คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : PART I |ร่างกายไม่อยากปะทะ
หลังจากร่ำลากับพี่โมเสร็จ
พี่เฟรนช์ฟรายก็พาฉันกลับบ้าน
“ฟองไม่รู้ว่าพี่มีพี่สาว”
ฉันเปิดบทสนทนา “สวยด้วย”
“...”
อาจจะเพราะประโยคนั้นเป็นการบอกเล่า เขาจึงไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา
“วันนี้พี่ไม่มีเรียนหรอคะ”
คราวนี้ฉันถามจริงๆ
เขาก็ไม่เปิดปากตอบหรอก
ทำแค่ส่ายหน้าเท่านั้น
“แล้วงานที่โรงแรมเรียบร้อยดีไหมคะ
เมื่อคืนพี่ไวน์ไม่กลับ พี่ก็อยู่ด้วยงั้นหรอ”
เขาพยักหน้าสองสามครั้งเป็นคำตอบ
“พี่ลืมปากไว้หน้าคณะวิดยาหรอคะ”
ใช่
ฉันหมดความอดทนแล้ว เข้าใจว่าไม่ค่อยพูด แต่มีคนถามก็ต้องตอบออกมาเป็นคำพูดบ้าง
ท่าทางแบบนี้ของเขามันทำให้ฉันหงุดหงิด
“หึ”
เขาแค่นหัวเราะเบาๆ
เออ
ให้มันได้อย่างนี้ตลอด
“ฟองไม่พูดกับพี่ละ” บ่นพึมพำพร้อมมองเขาด้วยสายตาเบื่อหน่ายก่อนจะหันออกไปดูบรรยากาศนอกรถซึ่งคงจะสบายตามากกว่า
เอ๊ะ?
เดี๋ยวสิ
เลี้ยวทำไม?
“พี่จะไปธุระหรอ?”
เอ่ยถามในทันทีที่รถเลี้ยวออกนอกเส้นทางที่จะกลับบ้าน
“ไหนบอกจะไม่คุย?”
คนที่นั่งเงียบมาตลอดทางกลับส่งเสียงด้วยประโยคยอกย้อน
“จิ๊!”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก
ทำเสียงไม่น่ารักกับผู้ใหญ่”
“มันคือการแสดงออกว่าไม่พอใจการกระทำของพี่”
ฉันอธิบาย
คราวนี้ล่ะพูดเก่ง
สอนเก่ง
ฉันเลิกสนใจเขาแล้วก้มเล่นโทรศัพท์ตัวเอง
แม้จะลำบากหน่อยแต่ดีกว่าคุยกับเขาแน่ๆ
“เลิกเล่น”
อยู่ๆมือหนาข้างที่อยู่ใกล้กันก็ยื่นมาหยิบโทรศัพท์ออกจากมือฉันไปถือไว้
“อะไรของพี่เนี้ย
ของฟองนะ” เพราะโดนแย่งของต่อหน้าต่อตาจึงเอื้อมมือหมายจะแย่งคืน
“...”
เขาเงียบและวางโทรศัพท์ของฉันไว้ที่ข้างประตูฝั่งคนขับ
ยั่วโมโห!
“ขอโทรศัพท์คืนด้วยค่ะ”
ฉันยื่นมือไปแบตรงหน้าเขา มันคือสุดแขนของฉันได้แค่นั้นแหละ
“...”
อ่ะ เงียบอีกละ
“นี่!”
เขาถอนหายใจหนักๆจนมือฉันรับรู้ถึงไอร้อนของลมหายใจ
จึงดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ฟองเบียร์”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างเชื่องช้ากว่าปกติ “มันอันตราย”
หือ?
ความร้อนหนึ่งประทุขึ้นในอกและจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ให้เล่นโทรศัพท์เพราะกลัวว่ากระจกมันจะบาดมือฉันงั้นหรอ?
“ห่วงก็พูดดีๆสิ
ป่าเถื่อนทำไม” ฉันบ่นเบาๆกับตัวเอง
“...”
