คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : PART I |บรรยากาศที่น่าอึดอัด
สำหรับการเรียนปีหนึ่งเทอมหนึ่งที่ผ่านไปนั้นเป็นไปได้ด้วยดี บรรยากาศของการเรียน เพื่อนร่วมคณะ อาจารย์ ทุกอย่างถือว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ส่วนฉันกับวารินก็เข้ากันได้ดี ด้วยความคิด การใช้ชีวิต หลายๆอย่างค่อนข้างเหมือนกัน มีบางอย่างที่อาจจะแตกต่างกันบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการเป็นเพื่อนของเรา
(แกทานข้าวเช้ามายัง) เสียงปลายสายเอ่ยถาม (ฝากซื้อไรไหม ฉันอยู่มาร์ท)
วารินกับฉันเปลี่ยนสรรพนามตามความสนิทที่เพิ่มขึ้น
“ไม่รู้จะกินไรอ่ะ” ฉันไม่ค่อยกินข้าวเช้าอยู่แล้ว “เอานมจืดกล่องหนึ่งละกัน”
(โอเค) ตกลงกันเรียบร้อยจึงวางสายไป
ฉันนั่งอยู่หน้าห้องเรียน ตอนนี้เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะเข้าเรียนคาบเช้า เข้าไปจองที่นั่งเรียนเรียบร้อยแล้วจึงออกมานั่งรอเพื่อนด้านนอก
ครืด! ครืด! ครืด!
การสั่นแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ทำให้ฉันต้องหยิบออกจากกระเป๋าเสื้อแขนยาวที่ใส่ขึ้นมาดูอีกครั้ง
--Bro FF--
หน้าจอแสดงชื่อของใครบางคนที่ฉันบันทึกเบอร์ไว้
เป็นพี่เฟรนช์ฟราย
โทรมาทำไมกัน ตั้งแต่ที่ซื้อหนังสือครั้งนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยนะ ฉันมองหน้าโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นจนสายตัดไป
รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีร่างของใครสักคนมายืนอยู่ตรงหน้า พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นเจ้าของเบอร์ที่ฉันไม่ได้รับ “...”
“พี่...” ฉันเอ่ยแค่นั้น
“เห็นอยู่ ทำไมไม่รับ” เขาว่าพร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวเดียวกันที่ฉันนั่งอยู่
“ฟองกำลังคิดอยู่ว่าพี่โทรมาทำไม” ตอบไปแบบนั้นตามที่ใจคิด
“คิดเอง?” คิ้วหนาเลิกขึ้น “รับสายก็รู้แล้วว่าโทรทำไม” ว่าจบเขาก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสีดำที่สะพายคาดอกอยู่
ในตอนที่นั่งอยู่นี้เองถึงสังเกตว่าเพื่อนร่วมคณะที่เดินเข้าห้องเรียนเริ่มมองมาที่เราสองคนอย่างสงสัย
ลืมคิดไป พี่คนนี้เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาพอสมควรย่อมเป็นจุดสนใจให้สาวๆหันมามองอยู่แล้ว
“พี่มีเรียนเช้าด้วยหรอคะ” ฉันถามเพื่อทำลายบรรยากาศแปลกๆที่โรยตัวรอบๆเราอยู่โดยที่สายตาเพ่งไปที่บันไดเพื่อรอการมาของวาริน
“...” ไม่ได้รับคำตอบ ฉันจึงหันไปมองหน้าเขา
เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ
“แล้วที่โทรมา มีอะไรหรือเปล่าคะ” เมื่อเห็นว่าเขาไม่หือไม่อืออะไรอีกฉันจึงถามถึงจุดประสงค์แรกของเขา
