คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : PART I |น้องคนนั้นที่ผมรู้จัก
Frenchfries’s storyteller
ติ๊ด!! ติ๊ด!! ติ๊ด!!
ผมขยับตัวอย่างหงุดหงิดก่อนจะใช้มือควานหาต้นเหตุของเสียงน่ารำคาญที่รบกวนเวลาพักผ่อนของผม
“ แม่ง เช้าเร็วชิบ ” บ่นออกมาอย่างขัดใจเมื่อหน้าจอโทรศัพท์แสดงเวลาที่ได้ตั้งปลุกเอาไว้ จำได้ว่าเมื่อคืนกว่าจะนอนก็เกือบตีสี่
ตีสี่ยังเรียกว่าเมื่อคืนได้อีกไหมวะ เรียกเมื่อเช้าเถอะ
เหตุผลที่ทำให้เวลาในการนอนของผมน้อยลงคงเป็นเพราะไม่ยอมทำงานที่อาจารย์สั่ง แล้วมาเร่งทำเอาก่อนวันส่งแบบนี้ โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองทั้งนั้น
ขยับลุกออกจากเตียงเตรียมตัวจะเข้าห้องน้ำตอนนั้นเองที่เสียงการแจ้งเตือนดังขึ้นว่ามีคนส่งข้อความมา เหลือบตาไปมองยังโทรศัพท์ที่ทิ้งไว้บนเตียง
2 ข้อความใหม่จากเฮียไวน์
มึงว่างไหม
9 ครึ่งมาหากูหน่อยที่บริษัท
แล้วตอนนี้ 9.04 น. ความตั้งใจแรกที่จะออกไปหาข้าวกินแล้วไปส่งงานที่ทำมาทั้งคืนนั้นต้องพับเก็บไว้
“คุยแปบเดียวแล้วค่อยไปส่งก็ได้แหละวะ” ตกลงกับความคิดของตัวเองก่อนจะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวและออกไปหาเฮียไวน์ตามนัด
เฮียไวน์คือรุ่นพี่ที่ผมเคารพและนับถือมาก
และยังเป็นผู้มีพระคุณสำหรับผมคนหนึ่ง
สองปีก่อนเป็นช่วงชีวิตที่ผมไม่อยากจะหวนนึกถึงมันอีก แต่นั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้รู้จักพี่ชายคนนี้
ในวันที่ตัดสินใจออกจากบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นครอบครัวสำหรับผม วันนั้นไม่ได้วางแผนว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิต สุดท้ายก็จบที่ร้านเหล้าและนอนที่ห้องพักที่นั่นอยู่สามสี่คืนจนเงินที่มีติดตัวหมด
จำได้ว่านั่งอยู่หน้าร้านเหล้าจนเกือบเช้า ตอนนั้นเองจู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาสูบบุหรี่
“วันนี้ไม่เข้าไปนั่งข้างใน?”
“....” เพราะไม่แน่ใจว่าประโยคนั้นคุยกับตัวเองหรือเปล่า ผมจึงเงียบ
“เฮ้ย คุยกับมึงนั่นแหละ”
“ครับ เงินหมดแล้วครับ”
“แปลว่าเคยมี”
“....” ผมเงียบอีกครั้งเพราะไม่รู้ต้องพูดอะไร
“หนีออกจากบ้าน? หัวแข็งใช้ได้นี่ เรียนไรปีไหนล่ะ”
“ปีหนึ่งบริหารครับ”
“อยากมีเงินไหม มาช่วยงานกูสิ”
นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมอีกครั้ง เฮียไวน์เป็นผู้บริหารโรงแรมชื่อดังของจังหวัด แน่นอนว่าการช่วยงานในช่วงแรกมันไม่ง่ายเลยเพราะไม่เคยทำมาก่อน ผมได้รับผิดชอบเกี่ยวกับการหาข้อมูลลูกค้าที่เฮียต้องการจะดีลเป็นพาร์ทเนอร์ด้วย ซึ่งผลงานชิ้นแรกของผมไม่ค่อยเป็นที่น่าประทับใจเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละ คนเราต้องรู้จักเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง เฮียไวน์เป็นคนสอนงานต่างๆให้โดยมีคุณอาเลขาช่วยดูแลผมอีกที
