ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
“เป็นไงบ้างเน รู้มั้ยว่าอิ่มเขาไปไหน” เขาถามลูกน้องและเพื่อนสนิทของเขา เพราะเขาอยากจะรู้ว่าวันนี้เธอไปไหนบ้าง ถามใครเท่าไหร่ก็ไม่มีใครที่รู้เรื่อง ตั้งแต่เขาชนกับเธอเมื่อเช้านี่ก็บ่ายกว่าแล้วเธอยังไม่กกลับเข้ามาเลย
“รู้แล้วครับ เธอไปที่โรงพยาบาลณิชพร เพื่อคุยกับคุณณิชพลผู้อำนวยการโรงพยาบาลครับ จากนั้นก็ไปทานข้าวอีกเดี๋ยวคงกลับมาครับ” เนติธรบอกเรียบๆ เพราะเขาเจออย่างนี้มาเกือบปีแล้ว ตั้งแต่ที่จิณณ์วัตรเจอกับผู้หญิงคนนั้น
“เธอไปกับใครบ้าง?”
“กับเพื่อนที่อยู่แผนกเดียวกันครับชื่อวิชญาดาแล้วผู้จัดการออกไปสมทบอีกทีตอนที่ไปทานข้าวกันครับ”
“เหรอ?”
“เจ้านายครับทำไมไม่จีบเธอจริงๆ จังๆ เลยละครับมัวแต่รออยู่อย่างนี้เกิดเธอไปเจอคนอื่นก่อนละครับ” เขาอดที่จะถามอย่างเสียไม่ได้
“ไม่รู้ซิ กลัว...มั้ง?”
“กลัว อย่างเจ้านายมีอะไรต้องกลัวหล่อ รวย แค่นี้สาวๆ ก็แทบจะโผเข้หาอยู่แล้ว ทุกวันนี้ผมกันแทบไม่อยู่ๆ แล้วนะครับ อย่ารอเลยครับ รีบทำให้เธอรู้ดีกว่านะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกฉันไม่ยอมเสียเขาให้คนอื่นหรอกนะเน ฉันมั่นใจว่าเราสองคนต้องใจตรงกันได้แน่”
“คงตรงหรอกครับ ก็เล่นเงียบเอาไว้ตั้งนาน”
“เรื่องของฉันน่าว่าแต่นายเถอะเมื่อไหร่จะมีแฟนซะที”
“ผมยังไม่เจอ แต่ถ้าเจอเมื่อไหร่ละก็ผมจะเข้าบอกให้เขาร่าผมนน่ะชอบเขามากๆ และอยากเป็นแฟนด้วย ไม่รอเกือบปีอย่างเจ้านายหรอก”
“ทำให้ได้ละกัน”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะครับ”
“พี่มาร์คคะ”
“จะ..น้องข้าวเป็นอะไรรึเปล่าดูกลุ้มๆ อยู่นะ” เขาถามภรรยาอย่างเป็นห่วง
“ข้าวเป็นห่วงลูกจังค่ะไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรรึเปล่า ตั้งแต่ที่ไปก็แปดเดือนแล้ว ไม่ยอมแม้แต่จะโทรมาเลยนะคะ”
“นั่นก็อยู่ในกฎด้วยนะว่าห้ามโทรมาหรือขอความช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้นกับพ่อและแม่น่ะ”
“ข้าวรู้ แต่น่าจะโทรมาบ้างนะคะให้รู้ว่าสบายดีก็ยังดี”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูกสบายดี แม้จะไม่ยอมซื้อรถก็ตามทีเถอะ”
“ทำไมคะ?..เงินไม่พอเหรอคะ?” เธอคิดว่าจากงานที่ทำก็น่าจะซื้อรถยนต์มาขับได้สบายอยู่แล้ว
“เปล่ารู้มั้ยว่ายัยอิ่มอยากได้รถสปอร์ตบอกว่าถ้าไม่ได้ก็นั่งโดยสารดีกว่าหรือไม่ก็หาคนขับรถรับส่งตัวเองซะ” เขาบอกภรรยาอย่างนึกขำลูกสาวที่ไม่ยอมซื้อรถเล็กๆ มาขับเพราะอยากได้รถสปอร์ตนั่นเอง
“จริงๆ เลยลูกคนนี้นี่...ขนาดเจ็บอย่างนั้นยังไม่เข็ดอีก...พี่มาร์คคะ...”
