คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่1
สองชีวิตที่อยู่ห่างกันเกือบจะเป็นคนละมุมโลกผวาตื่นในเวลาเกือบจะพร้อมกัน จากความฝันที่ราวจะเป็นหนึ่งเดียว หากทว่าต่างเหลือเกินในความรู้สึกและมุมมอง
ณนนท์ ใช้เวลาสองสามนาทีเพื่อตั้งสติ เปิดสวิตช์ไฟ หยิบแว่นสายตาจากโต๊ะข้างเตียงมาสวมก่อนจะลุกเข้าห้องน้ำ ภาพสะท้อนจากกระจกเงา เกือบจะเป็นชายหนุ่มคนเดียวกับในความฝัน แตกต่างแค่เพียงเขาไม่ใช่หนุ่มน้อย แต่เป็นชายหนุ่มที่กำลังจะสามสิบในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และดวงตาของเขาไม่ฉายแววของเด็กหนุ่มขี้เล่นอีกแล้ว มันติดจะเคร่งขรึมด้วยซ้ำไป เปิดก๊อกกวักน้ำที่เย็นจัดลูบใบหน้าที่ชื้นเหงื่อ พยายามไม่คิดถึงความฝัน...ฝันร้ายที่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำ ราวกับเจ้าของต้องการให้มันเป็นเสมือนสิ่งเตือนใจไม่ให้เขาลืมอดีต ใช้ผ้าซับหน้าจนแห้งดีก่อนจะกลับมาที่เตียง นาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนเล็กบอกเวลาตีสี่ห้าสิบ ข้างๆกันเป็นซองสีน้ำตาล ข้างในเป็นจดหมายแจ้งให้ทางมหาวิทยาลัยที่ประเทศไทยทราบว่า เขาพร้อมจะกลับไปทำหน้าที่อาจารย์ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ หลังจากรับทุนมาศึกษาต่อทางสาขานี้จนจบปริญญาเอกแล้ว และนี่คงเป็นที่มาของฝันละมั้ง ชายหนุ่มคิด ณนนท์เปลี่ยนความคิดที่จะนอนต่อ เดินไปนั่งที่โต๊ะหนังสือเปิดโน้ตบุ๊กและเริ่มจดจ่อสมาธิให้กับงานที่อยู่ตรงหน้า
ภาพพิมพ์ ใช้หลังมือปาดน้ำตา ความฝัน...ที่ดูราวกับเรื่องจริง และที่น่าแปลกคือเธอเข้าใจความรู้สึกทุกอย่างราวกับเป็นผู้หญิงคนนั้น เข้าใจความสุขของผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานกับผู้ชายที่รัก ทั้งๆที่ตั้งแต่เกิดมาอย่าพูดถึงการแต่งงานเลย แค่ความรักธรรมดาๆของหนุ่มสาว เธอก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำ และเวลาที่ผู้หญิงคนนั้นเจ็บมันก็คือความเจ็บของเธอ น่าแปลกทั้งๆที่แน่ใจว่าไม่เคยเห็นหญิงชายในฝันทั้งคู่มาก่อน แต่เธอกลับรู้สึกอินไปกับเหตุการณ์ในฝันเหลือเกิน ดูสิ อินจนร้องไห้ตามเลย ภาพพิมพ์คิดอย่างติดตลก อาจจะเป็นเพราะหอใหม่ เธออาจจะยังไม่ชินบรรยากาศ แถมรูมเมทก็เป็นเจ้าแม่นิยายตัวยง เลยทำให้ฝันอะไรเลอะเทอะไปเรื่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าลองเล่าความฝันให้ยัยวิวฟัง บางทีอาจจะมาจากนิยายสักเรื่องก็ได้ ปัดความคิดต่างๆออกไป