ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HOLD MY HAND เปลี่ยนรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : PART I |สร้างความสนิท

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ย. 64


              


            วันนั้นฉันได้รู้ว่าพี่โมคือว่าที่คู่หมั้นของพี่ไวน์

    โลกกลมอย่างที่เธอว่าจริงๆนั่นแหละ

    หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เตรียมเข้านอน เพราะวันนี้ไม่มีการบ้านหรืองานที่อาจารย์สั่งเลยอยากนอนเร็วบ้าง ฉันแต้มไนท์ครีมลงบนหน้าก่อนจะทาให้ทั่วหน้า เสร็จก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นไปนอนเล่นบนเตียง

    หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

    สองชั่วโมงผ่านไป

    นอนเร็วไม่มีจริง

    ฉันมองเวลาที่แสดงอยู่ขอบบนขวาของโทรศัพท์แล้วก็ถอนหายใจ ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้ว

    ถ้าครีมบนหน้าพูดได้ มันคงจะบอกว่าวันหลังไม่ต้องทาหรอก ทาแล้วก็ไม่นอน หล่อนจะทาเพื่อ?

    ฉันปัดหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ไม่มีอะไรทำ ไม่มีอะไรให้ดูหรอก แต่มันไม่ง่วงสักที

    ครืด! ครืด!

    แจ้งเตือนจากเฟสบุ๊ค ขึ้นโนติ*(Notification)ว่า

    Frenchfries Mathasitt ได้ส่งคำขอเป็นเพื่อนถึงคุณ

    ตึกตัก! ตึกตัก!

    อยู่ๆก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างงั้น

    มือเลื่อนไปกดดูหน้าโปรไฟล์ของเขาอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นโพสต์อะไรเลย มีแค่รูปโปรไฟล์รูปเดียว

    หือ? รูปนี้ก็ถ่ายเมื่อปีที่แล้วด้วย

    ไม่ๆ ห้ามกดรับตอนนี้ คนเราต้องมีชั้นเชิงหน่อย

    ฉันวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะเข้านอน ถึงเวลาให้ไนท์ครีมได้ทำงานแล้ว

    โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่

     

    ชีวิตการเรียนปีหนึ่งของฉันผ่านไปได้ด้วยดี แม้จะมีบางครั้งที่รู้สึกว่างานเยอะบ้างแต่ก็ผ่านมันมาได้ รู้สึกขอบคุณวารินที่ช่วยกันเตือนเรื่องการเรียนและคอยซัพพอร์ตกัน

    พอขึ้นปีสองวิชาที่เรียนเริ่มเข้าสู่สาขาวิชามากขึ้น เน้นเป็นพื้นฐานของวิชาชีพในอนาคต ซึ่งตารางเรียนของฉันมีเรียนจันทร์ถึงศุกร์เหมือนเดิมแต่เรียนเช้าบ้างบ่ายบ้างสลับวันกันไป

    วันไหนมีเรียนเช้าพี่ไวน์เป็นคนไปส่ง แต่ถ้ามีเรียนบ่ายจะนั่งรถสาธารณะไปแทน และตอนกลับก็นั่งแท็กซี่ไม่ก็รถเมล์แล้วแต่วันๆไป

    ส่วนลูกน้องคนสนิทของพี่ไวน์ หมายถึงพี่เฟรนช์ฟรายนั่นแหละ ตั้งแต่เขาแอดเฟรนด์มาวันนั้น ผ่านไปสี่ห้าวันฉันจึงกดรับแอด ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้ทักมาหรือมีการเคลื่อนไหวอะไรอีก

    ฉันเจอเขาบ้างตอนที่พี่ไวน์เอางานกลับมาทำบ้าน แต่ไม่ได้คุยกัน และนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันที่ไหนอีก จะว่าไปก็รู้สึกแปลกๆอยู่ เป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันต่างจากเมื่อก่อนที่เคยรู้จักเขาในฐานะเพื่อนของพี่ไวน์

    วันนี้เป็นการสอบวันแรกของปีสองเทอมหนึ่ง ฉันมีสอบแค่วิชาเดียว ตั้งใจว่าสอบเสร็จจะกลับไปนอนหน่อยเพราะเมื่อคืนกว่าจะนอนก็เกือบเช้า หวังว่าที่อ่านมาจะตรงกับที่อาจารย์ออกสอบด้วยเถอะนะ

