ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใจเอย... [จบ]

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ ๙

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 54


    เอาตอนใหม่มาแปะ ต้อนรับน้ำท่วมค่ะ แหะๆ

    % ====================

    ลมเย็นชื้นของยามเช้าพัดผ่านไป

    เส้นผมยาวที่ถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย ถูกลมพัดให้ปลิวข้ามไหล่กว้างมาที่ด้านหน้า

    วสวัตติ์ปัดเส้นผมของตนให้กลับไปห้อยระแผ่นหลังดังเดิม สายตาองเขามองออกไปตามทางเดินเบื้องหน้า ทว่าภาพที่เห็นซ้อนทับเส้นทางกลับเป็นภาพของหญิงสาวนัยน์ตาคมสวยกับเพื่อนของเขา

    เมื่อคืน ก่อนจะออกจากห้องพักของศาสตราที่โรงพยาบาล คนเจ็บฝากให้เขาช่วยมาบอกคณินทร ประธานชมรมฟุตบอล เรื่องอาการบาดเจ็บของตน หากแต่ยังย้ำไม่ยอมให้เขาเล่าถึงสาเหตุ หลังจากนั้น เขากับเพื่อนที่เหลือ ก็พากันกลับบ้านพัก โดยไม่มีใครพูดอะไรเลยตลอดทาง

    บางทีอาจเป็นเพราะแต่ละคนต่างกำลังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับศาสตรา กำลังนึกภาวนาให้เพื่อนหายทันได้ลงแข่งในงานกีฬามหาวิทยาลัย หรืออาจจะนึกสงสารเห็นใจเพื่อน แต่สำหรับวสวัตติ์...ไม่ใช่เพียงแค่นั้น

    เขายังคิดไปถึงรมัณยาด้วย

    ...ถ้าชอบรมัณยาก็มาแข่งกัน... คำพูดของรามภณยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท มันดังซ้ำไปซ้ำมา ราวกับจะตอกย้ำให้เขาเลือก ระหว่างเพื่อนที่คบกันมานาน หรือเธอที่เพิ่งพบ แต่กลับมีอิทธิพบต่อความรู้สึกของเขาอย่างมากมาย

    เขายังเลือกไม่ได้...หากจะถามตอนนี้ ว่าใครสำคัญกว่ากัน เขายังตอบไม่ได้

    ความรู้สึกสับสน ความคิดที่ขัดแย้ง ภาพของรามภณ ภาพของรมัณยา ต่างประดังเข้ามาราวกับภาพหลอน ซ้อนทับกับใบหน้าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

    รอยยิ้มหวาน มีเสน่ห์ ซ้อนทับกับรอยยิ้มของหญิงสาวที่เบื้องหน้าได้พอดิบพอดี...

    "เดินเหม่อเชียว มัวแต่คิดอะไรอยู่"

    เสียงทักใสๆ กับรอยยิ้มสวย ตอกเท้าของเขาให้ตรึงอยู่กับพื้นทางเดิน หน้าอาคารกิจกรรม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคิดจนยุ่งเหยิงเมื่อครู่ กลับคลายลง เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขึ้นมาทันที

    ...ไม่ใช่เสแสร้ง แต่ยิ้มอย่างยินดี ราวกับหญิงสาวตรงหน้านั้นเป็นน้ำเย็นชื่นที่ราดรดดับกองไฟระอุกรุ่นในอกของเขา

    "รมัณยา..." เขาครางเสียงเบา แล้วมองใบหน้าสวยหวานนิ่ง ราวกับถูกมนต์สะกด

    "ใช่ เราเอง" หญิงสาวตอบ ทว่าเมื่อเห็นเขานิ่งไปเช่นนั้นจึงพูดขึ้นอีกครั้ง ด้วยเสียงดังกว่าเดิมอีกเล็กน้อย "เฮ้ ได้ยินรึเปล่า"

    "หา! เอ่อ ว่าไงนะ"

    รมัณยาหัวเราะออกมาเล็กน้อย "เราถามว่า มัวแต่คิดถึงสาวที่ไหนอยู่"

    "เฮ้ย! เปล่า" ปากเขาปฏิเสธ แต่ความจริงหัวใจแทบวูบหาย...อยากรู้นัก เธอมีความสามารถอ่านความคิดเขาได้อย่างไร

    "จริงเหรอ" เธอถามพร้อมกับมองเขาด้วยดวงตาราวกับจะค้นลึกเข้าไปในหัวใจ จนชายหนุ่มต้องเบือนหลบสายตา ทำใจก่อนจะหันกลับมาจ้องตอบ ด้วยสีหน้าจริงจัง

    "จริง..."