ก่อนจะล้มตัวลงนอนและหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ต้องโทษว่าเป็นเพราะความฝันบ้าๆแท้ๆเชียวที่ทำให้วันนี้เธอตื่นสายไม่พอ ยังแถมขอบตาคล้ำๆบวมๆเหมือนคนร้องไห้อย่างหนักมาให้อีก แป้งเด็กที่ทาอยู่ทุกวันก็ไม่ช่วยอะไรเลย ภาพพิมพ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กระจกอีกครั้ง ก่อนถอนใจเฮือก เบ้ปากอย่างที่ชอบทำเวลาขัดใจ ตัดใจหยิบเป้สีเหลืองสดขึ้นสะพายไหล่ขวา สวมผ้าใบยีนส์คู่เก่ง และออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะกดล็อคประตู
“เทอมสุดท้ายแล้วสินะ ภาพพิมพ์ ผลงานเธอดีเยี่ยม เกรดก็ดีขนาดนี้ อยากเรียนต่อไหมละ” อาจารย์ภาคิน อาจารย์ที่ปรึกษาประจำสาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เธอลงเป็นวิชาเอกถามหลังจากเรียกพบเธอตอนท้ายคาบ
“เรียนต่อหรอคะอาจารย์ หนูไม่แน่ใจ ยังไม่ได้คุยกับป๋ากับม๊าเลยค่ะ” ตอบอย่างสนิทสนม เพราะถึงแม้จะเป็นอาจารย์ แต่เขาก็เป็นเพื่อนสนิทของกู๋ (น้องชายแม่) เรียกได้ว่ารู้จักกันมานานเลยทีเดียว
อาจารย์หัวเราะก่อนเอ่ย “ป๋ากับม๊าเราเคยขัดใจรึไง หือม์” เป็นความจริงที่ทั้งป๊ากับม๊าตามใจลูกสาวคนเล็กมาก ค่าที่เป็นลูกสาวคนเดียวท่ามกลางลูกชายทั้งสาม แถมยังเป็นลูกหลงที่เกิดห่างจากพี่ๆเป็นสิบปี
“แต่ไปเรียนทุน กลับมาก็ต้องมาเป็นอาจารย์ รบกับเด็กแสบๆ สมุนหนุมานทั้งนั้น หนูอยากทำงานอิสระมากกว่านี่คะ” ภาพพิมพ์ยังอิดออด ไม่ใช่ไม่อยากเรียน แต่เธอไม่อยากเอาตัวผูกไว้กับโต๊ะ ปากกา แล้วก็กระดาน มันน่าเบื่อจะตาย
“ความจริงทุนให้เปล่าก็มีนะ เรียนจบไม่จำเป็นต้องกลับมาเป็นอาจารย์ใช้ทุน เพียงแต่มันยากมาก แต่ก็มีคนนึงละ รับทุนนี้ไปแล้วกำลังจะกลับมาสอน”
“ใครหรอคะอาจารย์”
“ก็ณนนท์น่ะสิ เพิ่งจบปริญญาเอกด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์จาก...อิตาลี จะกลับมาสอนอาทิตย์หน้านี้แล้ว เดี๋ยวเราก็คงได้เจอ” อาจารย์ภาคินเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก
“จบอิตาลีเลยหรอคะ อย่างงี้คงเก่งน่าดู” ก็อิตาลีน่ะเป็นประเทศที่นักเรียนออกแบบไม่ว่าสาขาไหนก็ฝันจะไปเรียนต่อทั้งนั้นแหละ คนจบจากประเทศนี้ยิ่งมหาวิทยาลัยนี้ นิยามได้คำเดียวสั้นๆว่า เจ๋ง
“เก่งสิ เขามีผลงานออกแบบให้สินค้าแบรนด์เนมหลายชิ้น เราคาดไม่ถึงเลยละ”
“เก่งขนาดนี้ทำไมยังจะกลับมาเป็นอาจารย์ละคะ ทำบริษัทเอกชนไปเลยไม่รวยกว่าหรอคะ”