“ไม่เจอกันนาน” เขาว่าก่อนจะลุกขึ้น “กลัวลืม” จบประโยคนี้ร่างสูงก็เดินออกไปและเปิดประตูเข้าห้องเรียนซึ่งอยู่ถัดจากห้องของเรียนของฉันไปอีกสองห้อง
อะไรของเขา
แล้วที่บอกว่ากลัวลืมคืออะไร
หมายถึงว่ากลัวฉันลืมเขางั้นหรอ
หลังจากเหตุการณ์นั้นทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ วันนี้ฉันมีเรียนแค่ช่วงเช้าเท่านั้น ดังนั้นจึงคิดไว้ว่าเรียนเสร็จจะกลับบ้านเลย ส่วนบรรยากาศในการเรียนวันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เพราะมีเสียงซุบซิบเรื่องที่พี่เฟรนช์ฟรายมาหาฉันวันนี้
วารินบอกว่าที่ทุกคนดูตื่นเต้นขนาดนี้เพราะเขาถือเป็นคนดังที่ติดเพจหนุ่มหล่อของมอ คนเลยรู้จักเยอะ จึงไม่แปลกถ้าวันนี้จะมีคนสงสัยว่าฉันเป็นอะไรกับเขา
อยู่ๆก็ดันมีเรื่องให้คนสนใจในตัวฉันได้
แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาถามนะ
“งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” วารินบอกลาในตอนที่เราเลิกคาบเรียน
โบกมือให้กับเธอเรียบร้อย จึงเตรียมตัวจะลงบันไดอีกฝั่งซึ่งอยู่ใกล้กับป้ายรถบัสมอมากกว่า
ปกติที่มามอพี่ไวน์จะเป็นคนมาส่ง ส่วนตอนกลับฉันจะนั่งแท็กซี่ไม่ก็รถเมล์กลับบ้าน
และวันนี้เลิกเร็วก็จะนั่งรถเมล์เพราะประหยัดเงินได้มากกว่า
“ฟองเบียร์!” เสียงเรียกชื่อของฉันดังขึ้นเมื่อกำลังก้าวลงบันไดได้ไม่กี่ขั้น เมื่อหันขึ้นไปมองต้นเสียงก็พบว่าเป็นพี่เก้าที่เดินมาพร้อมพี่เฟรนช์ฟราย “เรียนเสร็จยัง”
“ค่ะ กำลังจะกลับบ้าน” ฉันว่า
“ไปกินข้าวด้วยกันไหม” พี่เก้าเดินลงมายืนขั้นเดียวกัน “เดี๋ยวให้ไอ้เฟรนช์ไปส่ง”
คนถูกเอ่ยถึงเดินตามลงมาก่อนจะขมวดคิ้ว
เพราะมีคนจะใช้บันได เราจึงเดินลงมาพร้อมกันก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฟองว่าจะกลับไปกินบ้าน” ฉันตอบอย่างเกรงใจ
“เกรงใจไรนักหนา” คนที่เงียบอยู่กลับพึมพำขึ้นมา แน่นอนว่าฉันได้ยิน
“ก็ต้องเกรงใจสิคะ” ฉันแย้ง “ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” ท้ายประโยคฉันเบาเสียงลง
“ก็นี่ไง ไปกินด้วยกันให้มันสนิท” พี่เก้าว่าก่อนจะผลักเพื่อนตัวเองให้เดินก่อน “ไปเถอะ”
“แต่ว่า...” ฉันลังเลเพราะวันนี้ก็ตกเป็นเป้าให้คนพูดแล้ว
“กลัว?” คนถูกเพื่อนดันหลังหันมาถามอย่างท้าทาย
แค่ไปกินข้าว จะกลัวอะไรล่ะ
แต่ไม่อยากไปเพราะเดี๋ยวเพื่อนเอาไปพูดอีก
ฉันน่ะรักสงบมาก อยากเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ต้องมีคนมาสนใจว่าจะใช้ชีวิตยังไง
ไม่อยากให้มีคนพูดถึงไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี
พี่ๆเข้าใจฟองหน่อยได้ไหมคะ