เขาไม่ได้ตอบหรือว่าอะไรกลับมา แสดงว่าคงไม่ได้ยินนั่นแหละ
ในตอนนั้นเองที่รถเลี้ยวเข้าห้างแห่งหนึ่ง
คิดว่าเขาอาจมีของต้องซื้อเลยแวะมา เขาขับขึ้นมาจอดในชั้นที่จำได้ว่าจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
เขาลงรถและเดินเข้าห้างโดยไม่ได้พูดอะไร
ส่วนฉันทำอะไรได้นอกจากเดินตามอย่างว่าง่าย
“เปลี่ยนหน้าจอครับ”
ทันทีที่เดินเข้ามาถึงร้านจำหน่ายมือถือเขาก็ยื่นโทรศัพท์ของฉันให้กับพนักงงาน
หยิบมาด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่
สรุปคือพาฉันมาซ่อมโทรศัพท์สินะ
ใส่ใจกันขนาดนี้เลยหรอ
เพราะเห็นว่าอาจจะต้องนั่งรอฉันจึงเดินไปดูโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่เขาโชว์อยู่ภายในร้าน
ไว้ทำงานหาเงินเองได้ฉันจะซื้อรุ่นที่แพงที่สุดเลย
คิดในใจก่อนจะหันกลับไปมองพี่เฟรนช์ฟราย
อ้าว หายไปไหนแล้ว
ฉันเดินไปหาพนักงานที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์
“เรียบร้อยพอดีค่ะ”
เธอยื่นโทรศัพท์ที่ถูกเปลี่ยนหน้าจอแล้วมาให้
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันรับโทรสัพท์มาไว้ในมือก่อนจะกดเข้าแอปธนาคาร “เท่าไหร่คะ”
“คุณผู้ชายชำระเงินเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อ้าว!?” เขาจ่ายแทนอีกแล้ว
“ขอบคุณที่ใช้บริการนะคะ”
ฉันยิ้มตอบก่อนจะเดินออกจากร้าน
เห็นว่าคนที่จ่ายเงินให้เมื่อครู่กำลังคุยโทรศัพท์พิงขอบกั้นทางเดินอยู่
เมื่อหันมาเจอฉันพอดีเขาก็พยักหน้าแล้วเดินนำออกไปก่อน
เราสองคนเข้ามานั่งในรถและคาดเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว
เขาก็ยังคุยโทรศัพท์อยู่
“เดี๋ยวจัดการเอง”
เสียงทุ้มบอกกับคนในสาย “ไว้ค่อยคุย กำลังกลับ” พูดจบเขาก็ตัดสายและวางโทรศัพท์ที่ช่องวางของตรงกลาง
“ค่าซ่อมเท่าไหร่คะ”
ฉันถามถึงราคาที่เขาจ่ายแทนก่อน
“ไม่ต้อง”
คนที่ตั้งใจขับรถตอบมาแค่นั้น
“ไม่ได้ค่ะ”
ฉันแย้ง “เรื่องอะไรที่พี่ต้องมาเสียเงินให้ฟอง”
ไม่ใช่เรื่องหรือหน้าที่อะไรที่เขาต้องมาจ่ายเงินให้ฉันเลย
“รับผิดชอบ”
เขา
“รับผิดชอบอะไรคะ?” ฉันว่า “พี่ไม่ได้เป็นคนทำมันแตกสักหน่อย”
เขาล้วงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์สีดำที่ใส่อยู่
“เอาไปเก็บเงินกับคนทำ”
เขายื่นมันมาตรงหน้าฉัน เมื่อมองดูจึงเห็นว่ามันคือใบเสร็จค่าซ่อม
ฉันหยิบมันมาไว้ในมือ
“จริงๆฟอง...”
