ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon)
ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon)
เขาเรียกกันว่า ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon) เพราะมีผู้พบเห็นที่เมืองโดเวอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับ 2 รองจากบอสตัน ใน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา แต่พบเจอแค่ครั้งเดียวนะ ในปี พ.ศ. 2520 หรือ ค.ศ. 1977
แต่ส่วนใหญ่เราเรียกมันว่า “มนุษย์ไส้กรอก” ครับ ฟังชื่อมันอาจน่ารัก ไม่เลยมันไม่น่ารักสักนิด ออกไปทางลึกลับประหลาดมากกว่า ที่จริงมันมีชื่อเสียงพอๆ กับเยติ หรือไอ้ตีนโตด้วยซ้ำ แต่พอดีมีพยานพบเห็นมันค่อนข้างน้อย และที่เชื่อถือได้มีสองคนเท่านั้นครับคือบิลส์ บาร์ทเล็ทท์ กับ จอห์น แบกซ์เตอร์ ทำให้เรื่องของมนุษย์ไส้กรอกไม่โด่งดังเท่าที่ควร
โดเวอร์เป็นเมืองที่มั่งคั่งแห่งหนึ่งในรัฐแมสซูเสตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่ห้อมล้อมไปด้วยป่า และเมืองนี้ได้มีรายงานการพบสัตว์ประหลาดคล้ายมนุษย์ให้พบเห็นบ่อยๆ
มันเริ่มขึ้นเมื่อเดือน 22 เมษายน ค.ศ. 1977
บิลส์ บาร์ทเล็ทท์, ไมค์ แมซซอคคา และแอนดี้ บรอดี วัยรุ่นอายุราว 17 ปี กำลังขับรถไปทางเหนือของฟาร์มสตรีท ในขณะที่ขับรถอยู่บาร์ทเล็ทท์ซึ่งเป็นคนขับรถก็ได้เห็นสิ่งประหลาดสิ่งหนึ่ง กำลังปีนไปตามกำแพงเตี้ยๆ ทางด้านซ้ายของถนน
ครั้งแรกที่เห็นบาร์ทเล็ทท์คิดว่าอาจเป็นสุนัขหรือไม่ก็แมว จนกระทั้งไฟหน้ารถได้ฉายตกกระทบกับร่างลึกลับอย่างจัง สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นก่อนในชีวิต
“ร่างนั้นมันค่อยๆ หมุนศีรษะของมันอย่างช้าๆ และจ้องมองมายังแสงไฟของรถ ตากลมของมันสองประกายราวกับแก้วใส เหมือนหินอ่อนสีส้ม 2 ลูก หัวของมันตั้งอยู่บนคอเล็กๆ มีลักษณะคล้ายแตงโม มองดูแล้วผิดส่วน เมื่อเทียบกับร่างกายส่วนอื่นๆ กล่าวคือแขนและขายาวและผอมเรียว แต่มือและเท้าใหญ่ ผิวไม่มีขนและมีสีลูกพีช และหยาบเหมือนกระดาษทราย
ร่างนั้นมันสูงไม่เกิน 4 ฟุต มีลักษณะคล้ายเด็กทารกที่มีแขนและขายาว มันน่าประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวมาก มันเดินเหมือนกับว่ามันไม่รู้จุดมุ่งหมาย มันเดินไปตามกำแพงโดยใช้นิ้วมืออันยาวของมันไต่ตามก้อนหิน
.”