    “วันนี้ฉันรีบกลับไปทำธุระกับพี่อ่ะ” เพื่อนเงยหน้าขึ้นจากชีทเรียนบนตักมาบอกในตอนที่เรานั่งรอเข้าห้องสอบอยู่หน้าอาคาร “สอบเสร็จจะออกไปเลยนะ หรือถ้าแกเสร็จก่อนก็กลับเลย”

    “อื้อ!” ฉันพยักหน้าตกลง

    ไม่รู้ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเราไหม แต่เวลาสอบเสร็จต้องมายืนรอเมาท์มอยเรื่องข้อสอบก่อนถึงจะกลับบ้านได้ จะมีประโยคที่ออกจากห้องสอบที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น โคตรยาก อาจารย์ออกข้อสอบไรเนี้ย ข้อนั้นตอบไรวะแก และอีกมากมายหลากหลายอารมณ์

    สอบเสร็จก็พบว่าวารินได้กลับไปแล้ว ฉันจึงเดินออกมารอรถบัสมอเพื่อนั่งไปลงหน้ามอเช่นเคย ตอนนี้สมองเบลอและตาล้ามากต้องการเตียงนอนที่สุด

    กดดูเวลาในโทรศัพท์ก็พบว่าตอนนี้สิบเอ็ดโมงยี่สิบสามนาที ยังไม่เที่ยงคนอาจจะไม่เยอะเท่าไหร่

    ครืด! ครืด!

    มองโทรศัพท์ในมือที่สั่นแจ้งเตือนว่ามีการโทรเข้า

    Bro FF

    หายไปตั้งนาน ทำไมวันนี้มาโทรหากันได้?

    “หวัดดีค่ะ” กรอกเสียงทักทายที่แผ่วเบาลงไปหลังจากที่กดรับสายแล้ว

    อยู่ๆก็ตื่นเต้นอีกแล้ว

    (มาขึ้นรถ) เสียงทุ้มจากปลายสายเอ่ยมาเพียงแค่นั้น

    “หือ?” ฉันหันมองไปรอบๆเท่าที่จะสามารถมองได้ เพื่อหารถยนต์ยี่ห้อที่เคยคุ้นตา แต่กลับไม่พบ “รถไหนคะ”

    (ข้างหลัง)

    อ่า มันจอดอยู่หลังตึกซึ่งอยู่อีกฝั่งกับที่ฉันมองหา

    “พี่ไวน์สั่งมาหรอคะ” อยู่ๆก็อยากถามประโยคนี้ขึ้นมา

    และอยู่ๆก็ไม่อยากให้เขาตอบว่าใช่

    (หึ!) เขาแค่นหัวเราะออกมาแค่นั้น แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

    “...” และตัวฉันเองก็ได้พูดอะไร

    เหมือนกับว่าปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ มีเพียงเสียงการเคลื่อนไหวจากภายนอกเท่านั้นที่ได้ยิน

    ไร้บทสนทนาจากการติดต่อกันผ่านสัญญาณโทรศัพท์

    ผ่านไปเกือบห้านาทีได้ที่ถือสายอยู่อย่างนั้น

    รสบัสมอจอดลงตรงหน้าฉันพอดี และประตูก็เปิดออก

    (เฮียไม่ได้ฝาก)

    คนที่ทั้งนั่งรอรถและยืนรอรถอยู่ข้างฉันทยอยขึ้นจนใกล้หมด

    “...”

    (พี่อยากไปส่งฟองเบียร์)

    รับรู้ได้ว่ามุมปากทั้งสองของตัวเองกำลังยกยิ้ม ความร้อนค่อยๆลามเลียไปทั่วใบหน้า

    ปลายเท้าของฉันเริ่มออกเดิน “เอาไว้วันหลังนะคะ” พูดแค่นั้นก็ลดโทรศัพท์ลงจากหูแล้วกดตัดสาย

    ที่เลือกกลับเองเพราะจะให้เขาเห็นไม่ได้ว่าฉันเขิน

    ใช่ เขินมาก จนทำอะไรไม่ถูกเลย

    เขานี่นะ มีจังหวะในการจู่โจมที่น่ากลัวจริงๆ ภายใต้ใบหน้าที่แสนนิ่งนั่น ไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

    ครืด!

