คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : PART I |สร้างความสนิท
วันนั้นฉันได้รู้ว่าพี่โมคือว่าที่คู่หมั้นของพี่ไวน์
โลกกลมอย่างที่เธอว่าจริงๆนั่นแหละ
หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เตรียมเข้านอน
เพราะวันนี้ไม่มีการบ้านหรืองานที่อาจารย์สั่งเลยอยากนอนเร็วบ้าง ฉันแต้มไนท์ครีมลงบนหน้าก่อนจะทาให้ทั่วหน้า
เสร็จก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นไปนอนเล่นบนเตียง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
สองชั่วโมงผ่านไป
นอนเร็วไม่มีจริง
ฉันมองเวลาที่แสดงอยู่ขอบบนขวาของโทรศัพท์แล้วก็ถอนหายใจ
ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้ว
ถ้าครีมบนหน้าพูดได้
มันคงจะบอกว่าวันหลังไม่ต้องทาหรอก ทาแล้วก็ไม่นอน หล่อนจะทาเพื่อ?
ฉันปัดหน้าจอโทรศัพท์ไปมา
ไม่มีอะไรทำ ไม่มีอะไรให้ดูหรอก แต่มันไม่ง่วงสักที
ครืด! ครืด!
แจ้งเตือนจากเฟสบุ๊ค
ขึ้นโนติ*(Notification)ว่า
Frenchfries Mathasitt ได้ส่งคำขอเป็นเพื่อนถึงคุณ
ตึกตัก! ตึกตัก!
อยู่ๆก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างงั้น
มือเลื่อนไปกดดูหน้าโปรไฟล์ของเขาอย่างรวดเร็ว
ไม่เห็นโพสต์อะไรเลย มีแค่รูปโปรไฟล์รูปเดียว
หือ? รูปนี้ก็ถ่ายเมื่อปีที่แล้วด้วย
ไม่ๆ
ห้ามกดรับตอนนี้ คนเราต้องมีชั้นเชิงหน่อย
ฉันวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะข้างเตียง
ก่อนจะเข้านอน ถึงเวลาให้ไนท์ครีมได้ทำงานแล้ว
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่
ชีวิตการเรียนปีหนึ่งของฉันผ่านไปได้ด้วยดี
แม้จะมีบางครั้งที่รู้สึกว่างานเยอะบ้างแต่ก็ผ่านมันมาได้
รู้สึกขอบคุณวารินที่ช่วยกันเตือนเรื่องการเรียนและคอยซัพพอร์ตกัน
พอขึ้นปีสองวิชาที่เรียนเริ่มเข้าสู่สาขาวิชามากขึ้น
เน้นเป็นพื้นฐานของวิชาชีพในอนาคต ซึ่งตารางเรียนของฉันมีเรียนจันทร์ถึงศุกร์เหมือนเดิมแต่เรียนเช้าบ้างบ่ายบ้างสลับวันกันไป
วันไหนมีเรียนเช้าพี่ไวน์เป็นคนไปส่ง
แต่ถ้ามีเรียนบ่ายจะนั่งรถสาธารณะไปแทน และตอนกลับก็นั่งแท็กซี่ไม่ก็รถเมล์แล้วแต่วันๆไป
ส่วนลูกน้องคนสนิทของพี่ไวน์
หมายถึงพี่เฟรนช์ฟรายนั่นแหละ ตั้งแต่เขาแอดเฟรนด์มาวันนั้น
ผ่านไปสี่ห้าวันฉันจึงกดรับแอด
ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้ทักมาหรือมีการเคลื่อนไหวอะไรอีก
ฉันเจอเขาบ้างตอนที่พี่ไวน์เอางานกลับมาทำบ้าน
แต่ไม่ได้คุยกัน และนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันที่ไหนอีก จะว่าไปก็รู้สึกแปลกๆอยู่
เป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันต่างจากเมื่อก่อนที่เคยรู้จักเขาในฐานะเพื่อนของพี่ไวน์
วันนี้เป็นการสอบวันแรกของปีสองเทอมหนึ่ง
ฉันมีสอบแค่วิชาเดียว
ตั้งใจว่าสอบเสร็จจะกลับไปนอนหน่อยเพราะเมื่อคืนกว่าจะนอนก็เกือบเช้า
หวังว่าที่อ่านมาจะตรงกับที่อาจารย์ออกสอบด้วยเถอะนะ
“วันนี้ฉันรีบกลับไปทำธุระกับพี่อ่ะ”
เพื่อนเงยหน้าขึ้นจากชีทเรียนบนตักมาบอกในตอนที่เรานั่งรอเข้าห้องสอบอยู่หน้าอาคาร
“สอบเสร็จจะออกไปเลยนะ หรือถ้าแกเสร็จก่อนก็กลับเลย”
“อื้อ!” ฉันพยักหน้าตกลง
ไม่รู้ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเราไหม
แต่เวลาสอบเสร็จต้องมายืนรอเมาท์มอยเรื่องข้อสอบก่อนถึงจะกลับบ้านได้
จะมีประโยคที่ออกจากห้องสอบที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น โคตรยาก
อาจารย์ออกข้อสอบไรเนี้ย ข้อนั้นตอบไรวะแก และอีกมากมายหลากหลายอารมณ์
สอบเสร็จก็พบว่าวารินได้กลับไปแล้ว
ฉันจึงเดินออกมารอรถบัสมอเพื่อนั่งไปลงหน้ามอเช่นเคย
ตอนนี้สมองเบลอและตาล้ามากต้องการเตียงนอนที่สุด
กดดูเวลาในโทรศัพท์ก็พบว่าตอนนี้สิบเอ็ดโมงยี่สิบสามนาที
ยังไม่เที่ยงคนอาจจะไม่เยอะเท่าไหร่
ครืด! ครืด!