จากงานหาข้อมูลลูกค้าก็เริ่มออกไปเจอลูกค้ากับเฮีย สร้างเครือข่ายลูกค้า รวมถึงโปรโมทกิจกรรมของบริษัทผ่านเว็บไซต์ และตอนนี้หน้าที่ของผมก็คือทำทุกอย่างที่เฮียสั่งนั่นเอง
ผมใช้เวลาไม่นานในการขับรถมายังบริษัทซึ่งก็คืออาคารหนึ่งที่อยู่ติดกับส่วนของโรงแรมนั่นเอง
“น้องเฟรนช์ฟราย ทำไมวันนี้ได้เข้ามาแต่เช้าคะ” พี่สาวที่อยู่แผนกบัญชีเอ่ยทักในตอนที่ผมเดินผ่านไปยังห้องทำงานเฮีย
“ประธานเรียกครับ” ผมตอบออกไปอย่างใจคิดก่อนจะยิ้มบางๆตามมารยาทแล้วเดินเปิดประตูเข้าห้องที่เขียนชื่อเฮียไวน์
ทันทีที่ประตูเปิดออกก็พบว่าท่านประธานของผมกำลังมีแขกเป็นนักเรียนมัดผมหางม้าผูกโบว์สีน้ำเงิน เด็กหญิงคนนั้นหันมามองผมด้วยแววตางุนงง
เป็นฟองเบียร์ น้องสาวเฮียไวน์
“อ้าว?” ผมหลุดอุทานด้วยความงุนงงเช่นกัน ก่อนจะลากสายตาไปเจอกับแววตาตำหนิจากเฮียไวน์ที่ผมเข้ามาโดยพลการ “เออ เคาะก็ได้วะ”
ผมเคาะประตูพอเป็นพิธีก่อนจะเดินเข้าไปในห้องและนั่งลงเก้าอี้ข้างๆกับคนตัวเล็ก “หวัดดีนักเรียน ไม่ไปเรียนหรอ” ผมเอ่ยทักก่อน
“สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้ก่อนจะหันไปสนใจพี่ชายเธอต่อ “รายงานตัวสิบโมง นี่เก้าครึ่งแล้วไปได้ยัง” ประโยคนี้เรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี
เธอหมายถึงวันนี้มีนัดไปรายงานตัวนักศึกษาใหม่ และเฮียก็เป็นผู้ปกครองพาไปงั้นสินะ
“เดี๋ยวเฮีย มีธุระแล้วเรียกผมมาหาเพื่อ?” คราวนี้เป็นผมบ้างที่เอ่ยกับเขา
“ก็นี่ไงธุระของมึง” เขาตอบผม “พาน้องกูไปรายงานตัวหน่อย กูมีรับวีไอพี”
นั่นแหละ นี่ก็คือคำสั่งที่ผมต้องทำตามให้เรียบร้อยเช่นกัน จริงๆการเป็นผู้ปกครองจำเป็นให้น้องสาวท่านประธานไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ส่วนตัวผมกับฟองเบียร์นั้นรู้จักกันอยู่แล้ว แต่ไม่ได้สนิทสนมอะไร แทบจะไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ถ้าไม่นับวันก่อนที่ผมแกล้งขอข้าวเธอกิน
ฟองเบียร์เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง จากการพูดคุยกันไม่กี่ครั้งก็พอจะเดาได้ว่าเธอไม่ค่อยยอมคนเท่าไหร่ น่าจะหัวแข็งพอสมควรเพราะพี่ชายค่อนข้างตามใจ
สรุปว่าวันนี้ผมทำหน้าที่พาเธอไปรายงานตัวจนเกือบลืมส่งงานวิจัยอาจารย์ โชคดีที่เพื่อนรักอย่างไอ้เก้าโทรมาเตือน ผมจึงให้มันติดรถไปกินข้าวเที่ยงด้วยโดยให้มันเป็นคนเลี้ยง หลังจากนั้นก็ไปส่งฟองเบียร์ที่บ้านโดยสวัสดิภาพก็ถือว่าเสร็จงานสำหรับวันนี้ของผม
ในช่วงปิดเทอมนั้นผมก็ทำงานให้เฮียไวน์อย่างเดียว นอกจากคอนโดตัวเอง บริษัท ก็มีบ้านเฮียที่ผมไปบ่อยๆ