“ว่าไงจ้ะ..” มองภรรยาอย่างหวานซึ้ง
“จะผิดกฏมั้ยคะถ้า...เราส่งรถไปให้ลูกน่ะค่ะ?”
“เอ..อันนี้ไม่มีในกฎนะว่าห้ามส่งรถไปให้นอกจากห้ามซื้อรถด้วยเงินก้อนที่ให้ติดตัวไปเท่านั้นเอง”
“งั้น....นะคะ” เขย่าแขนสามีอย่างอ้อนๆ เธอไม่อยากให้ลูกสาวนั่งโดยสารอีกแล้ว ไหนจะเวลาที่เลิกงานดึกๆ อีกละ...
“ยัยอิ่มจะได้สบายน่ะซิ”
“นะ...ข้าวไม่อยากให้ลูกนั่งโดยสารอีก อันตรายจะตายไป แค่รถคันเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เมืองไทยขับรถเร็วไม่ได้หรอกค่ะ เพราะรถติดจะตาย”
“เอ้า..เอางั้นเลยเหรอ?” “ค่ะเอาอย่างนี้ละ จัดการให้ด้วยนะคะ”
“ก็ได้จ้ะ พี่จะให้เขาจัดการให้แล้วกันนะ”
“รักพี่มาร์คที่สุดเลย...” เธอหอมแก้มสามีอย่างขอบคุณที่ตามใจเธอในที่สุด “แหมก็รู้อยู่ว่าพี่ไม่เคยขัดใจน้องข้าวอยู่แล้ว” เขาหอมแก้มเธอกลับ
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ว้าว! ยัยอิ่มอะไรกันนี่ย!?” วิชญาดาร้องอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็เห็นเพื่อนสาวขับรถพอร์ชสีเขียวอ่อนเข้ามาในที่จอดรถของบริษัท
“เปล๊า...อภินันทนาการจากผู้ให้กำเนิดน่ะ ท่านคงสงสารมั้ง...เห็นอิ่มไม่ยอมซื้อรถซักทีน่ะ”
“เห...ใจดีจังอะ...” มองูรถที่เพื่อนบอกว่าพ่อแม่ให้นั้นอย่างทึ่งจัด นี่เพื่อนเธอเป็นใครกันเนี่ย
“อย่าสงสัยเลย เพราะแกไม่มีวันรู้หรอกจนกว่าจะถึงเวลา” ดักอย่างรู้ทันความคิดเพื่อนที่มองาทางเธออย่างครุ่นคิด
“บอกหน่อยไม่ได้เหรออิ่ม”
“ไม่อะ...ไปเข้าบริษัทเถอะเดี๋ยวสายนะ” จับมือเพื่อนให้ออกเดินออกไปจากตรงนั้นทันที เพราะอยากให้เพื่อนหลุดไปจากตรงนี้เสียที
“ต้าย! ภาเธอรู้มั้ยทำยังไงถึงจะได้รถคันหรูอย่างนั้นน่ะ” นาราประชาสัมพันธ์สาวถามเพื่อนคู่ซี้ทันทีที่เห็นว่ามนปริยาเดินเข้ามาด้านหน้าบริษัท
“เอ...อย่างนี้ต้องใช้มารยาหญิงเยอะๆ หน่อยนะ คงมีเสี่ยหน้าโง่ซักคนหลงกลหรอก” มนปริยาและวิชญาดาหยุดยืนที่หน้าเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ทันทีเมื่อคำพูดลอยกระทบเข้าหูเธอ หญิงสาวทั้งคู่จ้องไปที่เคาเตอร์อย่างดูถูก