“อ้าวฟองเบียร์ ไปไหนต่อ” ในตอนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาพร้อมกับร่างที่สูงกว่าฉันเล็กน้อย
เขาเป็นประธานปีหนึ่งคณะของฉันเอง
“ฟร้องค์?” ฉันเอ่ยชื่อเพื่อนร่วมคณะอย่างไม่มั่นใจ เมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนโอเคแสดงว่าชื่อถูกแหละ “ไม่ได้ไปไหน จะกลับแล้วแหละ”
“อ่อ” เขาพยักหน้าซ้ำๆ ก่อนจะหันไปมองรุ่นพี่ต่างคณะอย่างสงสัย
เฮ้อ ขี้เกียจแนะนำ
ไม่ได้สนิทกับฝ่ายไหนเลยทั้งประธานคณะตัวเอง หรือพี่ๆทั้งสองคนนี้
ฉันอยากกลับบ้าน
“กลับ” ในตอนนั้นเองที่พี่เฟรนช์ฟรายเดินเข้ามาดึงเอากระเป๋าผ้าที่ฉันสะพายไว้ที่ไหล่ไปถือไว้ในมือ “แยกย้าย” คำนี้เขาหันไปพูดกับพี่เก้าที่พยักหน้ารับแล้วเดินไปอีกทาง
ส่วนคนที่ถือกระเป๋าฉันไว้ในมือก็เดินไปฝั่งโรงจอดรถซึ่งอยู่อีกด้านของที่นั่งรอรถบัส
“เอ่อ งั้นกลับก่อนนะ” ฉันบอกเพื่อนที่ยืนอยู่ก่อนจะเดินตามคนขายาวไป
แปบเดี๋ยวเขาก็เดินถึงรถตัวเองแล้ว
แม้จะแปลกใจที่อยู่ๆเพื่อนในคณะคนนั้นก็เดินเข้ามาทัก แต่ไม่มีเวลาให้คิดถึงเหตุผลต่อเพราะต้องมาตามกระเป๋าตัวเองคืน
“พี่ฟะ...” ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว
อยากไปส่งฉันขนาดนั้นเลยหรือไง
ฉันเดินอ้อมมาฝั่งข้างคนขับก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถของเขา
“คาดเข็มขัดด้วย” คนที่ทำหน้าที่เป็นคนขับออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเข้ม
“พี่เป็นไรเนี้ย ทำไมถึงอาสาไปส่งฟองนักหนา” ฉันพูดในขณะที่มือทั้งสองข้างก็ง่วนอยู่กับการคาดเข็มขัด
“...” เขาไม่ตอบ แต่สตาร์ทเครื่องยนต์ทันทีที่ฉันคาดเข็มขัดเสร็จ
“จะจีบฟองหรอ” ฉันถามออกไปอย่างใจกล้า ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้ก็มีแค่เราสองคน
อายก็ช่าง
“หึ เอาไรมามั่นใจขนาดนั้น” ประโยคนี้ที่หลุดออกจากปากเขาทำเอาฉันไม่คาดคิด
ปฏิเสธและแซะฉันในคราวเดียวกัน
“โอเค ตัดประเด็นนี้ทิ้ง” ฉันไม่ได้สนใจคำพูดเหน็บแนมและถามต่อ “พี่ไวน์สั่งมางั้นหรอ”
ใช่ นี่คงเป็นเหตุผลเดียวแล้ว
เพราะพี่เฟรนช์ฟรายทำงานเป็นผู้ช่วยพี่ไวน์ ฉันรู้หลังจากที่วันนั้นพี่ชายตัวดีให้เขาเป็นคนพาฉันไปรายงานตัวนั่นแหละ ก็ว่า ทำไมเขายอมทำตามคำสั่งพี่ไวน์ง่ายๆ
“คงงั้นมั้ง” เขาตอบก่อนจะยื่นมือมาเปิดเพลง
การกระทำแบบนี้ก็คงไม่อยากต่อบทสนทนานั่นแหละ
สรุปคือฉันจะต้องไปคุยกับพี่ชายตัวเองให้เลิกสั่งงานแบบนี้กับลูกน้องคนสนิทแล้ว
หลังจากส่งฉันถึงบ้านแล้ว
เขาก็ขับรถออกไปโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก
เพราะไม่อยากโทรไปรบกวนเวลางานของพี่ชาย
ดังนั้นจึงรอให้เขากลับมาถึงบ้านก่อนจึงถามเรื่องนี้ให้เคลียร์
มั่นใจว่าตอนนี้พ่อกับแม่น่าจะกินข้าวอยู่ในห้องอาหาร
ฉันจึงเดินเข้าไปหา