บ้านเฮียน่ะ ไม่ได้ไปทำงานนะ ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆพี่ๆ
และวันนี้เข้าสู่วันแรกของการเปิดเทอมเป็นนักศึกษาปีสามของผม ตามตารางที่ลงเรียนไว้หลักๆผมเรียนเกี่ยวกับการบริหารทรัพยกรมนุษย์ ความสัมพันธ์ และเกี่ยวกับภาษี ซึ่งรายวิชาเหล่านี้จะเรียนอยู่สามวันคือจันทร์ถึงพุธ จากนั้นผมจะว่างทำให้มีเวลาเข้าบริษัทไปช่วยงานเฮียไวน์ได้มากขึ้น
สำหรับวันแรกของทุกๆการเปิดเทอมคงหนีไม่พ้นการแนะนำรายวิชา อาจจะมีบางวิชาที่อาจารย์สั่งงานซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปีสูงๆนั่นแหละ
ส่วนน้องๆปีหนึ่งก็คงนั่งฟังรายละเอียดวิชาเบื้องต้น เกณฑ์การตัดคะแนน อ่อ แล้วก็ชื่ออาจารย์ประจำวิชาที่นักศึกษาชอบเรียกแทนชื่อวิชา
น้องปีหนึ่ง...
ไม่รู้ว่าน้องสาวเฮียไวน์จะตื่นเต้นไหม เปิดเรียนวันแรก
จะมีเพื่อนกับเขาหรือยัง
End of storytelling
“สำหรับแปดสิบคะแนนขึ้นไปก็คือเอค่ะ อาจารย์จะตัดตามนี้เป็นมาตรฐานเดียวกัน” เสียงของอาจารย์ประจำวิชาดังอยู่เรื่อยๆอยู่หน้าห้องเรียน
หลักสูตรในการเรียนของฉันคือวิทยาศาสตร์บัณฑิต เป็นคณะสาธารณสุขศาสตร์ วิชาเรียนของปีหนึ่งจึงเป็นวิชาพื้นฐานวิทยาศาตร์
วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเรียนสู่ชีวิตนักศึกษา ฉันตื่นเต้นมาก เพราะอย่างที่รู้ว่าฉันไม่มีเพื่อนที่รู้จักเลย บรรยากาศวันนี้ก็คึกคักมากๆ ฉันเห็นหลายๆคนมากันเป็นกลุ่ม บ้างก็เดินมาเป็นคู่เพื่อน และบางคนก็มาคนเดียวเช่นกัน
ฉันเลือกที่จะอยู่แถวกลางๆของห้องเรียน ซึ่งข้างๆฉันคือนักศึกษาที่มาคนเดียวเหมือนกัน เธอเป็นคนเอ่ยทักฉันก่อนและชวนฉันมานั่งข้างเธอนั่นแหละ
เพื่อนคนแรกในชีวิตนักศึกษาของฉันคนนี้ชื่อ วาริน
“วิชานี้จริงๆถึงเที่ยง แต่อาจารย์น่าจะปล่อยก่อน” คนที่ฉันเพิ่งเอ่ยถึงกล่าวก่อนจะยื่นโทรศัพท์ที่แสดงตารางเรียนของเราขึ้นมา
“วันนี้อาจารย์ชี้แจงแค่นี้นะคะ” ราวกับเห็นอนาคต ประโยคนั้นของอาจารย์ยังคงดังขึ้นมาต่อ “เจอกันคาบหน้าค่ะ” จากนั้นอาจารย์ก็ออกจากห้องไปและนักศึกษก็เริ่มทยอยออกจากห้องเช่นกัน
“แล้วเราจะไปไหนดี” ฉันเอ่ยถาม เพราะยังไงตอนบ่ายก็มีเรียนอีกวิชา
“หอหนังสือไหม” วารินเสนอความเห็น “สักสิบเอ็ดครึ่งค่อยไปหาข้าวกิน”
หอหนังสือที่ว่าก็คือห้องสมุดของมอนั่นเอง
เราสองคนจึงตกลงกันว่าจะไปนั่งฆ่าเวลาที่หอหนังสือก่อน แต่เนื่องจากตึกเรียนของคณะค่อนข้างไกลจึงต้องนั่งรถบัสที่ให้บริการฟรีของมอไปยังจุดหมาย
เราเลือกนั่งอยู่บริเวณด้านนอกอาคารที่เป็นจุดสำหรับนั่งติวหนังสือและสามารถรับประทานอาหารได้ ซึ่งระหว่างนี้ฉันกับวารินจึงได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าเธอเป็นคนต่างจังหวัด ตอนนี้อยู่มาพักอยู่หอกับญาติที่เรียนอยู่ที่นี่เหมือนกัน