    Frenchfries Mathasitt ส่งสติกเกอร์ถึงคุณ

    แล้วสติกเกอร์เจ้าแมวตัวสีเทายืนกอดอกมองแรงเนี้ย เขากำลังคิดอะไรอยู่

    ฉันยกยิ้มอีกครั้งก่อนจะกดเลือกอิโมจิยิ้มแป้นกลับไป


    ผ่านพ้นสัปดาห์แห่งการสอบก็เข้าสู่ช่วงปิดเทอมหนึ่ง หลังจากคุยกันวันนั้นพี่เฟรนช์ฟรายไม่ได้โทรมาอีก เขาส่งข้อความมาบอกว่าให้ตั้งใจสอบนะ จะไม่รบกวน

    วันนี้ครอบครัวฉันตกลงกันว่าจะไปทำบุญให้คุณป่าคุณย่ากับคุณตาคุณยายที่ท่านเสียไปแล้ว ซึ่งจะไปที่วัดที่อยู่ใกล้บ้านเก่าของพวกท่าน ตอนแรกคิดไว้ว่าจะทำบุญรวมญาติทุกคนนั่นแหละ แต่เพราะแต่ละครอบครัวหาเวลาว่างตรงกันยากมาก ดังนั้นจึงแยกกันทำเอาเวลาที่แต่ละครอบครัวสะดวก

    ฉันมองตัวเองที่สวมเสื้อสีขาวกับกางเกงยีนส์ขายาวในกระจก ตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังและไม่ลืมถือผ้าห่มผืนเล็กที่ชอบพกติดตัวเวลาเดินทางไกลติดมือมาด้วย

            “ฟองลูก มาช่วยยกถังสังฆทานขึ้นรถเร็ว” แม่ที่กำลังยืนจัดแจงงานอยู่หันมาเรียกฉันที่เดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายพอดี

            “ได้ค่า” ฉันขานตอบก่อนจะเดินไปห้องรับแขกที่มีถังสังฆทานตั้งอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนมีอยู่หกถัง ทำไมเหลือแค่สาม สงสัยยกออกไปแล้ว

    ฉันพาดผ้าห่มไว้บนบ่าก่อนจะเดินเข้าไปยกถังสีเหลืองสองใบด้วยมือแต่ละข้างและหันกลับเตรียมเดินออกไปที่รถ

    อะ อ้าว?!

    เขา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้

    ร่างสูงในเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์สีเข้ม ผมถูกเซ็ตให้เป็นระเบียบ ไม่แน่ใจว่าเพราะอยู่ใกล้กันเกินไปหรือเปล่าถึงได้กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายจางๆออกมา มันไม่ได้ฉุน แต่เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆที่ให้ความรู้สึกสดชื่นมากกว่า

    ฉันกระพริบตาถี่ๆติดต่อกัน จนคนที่ยืนจ้องกันอยู่ค่อยๆยกยิ้มขึ้น

    “ถืออันเดียวพอ” มือหนายื่นมาดึงถังออกจากมือฉันข้างหนึ่ง ก่อนจะเดินเลยเข้าไปหยิบถังอีกใบที่ตั้งอยู่ แล้วเดินนำออกไปที่รถตู้สีดำที่จอดอยู่ทางเข้าประตูบ้าน

    ยืนมองเขาเก็บถังเรียงขึ้นบนหลังรถก่อนจะเอ่ยถามว่า “พี่มาได้ไง”

    มือหนายื่นมือมารับถังสุดท้ายจากฉัน “ขับรถมา”

    อือ ไม่ผิด

    ฉันถามผิดเอง

    ฉันกรอกตามองบนก่อนจะเดินเข้าบ้านไปหาแม่กับพ่อที่กำลังเดินสวนออกมาพอดี

    “ไปกัน” พ่อพูดพร้อมปรายตาไปทางที่ลูกน้องคนสนิทของพี่ไวน์ยืนอยู่

    “เดี๋ยวผมขับรถตามครับ” เขาตอบพ่อ

    แสดงว่าพ่อกับแม่ก็รู้แต่แรกว่าเขาจะมางั้นสิ แล้วทำไมมีแค่ฉันที่ไม่รู้

    “ไปด้วยกันก็ได้นี่ตาเฟรนช์” แม่เอ่ยพร้อมยื่นกระเป๋าให้คุณแม่บ้านเอาไปวางไว้บนรถก่อน

    “ผมจะแวะซื้อน้ำก่อนครับ” เขาว่าพร้อมกับปิดท้ายรถตู้ลง “เดี๋ยวให้เฮียแชร์โลให้ครับ” (โล:Location)

    พอพูดถึงร่างสูงของพี่ไวน์ก็เดินลงมาในชุดเสื้อขาวกางเกงสีดำ

    “ไอ้เฟรนช์มันจะแวะซื้อน้ำไปถวายพระด้วย” พี่ชายฉันบอก “พ่อกับแม่ก็อย่าขัดศรัทธามันเลยครับ”