“ให้โมพาไป”
เขากลับแทรกขึ้นก่อน
เหมือนเขารู้ว่าฉันจะพูดอะไร
ถึงบอกมาแบบนี้
ฉันไม่ตอบอะไรเขาอีก
คิดไว้แล้วว่าจะไม่เอาใบเสร็จไปเก็บเงินกับพี่คนนั้น
เอาไว้ถ้าเธอมาถามและแสดงตัวว่าพร้อมจะรับผิดชอบฉันถึงเอาใบเสร็จให้เธอเองละกัน
จากที่ดูๆแล้ว
ฉันกลัวว่าพี่โมจะมีปัญหากับพี่พัดชาคนนั้น เพราะฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้
ตกลงกับตัวเองเงียบๆในใจ
จนรถขับมาจอดหน้าบ้าน
“ขอบคุณนะคะ”
ฉันกล่าวกับเขาก่อนจะขยับตัวลงจากรถ
เขาไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะขับรถออกไป
วันนี้พี่ไวน์กลับบ้านแล้ว
แต่ตอนนี้นอนอยู่ในห้อง คาดว่าน่าจะตื่นตอนดึกๆ
พี่ไวน์เพิ่งกลับ
แสดงว่าคนที่มาส่งฉันก็เพิ่งจะได้กลับไปพักผ่อน
อ่า
ยังอุตส่าห์พาฉันแวะไปซ่อมโทรศัพท์อีก น่าชื่นชมในความมีน้ำใจของเขาจริงๆ
เกือบสามทุ่มพี่ไวน์ก็ตื่นลงมาทานข้าว
ฉันที่นั่งเล่นรอเขาอยู่ก็เดินเข้าไปคนที่กำลังง่วนอยู่กับอาหารตรงหน้า
“กินข้าวตอนนี้
พี่จะให้มันย่อยตอนไหน” เอ่ยแซวเขาก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ตรงข้าม
“ตื่นมานั่งกินได้ก็ดีแล้ว”
คนโดนแซวบ่นอุบอิบ “แก้งานทั้งคืน ดีที่เสร็จทันลูกค้า”
“เพิ่งได้นอน?” เข้าใจว่าที่ไม่ได้กลับมานอนบ้าน เขายังได้นอนที่ห้องของโรงแรม
“เพิ่งเสร็จตอนพ่อออกไปนั่นแหละ”
พูดจบก็ตักข้าวใส่ปากเคี้ยวได้ไม่กี่คำก็พูดต่อ “ให้พ่อคุมงานหลัก พี่คอยซัพพอร์ต”
“แล้วงานจบก็เลยได้กลับมานอนงั้นสิ”
“อือ”
คนที่ข้าวคาปากอยู่ส่งเสียงตอบเบาๆพร้อมพยักหน้า
อ้าว
“พี่เฟรนช์ฟรายก็อยู่กับพี่ตลอด?”
“ใช่
มันต้องคุมระบบ”
“แต่พี่ก็ยังให้เขาไปรับฟองอ่ะนะ”
ฉันยกมือขึ้นประสานกันบนโต๊ะ “พี่ใช้งานลูกน้องหนักไปไหม”
“หือ?” คราวนี้คิ้วเข้มของพี่ไวน์หม่นเข้าหากัน
สีหน้าปนไปด้วยความงุนงง “ใครใช้มันไปรับ”
“ทั้งมารับไปส่งที่มอ
และไปรับที่มอมาส่งบ้านเลยแหละวันนี้” ฉันว่า
“เมื่อวานก็อาสามาส่งบอกว่าพี่เป็นคนสั่งเขา”
ฉันบอกพี่ชายไปตามความจริง
เพราะไม่อยากให้เขารบกวนลูกน้องอีก การไปรับไปส่งฉันไม่ใช่งานบริษัทสักหน่อย
“มันบอก?” คราวนี้พี่ไวน์เลิกคิ้ว
ฉันจึงพยักหน้าซ้ำๆเป็นคำตอบ
“อือ”
คนที่นั่งตรงข้ามครางอืออาทำความเข้าใจ ก่อนจะพึมพำบางอย่างที่ฉันพอจะได้ยินว่า
“ลับหลังกูเลยนะไอ้ฟราย”
ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่พี่ไวน์พึมพำหรอก