จากที่คุยๆกัน วารินค่อนข้างเป็นคนที่อัธยาศัยดี และเป็นคนที่เข้าถึงง่ายมากๆ ต่างจากฉันที่เข้าหาคนอื่นไม่เก่ง หวังว่าเราสองคนจะเข้ากันได้ดีนะ
“คนนี้แฟนหรอ” วารินเอ่ยถามพร้อมหันโทรศัพท์ที่เป็นหน้าเฟสบุ๊คของฉันมาให้ดูหลังจากที่แลกช่องทางการติดต่อกัน
“พี่ชายแท้ๆ” ฉันว่าเมื่อเห็นว่ารูปนั้นคือรูปฉันถ่ายคู่กับพี่ไวน์ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นรูปเมื่อหลายปีก่อน เพราะฉันไม่ค่อยได้โพสต์อะไรในเฟสบุ๊คเลย “ชื่อพี่ไวน์”
“มีแฟนยังอ่ะ” คราวนี้ถามด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นกว่าเดิม
“แฟนยังไม่มี แต่เร็วๆนี้ไม่แน่” ฉันตอบตามความจริง เพราะได้ยินว่าพ่อกับแม่จะให้พี่ไวน์หมั้นกับลูกสาวคู่ค้า
ฉันก็ได้แต่หวังว่าพี่ไวน์กับว่าที่คู่หมั้นคนนั้นจะสามารถไปด้วยกันได้ดี
“น่าเสียดายจัง” เธอว่าก่อนจะกลับไปนั่งเล่นโทรศัพท์เหมือนเดิม
ฉันส่ายหัวให้กับความคิดของเพื่อนใหม่ ก่อนจะหันกลับมาเล่นโทรศัพท์ตัวเองบ้าง
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่นั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเริ่มมีเสียงพูดคุยค่อยๆดังขึ้น ดึงความสนใจให้หันไปมองพบว่าเป็นกลุ่มนักศึกษาผู้ชายกลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งแต่ก็สามารถมองเห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังคุยกันอย่างออกรสก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเตือนเพื่อนและเสียงก็ค่อยๆเบาลง
ฉันเลิกสนใจพวกเขาก่อนจะหันกลับมาเล่นโทรศัพท์ต่อ พบว่ามีแจ้งเตือนจากกลุ่มเฟสบุ๊คของคณะ
“ให้นักศึกษาปีหนึ่งซื้อหนังสือสำหรับวิชารหัสxxx ได้ที่อาคารหลังเล็กข้างหอหนังสือ” ฉันอ่านออกเสียงตามโพสต์นั้นของอาจารย์เพื่อให้วารินเข้าใจด้วย
“แล้วอาคารหลังเล็กนี่อยู่ตรงไหนก่อน” วารินชะเง้อคอมองหา เนื่องจากอาคารที่เราอยู่คือส่วนที่ต่อมาจากหอหนังสือ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าอาคารหลังเล็กที่เราต้องไปซื้อหนังสือก็น่าจะอยู่แถวนี้ด้วย
แต่ก็นะ อาคารที่อยู่ติดกับหอหนังสือมันก็มีขนาดเท่าๆกันไปหมด แล้วอาคารที่ว่านี่คือตรงไหนกัน
“ลองเดินดูก่อนไหม แล้วค่อยถามลุงยาม” ฉันออกความเห็น เนื่องจากแต่ละอาคารจะมีคุณลุงยามประจำอยู่แล้ว
“ได้” วารินว่าพร้อมลุกขึ้น ฉันจึงลุกตาม “งั้นฟองเดินไปดูหน้าตึกนั้น” เธอพูดพร้อมชี้นิ้วไปยังอาคารเล็กๆที่ตั้งอยู่ติดกันสองหลังซึ่งอยู่อีกฝั่งที่เรานั่งอยู่ “เดี๋ยวเค้าจะเดินอ้อมไปข้างหลังดูตึกนั้นเอง”
“โอเค” ฉันตอบก่อนที่เราจะเดินแยกกัน ฉันเดินผ่านกลุ่มนักศึกษาผู้ชายที่เสียงดังเมื่อครู่
“ฟองเบียร์” เสียงนั้นดังขึ้นในตอนที่กำลังจะเดินพ้นออกจากอาคาร
หือ?