    “แกนี่” แม่หยิกไหล่หนาของลูกชายไปหนึ่งที

    หลังจากนั้นทุกคนก็ขึ้นนั่งประจำรถโดยวันนี้มีลุงชานขับรถให้ และมีคุณป้าแม่บ้านนั่งข้างคนขับ ถัดมาเป็นเบาะของฉันกับพี่ไวน์ และสองเบาะหลังเป็นพ่อกับแม่

    จริงๆที่แม่ชวนพี่เฟรนช์ฟรายเพราะมันเหลือเบาะเดี่ยวอีกหนึ่งตัว แต่ตอนนี้มันถูกพับไว้และใช้วางถังสังฆทานแทน

    รถตู้ของเราเคลื่อนตัวออกจากบ้าน และตามด้วยรถยนต์ของพี่เฟรนช์ฟราย วัดแรกที่เราจะไปคือวัดที่อยู่ใกล้บ้านคุณตาคุณยาย ซึ่งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง

    ปกติถ้านั่งบนรถนานๆฉันจะหลับ แต่วันนี้กลับไม่รู้สึกง่วงเลย

    ขับออกมาได้สักพักก็กำลังจะผ่านตลาดสดขนาดใหญ่ มองออกไปนอกรถก็เห็นคุณยายคนหนึ่งยืนขายขนมในรถเข็นอยู่

    “ลุงชาน จอดรถให้หนูแปบหนึ่งค่ะ” ฉันเอ่ยบอกคนขับอย่างรวดเร็ว

    “เดี๋ยวจอดข้างหน้านะครับ” ลุงชานตอบก่อนจะค่อยๆชะลอรถและหลบเข้าข้างทางที่เป็นริมฟุตบาทที่สามารถจอดได้ตามกฎหมาย

    “มีอะไรลูก” แม่ถามอย่างสงสัยปนตกใจ

    “ฟองจะซื้อขนมค่ะ” ฉันบอกก่อนจะลงจากรถอย่างรวดเร็ว

    เดินตรงไปยังรถเข็นที่สภาพไม่ค่อยดีแล้ว ซึ่งคนขายอย่างคุณยายกำลังยืนมองหาลูกค้าอยู่

    “คุณยาย หนูขอซื้อขนมค่ะ” ฉันเอ่ยเรียกอย่างสดใส

    “เอาอันไหนลูก ถุงละยี่สิบ สามถุงห้าสิบ” คุณยายบอกพร้อมรอยยิ้มกระตือรือร้นหยิบถุงพลาสติกใบเล็กมาไว้ในมือ

    ฉันมองถุงขนมสีสันหลากหลายที่อยู่บนถาดแล้ว เงินเก็บของฉันน่าจะเหลือเยอะอยู่ โอเค

    “หนูเหมาค่ะ เดี๋ยวนับถุงเลยนะ” ฉันว่าก่อนจะลงมือนับถุงขนมหวานเสียงดังฟังชัดให้คุณยายได้ยินด้วย “ยี่สิบสี่ถุงค่ะ”

    “เดี๋ยว หนูจะเหมาจริงๆหรอลูก” คุณยายถามเสียงอ่อนคล้ายยังไม่มั่นใจ

    “จริงๆค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกโทรศัพท์ขึ้นมากดคิดเงินให้คุณยายเห็นด้วย “ยี่สิบสี่ถุง ถุงละยี่สิบ เป็นสี่ร้อยแปดสิบนะคะ”

    ฉันยื่นหน้าจอโทรศัพท์ที่แสดงการคำนวณราคาให้คุณยายเห็น ก่อนจะล้วงตังค์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่ออกมานับ

    แย่ละ มีเงินสดแค่สี่ร้อยบาทเอง ขาดอีกแปดสิบบาท

    เพราะคุณยายไม่มีบริการสำหรับจ่ายเงินผ่านการโอน ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองที่รถตัวเอง คิดว่าในรถต้องมีใครสักคนที่พกเงินสด ใช่ แม่พกแน่ๆ

    “อันนี้สี่ร้อยก่อนนะคะ” ยื่นเงินใส่มือคุณยาย “เดี๋ยวหนูเดินไปเอาเงินที่...”

