กลับราบเรียบเฉยชาราวกับคนไร้ความรู้สึก
ฉันมีคำถามเกิดขึ้นมากมายภายในใจที่อยากถามเขา
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทำไมมีเรื่องอะไรถึงต้องทะเลาะกับครอบครัว
วันนี้เขาขาดงานหรือเปล่า
ได้ลางานไหม
ซองสีน้ำตาลที่เขากำมันแน่นไว้ในมือนั่น
เป็นเอกสารสำคัญหรือเปล่า ฉันอยากจะหยิบมันออกมาจากมือเขาเพราะกลัวว่าเขาจะทำให้มันเสียหายไปมากกว่านี้
สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ถามอะไรอยู่ดีจนเราถึงจุดหมาย
เหลือบมองเวลาในโทรศัพท์ตอนนี้สี่โมงเย็นแล้ว
“ร้อยเจ็ดห้า”
เสียงบอกราคาค่ารถดังมาจากคนขับ
ฉันเตรียมโทรศัพท์จะแสกนจ่ายผ่านแอปธนาคาร
แต่ช้ากว่าคนที่นั่งข้างกัน เขายื่นธนบัตรสีแดงสองใบให้คนขับ “ไม่ต้องทอน”
แล้วดันให้ฉันลงจากรถพร้อมกัน
ความตั้งใจแรกคือมาส่งเขาถึงคอนโดแล้วจะกลับบ้านนะ
แต่เห็นแบบนี้แล้วก็ไม่อยากปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่ จนมาถึงหน้าห้องของเขาที่อยู่ชั้นสิบเจ็ด
มือหนาก็ยังสอดประสานมือฉันไว้อยู่อย่างนั้น
สิ่งเดียวที่รับรู้ได้จากสัมผัสตอนนี้คือความชื้นจากเหงื่อบนมือของเราสองคน
ความรู้สึกแปลกตาและตื่นเต้นเล็กๆค่อยๆปรากฎขึ้นภายในใจของฉันเมื่อเข้ามาภายในห้องของเขา
พื้นที่ห้องค่อนข้างใหญ่และถูกแบ่งออกเป็นโซนต่างๆอย่างชัดเจน มีประตูสีดำสนิทตัดกับผนังห้องสีขาวอยู่บานหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน
มือหนาค่อยๆปล่อยมือออกจากฉันอย่างช้าๆก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งลงบนพื้นหน้าโซฟา
ภาพแผ่นหลังกว้างที่เคยเห็นมาวันนี้กลับให้ความรู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก
จริงๆที่ผ่านมา
ฉันก็พอจะมองออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัวอาจจะไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นัก
สังเกตจากการที่เขามาทำงานให้พี่ไวน์ทั้งๆที่ครอบครัวเขาก็มีธุรกิจ
การออกมาอยู่คอนโดคนเดียว การหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยหรือเข้าหาพี่สาวตัวเอง
และที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยพูดเรื่องในครอบครัวให้ฉันฟังเลยสักครั้ง
การกระทำเหล่านี้ก็น่าจะบ่งบอกให้เห็นถึงปัญหาได้ระดับหนึ่ง
แต่ในมุมมองหนึ่งหรือบางเหตุการณ์ เขาก็ยังแสดงออกว่าเป็นห่วงพี่โมอยู่
ฉันมองไปรอบห้องอีกครั้ง
พบว่ามันถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่าย ดูหรูหรา ใหญ่โต แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่โดดเดี่ยว
ว่างเปล่า
ไม่มีความสุขเลยใช่ไหม
คำถามนี้ผุดขึ้นมาเมื่อมองไปยังคนที่นั่งเงียบอยู่บนพื้น
ฉันเดินเข้าไปใกล้เขาทีละนิด
วางกระเป๋าผ้าที่ใส่หนังสืออยู่ลงบนพื้นอย่างเบามือ
ปลายเท้าหยุดลงห่างจากเขาเพียงเล็กน้อย
“พี่หิวไหม” เอ่ยถามเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจว่าการเริ่มต้นบทสนทนาแบบนี้จะเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้หรือเปล่า
“...”
เขายังนิ่งอยู่อย่างนั้น
“พี่เฟรนช์” ฉันขยับตัวเข้าใกล้เขาอีกนิดก่อนจะวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่กว้างที่เคยสง่าผ่าเผยกว่านี้
“โอเคหรือเปล่า”
พรึ่บ!
เพียงเสี้ยววินาทีที่มือหนาคว้าตัวฉันให้ขยับเข้าไปใกล้
ฉันถูกดึงให้นั่งลงบนโซฟาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว
จากนั้นแขนแกร่งของคนที่ยังนั่งอยู่บนพื้นก็ยกขึ้นมาโอบรอบเอวของฉันไว้
ใบหน้าคมซบลงมาที่หน้าท้องของฉัน
ใกล้มาก
ใกล้จนรับรู้ถึงลมร้อนจากการหายใจของเขา
“ฮึก!” เสียงสะอื้นที่พยายามอดกลั้น
แรงโอบรัดที่เพิ่มขึ้นนั้นกำลังยิ่งตอกย้ำความโดดเดี่ยวอ้างว้างภายในใจของเขา
เพราะไม่เคยมีใครเข้ามาตรงนี้
ไม่เคยมีใครเข้ามารับรู้ถึงความเสียใจของเขา
ดวงตาที่เบิกกว้างเพราะความตกใจของฉันค่อยๆอ่อนลงแปรเปลี่ยนเป็นความสงสารเข้ามาแทนที่
“ร้องออกมาเถอะ
ฟองไม่ล้อหรอก”
**********
Writer's zone
ไรต์เองมีงานประจำที่ต้องทำแล้วนะคะ อาจจะไม่ได้อัพบ่อยเท่าที่นักอ่านต้องการ
แต่จะพยายามเขียนและมาลงให้ได้อ่านกันนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามผลงานของไรต์นะคะ
ความคิดเห็น