    รมัณยาเลิกคิ้วเล็กน้อย แปลกใจกับความหนักแน่นในน้ำเสียงจนเกินพอดี ทั้งที่เธอเพียงแค่หยอกเล่นเท่านั้น

    "เอ่อ...เชื่อก็ได้" เธอพูดแก้เก้อ จากนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องถาม "แล้วมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ"

    "กำลังจะไปสนามฟุตบอล ไปบอกเรื่องศาสตราน่ะ"

    "ไปด้วยสิ เราก็อยากรู้เหมือนกันว่า ประธานชมรมนั้นจะทำยังไงกับพวกสิโรตม์"

    วสวัตติ์ถอนหายใจเฮือก "ศาสตรามันให้บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ ไม่ให้พูดถึงพวกสิโรตม์เด็ดขาด"

    "เอ๊ะ!" เธออุทานอย่างแปลกใจ ต่อเมื่อมาคิดดู เธอก็พอจะเข้าใจ คนเก่งอย่างสิโรตม์ ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ยิ่งโดยเฉพาะใกล้แข่งแบบนี้ ยิ่งต้องใช้คน

    ทว่าระหว่างทางที่เดินนำวสวัตติ์ผ่านประตูรั้วเข้าไปในสนามฟุตบอล รมัณยาก็ชะงักเท้าขึ้นมากระทันหัน ทำให้ร่างใหญ่ชนเข้ากับร่างบอบบางของเธอ จนเซถลาไปข้างหน้า และเกือบจะล้มลง ทว่าวสวัตติ์รวบคว้าเอวบางไว้ได้ก่อน

    หญิงสาวหันกลับไปมองใบหน้าคมได้รูปที่อยู่ใกล้แค่คืบ มองอย่างพิจารณาทุกสัดส่วน ทั้งดวงตาเรียวที่มีแววของความเข้มแข็งทรนง จมูกโด่งเป็นสันได้ส่วนกับริมฝีปากบางที่กำลังเผยอพูดกับเธออยู่ในขณะนี้

    "ขอ...ขอโทษ..." เขาบอกเสียงเบา ทว่าเสียงหัวใจกลับเต้นแรงจนแทบจะดังออกมาแทนที่

    "ไม่เป็นไร" หญิงสาวบอก พร้อมกับรอยยิ้ม แล้วค่อยขยับยืนเต็มเท้า จากนั้นจึงดึงแขนแข็งแรงข้างนั้นออกจากเอวของเธอ "พอดี เราคิดว่าน่าจะบอกความจริงเรื่องสิโรตม์ไปดีกว่า"

    วสวัตติ์ย่นคิ้วเป็นเชิงถาม

    รมัณยาจึงยักไหล่เล็กน้อย ถึงเธอจะเข้าใจความคิดของศาสตรา แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง

    "เราว่า ปล่อยไปแบบนี้มันไม่ยุติธรรม พวกสิโรตม์ทำแบบนี้ก็ควรจะถูกลงโทษ ส่วนจะตัดสินจำคุกหรือรอลงอาญาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"

    "มันก็จริง ถ้าฉันเป็นประธานชมรมฟุตบอล ฉันก็คงจะแค่ภาคทัณฑ์เอาไว้ก่อน"

    "เห็นมั้ยล่ะ" เธอพูดยิ้มๆ ปรายหางตามองเขาอีกเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวกลับ แล้วออกเดินนำไปจนถึงจุดหมาย

    ทันทีที่คณินทรรู้เรื่องเข้า เขาก็เกิดหัวเสียขึ้นมาทันที เขาสู้อุตส่าห์เตือนศาสตราหลายต่อหลายครั้งแล้ว ว่าให้ระวังตัว เพราะเขาเลือกให้ศาสตราเป็นกัปตัน นำทีมเข้าแข่งในกีฬามหาวิทยาลัยประจำเขต แต่สุดท้ายก็ยังปล่อยให้เรื่องเกิดขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้จัดการทีม เขาก็ต้องเห็นประโยชน์ของทีมมาก่อน เขาบอกกับวสวัตติ์และรมัณยาว่า จะสอบสวนเอาความในภายหลัง เมื่อการแข่งขันผ่านพ้นไปแล้ว