มองโทรศัพท์ในมือที่สั่นแจ้งเตือนว่ามีการโทรเข้า
Bro FF
หายไปตั้งนาน
ทำไมวันนี้มาโทรหากันได้?
“หวัดดีค่ะ”
กรอกเสียงทักทายที่แผ่วเบาลงไปหลังจากที่กดรับสายแล้ว
อยู่ๆก็ตื่นเต้นอีกแล้ว
(มาขึ้นรถ)
เสียงทุ้มจากปลายสายเอ่ยมาเพียงแค่นั้น
“หือ?” ฉันหันมองไปรอบๆเท่าที่จะสามารถมองได้
เพื่อหารถยนต์ยี่ห้อที่เคยคุ้นตา แต่กลับไม่พบ “รถไหนคะ”
(ข้างหลัง)
อ่า
มันจอดอยู่หลังตึกซึ่งอยู่อีกฝั่งกับที่ฉันมองหา
“พี่ไวน์สั่งมาหรอคะ”
อยู่ๆก็อยากถามประโยคนี้ขึ้นมา
และอยู่ๆก็ไม่อยากให้เขาตอบว่าใช่
(หึ!) เขาแค่นหัวเราะออกมาแค่นั้น แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“...”
และตัวฉันเองก็ได้พูดอะไร
เหมือนกับว่าปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่
มีเพียงเสียงการเคลื่อนไหวจากภายนอกเท่านั้นที่ได้ยิน
ไร้บทสนทนาจากการติดต่อกันผ่านสัญญาณโทรศัพท์
ผ่านไปเกือบห้านาทีได้ที่ถือสายอยู่อย่างนั้น
รสบัสมอจอดลงตรงหน้าฉันพอดี
และประตูก็เปิดออก
(เฮียไม่ได้ฝาก)
คนที่ทั้งนั่งรอรถและยืนรอรถอยู่ข้างฉันทยอยขึ้นจนใกล้หมด
“...”
(พี่อยากไปส่งฟองเบียร์)
รับรู้ได้ว่ามุมปากทั้งสองของตัวเองกำลังยกยิ้ม
ความร้อนค่อยๆลามเลียไปทั่วใบหน้า
ปลายเท้าของฉันเริ่มออกเดิน
“เอาไว้วันหลังนะคะ” พูดแค่นั้นก็ลดโทรศัพท์ลงจากหูแล้วกดตัดสาย
ที่เลือกกลับเองเพราะจะให้เขาเห็นไม่ได้ว่าฉันเขิน
ใช่
เขินมาก จนทำอะไรไม่ถูกเลย
เขานี่นะ
มีจังหวะในการจู่โจมที่น่ากลัวจริงๆ ภายใต้ใบหน้าที่แสนนิ่งนั่น
ไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ครืด!
