คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : PART I |พี่ชายที่รู้จัก
ขยับตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงรบกวนที่เริ่มดังเข้ามาในโสตประสาทการได้ยิน กระพริบตาให้ชินกับแสงของหลอดไฟภายในห้องก่อนจะยื่นมือออกจากผ้าห่มไปควานหาโทรศัพท์มือถือที่จำได้ว่าก่อนจะหลับนั้นทิ้งมันไว้บนเตียงข้างๆตัว พอได้สิ่งที่หามาอยู่ในมือก็กดปลดล็อกก่อนจะพบว่ามีการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันเมสเซนเจอร์ของเฟสบุ๊คซึ่งเป็นโซเชียลเพียงอย่างเดียวที่ฉันเล่น พอกดเข้าไปดูก็เป็นแชทกลุ่มของเพื่อนสนิทที่คุยกันตั้งแต่หลังเลิกเรียน ตอนนี้หนึ่งทุ่มกว่าแล้ว หมายความว่าฉันนอนหลับไปประมาณสามชั่วโมงงั้นสินะ มือเลื่อนอ่านข้อความที่แก๊งค์เพื่อนสาวส่งมาได้ใจความว่า
1 การสนทนา จาก จัดจ้านย่านมนุษย์
ปิงที่ไม่ใช่ญาติวังยมน่าน:พรุ่งนี้เลิกเรียนไปนมหวานมั้ย
พันช์คนดี:อีกสองอาทิตย์ก็จะสอบแล้ว ไม่คิดจะชวนกันติวเลย
ปิงที่ไม่ใช่ญาติวังยมน่าน:เทอมสุดท้ายไม่มีผลกับชีวิตแล้วจ้าาา
ใยไหม ไม่รู้เหมียนกัน:บวกนังปิง
พันช์คนดี:พวกแกนี่น้า พอได้ที่ไปแล้วก็เททุกสิ่ง
ใยไหม ไม่รู้เหมียนกัน:เดี๋ยว อีฟองไปไหน ตายหรอ?
พันช์คนดี:น่าจะหลับ
19.04
ฟองเบียร์ แค่ชื่อก็ละมุน:อีไหม นอนเนาะไม่ได้ตาย
หลังจากตอบแชทเพื่อนเสร็จก็ตัดสินใจลุกออกจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะลงมาด้านล่างเพื่อหาอะไรกิน ในจังหวะที่เดินลงบันไดเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็ดังขึ้นเรื่อยๆและก็เป็นอย่างที่ใจคิดไว้ เมื่อเดินผ่านห้องนั่งเล่นก็พบกับกลุ่มผู้ชายกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติบนโต๊ะของพวกเขามีทั้งขวดเบียร์ น้ำอัดลม และจานขนม กินกันได้ทุกวันจริงๆ ฉันมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หนึ่งในนั้นจะหันมาสบตากับฉันพอดี
“ อ้าวน้องฟอง หวัดดีครับ ” พอมีคนทักหนึ่งคน คนที่เหลือก็หันมามองตามๆกัน ฉันจึงทำเพียงยกมือไหว้พี่ๆพร้อมส่งยิ้มกลับไป
“ กับข้าวอยู่ในครัว แม่บ้านไปพักหมดแล้ว ” เสียงของพี่ไวน์พี่ชายของฉันดังมาก่อนฉันจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินไปยังครัว
ในทุกๆเย็นวันศุกร์เพื่อนๆของพี่ไวน์มักจะมารวมตัวกันที่นี่ บางครั้งก็พบปะสังสรรค์กินเหล้ากินเบียร์ หรือบางครั้งก็มานั่งคุยกันแบบเงียบๆราวกับปรึกษาปัญหาระดับชาติเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่พี่ไวน์เรียนจบแล้ว
ฉันชื่อฟองเบียร์ เป็นน้องสาวแท้ๆของพี่ไวน์ ฉันมักถูกเรียกว่าลูกหลงเพราะอายุที่ห่างกันกับพี่ชายเกือบหกปี แม่บอกว่าจริงๆท่านหมดหวังที่จะมีลูกแล้วเพราะพยายามมาหลายครั้งก็ไม่ติดสักที ในตอนที่ฉันเกิดนั้นพ่อตั้งใจจะให้ชื่อเบียร์เฉยๆ แต่เพราะแม่อยากให้ชื่อน่ารักๆเลยเปลี่ยนเป็นฟองเบียร์ ส่วนที่มาของชื่อเล่นของฉันและพี่ชายก็เพราะพ่อกับแม่เจอกันที่ร้านเหล้าแค่นั้นแหละ
ครอบครัวของเราทำธุรกิจโรงแรม พ่อเป็นคนดูแลเกี่ยวกับงานบริหาร ส่วนแม่ดูแลเกี่ยวกับงานบริการในห้องอาหารของโรงแรม จริงๆตอนนี้ท่านก็เริ่มวางมือแล้วล่ะเพราะได้พี่ไวน์เข้าไปช่วยดูแลแล้ว ส่วนฉันที่ยังไม่จบมอหกก็คงต้องรอเรียนรู้งานไปอีกหลายปีเลย