“วิชชี่แกว่ามั้ยคนเราถ้ามันมันมีความคิดเลวๆ ทำยังไงมันก็เลวนะ คงแก้ไม่หายหรอก ตัวเองทำแล้วคิดว่าคนอื่นเขาต้องเป็นเหมือนตัวเองรึไงกัน แค่รถคันเดียวถ้าอยากจะซื้อนะฉันซื้อได้สบายอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อของแค่นี้หรอกมันเปลืองตัว” ก่อนจะเดินห่างออกไป
“กรี้ด! แกว่าใครนังอิ่ม...” กรีดร้องอย่างโกรธจัดที่โดนพาดพิงถึง สร้างความสนใจกับทุกคนที่เดินเข้ามารวมทั้งจิณณ์วัตรด้วยที่มองทั้งสี่คนอย่างสนใจ “ฉันเอ่ยชื่อใครรึยังละ!?” หันกลับมามองหน้าอย่างกวนๆ
“ฉันรู้ว่าแกว่าฉัน”
“อยากรับก็เรื่องของเธอซิ แล้วจะบอกอะไรให้อย่างแค่รถคันไม่กี่บาทน่ะฉันมีปัญญาซื้อเองได้ไม่ต้องให้เสี่ยหน้าโง่ที่ไหนมาประเคนให้หรอกยะ” จิณณ์วัตรได้ยินที่มนปริยาเอ่ยอย่างชัดเจนคงเป็นเรื่องรถที่เธอขับมาวันนี้แน่ๆ เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ารถเธอได้มาอย่างไรกัน และเมื่อเขาได้ยินเธอบอกอย่างนี้เขาก็ไม่สงสัยเลย
“ได้ยินอย่างนี้ถึงกับยิ้มออกเลยเหรอครับเจ้านาย” เนติธรถามอยู่ด้านหลังอย่างเย้าแหย่ เมื่อเห็นเจ้านายถึงกับยิ้มได้หลังจากที่เดินหน้าบึ้งมาตลอดตั้งแต่ที่จอดรถ
“อะไร! ใครบอกว่าฉันยิ้ม?....” เขาถามกลับเสียงดังกลับเกลื่อนความขัดเขินที่โดนจับได้
“อย่าปิดเลยครับผมรู้หรอกว่าดีใจแค่ไหนที่รู้ว่ารถเธอได้มายังไงน่ะ”
“เออ..รับก็ได้”
“นังอิ่ม...แกอย่าคิดนะว่ามันจะจบแค่นี้น่ะ แกกับฉันยังต้องเจอกันอีกนาน” ลดระดับเสียงให้เบาลงเมื่อเธอเหลือบไปเห็นจิณณ์วัตรเดินเข้ามาในบริษัทแล้ว
“ฉันจะรอนะ...บาย” มนปริยาเดินออกไปอย่างยิ้มแย้ม ผิดกับสองสาวที่มองตามร่างบางอย่างเข่นเขี้ยว และเคียดแค้น ทั้งที่เธอคิดว่าเรื่องที่เธอทำอยู่นั้นไม่มีทางที่จะมีใครรู้แน่นอน เพราะเธอหวังไกลกว่านั้น
“อิ่ม..ไม่พูดแรงไปหน่อยเหรอ?” วิชญาดาถามเมื่อมาที่โต๊ะกันแล้ว
“เรื่อง?”
“ก็...เมื่อกี้ไง..”