แต่สิ่งที่ฉันอยากพูดคือ “พี่เลิกให้เขาไปรับฟองได้แล้ว”
“ไม่ดีหรอ
ไม่ต้องนั่งรอรถให้เหนื่อย” พี่ไวน์ว่า
“มันสบาย
แต่น้องสาวพี่ตกเป็นจุดสนใจ” ฉันเท้าคางกับแขนข้างหนึ่ง “เขาน่ะเป็นหนุ่มหล่อของมอ
อยู่ๆก็มีคนพูดว่าฟองเป็นแฟนเขา ไปไหนมาไหนก็มีคนมอง ฟองไม่ชอบ มันน่าอึดอัด”
ฉันบอกพี่ชายตามความจริง
จริงๆเราสองคนพี่น้องก็ถือว่าสนิทกันมาก
คุยกันทุกเรื่อง แชร์กันทุกเรื่อง ดังนั้นฉันจึงกล้าพูดทุกอย่างที่คิดกับเขาได้อย่างสบายใจ
“เดี๋ยวคุยกับมันให้”
เมื่อเห็นหน้าทุกข์ร้อนของฉันคนเป็นพี่ก็รับคำ
เนี้ย
พี่ชายที่แสนดีของน้อง
ราวกับว่าคำขอนั้นพี่ไวน์ทำให้มันสำเร็จผลได้
ไม่มีใครมารับฉันให้ตกเป็นจุดสนใจแล้ว อย่าว่าแต่มารับเลย
ฉันไม่เจอพี่เฟรนช์ฟรายเลยหลายวันแล้ว
น่าจะครบสัปดาห์พอดี
เพราะวันนี้ฉันมีเรียนที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์อีกแล้ว ขอให้อย่าเจอพี่สาวเขาเลยนะ สาธุ
“เดี๋ยวพักเบรกสิบนาทีนะครับ
บ่ายสองห้าสิบค่อยมาต่อ” อาจารย์ที่สอนมาชั่วโมงกว่าแล้วเอ่ยบอก
“ออกไปสูดอากาศข้างนอกไหม
ตาฉันไม่ไหวแล้ว” วารินพูดก่อนจะลุกขึ้นไปยืนกะพริบตาถี่ๆเพราะความเหนื่อยล้า
“ไปเข้าห้องน้ำด้วย”
ฉันบอกก่อนจะลุกขึ้นไปยืนข้างเธอแล้วคล้องคอพากันเดินออกจากห้องเรียน
ห้องน้ำคนเยอะมาก
เพราะคลาสเรียนของเราค่อนข้างใหญ่ พอพักทุกคนเลยออกมาเข้าห้องน้ำพร้อมกัน
เพราะขี้เกียจรอฉันจึงเดินกลับมาหาเพื่อนที่นั่งรออยู่หน้าห้องเรียน
“ทำไมเร็ว”
เธอเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มาถาม
“ยังไม่ได้เข้า
คนเยอะขี้เกียจรอ” ฉันว่าก่อนจะนั่งลงข้างเธอ
“ปวดมากไหม
หรือจะเข้าอีกฝั่ง เดี๋ยวพาไป” เพื่อนเสนอหนทางอย่างใจดี
“ไม่อ่ะ
ขี้เกียจเดิน ช่างเถอะ”
ฉันทำแบบนี้เป็นประจำ
เพราะความขี้เกียจ
คือมันไม่ได้ปวดมากจนไม่ได้ไงเลยคิดว่าค่อยไปตอนห้องน้ำไม่มีคนดีกว่า
หลังจากเรียนเสร็จก็ตกลงกันว่าจะไปนั่งกินบิงซูก่อนกลับบ้าน
ดังนั้นเราจึงไปรอรถบัสมอที่หน้าตึกเพื่อขึ้นไปลงหลังมอ
เพราะร้านอยู่ซอยหลังมอนั่นเอง
“ที่บอกว่ารถบัสมอไม่เคยตรงเวลานี่คือไม่เกินจริง”
วารินบ่นเมื่อมองนาฬิกาข้อมือเทียบกับตารางการเดินรถ
“อาจจะช้าเพราะต้องจอดรับคน
จอดให้คนลงบ้างไง” ฉันแก้ตัวแทน
“แต่ตอนนี้สิบกว่านาทีแล้วนะ”
เธอยังคงบ่น “แกคิดดูนะ ถ้าคิดว่าจะพึ่งพารถบัสมอมาเข้าเรียน ไม่มีทางทัน”
“เราเลยต้องรู้จักเผื่อเวลาในการเดินทางไง”
“เราไม่จำเป็นต้องเผื่อเวลา