“ทำไมกลับเร็ว”
พ่อเอ่ยทักในตอนที่ฉันเดินไปถึง
“มีเรียนแค่ตอนเช้าค่ะ”
ฉันตอบก่อนจะนั่งลง “ฟองขอข้าวด้วยค่ะ” ฉันหันไปบอกคุณแม่บ้านที่ยืนอยู่
“นั่งแท็กซี่หรือรถเมล์มา
ทำไมฟองมาถึงบ้านเร็ว” แม่ถามบ้าง
“พี่เฟรนช์ฟรายมาส่งค่ะ”
ฉันตอบไปตามความจริง หันไปรับจานข้าวจากคุณแม่บ้าน
“ผู้ช่วยเจ้าไวน์?”พ่อถามด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แต่เพราะฉันสนใจแต่อาหารตรงหน้าเลยไม่รู้ว่าพ่อกับแม่มีสีหน้าอย่างไร
“ใช่ค่ะ”
ตอบเสร็จก็ยกข้าวใส่ปาก
จะว่าไป
การที่เขามาส่งก็ทำให้ได้กินข้าวเที่ยงเร็วขึ้นเหมือนกันนะ
ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้ว
แต่พี่ไวน์ก็ยังไม่กลับบ้าน ส่งข้อความไปถามก็ไม่ตอบ ไม่อ่านด้วยซ้ำ เฮ้อ
ฉันนั่งทำสรุปงานที่อาจารย์สั่งวันนี้เพื่อรอเวลาที่พี่ชายจะกลับบ้าน
แต่ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าพี่ไวน์ก็ยังไม่กลับ
สุดท้ายคืนนั้นก็ไม่ได้คุยเรื่องที่ตั้งใจไว้
“แม่คะ
เมื่อคืนพี่ไวน์ไม่กลับบ้านหรอคะ”
หลังจากตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็เตรียมจะออกไปเรียน
แม่ที่นั่งดูข่าวตอนเช้าอยู่จึงตอบกลับมาโดยไม่ได้หันมามองฉัน
“เห็นบอกว่านอนโรงแรมนะ”
“หือ? งานเยอะขนาดนั้นหรอคะ”
เพราะน้อยครั้งมากที่พี่ไวน์จะนอนนอกบ้าน
พี่ชายฉันมีนิสัยแปลกที่แล้วจะนอนไม่หลับ
ถ้าไม่ได้นอนที่บ้านพี่ไวน์มักจะหลับไม่สนิท หลับๆตื่นๆ
เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆแล้ว
“โปรเจคใหญ่มีปัญหา
” คราวนี้แม่หันมาหาฉันแล้วขมวดคิ้วสวยเป็นปม “ลุงชานขับรถพาพ่อไปโรงแรมตั้งแต่เช้ายังไม่กลับเลย
ฟองมีเรียนเช้าหรอลูก”
ลุงชานคือคนขับรถของที่บ้าน
ฉันก้มมองเวลาในมือถือ
เหลืออีกประมาณเกือบชั่วโมงก่อนถึงเวลาเข้าเรียน วันนี้คงต้องนั่งแท็กซี่ไป
เพราะออกไปรอรถเมล์ตอนนี้ไม่น่าทัน
“เดี๋ยวหนูนั่งแท็กซี่ไปค่ะ
ทันอยู่” ฉันว่า “หนูไปนะคะ”
พูดจบก็รีบเดินไปสวมรองเท้าผ้าใบคู่โปรดก่อนจะเดินออกมารอรถแท็กซี่
เมื่อออกมาหน้าบ้านกลับพบรถยนต์คันคุ้นตา
เป็นรถพี่เฟรนช์ฟราย
เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้น
พร้อมกับรถที่เคลื่อนตัวมาเทียบกับจุดที่ฉันยืนอยู่ แล้วลดกระจกลงฝั่งคนขับลง
เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำ ทรงผมปรกหน้าตาเหมือนไม่ได้เซ็ต
จะว่าไปเหมือนเพิ่งตื่นมากกว่า
“ขึ้นรถ”
เสียงทุ้มที่แหบกว่าปกติเอ่ยบอก และเพราะเห็นว่าฉันยังยืนนิ่งอยู่เขาจึงเอ่ยอีก
“รีบเถอะ ง่วง”
แม้มีหลายอย่างอยากจะถาม
แต่เมื่อเห็นความยุ่งเหยิงบนใบหน้าหล่อนั่นแล้ว
ฉันจึงเดินอ้อมไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย
“...”