พี่ไวน์ ตั้งแต่เรียนจบด้านบริหารควบคู่กับการโรงแรมมาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้พักเลยเพราะต้องเข้าไปช่วยงานพ่อกับแม่อยู่ตลอดๆ ซึ่งต้องบอกว่าพี่ชายฉันน่ะเรียนเก่งมาก ไหวพริบก็ดี ดูยังไงก็วางใจได้หากพ่อยกทั้งโรงแรมให้เขาบริหารเลย ตอนนี้ก็คงเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อขึ้นไปเป็นผู้บริหารอย่างเต็มตัวนั่นแหละ
นอกจากจะทำงานเก่งแล้ว พี่ชายฉันก็ดื่มเก่งเหมือนกัน ก็ดูนี่สิ ชวนเพื่อนมาดื่มเก่งมาก นี่ยังไม่นับที่นัดกันไปดื่มที่ร้านข้างนอกนะ อ่า พูดถึงเพื่อนๆของเขา จริงๆก็ไม่ได้มีแค่คนที่อายุเท่าๆกันกับพี่ไวน์นะเหมือนจะมีปะปนกันไปซึ่งฉันก็รู้จักทุกคนนะ แต่รู้จักแบบผ่านๆไม่ได้สนิทสนมอะไรอาจจะเพราะอายุที่ห่างกันเกินไปด้วยแหละมั้ง แต่ที่ดูจะเจอหน้าบ่อยที่สุดก็คงเป็นพี่พอร์ชคนที่ทักฉันก่อนหน้านี้นั่นแหละ เพราะบ้านของเขาอยู่ถัดไปอีกสองหลัง ส่วนคนอื่นๆก็มี พี่ราม พี่คิณณ์ พี่เก้า และพี่เฟรนช์ฟราย ถ้าจำไม่ผิดสองคนสุดท้ายนี่น่าจะเป็นเพื่อนรุ่นน้องของพี่ไวน์
จริงๆฉันก็เคยชวนเพื่อนฉันมาบ้านนะ แต่มาทำการบ้าน มาติวด้วยกันมากกว่าแน่นอนว่าบรรยากาศแตกต่างจากเพื่อนๆของพี่ไวน์อย่างสิ้นเชิง อ่อ เพื่อนสนิทของฉันที่คบกันมาตั้งแต่เข้าโรงเรียนมัธยมครั้งแรกเลยมีสามคนก็มีพันช์เพื่อนคนดีที่ได้รับตำแหน่งแม่ชีของกลุ่ม เป็นเด็กรักเรียนคอยช่วยติวการบ้านให้เพื่อน ปิงเพื่อนสาวคนมั่นที่กล้าได้กล้าเสียในทุกๆเรื่อง และคนสุดท้ายใยไหมเพื่อนหญิงใจแกร่งที่ไม่เคยยอมใครยกเว้นหนุ่มไอดอลเกาหลีคนหน้ามนคนหน้าใส
“ ไว้ค่อยคุย อย่าวุ่นวาย ” เสียงทุ้มดึงความสนใจจากฉันในตอนที่มือกำลังจะเอื้อมไปเปิดตู้เย็น พอมองหาต้นเสียงก็พบร่างสูงของใครบางคนยืนหันหลังมาทางนี้เขายืนพิงกรอบประตูที่เปิดออกไปยังด้านหลังของตัวบ้าน คาดว่าเจ้าตัวคงยังไม่รู้ตัวว่ามีฉันอยู่ในห้องนี้ด้วย จริงสิ เมื่อกี้ไม่เห็นเขาอยู่ในห้องนั่งเล่นนึกว่าไม่มาซะอีก
ฉันละความสนใจจากเพื่อนพี่ชายไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำผลไม้ที่ถูกบรรจุในกล่องสี่เหลี่ยมยี่ห้อหนึ่งออกมาแล้วเทมันใส่แก้วเรียบร้อยก่อนจะหันไปเปิดที่ครอบกับข้าวออกพบว่าเมนูมื้อเย็นของฉันคือแกงจืดเต้าหู้กับยำทอดมันปลากราย
“ ของโปรดทั้งนั้นเลย ” วางแก้วน้ำผลไม้ข้างจานกับข้าวก่อนจะหันไปตักข้าวแล้วมานั่งลงบนโต๊ะทานข้าวในครัวซึ่งเป็นของแม่บ้านเพราะขี้เกียจถือออกไปกินที่โต๊ะอาหารด้านนอก
“ กินเวลานี้ไม่กลัวอ้วน? ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังในตอนที่กำลังจะตักข้าวคำแรกเข้าปาก จังหวะดีมาก
เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าร่างสูงที่เคยยืนคุยโทรศัพท์พิงประตูบัดนี้เดินมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมองแล้ว
“ พี่เฟรนช์ฟรายทานด้วยกันไหมล่ะคะ ” ฉันเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยชวนตามมารยาท แต่ใครจะคิดล่ะว่า
“ เอาสิ หิวพอดี ” เขาเลื่อนเก้าอี้ออกก่อนจะนั่งลงข้างกันพร้อมมองมายังฉันราวกับจะบอกว่าไปตักข้าวมาให้พี่สิ
ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก
ปกติฉันแทบไม่ได้คุยกับเพื่อนพี่ชายคนไหนเลย แล้วนี่ถึงขนาดมานั่งทานข้าวด้วยกัน มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกร็งขึ้นมาในทันที
“ เดี๋ยวฟองตักข้า..”