Frenchfries
Mathasitt ส่งสติกเกอร์ถึงคุณ
แล้วสติกเกอร์เจ้าแมวตัวสีเทายืนกอดอกมองแรงเนี้ย
เขากำลังคิดอะไรอยู่
ฉันยกยิ้มอีกครั้งก่อนจะกดเลือกอิโมจิยิ้มแป้นกลับไป
ผ่านพ้นสัปดาห์แห่งการสอบก็เข้าสู่ช่วงปิดเทอมหนึ่ง
หลังจากคุยกันวันนั้นพี่เฟรนช์ฟรายไม่ได้โทรมาอีก เขาส่งข้อความมาบอกว่าให้ตั้งใจสอบนะ
จะไม่รบกวน
วันนี้ครอบครัวฉันตกลงกันว่าจะไปทำบุญให้คุณป่าคุณย่ากับคุณตาคุณยายที่ท่านเสียไปแล้ว
ซึ่งจะไปที่วัดที่อยู่ใกล้บ้านเก่าของพวกท่าน
ตอนแรกคิดไว้ว่าจะทำบุญรวมญาติทุกคนนั่นแหละ
แต่เพราะแต่ละครอบครัวหาเวลาว่างตรงกันยากมาก ดังนั้นจึงแยกกันทำเอาเวลาที่แต่ละครอบครัวสะดวก
ฉันมองตัวเองที่สวมเสื้อสีขาวกับกางเกงยีนส์ขายาวในกระจก
ตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังและไม่ลืมถือผ้าห่มผืนเล็กที่ชอบพกติดตัวเวลาเดินทางไกลติดมือมาด้วย
“ฟองลูก
มาช่วยยกถังสังฆทานขึ้นรถเร็ว” แม่ที่กำลังยืนจัดแจงงานอยู่หันมาเรียกฉันที่เดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายพอดี
“ได้ค่า”
ฉันขานตอบก่อนจะเดินไปห้องรับแขกที่มีถังสังฆทานตั้งอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนมีอยู่หกถัง
ทำไมเหลือแค่สาม สงสัยยกออกไปแล้ว
ฉันพาดผ้าห่มไว้บนบ่าก่อนจะเดินเข้าไปยกถังสีเหลืองสองใบด้วยมือแต่ละข้างและหันกลับเตรียมเดินออกไปที่รถ
อะ
อ้าว?!
เขา
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ร่างสูงในเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์สีเข้ม
ผมถูกเซ็ตให้เป็นระเบียบ ไม่แน่ใจว่าเพราะอยู่ใกล้กันเกินไปหรือเปล่าถึงได้กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายจางๆออกมา
มันไม่ได้ฉุน แต่เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆที่ให้ความรู้สึกสดชื่นมากกว่า
ฉันกระพริบตาถี่ๆติดต่อกัน
จนคนที่ยืนจ้องกันอยู่ค่อยๆยกยิ้มขึ้น
“ถืออันเดียวพอ”
มือหนายื่นมาดึงถังออกจากมือฉันข้างหนึ่ง ก่อนจะเดินเลยเข้าไปหยิบถังอีกใบที่ตั้งอยู่
แล้วเดินนำออกไปที่รถตู้สีดำที่จอดอยู่ทางเข้าประตูบ้าน
ยืนมองเขาเก็บถังเรียงขึ้นบนหลังรถก่อนจะเอ่ยถามว่า
“พี่มาได้ไง”
มือหนายื่นมือมารับถังสุดท้ายจากฉัน
“ขับรถมา”
อือ
ไม่ผิด
ฉันถามผิดเอง
ฉันกรอกตามองบนก่อนจะเดินเข้าบ้านไปหาแม่กับพ่อที่กำลังเดินสวนออกมาพอดี
“ไปกัน”
พ่อพูดพร้อมปรายตาไปทางที่ลูกน้องคนสนิทของพี่ไวน์ยืนอยู่
“เดี๋ยวผมขับรถตามครับ”
เขาตอบพ่อ
แสดงว่าพ่อกับแม่ก็รู้แต่แรกว่าเขาจะมางั้นสิ
แล้วทำไมมีแค่ฉันที่ไม่รู้
“ไปด้วยกันก็ได้นี่ตาเฟรนช์”
แม่เอ่ยพร้อมยื่นกระเป๋าให้คุณแม่บ้านเอาไปวางไว้บนรถก่อน
“ผมจะแวะซื้อน้ำก่อนครับ”
