คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ::: IS AIR ::: Intro
::: IS AIR ::: Intro
“เป็นยังไงบ้างคะคุณ?”
เสียงหญิงสาววัยกลางคนเดินเข้ามาพร้อมทำหน้าตาคาดหวัง ประกอบกับน้ำเสียงกระวนกระวายนั่นอีก หญิงสาวรีบตรงมายังโต๊ะทำงานที่มีชายวัยกลางคนนั่งใช้มือทั้งสองข้างกุมขมับอยู่
“มันแย่เกินไป แย่เกินไป”
เสียงตัดพ้อของชายวัยกลางคนดังขึ้น เล่นเอาหัวใจของหญิงสาววัยกลางคนถึงกับกระตุกวูบ ก่อนจะพาร่างของตัวเองไปที่โซฟาใกล้ๆกัน แล้วใช้มือข้างหนึ่งนวดขมับอย่างกลุ้มๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับสายลม
“งั้นเราคงต้อง...”
“เราฝืนใจเค้าไม่ได้หรอก”
“เราไม่มีทางเลือกแล้วนะคะคุณ”
“...”
หลังจากหญิงสาวพูดขึ้นและลุกขึ้นใช้มือข้างหนึ่งทุบโต๊ะเตี้ยที่มีลักษณะเป็นแก้ว จนกระถางต้นไม้เล็กๆสั่นคลอน ทำให้ชายวัยกลางคนถึงกับพูดไม่ออก สายตาทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่าง อย่าหนักใจ จนหญิงสาววัยกลางคนนั่งลงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา มือบางเอื้อมออกมานวดขมับตัวเองอย่างกลัดกลุ้มก่อนจะเอ่ยพูดอีกครั้ง
“เค้าก็รักคุณมากๆ ไม่มีทางขัดใจหรอกค่ะ”
“ผมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้น ทำให้หญิงวัยกลางคนที่ทีแรกนั่งกุมขมับอยู่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา อย่างถูกใจ ในขณะที่ชายวัยกลางคนได้แต่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่าตัดพ้อ
..
.
# ผับ #
เสียงเพลงดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ ผู้คนมากมายออกไปเต้นรำกลางฟลอร์อย่างสนุกสนาน บางคนที่นั่งดื่มอยู่กับที่และบางคนก็นั่งเต้นเบาๆอยู่กับที่ ทุกคนดูสนุกสนานไม่น้อย เว้นเสียแต่ร่างบางที่เอาแต่นั่งนิ่ง บวกกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์
“ฮีชอล แกจะเอาแต่เที่ยวเตร่อย่างนี้ตลอดเลยหรอ?”
ชายหนุ่มตาสวยว่า ก่อนจะใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดไปมายังเคาเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหยุดและหันมามองใบหน้าสวยราวกับผู้หญิง ใบหน้าที่เคยมีความสุข บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความทุกข์ มือบางยกแก้วคอกเทลขึ้นมาจิบก่อนจะวางลง ด้วยสีหน้าหนักใจกับคำถามของเพื่อนรัก
“แล้วแกคิดว่าลูกชายหน้าหวานอย่างฉันที่ถูกจับแต่งตัวเป็นผู้หญิงไม่เว้นแต่ละวัน จะทำอะไรได้ล่ะ”
“แกไม่เห็นจำเป็นต้องดูถูกตัวเองขนาดนั้นเลย”
“อีทึกแกไม่เข้าใจฉันหรอก”
เสียงตัดพ้อเล็กๆดังขึ้น มันจริงอย่างว่าคนหน้าสวยนี้มักถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆว่าหน้าตาสวยราวกับผู้หญิง แต่ลูกกระเดือกที่แหลมออกมาเนี่ยนะสิ ดวงตาหวานก้มลงมองแก้วคอกเทลในมือ ก่อนจะไล้ไปมาบนขอบแก้ว เล่นเอาคนตาสวยอีกคน ยิ้มบางๆก่อนจะหันไปเช็ดแก้วและเอ่ยพูดไป