    แต่ในตอนนั้นเองที่มือหนายื่นธนบัตรสีแดงมาตรงหน้าคุณยายอีกสองใบ

    “เอ้า ให้ยายเยอะจังลูก ขาดอีกแปดสิบ เดี๋ยวยาย...”

    “ไม่ต้องทอนครับ ที่เหลือจ้างยายกลับบ้านครับ” คราวนี้เจ้าของเงินเมื่อครู่เป็นฝ่ายเอ่ยบ้าง

    คุณยายถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ขอให้บุญเยอะๆ มีความสุขความเจริญนะลูก”

    มือบางที่ผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่นเอื้อมมาลูบแขนของฉันสองสามครั้งอย่างเบามือ

    “สาธุค่ะ” ฉันขานรับพรจากผู้อาวุโส ก่อนจะเตรียมเก็บขนมใส่ถุง

    “บนรถพี่มีกล่อง” ร่างสูงเหมือนนึกได้จึงพูดก่อนจะเดินออกไปยังรถยนต์ของเขาที่จอดต่อท้ายรถตู้ของบ้านฉันนั่นแหละ

    ตอนที่กำลังเปิดท้ายรถขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดอะไรสักอย่างไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำก็วางไป ฉันสังเกตเห็นว่าท้ายรถของเขามีน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่งวางซ้อนกันหลายแพ็คอยู่ในนั้น แสดงว่าเขาแวะซื้อน้ำเรียบร้อยแล้ว

    เจ้าของรถออกแรงดึงบางอย่างซึ่งถูกขวดน้ำเหล่านั้นทับไว้ เมื่อดึงออกมาได้จึงรู้ว่ามันคือกล่องกระดาษ จากนั้นจึงกลับมาหาฉันที่ยืนรออยู่

    แต่เมื่อพอมองผ่านเขาไปก็พบว่าอยู่ๆรถตู้ของฉันก็ขับออกไป

    เอ้า?

    เดี๋ยวนะ ทุกคนลืมฟองเบียร์คนนี้หรือเปล่า

    “ไปพร้อมพี่” คนที่เดินมาพร้อมกล่องเอ่ยบอกเมื่อเห็นท่าทางงุนงงของฉัน

    แสดงว่าคนที่โทรหาเขาเมื่อครู่คงเป็นพี่ไวน์แน่ๆ

    แล้วยังไงล่ะ คราวนี้ปฏิเสธอะไรได้หรอ

    เราสองคนช่วยกันจัดขนมลงกล่องจนเรียบร้อย พี่เฟรนช์ฟรายก็อาสาเข็นรถช่วยคุณยายลงจากทางเดินของตลาดที่พื้นไม่เท่ากันก่อน จากนั้นจึงร่ำลาคุณยายและเดินไปขึ้นรถ

    เดินทางออกมาจากตลาดได้สักพักใหญ่ๆ ตลอดทางไม่มีใครเปิดการสนทนาใดๆขึ้นเลย แต่ความรู้สึกของฉันกลับบอกว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายมองอยู่เป็นระยะๆ

    และเมื่อสลัดความคิดนี้ไม่หลุด ฉันจึงเอ่ยปากถามออกไปอย่างใจกล้า

    “พี่มีอะไรจะพูดกับฟองหรือเปล่าคะ?

    “แอร์เย็นไปหรือเปล่า” เขาไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับด้วยประโยคที่ดูเหมือนจะใส่ใจกัน

    ฉันส่ายหน้าอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะตอบว่า “ไม่ค่ะ”

    ตอนนี้ตัวฉันเองไม่ได้รู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถมันหนาวหรือเย็นจนเกินไป เพียงแต่ที่ขยับตัวบ่อยนั้นเป็นเพราะว่าไม่ชินที่เวลานั่งรถนานๆแล้วไม่มีผ้าคลุมตัว

    ผ้าห่มที่อุตสาห์เตรียมมาก็อยู่บนรถตู้นู่น

    “ไม่สบายตัว?” คำถามถูกส่งมาอีกครั้งเมื่อเขาหยุดรถตรงสัญญาณไฟแดงพอดี ใบหน้าคมหันมาเลิกคิ้วอย่างสงสัย

    “เอ่อ” ฉันหันไปหาเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆอย่างจนใจ “ผ้าห่มอยู่บนรถตู้ค่ะ”

    บอกออกไปแบบนั้น คนถามก็พยักหน้ารับรู้และเข้าใจในท่าทางของฉัน พอดีกับที่สัญญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียวเขาจึงออกรถ แต่แทนที่จะขับตรงไป ไฟเลี้ยวก็ถูกเปิดและรถก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าไปริมฟุตบาทในที่สุด