“งานเท่าที่เขาทำอยู่ก็ไม่น้อยนะ แต่นนท์เป็นคนมีอุดมการณ์ เขาคงอยากคืนความรู้ให้รุ่นน้องมากกว่า” ภาพพิมพ์แอบเบ้ปากเมื่อได้ยินคำว่า อุดมการณ์ แหม ก็อุดมการณ์เขามันช่างขัดกับของหล่อนเหมือนหน้ามือกับหลังเท้านี่นา จะให้ชื่นชมก็ดูจะเสแสร้งไปหน่อย แต่เมื่อถามออกไป เธอก็เปลี่ยนไปเรื่องอื่น
“เป็นรุ่นพี่คณะเราด้วยหรอคะ “
“ใช่ รุ่นสามสิบห้า”
“โห ห่างกับรุ่นหนูสิบปีเลยหรอคะ” พูดไปแต่คิดในใจว่า อีตาอาจารย์อุดมการณ์สูงคนนี้ท่าจะแก่ ไปอยู่เมืองนอกนานขนาดนี้ คงอ้วนลงพุง ผมงอกขึ้นเต็มหัว หรือไม่อาจจะไม่มีผมเหมือนคนที่หล่อนกำลังยืนคุยอยู่ด้วย ขำในความคิดของตัวเองจนต้องก้มหน้ายิ้มให้รองเท้า กลัวอาจารย์จะรู้ถึงความคิดทะเล้นๆของเธอ
“เทอมนี้เราเหลือเก็บงานอีกนิดเดียว ชั่วโมงว่างก็ไปเป็น TAอาจารย์ณนนท์สิ จะได้ถือโอกาสฝึกงานไปด้วย”
“ขอคิดดูก่อนได้ไหมคะ เรื่องเรียนต่อหนูไม่เกี่ยง แต่ไอ่เรื่องสอนหนังสือนี่ หนูไม่ชอบเท่าไหร่” หญิงสาวยังคงเด็ดเดี่ยวในความคิด ซึ่งพี่ชายคนที่สาม คนที่อายุห่างกับหล่อนน้อยที่สุด เคยบอกไว้ว่า มันก็คือเอาแต่ใจ เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก
“ลองดูก่อนละกัน ถ้าไม่ชอบจริงๆ อาก็ไม่บังคับเรา” อาจารย์ภาคินเอ่ย น้ำเสียงเอ็นดู
“ขอคิดสักคืนสองคืนนะคะ” น้ำเสียงแบ่งรับแบ่งสู่ แต่ออกไปทางไม่สู้มากกว่า พร้อมกับยิ้มสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ
ออกจากห้องเรียน ภาพพิมพ์ก็เดินตามหาเพื่อนๆ ซึ่งหาไม่ยากเลย กลุ่มเธอเป็นดาวเด่น เพราะมีแต่ผู้หญิง ที่สำคัญแต่ละคนหน้าตาดี มีตั้งแต่น่ารักใช้ได้ไปจนถึงสวยระดับดารา ด้วยความที่เป็นกลุ่มที่สะดุดตาผู้คนจริงๆจึงไม่ยากเลยที่จะถามหาจากใครก็ตามที่เดินผ่านไปผ่านมา
วันนี้ทั้งห้าคนนั่งเล่นอยู่ตรงโต๊ะไม้ใต้ถุนคณะ เมื่อนับรวมภาพพิมพ์ที่มาถึงเป็นคนสุดท้าย ก็เป็นหกคนพอดี
“อาจารย์เรียกไปคุยเรื่องอะไรหรอพิมพ์” คนถามคือวารินหรือน้ำ หญิงสาวที่สวยน้อยที่สุดในกลุ่ม สาวผิวคล้ำร่างเล็กหน้าออกกลมกับผมทรงหน้าม้าตลอดกาล สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคงจะเป็นดวงตากลมโตใสแป๋วที่ส่งให้เจ้าตัวดูเหมือนเด็กสิบห้าสิบหกมากกว่านิสิตที่กำลังจะจบจากรั้วมหาวิทยาลัย
“เรื่องเรียนต่อน่ะ” ยังไม่ทันได้ขยายความเพิ่ม อีกคนก็พูดแทรกขึ้นก่อนว่า