ถ้ามันมีการพัฒนา” วารินพูดอย่างจริงจัง
เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆนะ
อันนี้ฉันเห็นด้วยมากๆ
ต่อให้เราเป็นคนที่รอบคอบในเรื่องเวลาที่จะต้องคิดเผื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก่อนเสมอ
แต่หากระบบการขนส่งการจราจรในปัจจุบันทั้งของมหา’ลัยหรือของประเทศก็ตามมีการพัฒนาให้เป็นระบบมากขึ้น
ฉันคิดว่ามันอาจจะแก้ปัญหาหลายๆอย่างได้ ใช่ โดยเฉพาะปัญหารถติดนั่นแหละ
“ฟองเบียร์!” ตอนนั้นเองที่มีเสียงเรียกชื่อฉันดังขึ้น
เมื่อหันไปมองต้นเสียงก็พบว่าเป็นพี่โม
นึกว่าวันนี้จะไม่เจอแล้ว
ฮรือ
“พี่โมหวัดดีค่ะ”
ฉันก้มหัวเล็กๆทักทายเธอ
ฉันเรียนรู้อย่างหนึ่งว่าเราไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้รุ่นพี่ทุกครั้งที่เจอกันก็ได้
การทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างเหมาะสมก็ถือเป็นมารยาทแล้ว
“ใครอ่ะ ทำไมแกรู้จักคนเยอะจัง”
วารินที่ทักทายพี่โมอย่างงงๆก็เอ่ยถามฉันด้วยน้ำเสียงกระซิบ
“พี่โม
ปีสี่คณะวิดยา” ฉันแนะนำพี่โมให้เพื่อนรู้จัก เป็นตอนที่เธอเดินเข้ามาถึงจุดที่เราสองคนยืนอยู่พอดี
“ไปหามันยัง”
มาถึงก็เปิดด้วยประโยคนี้ ก่อนจะขยายให้เข้าใจต่อว่า “ใบเสร็จเอาไปเก็บเงินยัง”
“เอ่อ...”
เอาไงดีกับชีวิต
“ใบเสร็จไรวะ”
คนที่ไม่รู้เรื่องก็สะกิดถามเสียงเบา
“น่าจะยัง”
คนที่น่าจะคาดเดาคำตอบได้ก็เอ่ยพร้อมยื่นมือมาจับแขนของฉัน “ป่ะ พี่พาไป”
ฮรือ
หนูว่าพี่จะใจดีไปนะคะ
“เอ่อ
หนูไปด้วยได้ไหมคะ” วารินแม้จะงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่ก็ยังเสนอตัวมาเป็นเพื่อนฉัน
ซาบซึ้งน้ำใจแต่ละคนไม่ทันเลยจริงๆค่ะ
พี่โมพาฉันเดินกลับเข้ามาในตึก
เดินผ่านกลุ่มนักศึกษาที่คาดว่าน่าจะมีแต่รุ่นพี่ปีสี่ เพราะแต่ละคนดูรู้จักพี่โมหมด
เราเดินมาจนถึงโต๊ะที่มีนักศึกษาหญิงอยู่สามคน
ใช่
หนึ่งในนั้นคือพี่พัดชา คนที่เดินชนฉัน
“อ้าวโม
พาเด็กที่ไหนมาน่ะ” ผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่เอ่ยถาม
“มาเก็บเงินคนไม่มีสมอง เดินชนคนอื่นจนข้าวของเสียหายก็ไม่รู้จักรับผิดชอบ”
ให้ตายเถอะ
เปิดประโยคมาแบบนี้จะมีเรื่องกันไหมเนี้ย
“ฉันก็บอกน้องแล้วว่าให้เอาบิลมาเก็บเงินที่ฉันได้”
คราวนี้คนถูกมองเอ่ยขึ้นบ้างพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้ววางมือข้างหนึ่งบนโต๊ะ
“น้องไม่เอามาให้ฉันเอง จะมาว่าฉันไม่รับผิดชอบได้ไง”