    “พี่จอดทำไมคะ”

    “...” เขาไม่ตอบอะไรก่อนจะขยับตัวลงจากรถไป

    ฉันได้ยินเสียงเปิด-ปิดท้ายรถก่อนที่เจ้าของรถจะเดินกลับมาขึ้นรถพร้อมกับเสื้อยีนส์สีซีด

    มือหนายื่นมันมาตรงหน้าฉันก่อนจะพูดว่า “แก้ขัดไปก่อน”

    เป็นอันเข้าใจดีว่าเขาให้ยืมเสื้อยีนส์ตัวใหญ่อันนี้แทนผ้าห่มที่ฉันลืม “ขอบคุณค่ะ” รับมาไว้ในมือก่อนจะคลี่มันออกแล้วเอาคลุมตั้งแต่ช่วงอกลงไป

    อ่า ฉันเผลอยิ้มให้กับความใส่ใจเล็กน้อยอีกแล้ว

     

    เราเดินทางมาถึงวัดแรกตอนสิบโมงพอดี ซึ่งรถตู้บ้านฉันที่มาถึงก่อนแค่สิบนาทีเองทั้งๆที่ออกจากตลาดช้ากว่าตั้งนาน

    “พาน้องเหาะมาหรอตาเฟรนช์” คนที่ไม่ชื่นชอบความเร็วอย่างแม่ของฉันเอ่ยพร้อมหรี่ตาจับผิดในทันทีที่เราถือของเดินเข้ามานั่งรวมกับพวกท่านในศาลา

    ไม่แปลกหรอกที่แม่จะถามอย่างนั้น เพราะฉันลองสังเกตความเร็วในการขับรถของพี่เฟรนช์ฟราย พี่ไวน์ และลุงชาน เปรียบเทียบกันแล้วพบว่าสองคนแรกน่ะขับรถเร็วมาก แตกต่างจากลุงชานที่คำนึงถึงความปลอดภัยมากๆ แม้จะถึงจุดหมายช้าก็ไม่เป็นไร

    “ต่อไปจะขับช้าลงครับ” คนถูกจับผิดเอ่ยพร้อมส่งยิ้มให้

    ฉันไม่รู้ว่าคำตอบบนั้นถูกใจพ่อกับแม่ที่นั่งฟังอยู่มากแค่ไหน แต่พวกท่านยิ้มออกมาอย่างพอใจมากทีเดียว

    ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมงในการทำบุญ ตอนนี้ฉัน พี่ไวน์ และลูกน้องคนสนิทของเขา ออกมานั่งอยู่ศาลาริมน้ำเพื่อรอพวกผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ในศาลา

    ฉันเห็นว่ามีตู้บริจาคสำหรับให้อาหารปลาจึงเดินเข้าไปดู พบว่าสามารถสแกนจ่ายซื้ออาหารปลาครั้งละสิบบาทได้ ดังนั้นจึงเอาโทรศัพท์มาโอนเงินผ่านแอปธนาคารทันที ก่อนจะได้ขนมปังมาสามถุงในมือแล้วจึงเดินกลับไปหาคนที่นั่งอยู่

    “ให้อาหารปลากัน” ฉันวางถุงขนมปังลงบนโต๊ะด้านหน้าผู้ชายทั้งสองที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์

    “ให้เลยๆ” พี่ชายตัวดีของฉันบอกในขณะที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดีๆด้วยซ้ำ

    จะหงุดหงิดให้เขาก็ไม่ได้ เพราะอุตสาห์จะทำบุญทั้งที

    ถุงขนมปังทั้งสองห่อนั้นถูกมือหนาของพี่เฟรนช์ฟรายหยิบขึ้นมา แล้วเดินนำฉันไปยังจุดที่เขาเขียนป้ายกำกับสำหรับให้อาหารปลา ฉันจึงเดินตามไป

    เราทั้งคู่ต่างยืนฉีกขนมปังแล้วโยนให้ปลาอย่างเงียบๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพออยู่ด้วยกันเพียงลำพังแล้วจะชอบทิ้งให้บรรยากาศรอบตัวมีแต่เสียงของสิ่งอื่นๆ แม้จะไม่มีการสนทนาโต้ตอบกัน แต่ฉันกลับไม่มีความรู้สึกอึดอัดเลย

    นานหลายนาทีก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น “รู้หรือเปล่าว่าพี่จีบเราอยู่”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×