“แหวะ ยัยพิมพ์เอ่ย ยัยพิมพ์ ยังไม่ทันจบตรี จะรีบต่อโทแล้วหรอ ถามจริงแกไม่เบื่อตำราบ้างหรอไง ถ้าเป็นฉันนะจบแล้วขอเที่ยวต่างประเทศสักปีก่อน ค่อยกลับมาทำงาน ชาตินี้อย่าฝันว่าฉันจะเรียนต่ออีกเลย” อมิตตาหรือเมย สามารถทำเสียงขึ้นจมูกได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากคำพูดที่ตรงไปตรงมาจนไม่ถนอมน้ำใจคนฟังทำให้เพื่อนหลายๆคนส่ายหน้า ระอาแต่ก็คุ้นเคย เพราะตัวคนพูดเป็นหญิงสาวที่ได้รับคำจำกัดความว่าเพอร์เฟ็กซ์ สวย หน้าคมๆหวานๆ กับรูปร่างที่เซ็กซี่เอวคอด แขนขายาวเหมาะเจาะทุกอย่าง แถมยังรวยสุดๆเพราะเป็นทายาทคนเดียวของบริษัทนำเข้ารถยนต์ บวกกับนิสัยปากร้ายใจดี ช่วยเหลือเพื่อนฝูงสม่ำเสมอ ทำให้คนในกลุ่มมองข้ามข้อเสียนี้ไปได้
“แหงสิเมย บ้านแกรวยนิ ไม่ทำงานยังไม่อดตาย”
“บ้า ยัยวิว ใครมันจะไม่ทำงานได้ คุณพ่อจะได้เอาฉันตาย” วิว หรือวิรพร รูมเมทของเธอ หญิงสาวที่สวยสุดในกลุ่ม คนที่สวยระดับดาราเพราะเป็นดาราจริงๆ และตอนนี้กำลังดังเป็นพลุแตกเพราะละครเรื่องแรกที่กำลังออนแอร์ทำเรตติ้งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ความจริงภาพพิมพ์เป็นผู้หญิงที่น่ารักและมีเสน่ห์แบบเด็กๆ ความน่ารักของเธอเมื่อไปคู่กับความสวยระดับดาราของเพื่อนสนิทก็คล้ายๆนกยูงกับนกหงษ์หยก น้อยคนที่จะมองข้ามความโดดเด่นของดาราสาวมาเห็นเสน่ห์แบบเด็กๆของเธอ
“โอ้ยยย พวกแกช่วยหยุดแหย่กันไปมาสักที ฉันปวดหู แล้วสรุปนี่แกจะไปเรียนต่อจริงหรอพิมพ์” เรวิกาหรือเร เจ้าแม่ประจำภาควิชา หญิงสาวสวยผมดำตาดำหน้าไทยแท้ บุคลิกบู๊ๆแบบสาวขาลุยเป็นแม่งานที่จัดการทุกอย่างได้ ใครมีปัญหาอะไรให้ปรึกษาเร เรสามารถเป็นผู้นำได้ทุกสถานการณ์จริงๆ ไม่ถามเฉยๆยังยักคิ้วข้างเดียวแถมให้อีกด้วย ซึ่งเจ้าตัวเคยบอกว่ามันติดเป็นนิสัยไปแล้ว
“ไอ่ตัวทุนก็น่าสน แต่ฉันไม่อยากกลับมาเป็นอาจารย์ แกก็รู้นี่ ฉันเบื่อมหาลัยจะตายอยู่แล้ว” หญิงสาวงอแง
“เป็นอาจารย์ดีออก ฉันยังอยากเป็นเลย แต่ฉันเรียนไม่เก่ง ไม่เหมือนพิมพ์” วารินพูดเสียงอ่อยๆ คนอื่นๆมองหน้ากัน เป็นที่รู้กันดีว่า วารินนั้นนอกจากจะสวยน้อยสุด รวยน้อยสุด แถมยังเก่งน้อยสุดในกลุ่มอีกต่างหาก แต่ไม่มีเคยมีใครในกลุ่มพูดเปรียบเทียบให้รู้สึกไม่ดี และเพื่อรีบๆเลี่ยงจากสถานการณ์นี้เมื่อพูดอีกครั้ง ภาพพิมพ์จึงเปลี่ยนไปเรื่องอื่น
“เออนี่ พวกแกเคยได้ยินชื่อ ณนนท์บ้างไหม” รู้สึกถึงลมเย็นและกลิ่นหอมอ่อนๆปะทะจมูก “แกเปลี่ยนน้ำหอมหรอเร”
“ไม่อ่ะ ก็กลิ่นเดิม ทำไมหรอแก” เรวิกาส่ายหัวประกอบ
“ป่าวๆ ฉันได้กลิ่นหอมๆ หอมอ่อนๆบอกไม่ถูก”
“กลิ่นดอกไม่แถวนี้รึเปล่าแก หรือว่าแกนอนน้อยเลยจมูกเพี้ยน” วิรพรตั้งข้อสังเกต ซึ่งภาพพิมพ์ก็อือออไป
“ว่าแต่ณนนท์นี่ใครอ่ะ” สาวขาลุยถามขึ้น พร้อมๆกับกลิ่นและลมที่มาประทะใบหน้าของภาพพิมพ์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอเลือกจะไม่สนใจ