ในตอนนี้เองที่วารินดึงแขนฉันให้หันไปคุยกับเธอ
แต่ว่านะเพื่อน ตอนนี้ฉันยังไม่รู้จะเริ่มอธิบายให้แกเข้าใจจากตรงไหนดี
“หึ!”พี่โมยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอียงคอเล็กน้อย
“นี่มันสันดานของคนไม่มีความรับผิดชอบเลย”
โอ้โห
นี่ฉันเป็นแค่หมากตัวหนึ่งในเกมนี้เท่านั้นใช่ไหม
“มึง!” คนถูกด่ายกมือขึ้นชี้หน้าทันที
“พี่ขอใบเสร็จ”
พี่โมหันมาหาฉัน
ฉันหยิบใบเสร็จให้แต่ยังไม่ปล่อยมือ
“จริงๆไม่ต้องก็ได้นะคะ ฟองว่าเรากลับกันเถอะ” พูดเผื่อให้คนที่พามาเปลี่ยนใจ
“ไม่ได้”
เธอดึงใบเสร็จจากมือฉันไปอย่างรวดเร็ว “ค่าเปลี่ยนฟิล์มพันสี่เจ็ดสิบบาท”
ใช่
คนที่พาฉันไปเปลี่ยนเลือกฟิล์มอย่างดีให้ และแพงมากจนฉันตกใจ
นั่นแหละคือเหตุผลที่เขาบอกว่าไม่ต้องโอนคืน
“โห
เปลี่ยนทั้งทีก็เลือกของดีเลยหรอ” พี่พัดชาหันมามองฉันด้วยสายตาที่ให้ความรู้สึกหนึ่ง
มองเหยียดกันเลยหรอ
“ก็เฟรนช์พาไปเปลี่ยนทั้งที
ก็ต้องเลือกแพงสุดในร้านสิ” พี่โมตอบด้วยประโยคที่ดึงชื่อของอีกคนเข้ามา
“เฟรนช์บอกว่าควรจะชดใช้ค่าฟิล์ม ค่าน้ำมัน แล้วก็ค่าเสียเวลาให้ด้วยนะ”
“เด็กนี่เป็นอะไรกับเฟรนช์ฟรายกันแน่!”
คนถูกเรียกค่าสินไหมกลับตะคอกถามด้วยประโยคที่ดูเหมือนจะออกนอกเรื่องไปแล้ว
“จุ๊ๆ
เบาเสียงหน่อย” พี่โมยกนิ้วสวยขึ้นชิดริมฝีปาก
บอกตรงๆเลยว่าท่าทางเธอมันคือการท้าทายชัดๆ
“ใจเย็นๆพัด”
เพื่อนของพี่พัดชาอีกสองคนก็เข้ามาประกบข้างเธอไว้ทั้งสองฝั่ง
ราวกับกลัวว่าเธอจะกระโดดมาใส่พวกเราอย่างนั้นแหละ
แต่เมื่อมองหน้าเธอแล้วก็คงจะไม่ผิดจากที่คิดเท่าไหร่
“ตีเป็นตัวเลขกลมๆให้คือสองพัน”
พี่โมสรุปยอดเงิน
“พี่โมคะ”
ฉันเขย่าแขนคนถือใบเสร็จ “พี่โอนแค่ค่าฟิล์มก็ได้ค่ะ”
ประโยคนี้ฉันหันไปพูดกับคนที่ต้องจ่าย
“ฟองไม่ต้องคิดมากหรอก”
พี่โมยกมือขึ้นวางบนศีรษะของฉันพร้อมกับลูบมันเบาๆคล้ายการปลอบประโลม “แค่สองพัน
ขนหน้าแข้งคุณหนูพัดชาไม่ร่วงหรอก”
“ได้
เอาบัญชีมาสิ ฉันจะโอนให้” พี่พัดชาพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่ฟังออกว่าเธอข่มอารมณ์โกรธเอาไว้
“เงินสด”
พี่โมพูด
พี่พัดชามองพี่โมด้วยสายตาเอาเรื่องก่อนจะหยิบกระเป๋าใบสวยขึ้นมา
แล้วหยิบแบงค์พันออกมาสองใบแล้วยกมือข้างนั้นขึ้น
ฉันว่าโยนใส่หน้าฉันแน่ๆ
“ยื่นให้น้องดีๆล่ะ
ทำตัวเป็นคนมีวัฒนธรรมหน่อย” ประโยคนี้ของพี่โมทำให้มือนั้นชะงักก่อนที่มันจะถูกยื่นมาตรงหน้าฉัน