เขา
“...”
ฉัน
ในรถเต็มไปด้วยความเงียบ
เขาไม่ได้เปิดเพลงและไม่ได้เปิดปากมาคุยกับฉันสักประโยค
อ่า
อึดอัดชะมัด
เมื่อมองถนนก็ไม่ว่าอีกไม่เกินสิบนาทีน่าจะถึงมอแล้ว
ฉันจึงพยายามทำใจให้โล่ง อีกแค่นิดเดียวก็จะหลุดออกจากความอึดอัดนี่แล้ว
รถติดอยู่หน้ามอ
ดี
ดีมาก
ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงสี่สิบ
และฉันมีเรียนสิบโมง
“ขึ้นวินไปไหม”
คนที่เงียบเป็นเป่าสากตั้งแต่อยู่หน้าบ้านฉันกลับเอ่ยขึ้น
“คะ?” ฉันหันไปมองเขาอย่างสงสัย
รถจะติดอีกนานขนาดนั้นเลยหรอ ถึงเสนอให้ฉันเปลี่ยนไปนั่งรถวินจักรยานยนต์แทน
“ดูรีบ”
เขาว่าพร้อมขยับรถไปข้างหน้าทีละนิดเท่าที่การจราจรเคลื่อนตัวได้
“งั้นฟองนั่งวินเข้าไปดีกว่าค่ะ
พี่จะได้กลับไปนอนด้วย” ฉันว่าอย่างใจคิด
เพราะไม่อยากให้เขาเสียเวลาด้วย
สภาพเขาตอนนี้ควรได้กลับไปพักผ่อนมากๆ
“ประชด?” เขาหันมาถามพร้อมคิ้วหนาที่เลิกขึ้น
เหมือนกับว่าเขาจะตีความหมายความตั้งใจของฉันผิดไป
“ก็พี่เหมือนคนยังไม่ตื่นเลย”
ฉันมองเขาด้วยหน้าตาจริงจัง “ตอนนี้ฟองอยากให้พี่กลับไปพักผ่อน ประชดตรงไหน”
“...”
เขา
“คนเขาเป็นห่วงก็ตีความไปเรื่อย”
ฉันบ่นอีก “แต่ถ้าพี่ยังไหวก็ช่วยไปส่งฟองถึงหน้าคณะด้วยละกันค่ะ” พูดจบก็หันหน้าออกไปมองด้านนอก
ไม่ได้สนใจเขาอีก
ตอนนี้มีอยู่สองทางที่จะเกิดขึ้นกับฉัน
ถ้าเขาปลดล็อครถแสดงว่าให้ฉันลงจากรถของเขาไปนั่งวิน
แต่ถ้าไม่ปลดล็อคก็แสดงว่าเขาจะเป็นคนไปส่งฉันถือหน้าคณะด้วยตัวเขาเอง
ฉันตกลงกับความคิดของตัวเองพร้อมกับกระชับกระเป๋าผ้ามาแนบอก
จุดจบของสงครามเย็นย่อมๆของเราสองคนคือเขาขับรถมาส่งฉันหน้าคณะได้ทันเวลาเข้าเรียนพอดี
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันว่าก่อนจะลงจากรถ
“ฟองเบียร์”
เท้าของฉันชะงักลงในตอนที่กำลังจะเดินเข้าตึก
สุดท้ายก็ต้องหันกลับไปหาเขาที่ลดกระจกลง “ตอนเย็นพี่จะมารับ”
พูดจบเขาก็ขับรถออกไปโดยไม่ขอความเห็นจากฉันเลย
อะไรกัน
รู้ได้ยังไงว่าวันนี้ฉันมีเรียนถึงเย็น
พี่ไวน์สั่งมางั้นสิ
แล้วเขาไม่มีเรียนหรือยังไงมาตามรับส่งฉันอยู่ได้
ฉันสลัดความคิดทั้งหมดทิ้งก่อนจะเดินเข้าตึก
จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ เลิกคิด
ช่วงบ่ายเป็นวิชาเรียนเพิ่มเติมที่เป็นเลกเชอร์ยาวๆถึงสี่โมงเย็น
เรียกได้ว่าเรียนจนสมองเบลอเลยทีเดียว
หลังจากเรียนเสร็จก็แยกย้ายกับวารินหน้าห้องเรียน
ฉันไม่รู้ว่าควรจะนั่งรอคนมารับที่ไหนดี
เพราะตึกเรียนวิชานี้ไม่ใช่ของคณะฉันแต่เป็นตึกของคณะวิทยาศาสตร์
ควรโทรให้เขามารับที่นี่
หรือกลับไปรอที่คณะ
เพราะไม่อยากนั่งรถบัสกลับไปที่คณะตัวเอง
จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเตรียมจะโทรหาคนที่บอกจะมารับ
ปึก!