“ ไม่ต้อง พี่แค่หยอก ” เขาพูดอย่างขำๆก่อนจะลุกขึ้นยืน “ ปกติเจอไม่เคยได้คุยกันเลย ” แม้ว่าจะยืนขึ้นแล้วแต่เขาไม่ได้เดินออกไปยังคงหลุบตามองฉันอยู่
“ อ่า...ค่ะ ” จะว่าไปแล้วพี่คนนี้ก็หล่อเหมือนกันนะ
หล่อมากด้วย ตั้งแต่เจอครั้งแรกน่าจะสองปีที่แล้วจำได้ว่าเขาอยู่ในชุดนักศึกษาที่ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่นัก แต่เพราะตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมากเลยไม่ทันสังเกต
พอวันนี้ได้มีโอกาสมองใกล้ๆถึงได้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์มากๆเลย อาจจะไม่ได้หน้าหล่อเนี๊ยบถ้าเทียบกับพี่ไวน์ แต่ดวงตาคู่คมที่รับกับสันจมูกที่แสนจะโด่งนั่นรวมถึงสันกรามคมที่ให้ความรู้สึกว่าอยากจะสัมผัสอย่างบอกไม่ถูก รวมๆแล้วพี่คนนี้ทำไมถึงมีใบหน้าที่เพอร์เฟกต์อะไรขนาดนี้คะ
“ ทานเยอะๆ ” มือหนาถูกยื่นมาวางทับลงบนศีรษะของฉัน “ จะได้โตเร็วๆ ” ก่อนจะผละออกไปพร้อมกับร่างสูงที่เดินออกไปจากโซนห้องครัว
เหลือไว้เพียงความอุ่นจางๆบนเส้นผม
ความร้อนหนึ่งพัดผ่านใบหน้าไป
ในทุกครั้งที่เจอกับเพื่อนพี่ไวน์ พี่เฟรนช์ฟรายคนนี้น่ะแทบจะไม่ออกสิทธิ์ออกเสียงกับใครเลย เห็นแต่นั่งเงียบๆมากสุดที่เคยทักทายกันคือพยักหน้ากับยิ้มให้ แต่นี่พี่เขาเอ่ยปากทักก่อนก็คงตื่นเต้นเป็นธรรมดา สลัดความรู้สึกแปลกๆจากการกระทำของเขาเมื่อครู่ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานข้าวเพราะไม่อาจทนความหิวที่แบกไว้ได้
“ ไม่เปลี่ยนใจแน่? ” คนที่อยู่ในชุดสูทสีเข้มเอ่ยถามย้ำด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง ฉันจึงส่ายหน้าเพื่อเป็นคำตอบเพราะขี้เกียจจะพูดกับเขาแล้ว “ ตามใจถือว่าพี่เคยถามความสมัครของแกแล้ว ”
ฉันยังคงไม่ตอบคนตรงหน้าทำเพียงแค่ยักไหล่สองครั้งก่อนจะมองทางอื่นเพื่อแสดงออกให้คนเป็นพี่รู้ว่าถึงความต้องการในตอนนี้ ซึ่งเพียงแค่อึดใจเดียวฉันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาก่อนจะถูกกลบด้วยเสียงเปิดประตูที่ดึงความสนใจให้ฉันหันไปมองในทันที
“ อ้าว? ” ร่างสูงในชุดนักศึกษาส่งเสียงพร้อมด้วยแววตางุนงง เขามองมาที่ฉันครู่หนึ่งก่อนจะลากสายตาไปยังพี่ไวน์ “ เออ เคาะก็ได้วะ ” ฉันไม่อาจรับรู้ได้ว่าพี่ชายตัวเองแสดงหน้าตาท่าทางแบบใดจึงทำให้คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาเดินออกไปพร้อมกับปิดประตู
ก๊อกๆๆๆๆ
เสียงเคาะประตูรัวๆดังขึ้นก่อนที่พี่เฟรนช์ฟรายจะเดินเข้ามาใหม่อีกครั้ง ใช่ เป็นเขานั่นแหละ เพื่อนพี่ชายคนที่แกล้งบอกจะทานข้าวเย็นด้วยกันกับฉันเมื่อหลายวันก่อน
“ หวัดดีนักเรียน ไม่ไปเรียนหรอ ” เขาเดินเข้ามานั่งลงเก้าอี้อีกตัวซึ่งอยู่ข้างฉันพร้อมกับเอ่ยทักกันอาจเป็นเพราะฉันอยู่ในชุดนักเรียนมอปลายด้วย และเหตุผลมาจากวันนี้ฉันต้องไปรายงานตัวที่มหา’ลัยซึ่งเป็นที่ที่ฉันจะเรียนต่อโดยตกลงกันว่าพี่ไวน์จะเป็นผู้ปกครองพาฉันไปในวันนี้แต่พี่ชายมีเอกสารที่ต้องเซ็นทำให้เราต้องมาที่ออฟฟิศโรงแรมก่อน
“ สวัสดีค่ะ ” ฉันยกมือไหว้เพื่อนพี่ชายก่อนจะหันกลับไปหาพี่ชายอีกครั้ง “ รายงานตัวสิบโมง นี่เก้าครึ่งแล้วไปได้ยัง ” เอ่ยท้วงให้เขาได้รู้ว่าเราต้องมีธุระที่จะต้องไปทำเพราะกลัวว่าเขาจะคุยธุระกับเพื่อนต่อ
“ เดี๋ยวเฮีย มีธุระแล้วเรียกผมมาหาเพื่อ? ” คราวนี้คนที่นั่งข้างกันเป็นฝ่ายท้วงบ้าง ราวกับว่าการมาของเขาไม่ได้นัดกันไว้แต่พี่ชายของฉันเป็นคนเรียกเขามา
“ ก็นี่ไงธุระของมึง ” พี่ไวน์ตอบเขาพร้อมบุ้ยหน้ามาทางฉัน “ พาน้องกูไปรายงานตัวหน่อย กูมีรับวีไอพี ”