    วสวัตติ์ออกมายืนพิงรั้วสนาม ถอนใจอย่างโล่งอก รมัณยาเห็นท่าทางสบายใจของเขาจึงได้ที ลอยหน้าพูดขึ้น

    "เห็นมั้ยล่ะ บอกไปน่ะ ดีกว่า"

    "จ้า...ดีจ้า" ชายหนุ่มลากเสียงตอบด้วยความหมั่นเขี้ยว อยากดึงเธอเข้ามา แล้วขยี้ผมยาวสวยนั้นให้ยุ่งเหยิง

    หญิงสาวยิ้ม ช้อนดวงตามองใบหน้าเขา พิจารณาไปถึงรูปร่างสูงใหญ่ และท่อนแขนที่แข็งแรง

    "จริงสิ นายอยู่ชมรมยิงธนูใช่มั้ย" เธอถามขึ้นในที่สุด

    คนถูกถามแปลกใจ แต่ยังพยักหน้าตอบ แล้วรอฟังคำถามต่อไป ทว่าหญิงสาวยังไม่ถามในทันที เพียงแต่คิดอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจนัก

    "เป็นแบบวาดรูปให้หน่อยสิ"

    "หา!"

    "คือ เราอยากวาดรูปนายตอนที่กำลังง้างธนูแบบนี้น่ะ" เธออธิบายพร้อมกับทำท่าทางประกอบ

    "เอ่อ...ไม่ดีกว่า" วสวัตติ์ส่ายหน้า เบือนหันไปอีกทาง แม้ใจจริงจะรู้สึกตื่นเต้นยินดี แต่ความรู้สึกกระดากมีมากกว่า ทำให้เขาตัดสินใจปฏิเสธ

    "ทำไมล่ะ จะบอกว่าต้องซ้อมล่ะสิ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เราไม่กวนเวลาซ้อมของนายหรอก" เธอพูดดักคอ ทำเอาเขาพูดไม่ออก

    "เอ้อ..."

    "ตกลงนะ" เธอย้ำ พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ให้หัวใจคนถูกถามสั่นจนคุมไม่อยู่

    วสวัตติ์เบือนหน้าหลบ รวบรวมสติตัวเองก่อนหันกลับมาอีกครั้ง ทว่าเมื่อหันกลับมา ยังคงสบกับสายตาคมที่จ้องมาอย่างมุ่งมั่น เขาจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพยักหน้ารับ

    % ###

    คำพูดของภวาภพเมื่อค่ำวานยังวนเวียนอยู่ในความคิดของรามภณ ราวกับเกลียวคลื่นที่ม้วนสาดซัดหาดทราย ระลอกแล้วระลอกเล่า

    ...เอ็งก็ควรจะทำอะไรให้มันชัดเจน ไม่อย่างนั้น คนที่จะต้องเสียใจ ไม่ได้มีแค่เอ็งกับพวกเธอ...

    รามภณถอนหายใจเฮือกใหญ่...ชัดเจน ที่เขาทำอยู่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ เขาไม่เคยตอบรับความท่าทีที่มายาวดีแสดงออกมาเลย และไม่เคยปฏิบัติต่อนฤตยาเกินกว่าความเป็นเพื่อน ที่เขาให้ความสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็มีเพียงรมัณยาเท่านั้น

    ...ไม่เข้าใจ จะให้คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ นอกจากตัวเขาเอง นอกจากพวกเธอแล้ว ยังมีใครอีกที่ต้องเสียใจ

    "เพื่อนบาดเจ็บจนต้องมานั่งกลุ้มอยู่ตรงนี้เลยเหรอ" เสียงทักจากชายหนุ่ม ดังมาจากทางด้านหลัง

    รามภณหันไปตามเสียง จึงพบจิรัชย์ยืนมองเขาด้วยสายตาเยาะหยันอยู่บนบันไดทางลงสู่ชายหาด