“อย่างน้อยก็เลิกเที่ยว แล้วไปช่วยงานที่บริษัทพ่อซะบ้างสิ”
“ใครๆเค้าก็มองว่าฉันเป็นผู้หญิง อ่า...ทำไมฉันไม่เกิดมาให้ดูแมนกว่านี้หน่อยนะ”
เสียงบ่นกระอ้อมกระแอ้มดังขึ้น พร้อมกับสำรวจร่างกายตัวเอง เรียกรอยยิ้มจากเพื่อนรักได้ไม่ยาก ใบหน้าสวยยู่ลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก จนเพื่อนรักตาสวยถึงกับต้องหันมาปลอบอย่างเสียไม่ได้
“นายกับฉันก็ไม่ต่างกันหรอก แต่อย่างน้อยฉันก็มีเป็นตัวเป็นตนแล้ว”
“ฉันยังไม่พร้อมหรอก เรื่องแบบนี้น่ะ”
ร่างบางว่าพลางทำหน้ามุ่ย ในใจก็คิดอยากทำตามใจตัวเองมากกว่าจะมีความรัก เค้ากำลังไม่เข้าใจ ว่าทำไมบางคนถึงกับยอมฆ่าตัวตายเพียงเพราะเรื่องแบบนี้ แต่แล้วใบหน้าสวยก็ถึงกับอึ้ง ดวงตากลมโตที่เคยเศร้าหมองกับเปลี่ยนเป็นตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด จากคำถามของเพื่อนตาสวยตรงหน้า
“แล้วถ้าพ่อแกเกิดจับแกแต่งงานขึ้นมาล่ะ”
“...”
“...”
แต่แล้วดูเหมือนร่างบางจะยังคงไร้คำตอบ เพราะเค้าเคยบอกกับพ่อตัวเองไปแล้วว่าเรื่องของหัวใจน่ะ มันบังคับกันไม่ได้หรอก ผู้เป็นบิดาก็บอกว่าเห็นด้วยดังนั้นร่างบางจึงไม่กลัวว่าจะถูกจับแต่งงานเหมือนกับครอบครัวอื่นๆ แต่แล้วเมื่อเพื่อนรักถามคำถามแบบนี้ หัวใจของเค้าก็เริ่มที่จะหวั่นมาบ้างแล้วสิ แต่ดูเหมือนปากจะไวกว่าความคิด
“แล้วฉันควรจะหนีดีไหม?”
“ถ้าฉันเป็นแกฉันจะยอม เพราะอย่างน้อยฉันก็ทำอะไรเพื่อพ่อบ้างแล้ว”
“แต่มันคงไม่มีวันนั้นหรอก”
พูดอย่างมั่นใจ คิ้วสวยยักขึ้นลงไปทีหนึ่งอย่างทะเล้น จนเพื่อนตาสวยอมยิ้มไปให้อย่างเสียไม่ได้ มือบางหันไปผสมเหล้าให้เพื่อน ก่อนจะเอ่ยออกมาแนวเซาเล่น แต่ก็ทำให้เพื่อนหน้าสวยถึงกับอารมณ์ไม่ดีไปทันที
“มีเมื่อไหร่ก็พามาฉลองซะบ้างสิ อยากเห็น”
“ฉันจะกลับแล้ว”
“นึกว่านายจะยอมให้ผู้ชายโต๊ะนั้นมองนานๆซะอีก”
คนตาสวยหันไปแซวเพื่อนอีกรอบ เพราะตัวเองสังเกตมานานแล้ว ว่ามองใคร แต่มองเค้าก็คงไม่ใช่ เพราะหมีที่นั่งจ้องเขม็งอยู่ข้างๆทำให้ใครไม่กล้ามอง แต่กับร่างบางที่ไม่มีใครมานั่งคุม ก็น่าจะถูกจับตามองมากกว่า คนหน้าสวยหันไปตอบเพื่อนก่อนจะทำเป็นเดินผ่านไปโต๊ะแถวๆนั้นแล้วแสยะยิ้มไปที เล่นเอาคนทั้งโต๊ะถึงกับหน้าเหวอไปทันที
“ฝันไปเถอะ”
หลังจากเดินออกมาจากผับ รถของตัวเองก็ถูกจอดอยู่ตรงหน้าพร้อมพนักงานของร้านที่ลงมาจากด้านคนขับก่อนร่างบางจะก้าวขึ้นรถเฟอร์รารี่หรูไป ก่อนจะออกรถมือบางก็เอื้อมกดโทรศัพท์หลังจากมันสั่นอยู่นาน
RRRRR~RRRRR~
“ยอโบเซโย”
[ฮีชอลไปดูซองมินให้หน่อยสิลูก]
“ทำไมฮะ ซองมินทำไม??”