“อ๊ะ! เฮ้ย!” ฉันอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อโดนชนจนโทรศัพท์ร่วงลงพื้น
หน้าจอคว่ำลงด้วย
ฮรือ แตกแน่ๆ
“อุ๊ย!” คนที่เดินมาชนเอ่ยแค่นั้น
เธออยู่ในชุดนักศึกษาโดยสวมกระโปรงทรงเอแตกต่างจากคณะของฉันที่เป็นกระโปรงพลีท
“...”
ฉันไม่ได้พูดอะไรกับเธอเพราะรีบก้มลงไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาสำรวจความเสียหาย
อย่างที่คิดไว้
หน้าจอแตกเป็นแนวยาวเลย
“เดี๋ยวชดใช้ให้นะ
ปีหนึ่งใช่ไหมคะ” คนผิดเอ่ยอีกครั้ง
“อ่า
ค่ะ” ฉันจึงพยักหน้าสำทับ
“พี่ชื่อพัดชานะ
วิดยาปีสี่” เธอแนะนำตัวอย่างกระชับ
ชื่อพี่พัดชา
อยู่ปีสี่ คณะวิทยาศาสตร์
“เอาไปซ่อมแล้วค่อยเอาบิลมาเก็บเงินที่พี่นะ”
เธอว่าอย่างรีบๆและเดินออกไปขึ้นรถที่ขับมาจอดรออยู่หน้าตึกอย่างรวดเร็ว
ขับออกไปแล้ว
เอ่อ
นี่คือการรับผิดชอบของเขาหรอ
ฉันยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่
รวดเร็วจนเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น มีแค่หน้าจอโทรศัพท์ที่แตกเท่านั้นที่ยืนยันได้ว่าเมื่อครู่ฉันโดนชน
เฮ้อ
ซวยจริงๆ
ฉันสัมผัสหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความระมัดระวังเพื่อจะโทรหาพี่เฟรนช์ฟรายอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรก
เมื่อต่อสายแล้วจึงกดเปิดสปีกโฟนเพราะไม่กล้ายกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
รออยู่พักหนึ่งปลายสายก็รับ
“ครับ”
ยังดีที่เขาส่งเสียงมาให้รับรู้
“ฟองรออยู่หน้าตึกวิดยานะคะ”
บอกตำแหน่งให้เขารู้
“โอเค”
จากนั้นสายก็ถูกตัดไป
ฉันเลือกที่จะนั่งรออยู่ม้านั่งไม้หินอ่อนใต้ต้นไม้ที่อยู่เยื้องกับหน้าตึก
จะเล่นโทรศัพท์ฆ่าเวลาระหว่างรอก็ไม่ได้
เศร้า
เศร้ามาก เฮ้อ
นั่งรอไม่นานก็พบว่ารถคันคุ้นตาขับมาจอดชิดริมฟุตบาทใกล้กับจุดที่ฉันนั่งอยู่
ลุกจากเก้าอี้เตรียมตัวจะเดินไปขึ้นรถ
ในจังหวะที่กำลังจะเดินถึงก็มีผู้หญิงในชุดนักศึกษารูปร่างดีคนหนึ่งเดินมาจากใต้ตึก
สังเกตจากทิศทางการเดินแล้ว
ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเธอคือรถคันเดียวกันกับฉันงั้นหรอ?