    "ว่าไง ได้ยินว่าต้องเข้าเฝือกเลยนี่" จิรัชย์ยังคงถามไถ่อาการเพื่อนของเขา ทว่าน้ำเสียงไม่ได้แสดงความเห็นใจแม้แต่น้อย

    รามภณไม่ตอบ ไม่มีความจำเป็นต้องตอบ เขาเพียงจ้องจิรัชย์นิ่ง มือทั้งสองกำแน่นอยู่ข้างตัว

    "แกต้องการอะไร"

    จิรัชย์เลิกคิ้ว พร้อมกับเหยียดยิ้มออกอย่างพอใจในปฏิกิริยาของคนตรงหน้า

    "เรื่องไอ้ศาสตรา ไม่ใช่ความต้องการของฉัน สิโรตม์ต่างหากที่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น ไอ้ที่ฉันต้องการ ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย"

    คนถูกยั่วยุกัดฟันกรอด เขาไม่เคยโกรธแค้นมากมายปานนี้มาก่อน สำหรับรามภณแล้ว เขามักไม่หงุดหงิดพาลใส่ใครง่ายๆ หากเรื่องนั้น ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย!

    แม้เรื่องในคราวนี้ จิรัชย์จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่เขาเชื่อว่า จิรัชย์จะต้องมีส่วนรู้เห็น ไม่อย่างนั้น สิโรตม์ก็คงไม่กล้าทำถึงขนาดนี้

    "ที่แกต้องการ แกก็ไม่มีทางได้ไปง่ายๆ แน่นอน" รามภณขยับมุมปากยกขึ้นนิดหนึ่ง "แล้วฉันก็เชื่อว่า แกหมดโอกาสแล้ว!"

    แน่นอน จิรัชย์หมดโอกาสแล้ว ในเมื่อรมัณยารู้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วย รู้เห็นความเลวร้ายของเขา แล้วเขายังจะมีโอกาสอีกหรือ

    รอยยิ้มของจิรัชย์เมื่อครู่ หุบลงทันที เขามองมาที่รามภณอย่างอาฆาต ทว่าก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อไป เสียงดนตรีจากโทรศัพท์ของรามภณก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

    รามภณดูชื่อบนหน้าจอ แล้วยิ้มออกมาอีก เขายกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู แล้วแกล้งพูดทักทายคนที่ปลายสายเสียงดัง

    "มายาวดี มีอะไรเหรอจ๊ะ...อ๋อๆ จ๊ะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ" เขากดตัดสัญญาณโทรศัพท์ แล้วหันมาบอกกับคู่สนทนา

    "ฉันไม่ว่างคุยด้วยแล้ว มายาวดีโทรมาตามไปชมรม" เขาว่า พลางเดินขึ้นบันไดกลับไปยังอาคารกิจกรรม โดยมีสายตาของจิรัชย์ มองส่งเขาด้วยความเกลียดชัง

    % ###

    วันนั้นคงเป็นวันที่อาคารผู้ป่วยในของโรงพยาบาลครึกครื้นเป็นพิเศษ เพราะนอกจากเมื่อตอนบ่าย จะมีเพื่อนๆ ในชมรมฟุตบอลแวะมาเยี่ยมอาการของศาสตราแล้ว ในตอนเย็น รมัณยายังพานภสินธุ์ วีรินทร์ และตฤษณะมาด้วย

    ดังนั้นเมื่อพวกรามภณไปถึง จึงได้พบพวกเขาทั้งสี่คน

    ศาสตรามองไปที่คนทั้งหมด...เพื่อนของเขา คนที่เขารู้จัก ต่างก็มาเยี่ยม มาให้กำลังใจเขา ทว่าจะไม่เห็นก็แต่...นฤตยา

    คนเจ็บปั้นยิ้ม ทักทายเพื่อนทุกคน หากแต่ใครจะรู้ เบื้องหลังรอยยิ้มนี้ แฝงความเจ็บปวดใดไว้บ้าง

    ภวาภพเดินไปยืนที่ข้างเตียงคนไข้ แล้วตบบ่าเพื่อนเบาๆ

    "ยาคงยังไม่รู้ ไม่มีใครบอกยา"