เขาว่าพร้อมกับปิดท้ายรถตู้ลง “เดี๋ยวให้เฮียแชร์โลให้ครับ” (โล:Location)
พอพูดถึงร่างสูงของพี่ไวน์ก็เดินลงมาในชุดเสื้อขาวกางเกงสีดำ
“ไอ้เฟรนช์มันจะแวะซื้อน้ำไปถวายพระด้วย”
พี่ชายฉันบอก “พ่อกับแม่ก็อย่าขัดศรัทธามันเลยครับ”
“แกนี่”
แม่หยิกไหล่หนาของลูกชายไปหนึ่งที
หลังจากนั้นทุกคนก็ขึ้นนั่งประจำรถโดยวันนี้มีลุงชานขับรถให้
และมีคุณป้าแม่บ้านนั่งข้างคนขับ ถัดมาเป็นเบาะของฉันกับพี่ไวน์
และสองเบาะหลังเป็นพ่อกับแม่
จริงๆที่แม่ชวนพี่เฟรนช์ฟรายเพราะมันเหลือเบาะเดี่ยวอีกหนึ่งตัว
แต่ตอนนี้มันถูกพับไว้และใช้วางถังสังฆทานแทน
รถตู้ของเราเคลื่อนตัวออกจากบ้าน
และตามด้วยรถยนต์ของพี่เฟรนช์ฟราย วัดแรกที่เราจะไปคือวัดที่อยู่ใกล้บ้านคุณตาคุณยาย
ซึ่งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง
ปกติถ้านั่งบนรถนานๆฉันจะหลับ
แต่วันนี้กลับไม่รู้สึกง่วงเลย
ขับออกมาได้สักพักก็กำลังจะผ่านตลาดสดขนาดใหญ่
มองออกไปนอกรถก็เห็นคุณยายคนหนึ่งยืนขายขนมในรถเข็นอยู่
“ลุงชาน
จอดรถให้หนูแปบหนึ่งค่ะ” ฉันเอ่ยบอกคนขับอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวจอดข้างหน้านะครับ”
ลุงชานตอบก่อนจะค่อยๆชะลอรถและหลบเข้าข้างทางที่เป็นริมฟุตบาทที่สามารถจอดได้ตามกฎหมาย
“มีอะไรลูก”
แม่ถามอย่างสงสัยปนตกใจ
“ฟองจะซื้อขนมค่ะ”
ฉันบอกก่อนจะลงจากรถอย่างรวดเร็ว
เดินตรงไปยังรถเข็นที่สภาพไม่ค่อยดีแล้ว
ซึ่งคนขายอย่างคุณยายกำลังยืนมองหาลูกค้าอยู่
“คุณยาย
หนูขอซื้อขนมค่ะ” ฉันเอ่ยเรียกอย่างสดใส
“เอาอันไหนลูก
ถุงละยี่สิบ สามถุงห้าสิบ”
คุณยายบอกพร้อมรอยยิ้มกระตือรือร้นหยิบถุงพลาสติกใบเล็กมาไว้ในมือ
ฉันมองถุงขนมสีสันหลากหลายที่อยู่บนถาดแล้ว
เงินเก็บของฉันน่าจะเหลือเยอะอยู่ โอเค
“หนูเหมาค่ะ
เดี๋ยวนับถุงเลยนะ”
ฉันว่าก่อนจะลงมือนับถุงขนมหวานเสียงดังฟังชัดให้คุณยายได้ยินด้วย “ยี่สิบสี่ถุงค่ะ”
“เดี๋ยว
หนูจะเหมาจริงๆหรอลูก” คุณยายถามเสียงอ่อนคล้ายยังไม่มั่นใจ
“จริงๆค่ะ”
ฉันตอบพร้อมยกโทรศัพท์ขึ้นมากดคิดเงินให้คุณยายเห็นด้วย “ยี่สิบสี่ถุง ถุงละยี่สิบ
เป็นสี่ร้อยแปดสิบนะคะ”
ฉันยื่นหน้าจอโทรศัพท์ที่แสดงการคำนวณราคาให้คุณยายเห็น
ก่อนจะล้วงตังค์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่ออกมานับ
แย่ละ
มีเงินสดแค่สี่ร้อยบาทเอง ขาดอีกแปดสิบบาท
เพราะคุณยายไม่มีบริการสำหรับจ่ายเงินผ่านการโอน
ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองที่รถตัวเอง คิดว่าในรถต้องมีใครสักคนที่พกเงินสด ใช่
แม่พกแน่ๆ
“อันนี้สี่ร้อยก่อนนะคะ”
ยื่นเงินใส่มือคุณยาย “เดี๋ยวหนูเดินไปเอาเงินที่...”
แต่ในตอนนั้นเองที่มือหนายื่นธนบัตรสีแดงมาตรงหน้าคุณยายอีกสองใบ
“เอ้า
ให้ยายเยอะจังลูก ขาดอีกแปดสิบ เดี๋ยวยาย...”