“อ๋อ..ไม่นี่...ถ้าไม่เอาคืนซะบ้างสองคนนั้นก็จะได้ใจอย่างนั้นน่ะต้องเกลือจิ้มเกลือท่านั้น หงอเป็นนางเอกนิยายไม่รอดหรอกเดี๋ยวจะโดนข่มจมดินเชียวละ”
“แต่ฉันว่าเรื่องมันจะไม่จบน่ะซิ” บอกอย่างกังวล กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าเท่านั้นเอง
“แล้วสองคนนั้นจะได้รู้ว่าฉันก็ร้ายเป็นไม่ใช่ดีแต่ปากด้วยเวลาฉันเอาจริงน่ะน่ากลัวน้า..” หันไปทำตาวิบๆ ใส่เพื่อนสาว
“แต่...สองคนนั้นมีคนหนุนหลังอยู่นะ” เธอหมายถึงผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่เข้าข้างลูกน้องไม่ลืมหูลืมตา
“เอ้า...จะกลัวอะไรเราก็มีเหมือนกันนี่นา”
“ใคร?”
“ก็...พี่ชลไงละ ใหญ่เหมือนกันจะกลัวทำไมเขากล้างัดกับเราก็เจอหัวหน้าเหมืนกันแต่ก่อนจะเจอพี่ชลคงต้องเจอฉันก่อนละ
“แก...น่ากลัวนะ เห็นท่าทางน่ารักน่าทนุถนอมอย่างงนี้น่ะ ฉันละดีใจแทนหนุ่มๆ ที่รอดจากแกไปเหลือเกิน”
“ขอบใจ” หันมารับหน้าระรื่นอย่างไม่เดือดร้อน เพราะเธอก็ไม่ได้ชอบใครนี่นา
“ว่าแต่เห็นท่านประธานแล้วเมื่อวานแล้วเป็นไงบ้าง ใจเต้นแรงรึเปล่า?”
“แล้วไหงอยู่ดีๆ มาถามเรื่องนี้ได้ละ?” ทำหนาเอ๋อๆ ใส่เพื่อน
“เปล่า..แค่อยากรู้ว่าท่านประธานน่ะหล่อเร้าใจขนาดนั้นอยากรู้ว่าแกจะหลงเสน่ห์ท่านรึเปล่าน่ะซิ”
“ไม่รู้ดิ...บอกไม่ถูกหรอก เจอหน้าแค่ครั้งเดียวเอง แล้วเขาก็เป็นถึงประธานบริษัทคงไม่มาสนใจพนักงานระดับธรรมดาอย่างเราหรอกนะ อย่าเพ้อเจ้อเลย” ดีดนิ้วที่หน้าผากเพื่อนแรงๆ หนึ่งที
“โอ้ย! ยัยอิ่ม! มันเจ็บนะ”
“รู้...ก็อยากให้แกตื่น....ต้องทำอย่างนี้ละ”
“ไม่ต้องเลย งานแกเสร็จรึยัง? ที่บอกว่าจะส่งให้ลูกค้าน่ะ”
“เสร็จแล้ว แกไม่ต้องห่วงหรอกน่ารับรองลูกค้ารายนี้ไม่หลุดมือแน่นอน” บอกอย่างมั่นใจ
“ดูแกมั่นใจเหลือเกินเลยนะ” วิชญาดากอดอกมองหน้าเพื่อนสาวอย่างสงสัยว่ามนปริยาไปเอาความมั่นใจที่จะให้ลูกค้ายอมซื้อของด้วยได้อย่างไร ในเมื่อตลอดมาที่นี่แทบไม่สั่งของเลยด้วยซ้ำ
“เอาน่ายัยวิชชี่อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิ ไม่เชื่อคารมของฉันรึไง”
“เชื่อ แต่แกจะแน่ใจได้ยังไง”
“เถอะรอฟังผลเอาละกัน ไม่นานหรอก เดี๋ยวฉันไปด้านบนนะเห็นว่าฉันโดนเรียกละแก” บอกเรียบๆ อย่างมั่นใจว่าอย่างไรงานนี้เธอก็จะได้โรงพยาบาลณิชพรเป็นลูกค้ารายใหญ่อย่างแน่นอน
“เป็นไงบ้างเน รู้มั้ยว่าอิ่มเขาไปไหน” เขาถามลูกน้องและเพื่อนสนิทของเขา เพราะเขาอยากจะรู้ว่าวันนี้เธอไปไหนบ้าง ถามใครเท่าไหร่ก็ไม่มีใครที่รู้เรื่อง ตั้งแต่เขาชนกับเธอเมื่อเช้านี่ก็บ่ายกว่าแล้วเธอยังไม่กกลับเข้ามาเลย
“รู้แล้วครับ เธอไปที่โรงพยาบาลณิชพร เพื่อคุยกับคุณณิชพลผู้อำนวยการโรงพยาบาลครับ จากนั้นก็ไปทานข้าวอีกเดี๋ยวคงกลับมาครับ” เนติธรบอกเรียบๆ เพราะเขาเจออย่างนี้มาเกือบปีแล้ว ตั้งแต่ที่จิณณ์วัตรเจอกับผู้หญิงคนนั้น
“เธอไปกับใครบ้าง?”