เพราะไม่มั่นใจว่ามีใครที่ฉันรู้จักในมอนี้อีก ทำไมถึงมีคนเรียกชื่อได้ จึงค่อยๆหันกลับไปก่อนะจะพบว่าผู้ชายกลุ่มนั้นกำลังมองมาที่ฉัน
พี่เก้า? พี่เฟรนช์ฟราย?
ต้องเป็นหนึ่งในสองคนนี้เท่านั้นแหละที่เรียกชื่อฉัน
“เฮ้ย น้องปีหนึ่งนี่หว่า” คราวนี้กลับเป็นเสียงเพื่อนคนอื่นของพวกเขาพูดขึ้นบ้าง
“เออว่ะ ทำไมมึงรู้จัก” ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างพี่เฟรนช์ฟรายเอ่ยถามเขา
อาจหมายความว่าเสียงเรียกชื่อฉันเป็นพี่เฟรนช์ฟรายนั่นเอง
“รุ่นน้อง” คนถูกถามเอ่ยตอบ
เพราะไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ฉันจึงยกมือไหว้ทุกคนพร้อมเอ่ย “สวัสดีค่ะ”
“แล้วเราจะไปไหน เมื่อกี้เห็นอยู่กับเพื่อนไม่ใช่หรอ” เป็นพี่เก้าเอ่ยถาม
จากประโยคนี้จึงมีความเป็นไปได้ว่าพี่ๆเห็นฉันกับวารินแต่แรกแล้วงั้นหรอ
“ฟองหาอาคารหลังเล็กที่ขายหนังสือค่ะ” ตอบตามความจริง เพราะหวังว่าพี่ๆเขาที่อยู่ที่มาก่อนน่าจะรู้
“อ๋อ หนังสือปีหนึ่งหรอ” พี่เก้าถามเมื่อเห็นว่าฉันพยักหน้าตอบจึงเอ่ยต่อ “เดินอ้อมไปอีกฝั่งของหอหนังสือนะ อยู่ตึกที่สอง”
คนรู้ทางบอกอย่างใจดี
“ขอบคุณค่ะ” ฉันกล่าวก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกมาจากพวกเขาก่อนเล็กน้อยแล้วส่งข้อความไปให้วาริน
“เดี๋ยวพี่พาไป” ไม่รู้ตัวเลยว่าร่างสูงในชุดนักศึกษามายืนอยู่เคียงข้างตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฟองไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พี่คุยงานอยู่” บอกอย่างเกรงใจถึงจะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเดินไปถูก แต่คิดว่าจะไปถามกับลุงยามต่อก็ได้
คนที่เสนอตัวช่วยทำหน้านิ่งตามปกติของเขา แต่คิ้วหนากลับเลิกขึ้นราวกับจะถามฉันว่า เธอมั่นใจว่าจะไม่ให้ฉันช่วยจริงๆ
“งั้นถ้าพี่สะดวกก็ระ..”
“ฟองเบียร์!” เสียงใสที่เรียกชื่อฉันดังมาจากด้านหลัง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะรีบเดินเข้ามาในจุดที่เรายืนอยู่ “เอ่อ?...”