“อาจารย์ใหม่อ่ะ เด็กทุน”
“ว้าว เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายอ่ะ” วิรพรถาม
“ผู้ชาย ชื่อณนนท์ เป็นรุ่นพี่พวกเราด้วย”
“ใช่ณนนท์ที่สูงๆ ขาวๆ กลับมาจากอิตาลีรึเปล่า” ปรารถนาหรือหวาน สาวหวานสมชื่อ เรียบร้อย พูดน้อย กุลสตรีตัวจริงถามขึ้นบ้าง
“ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นหน้า ได้ยินชื่อจากอาจารย์ภาคินนี่แหละ”
“คงใช่ เพราะชื่อแปลกอย่างนี้ไม่น่าซ้ำง่ายๆ” สีหน้าคนพูดค่อนข้างแน่ใจ หากด้วยความเป็นคนพูดน้อย จึงไม่ขยายความใดๆเพิ่ม มีเพียงแค่คิ้วเรียวสวยที่ขมวดนิดๆ แต่ไม่มีใครสังเกต
“คนที่เธอว่านี่หล่อไหมอ่ะ อายุเท่าไหร่หรอ” วิรพรยังอยากรู้
“คงจะสามสิบได้แล้วละ ได้ยินเขาว่ากันว่าหน้าตาดีทีเดียว”
“ว้า ถ้าหล่อก็เสียดายแย่ ได้เจอกันเทอมเดียวเอง” วิรพรแสร้งถอนใจ
“อยากเจอก็ลงซ้ำอีกหลายๆเทอมสิยัยวิว” อมิตตาว่า
“บ้า ใครจะไปอยากเรียนอีกซ้ำ ปากหรอนั่นที่ใช้พูด”
“เอ้า ก็เห็นแกบ่นเสียดาย ฉันเลยแนะนำให้”
“พอๆ พอสักที แกสองคนนี่ยังไง เถียงกันอยู่ได้” เรวิกาห้ามทัพ ก่อนจะเกิดศึกน้ำลายไปมากกว่านี้
“เป็นไรอ่ะพิมพ์ ทำไมหน้าแกซีดๆ” วิรพรถามน้ำเสียงห่วงใย
“ไม่รู้อ่ะ เมื่อกี้ฉันรู้สึกมึนๆ” มันเป็นความรู้สึกที่หล่อนก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน รู้สึกเหมือนมีลมเย็นๆปะทะหน้าวูบวาบอยู่สองสามที แล้วก็กลิ่นที่ตอนแรกหอมอ่อนๆ แล้วอยู่ๆก็ฉุนจัดจนเธอนึกอยากสะบัดหน้าหนี
“ไหวไหมเนี้ยะแก กลับไปนอนไหม”
“ปกติฉันก็อดหลับอดนอน ไม่เห็นเป็นงี้เลยนะวิว”
“โอ้ย ยัยพิมพ์ มันเกี่ยวกันไหมละ วันโน้นไม่เป็นก็ใช่ว่าวันนี้จะเป็นไม่ได้นี่” อมิตตาลากเสียงยาวอย่างระอาเหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่า เรื่องง่ายๆก็ไม่เข้าใจ
วิรพรเบ้หน้า กำลังจะตอกกลับแต่วารินที่รู้จังหวะดีรีบพูดเรื่องอื่นขึ้นมาเสียก่อน
“แล้วอาจารย์คนใหม่ที่ว่านี่เขาดุไหมอ่ะ ชั้นหวังว่าเทอมสุดท้ายของฉันจะไม่เหมือนตกนรกนะ” วารินโอดครวญ
“เหี้ยม”
“หือม์ แกว่าไรนะ” วิรพรถาม มองหน้าซีดๆเซียวของรูมเมท
ภาพพิมพ์พยายามสลัดศรีษะเพื่อเรียกสติ แต่ทุกอย่างไม่ดีขึ้น ภาพตรงหน้าดูเหมือนมีภาพอีกภาพเข้ามาซ้อนทับ สถานที่เดียวกัน แต่เหมือนไม่ใช่ คล้ายฟิล์มเสียที่ถ่ายภาพใหม่ซ้อนไปบนภาพเก่า ลมปะทะใบหน้าของเธออีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่กลิ่นของดอกไม้ แต่เป็นกลิ่นเหม็นเน่าฉุนจัด ภาพพิมพ์อยากจะสะบัดหน้าหนี แต่เหมือนไม่มีแรง
ความคิดเห็น