“กับเพื่อนที่อยู่แผนกเดียวกันครับชื่อวิชญาดาแล้วผู้จัดการออกไปสมทบอีกทีตอนที่ไปทานข้าวกันครับ”
“เหรอ?”
“เจ้านายครับทำไมไม่จีบเธอจริงๆ จังๆ เลยละครับมัวแต่รออยู่อย่างนี้เกิดเธอไปเจอคนอื่นก่อนละครับ” เขาอดที่จะถามอย่างเสียไม่ได้
“ไม่รู้ซิ กลัว...มั้ง?”
“กลัว อย่างเจ้านายมีอะไรต้องกลัวหล่อ รวย แค่นี้สาวๆ ก็แทบจะโผเข้หาอยู่แล้ว ทุกวันนี้ผมกันแทบไม่อยู่ๆ แล้วนะครับ อย่ารอเลยครับ รีบทำให้เธอรู้ดีกว่านะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกฉันไม่ยอมเสียเขาให้คนอื่นหรอกนะเน ฉันมั่นใจว่าเราสองคนต้องใจตรงกันได้แน่”
“คงตรงหรอกครับ ก็เล่นเงียบเอาไว้ตั้งนาน”
“เรื่องของฉันน่าว่าแต่นายเถอะเมื่อไหร่จะมีแฟนซะที”
“ผมยังไม่เจอ แต่ถ้าเจอเมื่อไหร่ละก็ผมจะเข้าบอกให้เขาร่าผมนน่ะชอบเขามากๆ และอยากเป็นแฟนด้วย ไม่รอเกือบปีอย่างเจ้านายหรอก”
“ทำให้ได้ละกัน”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะครับ”
“พี่มาร์คคะ”
“จะ..น้องข้าวเป็นอะไรรึเปล่าดูกลุ้มๆ อยู่นะ” เขาถามภรรยาอย่างเป็นห่วง
“ข้าวเป็นห่วงลูกจังค่ะไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรรึเปล่า ตั้งแต่ที่ไปก็แปดเดือนแล้ว ไม่ยอมแม้แต่จะโทรมาเลยนะคะ”
“นั่นก็อยู่ในกฎด้วยนะว่าห้ามโทรมาหรือขอความช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้นกับพ่อและแม่น่ะ”
“ข้าวรู้ แต่น่าจะโทรมาบ้างนะคะให้รู้ว่าสบายดีก็ยังดี”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูกสบายดี แม้จะไม่ยอมซื้อรถก็ตามทีเถอะ”
“ทำไมคะ?..เงินไม่พอเหรอคะ?” เธอคิดว่าจากงานที่ทำก็น่าจะซื้อรถยนต์มาขับได้สบายอยู่แล้ว
“เปล่ารู้มั้ยว่ายัยอิ่มอยากได้รถสปอร์ตบอกว่าถ้าไม่ได้ก็นั่งโดยสารดีกว่าหรือไม่ก็หาคนขับรถรับส่งตัวเองซะ” เขาบอกภรรยาอย่างนึกขำลูกสาวที่ไม่ยอมซื้อรถเล็กๆ มาขับเพราะอยากได้รถสปอร์ตนั่นเอง
“จริงๆ เลยลูกคนนี้นี่...ขนาดเจ็บอย่างนั้นยังไม่เข็ดอีก...พี่มาร์คคะ...”