“ เดี๋ยว เขาให้ผู้ปกครองพาไปไม่ใช่เพื่อนผู้ปกครอง ” ฉันว่าเมื่อเรียบเรียงในสิ่งที่พี่ชายได้พูด อยู่ๆจะให้พี่คนนี้พาฉันไปได้ไงถึงจะรู้จักกันแต่ก็ไม่ใช่เรื่องนะ
“ จริงๆแค่รายงานตัวไม่มีไรหรอก ” พี่ไวน์ว่า “ แค่นั่งฟังเขาแนะนำมหา’ลัยกับการเรียนคร่าวๆแค่นั้นแหละ ”
“ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พี่จะฝากฟองให้เป็นภาระคนอื่น ” ฉันยังส่งเสียงอย่างไม่พอใจให้พี่ชาย เพราะพ่อกับแม่ไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดกับลุงๆป้าๆเลยตกลงกันให้พี่ไวน์พาฉันไปมหา’ลัยแต่พี่ชายตัวดีดันจะให้คนอื่นพาฉันไปซะได้
“ จริงๆพี่ก็ไม่ใช่คนอื่นนะ ทำเหมือนคนเพิ่งรู้จักกันไปได้ ” คนที่นั่งฟังเราสองพี่น้องอยู่ก่อนหน้าพูดขึ้นบ้าง
คนที่เคยแค่ยิ้มทักทายฉันทำไมทั้งวันนี้และวันก่อนนั้นเขาพูดเยอะจัง ไหนคนเงียบๆไม่หือค่อยอือหายไปไหนก่อน
“ พี่เงียบก่อนสิ ฟองเคลียร์กับพี่ไวน์ก่อน ” ไม่ได้จะว่าเขานะ แค่อยากเคลียร์กับพี่ชายตัวดีก่อน
“ น้องเฮียดุผม ” ในตอนที่ฉันละสายตาจากคนข้างกายกลับไปหาพี่ไวน์เขากลับส่งเสียงฟ้องเบาๆ
ไม่ได้ดุสักหน่อย แค่ยังไม่ถึงตอนที่จะขอความเห็นจากเขา
“ เอาหน่า ให้ไอ้เฟรนช์พาไปนั่นแหละ ” เขาบอกประโยคนี้กับฉันและหันไปเลิกคิ้วให้พี่เฟรนช์ฟรายคล้ายกับจะถามว่าสะดวกที่จะพาฉันไปได้ไหม ซึ่งคาดว่าคนถูกถามความสมัครใจน่าจะตอบตกลงพี่ไวน์จึงสรุปว่า “ ตามนั้นแหละ รีบไปเถอะ อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแล้วเนี้ย ”
ฉันก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองก็ได้แต่ถอนหายใจตอนนี้เก้าโมงสี่สิบแล้วใช้เวลาจากออฟฟิศไปมหา’ลัยประมาณสิบนาทีต้องเผื่อรถติดอีก เมื่อไม่มีทางเลือกฉันจึงคว้ากระเป๋าผ้าบนโต๊ะก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้
“ ไปเถอะพี่ ฟองรบกวนด้วยนะคะ ” ฉันเอ่ยบอกเพื่อนพี่ชายอย่างสุภาพแม้น้ำเสียงจะติดหงุดหงิดเพราะพี่ชายตัวดี
“ อ่า ไปครับ ” คนถูกเรียกลุกตามฉัน เราสองคนจึงเดินออกจากห้องฉันไม่ลืมที่จะส่งสายตาคาดโทษให้พี่ชายก่อนจะปิดประตูตามอารมณ์ประมาณหนึ่ง
ฉันเดินตามคนที่ขายาวกว่ามาจนถึงฉันลานจอดรถก็พบว่ารถของเขาเป็นรถยนต์หรูสีขาวแต่กระจกดำสนิท เขาปลดล็อกรถและเดินไปฝั่งคนขับเตรียมขึ้นฉันจึงก้าวไปอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถตามไปเช่นกัน
เงียบ...
ระหว่างทางมีเพียงเสียงเพลงสากลคลอเบาๆโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรเลย อาจจะเพราะเขาเป็นเพียงเพื่อนพี่ชาย เป็นเพียงคนที่ฉันรู้จักอย่างผิวเผิน ไม่ได้สนิทกันทำให้ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างเรา
“ เชี้ย! ” เอี๊ยด!
ปี๊ดๆ ปี๊ดๆ
“ โห ปาดมาได้ ” ฉันก่นด่ารถมอไซค์ที่ขับปาดหน้าในระยะประชิดจนทำให้คนขับเบรกรถอย่างกะทันหันจนตัวฉันแทบพุ่งไปชนกับคอนโซลหน้ารถ ดีนะที่คาดเข็มขัด
“ เป็นไรไหม ” คนข้างกายเอ่ยถามก่อนที่เขาจะออกรถต่ออย่างระวัง
“ ไม่ค่ะ ” ฉันส่ายหัว
หลังจากนั้นรถก็เลี้ยวเข้าสู่ประตูมหา’ลัย ดูเหมือนวันนี้รถภายในมหาลัยก็อาจจะเยอะมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้มหาลัยยังไม่ปิดเทอมเหมือนกัน รอบที่ฉันสมัครเป็นรอบโควต้าวิชาเรียนซึ่งเป็นรอบแรกที่เปิดรับสมัครและคัดเลือกจากการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งคนที่ผ่านก็จะให้มารายงานตัวในวันนี้ ฉันที่กำลังคิดอยู่ว่าควรจะบอกเขาไหมว่าตัวเองรายงานตัวตึกไหน แต่เขาก็เรียนที่นี่น่าจะรู้ เอ๊ะ แต่ก็ไม่ได้เรียนคณะเดียวกันนี่
“ พี่...”