“ไม่ต้องทอนครับ
ที่เหลือจ้างยายกลับบ้านครับ” คราวนี้เจ้าของเงินเมื่อครู่เป็นฝ่ายเอ่ยบ้าง
คุณยายถอนหายใจก่อนจะพูดว่า
“ขอให้บุญเยอะๆ มีความสุขความเจริญนะลูก”
มือบางที่ผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่นเอื้อมมาลูบแขนของฉันสองสามครั้งอย่างเบามือ
“สาธุค่ะ”
ฉันขานรับพรจากผู้อาวุโส ก่อนจะเตรียมเก็บขนมใส่ถุง
“บนรถพี่มีกล่อง”
ร่างสูงเหมือนนึกได้จึงพูดก่อนจะเดินออกไปยังรถยนต์ของเขาที่จอดต่อท้ายรถตู้ของบ้านฉันนั่นแหละ
ตอนที่กำลังเปิดท้ายรถขึ้น
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดอะไรสักอย่างไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำก็วางไป ฉันสังเกตเห็นว่าท้ายรถของเขามีน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่งวางซ้อนกันหลายแพ็คอยู่ในนั้น
แสดงว่าเขาแวะซื้อน้ำเรียบร้อยแล้ว
เจ้าของรถออกแรงดึงบางอย่างซึ่งถูกขวดน้ำเหล่านั้นทับไว้
เมื่อดึงออกมาได้จึงรู้ว่ามันคือกล่องกระดาษ จากนั้นจึงกลับมาหาฉันที่ยืนรออยู่
แต่เมื่อพอมองผ่านเขาไปก็พบว่าอยู่ๆรถตู้ของฉันก็ขับออกไป
เอ้า?
เดี๋ยวนะ
ทุกคนลืมฟองเบียร์คนนี้หรือเปล่า
“ไปพร้อมพี่”
คนที่เดินมาพร้อมกล่องเอ่ยบอกเมื่อเห็นท่าทางงุนงงของฉัน
แสดงว่าคนที่โทรหาเขาเมื่อครู่คงเป็นพี่ไวน์แน่ๆ
แล้วยังไงล่ะ
คราวนี้ปฏิเสธอะไรได้หรอ
เราสองคนช่วยกันจัดขนมลงกล่องจนเรียบร้อย
พี่เฟรนช์ฟรายก็อาสาเข็นรถช่วยคุณยายลงจากทางเดินของตลาดที่พื้นไม่เท่ากันก่อน จากนั้นจึงร่ำลาคุณยายและเดินไปขึ้นรถ
เดินทางออกมาจากตลาดได้สักพักใหญ่ๆ
ตลอดทางไม่มีใครเปิดการสนทนาใดๆขึ้นเลย แต่ความรู้สึกของฉันกลับบอกว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายมองอยู่เป็นระยะๆ
และเมื่อสลัดความคิดนี้ไม่หลุด
ฉันจึงเอ่ยปากถามออกไปอย่างใจกล้า
“พี่มีอะไรจะพูดกับฟองหรือเปล่าคะ?”
“แอร์เย็นไปหรือเปล่า”
เขาไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับด้วยประโยคที่ดูเหมือนจะใส่ใจกัน
ฉันส่ายหน้าอยู่สองสามครั้ง
ก่อนจะตอบว่า “ไม่ค่ะ”
ตอนนี้ตัวฉันเองไม่ได้รู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถมันหนาวหรือเย็นจนเกินไป
เพียงแต่ที่ขยับตัวบ่อยนั้นเป็นเพราะว่าไม่ชินที่เวลานั่งรถนานๆแล้วไม่มีผ้าคลุมตัว
ผ้าห่มที่อุตสาห์เตรียมมาก็อยู่บนรถตู้นู่น
“ไม่สบายตัว?”
คำถามถูกส่งมาอีกครั้งเมื่อเขาหยุดรถตรงสัญญาณไฟแดงพอดี
ใบหน้าคมหันมาเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“เอ่อ”
ฉันหันไปหาเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆอย่างจนใจ “ผ้าห่มอยู่บนรถตู้ค่ะ”
บอกออกไปแบบนั้น
คนถามก็พยักหน้ารับรู้และเข้าใจในท่าทางของฉัน พอดีกับที่สัญญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียวเขาจึงออกรถ
แต่แทนที่จะขับตรงไป ไฟเลี้ยวก็ถูกเปิดและรถก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าไปริมฟุตบาทในที่สุด
“พี่จอดทำไมคะ”
“...”