“ว่าไงจ้ะ..” มองภรรยาอย่างหวานซึ้ง
“จะผิดกฏมั้ยคะถ้า...เราส่งรถไปให้ลูกน่ะค่ะ?”
“เอ..อันนี้ไม่มีในกฎนะว่าห้ามส่งรถไปให้นอกจากห้ามซื้อรถด้วยเงินก้อนที่ให้ติดตัวไปเท่านั้นเอง”
“งั้น....นะคะ” เขย่าแขนสามีอย่างอ้อนๆ เธอไม่อยากให้ลูกสาวนั่งโดยสารอีกแล้ว ไหนจะเวลาที่เลิกงานดึกๆ อีกละ...
“ยัยอิ่มจะได้สบายน่ะซิ”
“นะ...ข้าวไม่อยากให้ลูกนั่งโดยสารอีก อันตรายจะตายไป แค่รถคันเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เมืองไทยขับรถเร็วไม่ได้หรอกค่ะ เพราะรถติดจะตาย”
“เอ้า..เอางั้นเลยเหรอ?” “ค่ะเอาอย่างนี้ละ จัดการให้ด้วยนะคะ”
“ก็ได้จ้ะ พี่จะให้เขาจัดการให้แล้วกันนะ”
“รักพี่มาร์คที่สุดเลย...” เธอหอมแก้มสามีอย่างขอบคุณที่ตามใจเธอในที่สุด “แหมก็รู้อยู่ว่าพี่ไม่เคยขัดใจน้องข้าวอยู่แล้ว” เขาหอมแก้มเธอกลับ
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ว้าว! ยัยอิ่มอะไรกันนี่ย!?” วิชญาดาร้องอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็เห็นเพื่อนสาวขับรถพอร์ชสีเขียวอ่อนเข้ามาในที่จอดรถของบริษัท
“เปล๊า...อภินันทนาการจากผู้ให้กำเนิดน่ะ ท่านคงสงสารมั้ง...เห็นอิ่มไม่ยอมซื้อรถซักทีน่ะ”
“เห...ใจดีจังอะ...” มองูรถที่เพื่อนบอกว่าพ่อแม่ให้นั้นอย่างทึ่งจัด นี่เพื่อนเธอเป็นใครกันเนี่ย
“อย่าสงสัยเลย เพราะแกไม่มีวันรู้หรอกจนกว่าจะถึงเวลา” ดักอย่างรู้ทันความคิดเพื่อนที่มองาทางเธออย่างครุ่นคิด
“บอกหน่อยไม่ได้เหรออิ่ม”
“ไม่อะ...ไปเข้าบริษัทเถอะเดี๋ยวสายนะ” จับมือเพื่อนให้ออกเดินออกไปจากตรงนั้นทันที เพราะอยากให้เพื่อนหลุดไปจากตรงนี้เสียที
“ต้าย! ภาเธอรู้มั้ยทำยังไงถึงจะได้รถคันหรูอย่างนั้นน่ะ” นาราประชาสัมพันธ์สาวถามเพื่อนคู่ซี้ทันทีที่เห็นว่ามนปริยาเดินเข้ามาด้านหน้าบริษัท
“เอ...อย่างนี้ต้องใช้มารยาหญิงเยอะๆ หน่อยนะ คงมีเสี่ยหน้าโง่ซักคนหลงกลหรอก” มนปริยาและวิชญาดาหยุดยืนที่หน้าเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ทันทีเมื่อคำพูดลอยกระทบเข้าหูเธอ หญิงสาวทั้งคู่จ้องไปที่เคาเตอร์อย่างดูถูก