“ ตึกCปะ ” ตอนนั้นเองที่เขาถามขึ้นมา
“ ใช่ค่ะ ” พอตอบกลับไปรถยนต์ก็เลี้ยวเข้าจอดที่หน้าตึกซึ่งฉันจำได้ว่าเป็นตึกB มันต้องขับไปอีกตึกหนึ่งไม่ใช่หรอ
“ ที่จอดตึกหน้าเต็ม ” ราวกับว่าใบหน้าของฉันแสดงคำถามอย่างชัดเจนเขาจึงเอ่ยบอกก่อน “ ห้องไหน? ” เขาถามในตอนที่เราลงจากรถแล้วมายืนข้างกัน
พอยืนข้างกันแบบนี้ถึงได้รับรู้ว่าฉันสูงเพียงแค่ไหล่ของเขาเอง ฉันมองภาพตัวเองกับคนข้างกายที่สะท้อนอยู่ในกระจกหน้าต่างของตึกก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ ห้องประชุมC112ค่ะ ” ตอบเขาไปในตอนที่ก้มเช็คห้องจากตารางที่โหลดไว้ในโทรศัพท์มือถือ คนที่ตัวสูงกว่าเดินนำไปฉันจึงต้องเร่งฝีเท้าให้ก้าวทันขายาวๆของเขา
คนเดินนำนั้นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับตึกนี้เป็นอย่างดี เขาเดินพาฉันมาถึงหน้าห้องประชุมด้วยเวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ เราสองคนลงทะเบียนด้านหน้าซึ่งมีนักศึกษาผู้หญิงสองคนนั่งประจำอยู่ ตอนที่เขาลงชื่อเป็นผู้ปกครองของฉัน แน่นอนว่าพวกเธอมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร ดังนั้นคนที่รับบทเป็นผู้ปกครองชั่วคราวจึงพาฉันเข้ามานั่งด้านในห้องประชุม
“ ทำไมพี่ถึงเขียนชื่อพี่ไวน์ล่ะ ” ฉันเอ่ยถามคนที่นั่งลงข้างกันถึงตอนที่ลงชื่อว่าทำไมเขาจึงไม่เขียนชื่อตัวเองลงแต่กลับเขียนชื่อพี่ไวน์
“ หือ? อยากให้เขียนชื่อพี่หรอ ” คนถูกถามเอียงหน้ามาทางฉันก่อนจะเอ่ยปากพร้อมท่าทางเลิกคิ้วยียวนแบบนั้น ฉันไม่เคยรู้ว่าเขาก็มีมุมแบบนี้ด้วย
แต่เดี๋ยวก่อนสิ
“ ก็พี่มาแทน ไม่ต้องเขียนชื่อพี่หรอ? ” ฉันบอกเหตุผลและตอบกลับด้วยความสงสัย “ ปกติที่โรงเรียนเวลาเชิญผู้ปกครองประชุมใครไปก็เขียนชื่อคนนั้นนี่ ที่นี่ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอ ”
คู่สนทนาส่งยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆสองสามครั้งราวกับว่าประโยคที่ฉันได้พูดไปนั้นเป็นเรื่องตลก อะไรกัน ก็ทุกโรงเรียนเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง
“ มันมีที่ให้ลงเบอร์ติดต่อกลับผู้ปกครอง จะให้เขียนชื่อพี่ลงไปยังไงล่ะ ” เขาตอบก่อนจะหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงนักศึกษาขึ้นมาเขี่ยเล่นโดยไม่ได้สนใจอะไรอีก
จริงสิ เมื่อกี้เขาก็น่าจะเขียนเบอร์พี่ไวน์ลงไปด้วยสินะ งั้นอย่าถือสาฉันเลยนะ ฉันเด๋อเองลืมคิดถึงข้อนี้ไป
สำหรับการนั่งฟังการปฐมนิเทศจากอาจารย์ราวๆเกือบสองชั่วโมง แม้ฉันจะฟังบ้างนั่งเล่นโทรศัพท์บ้างแต่ก็พอจะสรุปได้ว่ามีการแนะนำเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนเบื้องต้นและตึกที่จะใช้เรียนในแต่ละวิชาซึ่งข้อมูลพวกนี้ดูได้ในระบบข้อมูลเว็บไซต์ของมหา’ลัย นอกจากนี้ยังแนะนำเกี่ยวกับการแต่งกายและการใช้ชีวิตมหาลัยอย่างคร่าวๆประมาณนี้แหละ
ส่วนคนที่มารับหน้าที่เป็นผู้ปกครองจำเป็นของฉันดูเหมือนจะไม่ได้ฟังเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะเขาเอาแต่นั่งเล่นเกมจนโทรศัพท์แบตหมดแล้วยังมาขอยืมที่ชาร์ตแบตสำรองของฉันอีก เอาเถอะ ยังไงวันนี้เขาก็อุตส่าห์พาฉันมารายงานตัว