น้ำเสียงร้อนรนถูกส่งไปให้ผู้เป็นมารดาอย่างเสียไม่ได้ เพราะคนที่มารดาเอ่ยถึงเป็นญาติห่างๆที่ย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่เดือน ก่อน เพราะครอบครัวต้องไปทำงานที่นั่น แต่ฮีชอลก็คิดว่านั่นเป็นน้องคนหนึ่ง และรักมากๆเช่นกัน
[ระหว่างนั่งรถมาที่บ้านเรา รถคว่ำ
]
ผู้เป็นแม่พูดพลางบังคับให้น้ำเสียงไม่สั่น แต่ฮีชอลก็โวยวายยกใหญ่เลยทีเดียว
“ตีสองเนี่ยนะฮะ แล้วฮันเกิงล่ะฮะ”
[อยู่โรงพยาบาลxxx รีบไปเถอะจ้ะ ส่วนฮันยังอยู่ญี่ปุ่น...]
พูดตัดบทไปอย่างเสียไม่ได้ เพราะกลัวคนที่ประสบอุบัติเหตุจะเป็นอะไรไป
“ไปงั้นเหรอ? เอ่อ....ฮะๆแม่”
ทวนคำถามของผู้เป็นมารดาอย่างเอะใจ ในใจก็คิดว่าทำไมผู้เป็นมารดาถึงไม่ไปพบน้องชายคนนี้เอง แต่อย่างน้อยฮีชอลก็มีสติพอที่จะเลิกคิดเรื่องไร้สาระและบึ่งรถตรงไปยังโรงพยาบาลในทันที
...
..
.
# โรงพยาบาลxxx #
ร่างบางรีบวิ่งมายังที่ประชาสัมพันธ์ทันที ดวงตาหวานกวาดมองไปรอบๆก่อนจะพบชายหนุ่มหน้าตาดี(คาดว่าเพราะแว่นกรอบสีดำที่ใส่อยู่) ใส่ชุดกาวน์เดินมา ฮีชอลก็อดที่จะทำท่ารีบร้อนเสียไม่ได้
“ขอโทษนะฮะ ผมมาตามหาคนที่รถคว่ำนะฮะ”
“วันหนึ่งมีคนรถคว่ำเป็นร้อยนะคุณ-_-^^”
ฮีชอลมองหน้าคุณหมอหน้าหล่อที่ถอดแว่นกรอบดำออกวางไว้ ตะลึงในความหล่อไปสองวิ ก่อนจะส่งสายตาดุๆไปให้ ในใจก็นึกคุ้นหน้าอยู่แต่ไม่ได้สนใจ
“นี่คุณครับ ผมรีบนะครับนั่นน้องชายผมนะ!”
“เอิ่มครับ...คนที่รถคว่ำวันนี้ล่าสุดเหรอ?”
คุณหมอหน้าหล่อบ่นพึมพำ ก่อนจะนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์และกดยิกๆ ถึงจะดูเหมือนเร็วแต่มันก็ช้าอยู่ดีสำหรับฮีชอล ร่างบางอดที่จะโวยวายอย่างเสียไม่ได้
“เร็วสิฮะ ถ้าน้องผมเป็นอะไรไปนะ!”
“ผมเป็นหมอนะ คุณควรจะใจเย็น อ่อ...ปาร์คยูชอน”
คุณหมอหน้าหล่อนั่นพูดขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนฮีชอลจะสติแตกไปมากกว่านี้ เค้าเริ่มถอนหายใจออกแรงๆและพยายามรวบรวมไม่ให้ความโกรธที่เริ่มปะทุขึ้นมา
“นั่นมันคนขับรถบ้านผมนี่ คนที่นั่งมาด้วยสิ อย่ายียวนได้ไหมหมอ แล้วเรียกหมอ คิมเรียวอุคให้ด้วย!!!”