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันเอ่ยพร้อมเอื้อมมือไปรับเงินจำนวนนั้นมาถือไว้
จากนั้นพี่โมก็พาเดินกลับออกมา
“ไม่ตบวะโม
นี่เตรียมรอซ้ำแล้ว” พี่นักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเราสามคน
“ไม่ใช้กำลังคือคนมีสมอง”
และพี่ผู้หญิงอีกคนก็เดินเข้ามาสมทบอีก
“หวัดดีค่ะ”
ฉันกับวารินเอ่ยทักทายพี่ๆทั้งสองคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนพี่โม
โห
กลุ่มเพื่อนพี่โมคือจะสวยกันทุกคนเลยหรอเนี้ย เกินเรื่องมาก
“คนนี้พี่ข้าวปั้น”
พี่โมเบี่ยงหน้าไปหาพี่สาวหุ่นนางแบบ “คนนี้พี่นะนา”
ก่อนจะจิ้มแก้มพี่อีกคนที่สูงไม่ต่างกันแต่หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม
“น้องฟองเบียร์
พี่รู้จักแล้ว” พี่นะนาเอ่ยในตอนที่ฉันกำลังจะแนะนำตัว
“แต่หนูชื่อวารินนะคะ”
เพื่อนที่เงียบมาตลอดเพิ่งมีจังหวะให้ออกปาก
“หมดเรื่องแล้ว
เราสองคนจะกลับยังไง ให้พี่ไปส่งไหม” พี่โมเอ่ยอย่างใจดี
สีหน้าที่คุยกับฉันช่างแตกต่างจากพี่โมคนน่ากลัวเมื่อกี้เหลือเกิน
“ตอนแรกตกลงกันว่าจะไปกินบิงซูหลังมอค่ะ”
ฉันบอก
“ถ้าไปกินตอนนี้หนูคงกลับไม่ทันรถเมล์รอบสุดท้ายที่ผ่านหน้าหอหนู”
วารินเอ่ยเสียงอ่อน
“หอไหน”
พี่ข้าวปั้นถาม
“หอหญิงนางค่ะ”
วาริน
“หอพี่
กลับด้วยกันได้” ความบังเอิญเกิดขึ้นเมื่อเป็นหอเดียวกันกับพี่ข้าวปั้นพอดี
ผลสรุปคือเราทั้งห้าคนไปกินบิงซูที่หลังมอด้วยกัน
บรรยากาศในการกินครั้งนี้สนุกกว่าที่ฉันคิดไว้อีก เพราะพี่ๆเป็นกันเองมาก
หลังจากกินเสร็จพี่นะนามีแฟนมารับ พี่ข้าวปั้นให้วารินกลับด้วย ส่วนฉัน
พี่โมอาสามาส่งที่บ้านเอง
“ขอบคุณสำหรับเรื่องวันนี้มากนะคะ”
ฉันบอกกับคนในรถในตอนที่ตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว
“ด้อนท์
วอรี่จ้า” (don’t worry:ไม่ต้องกังวล/ไม่มีปัญหา)
“มีอะไรก็ติดต่อพี่ได้ตลอดเข้าใจไหม”
วันนี้ตอนที่นั่งกินบิงซูด้วยกัน
เราแลกเฟสบุ๊คและเบอร์โทรกันเรียบร้อยแล้ว
“ได้ค่า”
ฉันตอบพร้อมรอยยิ้มให้กับเธอ
รู้สึกดีเหมือนกัน
ปกติมีแต่พี่ชาย วันนี้มีพี่สาวกับเขาแล้ว
ปี๊บ!! ตอนนั้นเองที่เสียงบีบแตรรถดังขึ้น
เป็นรถพี่ไวน์
“รถบ้านเราหรอ?” พี่โมถาม
“รถพี่ชายฟองเองค่ะ
พี่ไวน์” ฉันตอบเธอก่อนจะหันไปตะโกนบอกพี่ชายว่า “แปบหนึ่ง รีบไปไหนบ้านก็ถึงแล้ว”
“พี่ไวน์?” พี่โมทำหน้าแปลกใจก่อนจะมองกระจกหลังอีกครั้ง “อ่า
โลกกลมอะไรขนาดนี้”
ความคิดเห็น