“ ไปไหนต่อ ” หลังจากขึ้นมานั่งบนรถยนต์คันหรูแล้ว เจ้าของรถก็เอ่ยปากถาม
“ กินข้าวไหมคะ เดี๋ยวหนูเลี้ยง ” ฉันตอบออกไปตามใจคิดเพราะต้องตอบแทนที่เขาเป็นธุระพามา
“ ตัวแค่นี้ เปย์เก่ง ” เขาขำออกมาเล็กน้อยก่อนจะออกรถ
“ ไม่ได้เปย์ขนาดนั้นสักหน่อย ลำบากพี่พามารายงานตัวก็ต้องตอบแทนไม่ใช่หรอคะ ”
“ แค่แซวเอง ” คนขับบ่นพึมพำฉันจึงไม่ได้สนใจอีกเข้าใจว่าเขากำลังจะขับรถพาไปร้านอาหารไหนสักที่ แต่ขับรถหรูขนาดนี้คงไม่ได้พาไปกินร้านอาหารแพงจนฉันไม่มีปัญญาจ่ายหรอกนะ
ถึงครอบครัวฉันจะค่อนข้างมีฐานะแต่นั่นก็พ่อแม่กับพี่ไวน์รวยนะ ฉันน่ะยังอาศัยเงินจากพวกท่านอยู่ยังหาเงินเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นเงินที่ได้มาเรียนในแต่ล่ะวันนั้นก็ให้ใช้แค่เท่าที่จำเป็น
“ พี่อย่ากินแพงนะ ฟองไม่มีตังค์เยอะ ” ฉันว่าดักทางคนที่ขับรถมุ่งหน้าออกจากมหา’ลัย
ครืด! ครืด! เสียงเตือนจากโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้ตอบอะไร
“ รับแล้วเปิดเสียงให้หน่อย ” เขาบอกในขณะที่สายตาเหลือบมามองหน้าจอแค่แปบเดียวแล้วก็หันกลับไปให้ความสนใจกับถนนด้านหน้า เมื่อเห็นว่าเขาไม่สะดวกจึงเอ่ยปากวานให้ช่วยฉันจึงหยิบโทรศัพท์ของเขาที่ยังมีสายชาร์ตแบตสำรองของฉันเสียบคาไว้อยู่ขึ้นมาพบว่ามันแสดงหมายเลขสิบหลักแสดงว่าเบอร์นี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ ฉันปัดหน้าจอเพื่อรับสายพร้อมกับเปิดสปีกโฟนก่อนจะยื่นไปใกล้เขา “ อืม ”
นั่น...ประโยครับโทรศัพท์ของเขาหรอ?
[มึงลืมไรหรือเปล่าเพื่อน] เสียงของผู้ชายดังออกมาจากโทรศัพท์คล้ายกับว่ากำลังเตือนบางอย่างที่เพื่อนของเขาอาจจะหลงลืมไป แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับปลายสายจึงพูดต่อ [มึงลืมจริงปะไอ้สัด วันนี้ส่งเล่มจารย์สาธิตนะเว้ย!]
แต่ว่านะ เขาไม่ได้บันทึกเบอร์เพื่อนตัวเองไว้ในโทรศัพท์หรอ?
“ ไม่ลืม ” เสียงเนือยๆถูกส่งมาจากเขา
[เดดไลน์บ่าย แต่เที่ยงแล้วยังไม่เห็นหัวมึง]
เอาล่ะ ฉันพอจับใจความได้แล้วว่าวันนี้พี่เขามีงานที่ต้องส่งกับอาจารย์ที่ชื่อสาธิตก่อนบ่ายโมง แต่ตอนนี้เที่ยงเจ็ดนาทีแล้วพี่เขายังดูไม่กระตือรือร้นเลย
“ กำลังไป แค่นี้ ” พูดจบก็ขยับมือมากดวางสายเพื่อนของเขาทั้งๆที่เหมือนปลายสายมีเรื่องจะพูดต่อ
[มึงอะ!...]
ไร้เยื่อใย ไม่รักรักษาน้ำใจเพื่อนเลยสักนิด
“ พี่ไปส่งงานก่อนไหม เราค่อยไปกินข้าว ” ฉันว่าเพราะรู้สึกเกรงใจเขาจริงๆ
“ กำลัง ”
กำลัง? หมายถึงอะไร กำลังจะไปส่งงานหรอ แต่นี่เขาขับออกจากมหาลัยมาแล้วนะ
“ พี่ต้องส่งงานไหน นี่ออกจากมอแล้วนะ ” มันก็อดที่จะสงสัยไม่ได้เพราะคำตอบของคู่สนทนาไม่ชัดเจน
“ กำลังกลับไปเอางานที่คอนโด ” เขาตอบก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นอีก
อ้าว สรุปคือเขาไม่ได้ลืมว่ามีงานส่ง แต่เขาลืมงานไว้ที่คอนโด
“ เหลือเชื่อเถอะ ” ฉันบ่นพึมพำให้กับความชิลของเขา แม้ว่าตลอดเวลาที่เรียนอยู่โรงเรียนถึงจะไม่ใช่เด็กเรียนดีแต่ฉันก็ส่งงานทุกอย่างนะ และส่งก่อนเดดไลน์เป็นวันด้วยเพราะคิดว่าถ้ามีอะไรต้องแก้จะได้แก้ทัน