“ครับๆ คุณ อีซองมิน ห้อง 137 ครับ ชั้น 13 ครับ”
“ทำไมเลขมันขลังจัง เรียกหมอเรียวอุคด้วยครับ”
ร่างบางหันไปสั่งอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินไปรอลิฟต์ที่อยู่ใกล้ๆ แต่แล้วคำพูดของหมอหนุ่มหน้าตาหล่อก็ทำเอาฮีชอล ถึงกับต้องแสยะยิ้มอย่างดูถูกเสียไม่ได้
“ครับๆ คนสวย”
“หึ”
หลังจากหันไปแสยะยิ้มเป็นที่เรียบร้อย ฮีชอลก็รีบตรงมายังห้องพักทันที แต่ร่างบางที่เปิดประตูห้องพักและเดินถือแฟ้มขนาดถนัดมือเดินออกมาพร้อมกับกำลังถอดแว่นสีดำนั่นออก ฮีชอลตรงเข้าไปหาทันที เพราะถ้าเค้าจำไม่ผิดนี่น่ะคือน้องชายของเค้าอย่างแน่นอน
“เรียวอุค! ซองมินล่ะ”
“หลับแล้วล่ะ พี่ฮีชอล...”
คนร่างเล็กเรียกชื่อพี่ชายที่เพิ่งจะทำหน้าโล่งใจไป แต่ฮีชอลก็อดที่จะส่งสายตาเค้นหาคำตอบไม่ได้ เพราะใบหน้าหวานของน้องชายตัวเอง กำลังดูครุ่นคิดและเคร่งเครียดมากเลยทีเดียว
“หืมทำไม?”
“ซองมินสมองกระทบกระเทือน ทำให้ความจำเสื่อมไประยะสั้นๆน่ะ”
ร่างเล็กพูดอย่างลำบาก ดวงตากลมโตหลุบต่ำลงกว่าเดิม ก่อนฮีชอลจะคว้าน้องชายของตัวเองเข้ามากอดเสียไม่ได้ ในใจของตัวเองก็นึกใจหายอยู่ไม่น้อย ฮีชอลลูบหัวน้องเบาๆก่อนจะเอ่ยถามและพยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่นไปมากกว่านี้
“แล้วคยูฮยอนรู้เรื่องนี้หรือยัง?”
“เพื่อนซองมินน่ะเหรอฮะ? อ๊ะ!คยู”
ร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดฮีชอลถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นร่างสูงที่คุ้นเคย ยืนอยู่ตรงมุมลิฟต์ ร่างสูงอดที่จะเดินออกมาเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยพึมพำราวกับสายลม ดวงตาคมเริ่มสั่นคลอน
“พี่ซองมิน...เค้าความจำเสื่อม?”
“ซองมินรับรักนายหรือยัง?”
ฮีชอลไม่ได้สนใจคำพูดของคยูฮยอนเท่าไหร่ เพียงแต่ถามออกไปตรงๆกับความคิดที่ตัวเองค้างคามานานในหัว ร่างสูงก้มหน้านิ่ง มองพื้นกระเบื้องสีขาว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนสวย และเอ่ยแผ่วเบา ใบหน้าหล่อคมเปื้อนใบด้วยรอยยิ้ม...ที่เสแสร้ง
“เค้าบอกเค้าเกลียดผม^^”
“งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า...”
ฮีชอลปัดมือไล่เรียวอุคให้เดินไปทำงานของตน ก่อนจะลากคยูฮยอนไปคุยกันเพียงแค่สองคนอีกอย่างนี่มันร่วมตีสองครึ่ง แน่นอนว่าคงไม่มีใครมาเดินเพ่นพ่านที่โรงพยาบาลเป็นอันแน่ จึงทำให้ทั้งสองคุยกันได้ถนัดมากขึ้นหน่อย หลังจากฮีชอลพูดเสร็จ คยูฮยอนถึงกับเบิกตากว้างทีเดียว
“จะดีเหรอฮะ??”
“ฉันเชียร์นายนะคยู นายอยากให้ซองมินเกลียดนายอีกหรือไง”
“ครับ^^”
ร่างสูงรับคำ ก่อนจะทำเป็นเดินตามฮีชอลเข้าไปในห้อง แต่ทว่ามือบางกับโบกไล่ไปไกลๆ คยูอยอนแสยะยิ้มอย่างรู้ทันก่อนจะปล่อยร่างบางเดินเข้าไปในห้อง ร่างบางที่เล่นละครได้ค่อนข้างแนบเนียน ทำเป็นเดินเข้าไปด้วยท่าทีที่รีบร้อนไม่น้อย แต่แล้วก็ทำเป็นชะงัก ก่อนจะเพ่งเล็งร่างบางอีกคนที่นอนเหม่อมองท้องฟ้าอยู่
“อ้าวซองมินยังไม่นอนเหรอ?? พี่เป็นห่วงแทบแย่เลยรู้ไหม?”