“วิชชี่แกว่ามั้ยคนเราถ้ามันมันมีความคิดเลวๆ ทำยังไงมันก็เลวนะ คงแก้ไม่หายหรอก ตัวเองทำแล้วคิดว่าคนอื่นเขาต้องเป็นเหมือนตัวเองรึไงกัน แค่รถคันเดียวถ้าอยากจะซื้อนะฉันซื้อได้สบายอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อของแค่นี้หรอกมันเปลืองตัว” ก่อนจะเดินห่างออกไป
“กรี้ด! แกว่าใครนังอิ่ม...” กรีดร้องอย่างโกรธจัดที่โดนพาดพิงถึง สร้างความสนใจกับทุกคนที่เดินเข้ามารวมทั้งจิณณ์วัตรด้วยที่มองทั้งสี่คนอย่างสนใจ “ฉันเอ่ยชื่อใครรึยังละ!?” หันกลับมามองหน้าอย่างกวนๆ
“ฉันรู้ว่าแกว่าฉัน”
“อยากรับก็เรื่องของเธอซิ แล้วจะบอกอะไรให้อย่างแค่รถคันไม่กี่บาทน่ะฉันมีปัญญาซื้อเองได้ไม่ต้องให้เสี่ยหน้าโง่ที่ไหนมาประเคนให้หรอกยะ” จิณณ์วัตรได้ยินที่มนปริยาเอ่ยอย่างชัดเจนคงเป็นเรื่องรถที่เธอขับมาวันนี้แน่ๆ เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ารถเธอได้มาอย่างไรกัน และเมื่อเขาได้ยินเธอบอกอย่างนี้เขาก็ไม่สงสัยเลย
“ได้ยินอย่างนี้ถึงกับยิ้มออกเลยเหรอครับเจ้านาย” เนติธรถามอยู่ด้านหลังอย่างเย้าแหย่ เมื่อเห็นเจ้านายถึงกับยิ้มได้หลังจากที่เดินหน้าบึ้งมาตลอดตั้งแต่ที่จอดรถ
“อะไร! ใครบอกว่าฉันยิ้ม?....” เขาถามกลับเสียงดังกลับเกลื่อนความขัดเขินที่โดนจับได้
“อย่าปิดเลยครับผมรู้หรอกว่าดีใจแค่ไหนที่รู้ว่ารถเธอได้มายังไงน่ะ”
“เออ..รับก็ได้”
“นังอิ่ม...แกอย่าคิดนะว่ามันจะจบแค่นี้น่ะ แกกับฉันยังต้องเจอกันอีกนาน” ลดระดับเสียงให้เบาลงเมื่อเธอเหลือบไปเห็นจิณณ์วัตรเดินเข้ามาในบริษัทแล้ว
“ฉันจะรอนะ...บาย” มนปริยาเดินออกไปอย่างยิ้มแย้ม ผิดกับสองสาวที่มองตามร่างบางอย่างเข่นเขี้ยว และเคียดแค้น ทั้งที่เธอคิดว่าเรื่องที่เธอทำอยู่นั้นไม่มีทางที่จะมีใครรู้แน่นอน เพราะเธอหวังไกลกว่านั้น
“อิ่ม..ไม่พูดแรงไปหน่อยเหรอ?” วิชญาดาถามเมื่อมาที่โต๊ะกันแล้ว
“เรื่อง?”
“ก็...เมื่อกี้ไง..”