“พี่เฟรนช์ฟราย รุ่นพี่ของฟองเอง” ตอบสีหน้าสงสัยของเพื่อน
“หวัดดีค่ะ วารินค่ะ” เธอแนะนำตัวพร้อมก้มหัวให้คนที่เป็นรุ่นพี่
“...” ส่วนเขาทำเพียงพยักหน้ารับรู้เล็กน้อยก่อนจะเดินนำออกไป
ฉันเข้าใจว่าพี่เขาคงจะพาไปอาคารที่ขายหนังสือนั่นแหละ ดังนั้นจึงดึงแขนเพื่อนให้เดินตาม
“รหัสไร” เมื่อมาถึงอาคารดังกล่าวคนที่เดินหน้าก็หันกลับมาถาม
น่าจะหมายถึงรหัสวิชาของหนังสือที่จะซื้อ
“รหัสxxxค่ะ”
หลังได้คำตอบคนตัวสูงก็เดินเข้าไปในอาคารทันทีซึ่งมีจุดซื้อหนังสือเป็นเคาน์เตอร์เล็กๆด้านหน้า
“ฟองเข้าไปจ่ายตังค์ให้ก่อนนะ เดี๋ยวเค้าโอนคืน” เพื่อนสาวบอกก่อนจะดันหลังให้ฉันเดินตามพี่เฟรนช์ฟรายเข้าไป
“สองเล่มร้อยหกสิบค่ะ” เสียงพี่พนักงาน “โอนใช่ไหม”
“ครับ/ค่ะ”
ฉันเข้าแอปธนาคารเพื่อเตรียมจะโอนเงินค่าหนังสือ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างกันกลับเร็วกว่า
“นี่ครับ” เขายื่นโทรศัพท์ที่แสดงสลิปการโอนให้กับพี่พนักงานเพื่อถ่ายรูปเป็นหลักฐาน “ป่ะ” จบก็เดินหยิบหนังสือสองเล่มนั้นติดมือออกไปก่อน
คนที่ขายาวหยุดตรงหน้าตึกซึ่งยังไม่ถึงจุดที่วารินยืนอยู่ จากนั้นเขาก็หันกลับมา ฉันจึงรีบเดินไปหา
“เอาเบอร์มาค่ะ เดี๋ยวฟองโอนตังค์คืน” ฉันว่าและเตรียมกดเบอร์ของเขา
คนถูกถามกลับหยิบโทรศัทพ์ของฉันไปกดเอง ลืมไปได้ไงว่าพี่คนนี้น่ะไม่ค่อยพูดถ้าไม่จำเป็น ใช้เวลาไม่นานเขาก็คืนโทรศัพท์มาให้
ฉันพบว่าหน้าจอโทรศัพท์กำลังแสดงการโทรออกไปยังเบอร์ที่ไม่คุ้นตา เมื่อเงยหน้าไปมองเขาอย่างสงสัยคนตัวสูงก็ชูโทรศัพท์ของตัวเองที่กำลังแสดงเบอร์ของฉันกำลังโทรเข้าไปหาเขา
“ค่าหนังสือ” เสียงทุ้มบอกก่อนจะยื่นหนังสือสองเล่มมาให้ฉันรับไว้แล้วเดินออกไป คิดว่าน่าจะกลับไปหาเพื่อนๆของเขา
ทิ้งให้ฉันยืนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่
เขาไม่ได้กดเบอร์เพื่อให้ฉันโอนเงินค่าหนังสือคืน แต่กลับเอาเบอร์โทรศัพท์ของฉันไปแทน
ถ้าไม่ได้คิดไปเอง
ถ้าฉันไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป
พฤติกรรมแบบนี้ของเขาคือหลอกเอาเบอร์กันหรือเปล่า
จะ จะจีบฉันงั้นหรอ
“หึ้ย!” ส่งเสียงเรียกสติตัวเอง “มั่นหน้าไปไหมฟองเบียร์” สลัดความคิดแปลกๆของตัวเองออกไปก่อนจะเดินเข้าไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้คืนค่าหนังสือ แต่ฉันกับเพื่อนก็ยังโอนเงินคืนเขาอยู่ดี
ถึงจะรู้จักกัน แต่ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ยังไงฉันก็เกรงใจอยู่ดี
และนั่นก็เป็นการเจอกันครั้งเดียวของเทอมนั้น ฉันไม่เจอพี่เขาที่มอ หรือที่บ้านเลย จะว่าไปตั้งแต่เปิดเทอมพี่ไวน์เหมือนไม่ได้ชวนเพื่อนมาที่บ้านอีกเลย
เบอร์ที่เขาให้ก็ไม่มีการโทรเข้าโทรออกเช่นกัน
ความคิดเห็น