“พี่เหรอฮะ? ปวดหัวจัง พี่สาวรู้จักคนที่ชื่อคยูฮยอนไหมฮะ?”
ร่างบางที่หลังจากมองท้องฟ้าอยู่นาน ก็หันมามองผู้มาใหม่อย่างเสียไม่ได้ ดวงตาหวานจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยพูด แต่เมื่อหลังจากพูดเสร็จร่างบางตรงหน้ากับเอามือขึ้นมากุมขมับพร้อมดิ้นพล่านไปทั่ว แต่แล้วก็เริ่มผ่อนคลายลงเพราะอ้อมกอดที่เหมือนจะคุ้นเคย
“นายถามอะไรอย่างนั้นล่ะ แล้วนายเรียกฉันว่าอะไรนะ??”
“พี่สาว แต่อะโอ้ย~!”
“พอเถอะๆ เรียกฉันว่าพี่ฮีชอล ฉันเป็นผู้ชาย”
“อ่อ ผมพอจะนึกได้บ้างแล้ว ผมอยากเจอคยูฮยอนพี่รู้จักเค้าไหม??”
ร่างบางถามคนหน้าสวยตรงหน้าอย่างสงสัย มือก็ยังคงโอบเอวบางของฮีชอลไว้ เพราะเค้ารู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ฮีชอลกระตุกยิ้มเล็กๆ ก่อนจะลูบหัวน้องชายอย่างอ่อนโยน
“สามีนายน่ะเหรอ??”
“ห๊ะ??”
ร่างบางร้องออกมาเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ มือบางคลายกอดออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองคนหน้าสวยที่เริ่มพร่ำเพรื่อขึ้นอีกครั้ง
“เค้าออกไปซื้อของให้นายน่ะ เดี๋ยวก็คงมา”
“อะนั่น มาพอดี พี่กลับก่อนนะ^^”
ฮีชอลยักคิ้วให้ผู้มาใหม่อย่างแนบเนียน ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องพักของพยาบาลสุดหรูนี่ แต่แล้วพอเปิดประตูออกมา ร่างบางก็ถึงกับเซเลยทีเดียว เพราะไม่รู้เด็กที่ไหนจู่ๆก็วิ่งมาชนเค้า ปากกำลังจะอ้าด่า แต่ทว่าดูเหมือนการกระทำของคนตรงหนาจะคุ้นเคยอย่างมาก ฮีชอลจึงตะโกนออกไปเสียงดัง
ปึก!!!!!~
“ไอ้ด๊อง”
“แฮ่กๆ ซองมินกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วเหรอ?? อยู่ไหนไอ้กระต่ายอยู่ไหน??”
หนุ่มหน้าหวานอีกคนที่ไม่ได้สนใจเสียงตวาดเสียเท่าไหร่ แต่ทว่ากับกระเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มือบางคว้าไปเขย่าแขนของฮีชอลอย่างรวดเร็ว
“นอนพักอยู่ นี่นายขออะไรอย่างสิ”
“เห?”