เขาไม่ตอบอะไรก่อนจะขยับตัวลงจากรถไป
ฉันได้ยินเสียงเปิด-ปิดท้ายรถก่อนที่เจ้าของรถจะเดินกลับมาขึ้นรถพร้อมกับเสื้อยีนส์สีซีด
มือหนายื่นมันมาตรงหน้าฉันก่อนจะพูดว่า
“แก้ขัดไปก่อน”
เป็นอันเข้าใจดีว่าเขาให้ยืมเสื้อยีนส์ตัวใหญ่อันนี้แทนผ้าห่มที่ฉันลืม
“ขอบคุณค่ะ” รับมาไว้ในมือก่อนจะคลี่มันออกแล้วเอาคลุมตั้งแต่ช่วงอกลงไป
อ่า
ฉันเผลอยิ้มให้กับความใส่ใจเล็กน้อยอีกแล้ว
เราเดินทางมาถึงวัดแรกตอนสิบโมงพอดี
ซึ่งรถตู้บ้านฉันที่มาถึงก่อนแค่สิบนาทีเองทั้งๆที่ออกจากตลาดช้ากว่าตั้งนาน
“พาน้องเหาะมาหรอตาเฟรนช์”
คนที่ไม่ชื่นชอบความเร็วอย่างแม่ของฉันเอ่ยพร้อมหรี่ตาจับผิดในทันทีที่เราถือของเดินเข้ามานั่งรวมกับพวกท่านในศาลา
ไม่แปลกหรอกที่แม่จะถามอย่างนั้น
เพราะฉันลองสังเกตความเร็วในการขับรถของพี่เฟรนช์ฟราย พี่ไวน์ และลุงชาน
เปรียบเทียบกันแล้วพบว่าสองคนแรกน่ะขับรถเร็วมาก
แตกต่างจากลุงชานที่คำนึงถึงความปลอดภัยมากๆ แม้จะถึงจุดหมายช้าก็ไม่เป็นไร
“ต่อไปจะขับช้าลงครับ”
คนถูกจับผิดเอ่ยพร้อมส่งยิ้มให้
ฉันไม่รู้ว่าคำตอบบนั้นถูกใจพ่อกับแม่ที่นั่งฟังอยู่มากแค่ไหน
แต่พวกท่านยิ้มออกมาอย่างพอใจมากทีเดียว
ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมงในการทำบุญ
ตอนนี้ฉัน พี่ไวน์ และลูกน้องคนสนิทของเขา ออกมานั่งอยู่ศาลาริมน้ำเพื่อรอพวกผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ในศาลา
ฉันเห็นว่ามีตู้บริจาคสำหรับให้อาหารปลาจึงเดินเข้าไปดู
พบว่าสามารถสแกนจ่ายซื้ออาหารปลาครั้งละสิบบาทได้
ดังนั้นจึงเอาโทรศัพท์มาโอนเงินผ่านแอปธนาคารทันที ก่อนจะได้ขนมปังมาสามถุงในมือแล้วจึงเดินกลับไปหาคนที่นั่งอยู่
“ให้อาหารปลากัน”
ฉันวางถุงขนมปังลงบนโต๊ะด้านหน้าผู้ชายทั้งสองที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์
“ให้เลยๆ”
พี่ชายตัวดีของฉันบอกในขณะที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดีๆด้วยซ้ำ
จะหงุดหงิดให้เขาก็ไม่ได้
เพราะอุตสาห์จะทำบุญทั้งที
ถุงขนมปังทั้งสองห่อนั้นถูกมือหนาของพี่เฟรนช์ฟรายหยิบขึ้นมา
แล้วเดินนำฉันไปยังจุดที่เขาเขียนป้ายกำกับสำหรับให้อาหารปลา ฉันจึงเดินตามไป
เราทั้งคู่ต่างยืนฉีกขนมปังแล้วโยนให้ปลาอย่างเงียบๆ
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพออยู่ด้วยกันเพียงลำพังแล้วจะชอบทิ้งให้บรรยากาศรอบตัวมีแต่เสียงของสิ่งอื่นๆ
แม้จะไม่มีการสนทนาโต้ตอบกัน แต่ฉันกลับไม่มีความรู้สึกอึดอัดเลย
นานหลายนาทีก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น “รู้หรือเปล่าว่าพี่จีบเราอยู่”
ความคิดเห็น