“อ๋อ..ไม่นี่...ถ้าไม่เอาคืนซะบ้างสองคนนั้นก็จะได้ใจอย่างนั้นน่ะต้องเกลือจิ้มเกลือท่านั้น หงอเป็นนางเอกนิยายไม่รอดหรอกเดี๋ยวจะโดนข่มจมดินเชียวละ”
“แต่ฉันว่าเรื่องมันจะไม่จบน่ะซิ” บอกอย่างกังวล กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าเท่านั้นเอง
“แล้วสองคนนั้นจะได้รู้ว่าฉันก็ร้ายเป็นไม่ใช่ดีแต่ปากด้วยเวลาฉันเอาจริงน่ะน่ากลัวน้า..” หันไปทำตาวิบๆ ใส่เพื่อนสาว
“แต่...สองคนนั้นมีคนหนุนหลังอยู่นะ” เธอหมายถึงผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่เข้าข้างลูกน้องไม่ลืมหูลืมตา
“เอ้า...จะกลัวอะไรเราก็มีเหมือนกันนี่นา”
“ใคร?”
“ก็...พี่ชลไงละ ใหญ่เหมือนกันจะกลัวทำไมเขากล้างัดกับเราก็เจอหัวหน้าเหมืนกันแต่ก่อนจะเจอพี่ชลคงต้องเจอฉันก่อนละ
“แก...น่ากลัวนะ เห็นท่าทางน่ารักน่าทนุถนอมอย่างงนี้น่ะ ฉันละดีใจแทนหนุ่มๆ ที่รอดจากแกไปเหลือเกิน”
“ขอบใจ” หันมารับหน้าระรื่นอย่างไม่เดือดร้อน เพราะเธอก็ไม่ได้ชอบใครนี่นา
“ว่าแต่เห็นท่านประธานแล้วเมื่อวานแล้วเป็นไงบ้าง ใจเต้นแรงรึเปล่า?”
“แล้วไหงอยู่ดีๆ มาถามเรื่องนี้ได้ละ?” ทำหนาเอ๋อๆ ใส่เพื่อน
“เปล่า..แค่อยากรู้ว่าท่านประธานน่ะหล่อเร้าใจขนาดนั้นอยากรู้ว่าแกจะหลงเสน่ห์ท่านรึเปล่าน่ะซิ”
“ไม่รู้ดิ...บอกไม่ถูกหรอก เจอหน้าแค่ครั้งเดียวเอง แล้วเขาก็เป็นถึงประธานบริษัทคงไม่มาสนใจพนักงานระดับธรรมดาอย่างเราหรอกนะ อย่าเพ้อเจ้อเลย” ดีดนิ้วที่หน้าผากเพื่อนแรงๆ หนึ่งที
“โอ้ย! ยัยอิ่ม! มันเจ็บนะ”
“รู้...ก็อยากให้แกตื่น....ต้องทำอย่างนี้ละ”
“ไม่ต้องเลย งานแกเสร็จรึยัง? ที่บอกว่าจะส่งให้ลูกค้าน่ะ”
“เสร็จแล้ว แกไม่ต้องห่วงหรอกน่ารับรองลูกค้ารายนี้ไม่หลุดมือแน่นอน” บอกอย่างมั่นใจ
“ดูแกมั่นใจเหลือเกินเลยนะ” วิชญาดากอดอกมองหน้าเพื่อนสาวอย่างสงสัยว่ามนปริยาไปเอาความมั่นใจที่จะให้ลูกค้ายอมซื้อของด้วยได้อย่างไร ในเมื่อตลอดมาที่นี่แทบไม่สั่งของเลยด้วยซ้ำ
“เอาน่ายัยวิชชี่อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิ ไม่เชื่อคารมของฉันรึไง”
“เชื่อ แต่แกจะแน่ใจได้ยังไง”
“เถอะรอฟังผลเอาละกัน ไม่นานหรอก เดี๋ยวฉันไปด้านบนนะเห็นว่าฉันโดนเรียกละแก” บอกเรียบๆ อย่างมั่นใจว่าอย่างไรงานนี้เธอก็จะได้โรงพยาบาลณิชพรเป็นลูกค้ารายใหญ่อย่างแน่นอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น