ฮีชอลพูดอย่างมีเลศนัย ก่อนทั้งสองคนจะลงมาอยู่ที่ร้านอาหารของโรงพยาบาล สั่งอาหารและนั่งคุยกันมาสักพักหนึ่งกับเรื่องที่ฮีชอลขอร้อง จนฮีชอลที่มองคนตรงหน้ากวาดอาหารในจานเพียงไม่กี่นาที เลยเอ่ยถามขึ้นแบบลอยๆ
“แล้วหนีอะไรมาหัวซุกหัวซุน”
“อย่าให้พูดเลย มันเจ็บไปถึงทรวง”
หนุ่มหน้าหวานว่า พลางใช้ส้อมจิ้มไปในจานอาหารของฮีชอล เล่นเอาฮีชอลมองตาขวางก่อนจะกวักมือเรียกบริกรชาย มาเพื่อสั่งอาหาร และเอ่ยถามอีกครั้ง
“อีทึกปล่อยนายออกมาได้ไง”
“ก็เรียวอุคโทร.มาบอกเรื่องซองมินอ่ะ”
“อืมๆกลับกันเถอะ ไปนอนบ้านฉันแล้วกัน”
คนหน้าหวานว่าก่อนจะจัดการกับอาหารตรงหน้าภายในไม่กี่นาที ฮีชอลมองแบบเอือมๆก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือและเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ทว่าคำพูดลอยๆของฮีชอลกับเรียกน้ำตาจากหนุ่มหน้าหวานนั่นได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
“ฮึกๆ อึกๆ”
“เฮ้ย! ร้องไห้ทำไม”
ฮีชอลว่าพร้อมทำตาโต มือบางเอื้อมไปจับข้อมือของหนุ่มหน้าหวานที่นั่งร้องไห้ หนุ่มหน้าหวานส่ายหน้าไปมาน้อยๆ ก่อนจะซุกใบหน้าหวานลงกับมือบางของตัวเอง และตอบออกมาด้วยเสียงอู้อี้
“พ่อกับแม่หนีผมไป ผมไม่มีที่ไปแล้ว ฮึกๆ ฮือๆ”
“........มะ......ไม่เป็นไร ไปนอนบ้านฉันก็ได้”
“ฮึกๆ ขอบคุณ”
ฮีชอลเด้งตัวลุกจากที่นั่งไปโอบหนุ่มน้อยตรงหน้ามากอดอย่างทะนุถนอม ก่อนจะพากันเดินไปยังที่จอดรถของโรงพยาบาล แต่ทว่าก็กลับมีหนุ่มหน้าตาหล่อที่อยู่ในคราบมอมแมมเดินมาขวางทั้งคู่ไว้เสียก่อน
“คุณครับซื้อพวงมาลัยหน่อยมั้ย??”
“นี่มันขนมครกไม่ใช่เหรอ-O-;;?”
ฮีชอลถามพลางจับมือของชายหนุ่มขึ้นมาดู มืออีกข้างที่กุมมือหนุ่มน้อยหน้าหวาน ก็ถูกปล่อยออกพร้อมกับเกาทายทอยอย่างงงๆ ดวงตากลมโตหรี่มองคนตรงหน้าอย่างขบขัน
“อะ...เอ่อครับ”
“ไม่ล่ะฉันรีบน่ะ”
ฮีชอลตอบ ก่อนจะทำสีหน้าเซ็งๆส่งไปให้หนุ่มหน้าหล่อที่อยู่ในคราบมอมแมม ในหัวก็นึกว่าหน้าคุ้นๆอีกเช่นเคย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ จึงเลือกที่จะเดินเลี่ยงแต่มือหนาของชายหนุ่มกลับคว้าข้อมือบางของฮีชอลไว้ ร่างบางอดไม่ได้ที่จะหันไปค้อนให้นิดๆ
“เถอะนะครับ คุณคนสวย”
“ถอยไปเถอะน่า นี่ตีสามแล้วนะ เดี๋ยวตาฉันบวมหมด ด๊องเลิกร้องไห้ได้แล้ว”
“เถอะนะครับ นะครับ”
“งั้นเอาเงินไป ส่วนของน่ะ นายเก็บไว้ขายคนอื่นเถอะ”
“ขอบคุณครับ คุณคนสวย ขอให้แต่งงานไวๆนะครับ”
หลังจากชายหนุ่มที่คะยั้นคะยอให้ฮีชอลซื้อของเสร็จ ดูเหมือนคำอวยพรของชายหนุ่มจะทำให้ฮีชอลค่อนข้างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เพราะตอนนี้เค้าเริ่มจะหวั่นๆขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของอีทึกเพื่อนสนิทหรือว่าจะเป็นคำพูดของเด็กขายขนมครก คนหน้าสวยเดินตรงไปยังรถของตัวเองก่อนจะส่ายหัวไล่ความคิดที่รกสมองออกไป
..
.
Writer Talk
อ่า มีคนอ่านไหม??
ไม่อ่านไรท์เตอร์จะได้ไม่มาอัพต่อ=^=
แต่ถ้าอ่าน กรุณาแสดงตัวตนเพื่อกำลังใจนิดหนึ่งน่ะค่ะTT~
สุดท้าย ใครที่หลงมาอ่าน ติชม นิสนึง นะคะ
ไรท์เตอร์จะได้ไปปรับปรุงได้
ขอบคุณค่ะ^^~
ความคิดเห็น