“ ก็เมื่อเช้านึกว่าเฮียจะเรียกมาคุยธุระแล้วกลับเลยไม่ได้หยิบมาด้วย ” เหมือนจะรู้ว่าฉันบ่นถึงเจ้าตัวจึงเอ่ยบอกถึงสาเหตุที่ไม่ได้เอางานมาด้วย
เนี้ย ใครๆก็เดือดร้อนเพราะพี่ชายตัวดีของฉันทั้งนั้น
“ ขอโทษค่ะ ” เพราะยังไงก็รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนทำให้เขาต้องส่งงานช้าฉันจึงเอ่ยคำขอโทษจากใจจริง
“ ไม่ได้จะว่า แค่บอกเฉยๆ ” ฉันจะถือว่าประโยคนี้ของเขาไม่ได้แอบแฝงอาการเหน็บแนมจากเขาแล้วกัน
รถเลี้ยวเข้าสู่ที่ตั้งของคอนโดแห่งหนึ่งซึ่งใช้เวลาขับรถมาจากมหา’ลัยประมาณสิบห้านาที เขาให้ฉันนั่งรอในรถส่วนตัวเองวิ่งเข้าไปในตึกของคอนโดใช้เวลาราวๆสิบนาทีเขาก็กลับออกมาพร้อมเล่มรายงานสามเล่ม จากนั้นก็ขับรถกลับมหา’ลัยด้วยความเร็วที่สุดที่เขาจะทำได้
12.53
ฉันมองตัวเลขที่แสดงอยู่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองก็ได้แต่ภาวนาในใจว่าพี่เขาจะส่งงานทัน ละสายตาไปเพ่งมองที่ประตูที่คนตัวสูงเพิ่งหายเข้าไป และไม่กี่นาทีจากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงสองคนในชุดนักศึกษาที่เหมือนกัน
คนหนึ่งน่ะคือเจ้าของรถที่ฉันนั่งอยู่ ส่วนผู้ชายอีกคนที่กำลังกอดคอเขามาคือ...พี่เก้า เพื่อนรุ่นน้องของพี่ไวน์
งั้นคนที่โทรมาคือพี่เก้าเองหรอ?
ก๊อก! ก๊อก!
กระจกรถฝั่งของฉันถูกเคาะจากมือหนาของพี่เก้า ซึ่งในตอนที่ฉันกำลังคิดว่าควรลดกระจกไปคุยดีไหมพี่เฟรนช์ฟรายก็เปิดประตูรถฝั่งคนขับออก
“ มึงก็ขึ้นมานั่งสิ เคาะหาหอกไร ” เจ้าของรถที่ตัวเขายังยืนอยู่ซึ่งฉันเห็นเพียงช่วงอกลงมาเท่านั้น แสดงว่าประโยคเมื่อครู่เขาพูดกับพี่เก้าที่ยังยืนเพ่งมองมาด้านในกระจกฝั่งของฉันอยู่ เอาตรงๆนะกระจกรถคันนี้เพ่งให้ตายก็ไม่เห็นหรอก ฉันลองประเมินจากการขึ้นมานั่งแล้วมันมืดสนิทชนิดที่ข้างนอกมองไม่เห็นแต่ข้างในมองเห็นได้
จบประโยคนั้นเขาก็เข้ามานั่งในรถและฉันก็รับรู้ว่าพี่เก้าก็เปิดประตูรถด้านหลังขึ้นมาเหมือนกัน ด้วยความที่อายุน้อยกว่าฉันจึงเบี่ยงตัวกลับหลังไปไหว้ทักทายเพื่อนพี่ชายอีกคน ซึ่งไม่ได้หันไปทั้งตัวนะเพราะคาดเข็มขัดอยู่
“ พี่เก้า หวัดดีค่ะ ” ฉันยกมือไหว้คนที่อาวุโสกว่าพร้อมรอยยิ้ม
“ หวัดดีค่ะน้องฟองเบียร์ ” ประโยคนี้ยังคุยกับฉันอยู่ก่อนที่เขาจะละสายตาไปหาคนที่เริ่มออกรถ “ ทำไมเฮียไม่ให้กูพาน้องมารายงานตัว ทำไมเป็นมึง อันนี้กูงง ” เขาทำหน้าสงสัยอย่างชัดเจนส่งให้คนที่ตั้งใจขับรถ ฉันทำได้เพียงยิ้มบางๆก่อนจะส่ายหน้าครั้งสองครั้งแล้วขยับตัวกลับมานั่งในท่าปกติ
“ เธอเกเร ” คนที่เหมือนจะไม่ได้ตั้งใจฟังเพื่อนแต่แรกเอ่ยตอบ แต่ฉันค่อนข้างแปลกใจกับสรรพนามที่เปลี่ยนไปจากประโยคนี้นะ
“ ไอ้สัด หน้าหมา ” แต่น้ำเสียงพี่เก้าดูจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ดูท่าทางว่าประโยคนี้จะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของพี่เก้าพอสมควร
“ กูหน้าหล่อ ” คนโดนด่าเอ่ยโต้ตอบด้วยคำพูดที่มั่นหน้าพอสมควร แต่ก็คงเถียงไม่ได้หรอกก็หน้าเขามันดูดีจริงๆนี่ “ กินซูชินะ ” ท้ายประโยคเขากลับหันมาพูดกับฉัน
“ คะ? ” เมื่อนึกได้ว่าเงินตัวเองอาจะไม่พอถ้าจะกินมื้อเที่ยงแพงขนาดนั้น ฉันจึงเอ่ยอีก “ แต่ว่าเงินฟอง...”