หรือฉันจำรถผิด
ตัวฉันเองก็จำได้แค่ลักษณะรถ ไม่เคยจำป้ายทะเบียนเลย แล้วรถก็กระจกทึบขนาดนี้
เป็นไปได้ว่าคันนี้อาจไม่ใช่รถพี่เฟรนช์ฟราย
คิดดังนั้นจึงลดความเร็วลง และหยุดเดินเมื่อเธอคนนั้นเดินไปถึงรถแล้ว
กึก! กึก! มือสวยเคาะหลังนิ้วลงบนกระจกอยู่หลายครั้ง
แต่ก็ไม่มีการโต้ตอบจากคนในรถ
เอาล่ะ
คราวนี้ฉันจึงคิดว่าเธออาจจะจำรถผิด
ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้และกำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง
“เอ่อ...”
“เฟรนช์
เปิดรถ” เธอยืดตัวขึ้นมาเท้าเอวเพ่งมองไปยังกระจำทึบนั้นอย่างหงุดหงิด ก่อนที่เธอจะรู้ตัวว่าฉันมายืนอยู่ข้างหลัง
สวยมาก
หน้ามีเสน่ห์มากๆ
แต่เมื่อครู่ฟังไม่ผิดแน่ๆ
ว่าเธอเรียกชื่อคนที่ควรจะมารับฉัน
คิ้วสวยของเธอเลิกขึ้นพร้อมกับกะพริบถี่ในตอนที่มองหน้าฉัน
ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามว่า “จะขึ้นรถหรอคะ”
“เอ่อ
ไม่แน่ใจว่าจำรถผิดหรือเปล่าค่ะ” เพราะไม่รู้ว่าคนในรถใช่คนที่จะมารับจริงไหม
และผู้หญิงคนนี้มีสถานะไหนกับคนขับรถคันนี้
เธอขยับตัวเดินไปดูหน้ารถ
คาดว่าน่าจะไปดูป้ายทะเบียน ฉันสังเกตเห็นว่ามุมปากสวยของเธอยกขึ้นเล็กน้อย
“คนขับชื่อเฟรนช์ฟราย?” ร่างบางเดินมาหาฉันพร้อมเอ่ยถาม
รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
อย่าบอกนะว่าแฟนเขาน่ะ
“พี่ชายเราให้พี่เฟรนช์ฟรายมารับเราแทนค่ะ”
ฉันอธิบายพร้อมกับเสริมว่า “จ้างมารับค่ะ”
เพราะกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิดในความสัมพันธ์
ดังนั้นจึงอธิบายให้ชัดเจน ก็ไม่ได้ผิดไปจากเดิมนะ
เพราะยังไงพี่ไวน์ก็เป็นเจ้านายพี่เฟรนช์ฟรายจริงๆนี่
“จ้าง?” คราวนี้เธอกลับทำหน้างงขึ้นไปอีก
“ค่ะ”
ฉันตอบพร้อมพยักหน้าซ้ำๆ
“เกร็งไร
พี่เป็นพี่สาวเฟรนช์ ไม่ใช่เมียมาจับชู้” เธอว่าอย่างขำๆ “ไรอ่ะ
นึกว่าเราเป็นแฟนเฟรนช์ซะอีก”
“คะ?” ไม่รู้ต้องตกใจกับเรื่องไหนก่อนดี
ไม่เคยรู้ว่าเขามีพี่สาวด้วย
หน้าไม่เหมือนกันเลย
แต่ก็หน้าตาดีทั้งคู่นั่นแหละ
“ชื่ออะไรหรอ”
ใบหน้าสวยโคลงศีรษะก่อนจะถามอีก “ฟองเบียร์ใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ”
รู้จักฉันด้วยหรอ?
“หน้าตาน่ารักจัง”
ร่างบางที่สูงเท่าๆกันขยับมาใกล้ฉันก่อนจะยกมือมาคล้องแขนของฉันไว้ “พี่ชื่อโมนะ”
แนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มสวย
เธอดึงฉันไปยืนข้างรถฝั่งข้างคนขับ
จากนั้นก็เคาะกระจกรถอีกครั้ง
ครั้งนี้กระจกรถถูกเลื่อนลงทำให้เห็นพี่เฟรนช์ฟรายในชุดเสื้อแขนยาวสีเทา
ผมของเขาถูกเซ็ตเรียบร้อย
“ไง”
คนที่ตัวติดกับฉันเอ่ยทักเขาก่อน
“ฟองเบียร์ขึ้นรถ”
แต่เขากลับเรียกฉันแทนซะงั้น
สถานการณ์แบบนี้คืออะไรกัน
พี่น้องทะเลาะกันงั้นหรอ
“คิดจะเมินกันไปตลอดเลยหรือไง”
คนเป็นพี่สาวเริ่มต้นด้วยประโยคตัดพ้อ “น้องฟองเบียร์บอกว่าพี่ชายเขาจ้างแกมารับ
หมายความว่าไง”
โอ้ย
ฉันอยากหนีจากตรงนี้
“อย่าวุ่นวาย”
แต่คนถูกถามกลับตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ตอบด้วยซ้ำ นี่เรียกว่าออกคำสั่ง
ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายของคนที่อยู่ยืนอยู่ข้างกัน
“เราแลกเฟสกันนะ”
คราวนี้เธอเบนความสนใจมาหาฉันแทน
“...”