แต่ปรากฏว่าเพื่อนที่นั่งมาด้วยทั้งสองคน กลับมองไม่เห็นร่างประหลาดดังกล่าว เพราะทั้งสองกำลังมองอีกด้านหนึ่งของถนน อีกทั้งบาร์ทเล็ทท์ก็เห็นร่างนั้นไม่กี่วินาทีเท่านั้นเองเพราะขณะเขาขับรถ ด้วยความเร็วสูงและอยู่ในทางโค้ง และเมื่อแล่นผ่านจุดนั้นแล้ว บาร์ทเล็ทท์จึงเล่าเรื่องนี้ให้ทั้งสองคนฟัง ที่แรกทั้งสองไม่เชื่อ แต่จากน้ำเสียงและกิริยาของบาร์ทเล็ทท์ ทำให้ทั้งสองสนใจ และต่างคะยั้นคะยอให้เขาขับรถกลับไปดูอีกครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อกลับไปเห็นร่างลึกลับดังกล่าวหายไปแล้ว
และเมื่อทั้งสามกลับมาที่พักบาร์ทเล็ทท์ก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังพร้อมกับวาดภาพปริศนาคลาสลิกให้เพื่อนดู
ไม่ใช้แค่บาร์ทเล็ทท์นะครับที่เห็นร่างประหลาดดังกล่าวคนเดียว ยังมีคนอื่นๆ ที่เห็น เช่นในกรณีของจอห์น แบกซ์เตอร์
จอห์น แบกซ์เตอร์ อายุ 15 ปี ในคืนวันเดียวกับที่บาร์ทเล็ทท์เห็นร่างลึกลับ จอห์นออกจากบ้านของเพื่อนสาว เขามุ่งหน้ากลับบ้านซึ่งอยู่ทางใต้สุดของถนนมิลเลอร์ไฮห์ ในโดเวอร์ เขาเดินตัดทางลัดสู่บ้านเขา และอีกประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เขาได้เห็นร่างหนึ่งสวนทางมา ร่างนั้นเตี้ยมาก จอห์นคิดว่าคงเป็น เอ็ม.จี.บูชาร์ค คนรู้จักที่อาศัยอยู่บนถนนเดียวกับเขา จอห์นถามออกมาว่า
“เอ็ม. จี. นั้นคุณใช่ไหม?” เงียบไม่มีเสียงตอบ
แต่ร่างนั้นเดินใกล้เข้าทุกที จนร่างนั้นก็หยุดลง
พอดีคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด และจอห์นก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาสลัวๆ เขาจึงเดินก้าวเข้ามาอีก 1 ก้าว เพื่อให้รู้แน่ว่าร่างนั้นเป็นใคร แต่มันกลับถอยออกไปทางซ้ายและวิ่งเข้าไปยังคูข้างๆ ที่มีพุ่งไม้ขึ้นอยู่เต็มแล้ววิ่งกลับไปยังฝั่งตรงข้าม ขณะที่ร่างวิ่งอยู่นั้น จอห์นก็วิ่งตามร่างนั้นด้วย เขาได้ยินเสียงกิ่งไม้แห้งดังกรอบแกรบ
จอห์นวิ่งตามร่างนั้นจนถึงเนินข้างล่kง แล้วมันก็หยุดเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งของคู และจอห์นก็ได้เห็น
“มันกำลังยืนห่างจากเราราวประมาณ 30 ฟุต เท้าของมันพันหรือรวบบนยอดก้อนหินก้อนหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลจากต้นไม้ต้นหนึ่ง มันเอนร่างไปเกาะต้นไม้ โดยเอานิ้วมือที่ยาวทั้งสองข้างจับมั่นรอบๆ ลำต้น(ขนาดประมาณ 8 นิ้ว)ราวกับยันร่างมันไว้
ร่างนั้นเหมือนกับร่างของลิง ต่างกันที่มันมีศีรษะสีคล้ำเป็นรูปเลข 8 ตาของมันเป็นประกายวาวอยู่ตรงกลางศีรษะ”
และแล้วร่างประหลาดลึกลับนั้นก็มองด้วยตาสีเขียวมายังจอห์น เขาไม่เคยเห็นสัตว์อะไรนี้มาก่อน เขาจึงได้รีบวิ่งบึ่งมาที่บ้านทันที และเขาก็ได้วาดภาพสัตว์ประหลาดดังกล่าว ซึ่งได้กลายเป็นภาพปริศนาคลาสสิกในเวลาต่อมา
เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ไส้กรอกของบาร์ทเล็ทท์มีตาสีส้ม ส่วนของจอห์น แบกซ์เตอร์มีสีเขียว
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นข่าวเกี่ยวกับการพบเห็นมนุษย์หรือสัตว์ลึกลับดังกล่าวก็แพร่ กระจายไปทั่ว จนทำให้บรรดาสื่อหนังสือพิมพ์ตั้งฉายาไอ้สัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า “อสูรกายแห่งโดเวอร์” และเรื่องนี้ทำให้วอลเตอร์ เว็บบ์ แห่งองค์กรวิจัยปรากฏบนท้องฟ้า กับโจเซฟ นีแมน แห่งสมาคมข่ายงานศึกษาจานบินร่วมกัน และ เอ็ด ฟอกก์ แห่งสมาคมศึกษาจานบินของนิวอิงแลนด์ ได้เข้าร่วมศึกษาบุคคลที่ประสบเหตุการณ์เหล่านี้ ซึ่งแม้ว่าในช่วงที่ผู้คนพบเห็นสัตว์ประหลาดดังกล่าวจะไม่เห็นยานบินลึกลับ ใดๆ เลยก็ตาม แต่นักจานบินวิทยาทั้งหลายเหล่านี้ให้ความสนใจก็เพราะรูปร่างของมันช่าง คล้ายกับมนุษย์ต่างดาวผู้มากับจานบินเหลือเกิน
จากการสอบสวนพยานสองคน และพยานแวดล้อมอื่นๆ พบว่าทั้งสองไม่ใช้คนเหลวไหล อีกทั้งเด็กเหล่านี้มีภูมิหลังดี ฐานะดี จึงไม่จำเป็นต้องหลอกหลวงคนอื่น และที่สำคัญเด็กทั้งสองคนนี้ไม่เคยพยายามเข้าหาหนังสือพิมพ์เพื่อเอารายงาน เรื่องของตนไปเขียนเอาเงินแต่อย่างไร
บางทีอสุรกายนั้นอาจเป็นสัตว์หรือมุษย์อีกพันธุ์หนึ่งที่เราไม่เคยพบเห็นมา ก่อน แต่ถ้าถามพวกอินเดียนแดงเผ่าครี ในตะวันออกของแคนนาดา เขาเรียกเอาตัวนี้ว่า แมนเนกิชิ(Mannegishi) หมายถึงภูตตัวเล็กๆ มีหัวกลม ไม่มีจมูก มีขาและมือยาวเรียวเหมือนแมงมุม มันชอบอาศัยตามโขดหินผาและแก่นน้ำลำธารต่างๆ มีชีวิตเพื่อหลอกนักเดินทางเล่นเท่านั้น
จนปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า เจ้าปีศาจโดเวอร์ ตัวนี้มาจากไหน มาได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไร ? ก็ยังคงเป็นปริศนาที่เล่าขานกันในท้องถิ่นต่อไป แต่บางคนเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องแหกตา เพราะก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้เจอ และก็ไม่มีรายงานการพบเจอหรือปรากฏตัวอีก
สรุปคือโดเวอร์มีรูปร่างหลักๆ คือ
1. คล้าย ๆ มนุษย์ต่างดาวแบบที่เขาเรียก มนุษย์อิมมานอยด์ หรือบางคนเรียกว่า เกรย์ (Gray) หรือไอ้ตัวสีเทา ซึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวแบบที่คนมะริกันเขาพบเจอมากที่สุด
2. สูงประมาณสี่ฟิท มีผิวพื้นผิวขรุขระ
3. แขนมีสี หัวที่รูปร่างแตงโม เกือบใหญ่กว่าร่างกายของมัน
4. ตาเปล่งแสงเป็นส้ม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น