“ พี่เก้าเลี้ยง ” คราวนี้เขาเอ่ยถึงบุคคลที่นั่งอยู่ด้านหลังที่เงียบไปแล้ว
“ เดี๋ยว มึงหน้าหมาแล้วยังใจหมา ทำไมกูต้องเลี้ยง ” พี่เก้าขยับมาเท้าแขนกับเบาะของคนขับ
“ ค่าให้มึงติดรถ ”
“ แค่นี้มึงไม่มีน้ำใจเลยไง ”
“ งั้นมึงลงตอนนี้ ” พูดไม่พอเขายังเปิดไฟเลี้ยวพร้อมจะเข้าจอดที่ริมฟุตบาทจริงๆ
“ เออ ไอ้เวร ” พี่เก้าตอบตกลงอย่างจำยอมก่อนจะถอยกลับไปนั่งบนเบาะด้านหลังดีๆ
“ ก็แค่นี้แหละ ” คนที่แกล้งเพื่อนได้จึงปิดไฟเลี้ยวแล้วขับต่ออย่างผู้ชนะ
“ หืม? ” คราวนี้พี่เก้าขยับมาเท้าแขนข้างหนึ่งที่เบาะของฉันและอีกข้างที่เบาะคนขับก่อนที่เขาจะมองพี่เฟรนช์ฟรายสลับกับฉันไปมา “ วันนี้มึงพูดเยอะนะไอ้ฟราย ”
“.......” คราวนี้คนถูกถามกลับเงียบ ไม่ตอบ
ส่วนตัวฉันคิดว่าพี่เฟรนช์ฟรายคนนี้น่ะเป็นประเภทถามก็ตอบนะ ไม่ได้เงียบขรึมอย่างที่ฉันคิดไว้ตอนแรก และเพราะวันนี้ที่เราอยู่ด้วยกันคำถามที่ฉันถามมันมีที่มาที่ไปหรือง่ายๆคือมีสาระเขาก็ตอบ แล้วคำถามเมื่อกี้ของพี่เก้าเรียกว่ามีสาระไหมนะ?
เมื่อไม่ได้คำตอบพี่เก้าก็เปลี่ยนเรื่องคุยซึ่งที่ฟังๆอยู่ก็เรื่องการเรียนนั่นแหละ ดูพวกเขาก็จะเป็นเด็กเรียนพอสมควรนะ
ใช้เวลาไม่นานรถก็จอดลงที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ร้านเป็นกระจกทำให้สามารถมองเห็นภายในร้านว่ามีคนอยู่ไม่มากเท่าไหร่ อาจจะเพราะตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้วด้วยซึ่งเลยเวลาอาหารกลางวันมาแล้ว
“ สั่งเลย เต็มที่ ” คนที่ถูกยัดเหยียดให้เป็นเจ้ามือในวันนี้เอ่ยปากอย่างเต็มใจเมื่อเราทั้งสามคนเข้าด้านในร้าน
ร้านน่ารักมาก
แต่ละโต๊ะจะถูกกั้นด้วยไม้สีอ่อน ภายในร้านจะถูกตกแต่งให้มีความเป็นญี่ปุ่น มีมุมสำหรับถ่ายรูปด้วย
เราใช้เวลาในการกินไปประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง ซึ่งในระหว่างนั้นก็กินไปด้วยคุยไปด้วยนะ บรรยากาศไม่ได้น่าอึดอัดสักเท่าไหร่เพราะพี่ๆก็ชวนฉันคุยด้วย หลังจากนั้นพี่เก้าก็ขอแยกตัวกลับเองและพี่เฟรนช์ฟรายก็มาส่งฉันที่หน้าตึกออฟฟิศโรงแรม
“ ขอบคุณพี่มากๆเลยนะคะที่วันนี้เป็นธุระให้ ” ฉันเอ่ยบอกในตอนที่ปลดสายเข็มขัดออกจากตัวและเตรียมลงจากรถ
“ อือครับ ไว้เจอกันที่มอ ” เขาตอบอย่างสบายๆ
“ หวัดดีค่ะพี่ ” ฉันเอ่ยลาก่อนจะลงจากรถแล้วยืนรอให้เขาขับออกไปก่อนถึงเดินเข้าตึก
ดูเหมือนว่าวันนี้จะทำให้ฉันได้รู้จักบรรดาเพื่อนๆของพี่ไวน์มากขึ้น และได้รู้ว่าพี่ๆเขาก็มีน้ำใจและเข้าหาง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลย อย่างน้อยถ้าตอนที่ฉันไปเรียนที่มหา’ลัยจริงๆก็สามารถทักทายพี่ๆเขาได้อย่างไม่ต้องเกร็ง
พอพูดถึงมหา’ลัยแล้วก็อดใจหายไม่ได้เพราะสัปดาห์หน้าฉันก็จะสอบปลายภาคครั้งสุดท้ายของการเป็นนักเรียนแล้ว และอีกไม่กี่เดือนก็จะเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาต้องคิดถึงเพื่อนๆมากแน่ๆเพราะกลุ่มเราทั้งสี่คนไม่มีใครเลือกเรียนที่เดียวกันเลย พันช์เลือกเรียนหมอซึ่งอยู่คนละจังหวัด ปิงไปเรียนต่อครูที่มหา’ลัยอีกภาคหนึ่งเลย ส่วนใยไหม...คนนี้ไกลกว่าใครเพื่อนเพราะเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศตามพ่อที่เป็นท่านทูตซึ่งย้ายไปอยู่ประเทศอังกฤษ
ได้แต่หวังว่าชีวิตในมหา’ลัยของฉันจะพบเจอแต่เพื่อนที่ดีและจริงใจต่อกันเหมือนอย่างตอนมัธยม
ความคิดเห็น