ฉันที่กำลังงง
“...”
เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
“เอาโทรศัพท์น้องมาเร็ว”
เธอว่าพร้อมเขย่าแขนฉันเบาๆ “เฮ้ย ทำไมหน้าจอแตกขนาดนี้อ่า”
“โดนคนเดินชนค่ะ
มันเลยตกแตก” บอกตามความจริง
“ใครชน”
พี่เฟรนช์ฟราย
“ชนแล้วไม่รับผิดชอบเลยหรอ”
พี่โม
“รับผิดชอบค่ะๆ”
ฉันรีบแย้ง “เขาบอกว่าให้เอาบิลมาเก็บที่เขาได้ ชื่อพี่พัดชา อยู่ปีสี่วิดยา”
“อีนี่
แค่ข่าวลือก็ทำขนาดนี้เลยหรอ” อยู่ๆจากเสียงสดใสก็แข็งกระด้างขึ้นจนน่าประหลาดใจ
ฉันตกใจกับสรรพนามที่เธอใช้เรียก
พี่เขาเคยมีเรื่องทะเลาะกัน
ไม่ถูกกันสินะ ถึงเรียกจิกหัวขนาดนี้
“จัดการให้ด้วย”
คราวนี้คนที่นั่งอยู่ในรถกลับเอ่ยขึ้น
“อ่า”
พี่โมผละออกจากฉันแล้วเท้ามือลงบนประตูรถ “ทีนี้จะใช้ฉัน?” เธอถามพร้อมเลิกคิ้วมองน้องชาย
สายตาคมหันมามองพี่สาวตัวเองวูบหนึ่ง
“ไม่ทำก็ถอย” จบคำพูดนั้นก็สตาร์ทเครื่องยนต์
“หึ!” พี่โมยกยิ้มอย่างพอใจ
ซึ่งฉันไม่เข้าใจการกระทำของพวกเขาเลยสักอย่าง
“วันพุธหน้ามาเรียนนี่เหมือนเดิมใช่ไหม” ประโยคนี้เธอหันมาคุยกับฉัน
“ใช่ค่ะ”
เพราะทุกวันพุธตอนบ่ายฉันมีเรียนที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์
“ไปซ่อม”
เธอพูดพร้อมมองมาที่โทรศัพท์ในมือของฉัน “แล้วเอาบิลมาหาพี่
เดี๋ยวพี่พาไปเก็บเงิน”
สีหน้าตอนนี้ของเธอตอนนี้เหมือนพร้อมมีเรื่องเลย
ฉันควรปล่อยเบลอไปเลยดีไหม
กลัวว่าถ้าให้พี่โมพาไปเก็บเงินจริงๆแล้วมีเรื่องตบตีกันขึ้นมาจะทำยังไง
“เอ่อ
ฟองว่าจริงๆช่างมันก็ได้ค่ะ” เสนอความเห็นอย่างกล้าๆกลัว
“จริงมันแตกแค่ฟิล์มกระจกข้างนอกเอง”
เปลี่ยนฟิล์มน่าจะสามถึงสี่ร้อยไม่เกินนี้
ถือว่าตัวเองก็ไม่ระวังเองด้วย
“มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเสียตังค์”
มือบางวางลงบนศีรษะของฉัน
“เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปซ่อมด้วยซ้ำถ้ามันไม่เดินมาชน”
น่ากลัว
ฉันกลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โตจริงๆ
ความคิดเห็น