    "ไม่ต้องบอกหรอก พรุ่งนี้ข้าก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว" ศาสตราว่า แล้วหันไปทางรามภณ "ไอ้ภณ พรุ่งนี้ข้าออกแล้ว มารับข้าด้วยนะ"

    "ได้อยู่แล้ว" รามภณยิ้มรับ

    "ขอบใจ" ศาสตราบอก

    "พวกนายนี่รักกันดีจังนะ" วีรินทร์พูดขึ้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า "เราสงสัยจัง จะมีอะไรมาทำให้พวกนายแตกคอกันได้รึเปล่า"

    นั่นสิ จะมีหรือ...วสวัตติ์หันมองรมัณยานิดหนึ่ง นึกถึงเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมาแล้วให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เขารู้ว่ารามภณชอบรมัณยา และเขาเองก็ชอบเธอ ทว่าเธอกลับมาขอให้เขาเป็นแบบให้เธอวาดรูป

    เขาไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง หากแต่การกระทำของเธอช่างชวนให้คิด

    "ไม่มีทาง" เสียงรามภณดังแทรกห้วงคำนึงของเขาขึ้นมา "คบกันมาตั้งหลายปีแล้ว ยังไม่เคยทะเลาะกันเลย จะมีก็แค่เถียงกัน เป็นปกติ"

    ใช่แล้ว พวกเขาจะมีก็แค่เถียงกันบ้าง เนื่องจากที่ผ่านมา พวกเขาเปิดใจคุยกันในทุกเรื่อง...ทุกเรื่อง ยกเว้นเพียงเรื่องเดียว

    ...เรื่องของหัวใจ

    % ###

    ศาสตรานอนเฝ้าโรงพยาบาลอยู่สองคืนก็กลับมานอนเฝ้าบ้านต่อ หลังจากที่รามภณไปรับตัวมาจากโรงพยาบาล ในช่วงสายของวันต่อมา

    ทว่าศาสตราผู้ไม่เคยอยู่นิ่ง เมื่อต้องพักอยู่กับบ้านเฉยๆ จึงแก้เบื่อด้วยการใช้ไม้ค้ำยันพยุงตัว เดินกะโผลกกะเผลกเสียทั่วบ้าน ในระหว่างที่เพื่อนๆ ผู้แสนดีทั้งหลายทิ้งเขาไปมหาวิทยาลัยกันหมด

    เขาเดินผ่านห้องนั่งเล่น เข้าไปในครัวที่ดูไม่ค่อยเหมือนครัว ด้วยมีเพียงอุปกรณ์เครื่องใช้พื้นฐาน อย่างตู้เย็น ไม่โครเวฟ กระติกต้มน้ำ และ...ลังบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีบะหมี่เหลืออยู่ไม่กี่ซอง

    "จะอดตายมั้ยวะเนี่ย" ศาสตราบ่นกับตัวเอง แล้วก็คว้าบะหมี่มาซองหนึ่ง รินน้ำใส่ชาม ต้มในไมโครเวฟ แล้วจึงแกะบะหมี่ใส่ลงไป จากนั้นจึงค่อยยกออกจากครัวมาตั้งไว้ที่โต๊ะเตี้ยหน้าโทรทัศน์

    ทว่าก่อนที่บะหมี่จะพองพอดีกิน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน

    ศาสตรายันไม้ค้ำเดินกะโผลกกะเผลกไปเปิดประตู เข้าแง้มมู่ลี่มองผู้มาผ่านกระจกที่ประตูก่อน เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงกุลีกุจอบิดลูกบิดประตู เปิดออกต้อนรับ

    "ยา มาได้ยังไงน่ะ" เขาร้องถามอย่างแปลกใจ

    "มีคนมาส่งน่ะสิ" เธอว่าพร้อมกับรอยยิ้ม "ขอโทษนะ ที่ไม่ได้กดออกตรงหน้ารั้ว พอดีได้ยินว่าขาเธอเจ็บ ก็เลยไม่อยากให้เดินมากน่ะ"

    เธอหารู้ไม่ แม้จะอยู่ในบ้าน ศาสตราก็เดินมากได้เหมือนกัน

    นฤตยาก้าวเข้ามาในบ้านพร้อมกับถุงกับข้าวในมือ เธอหย่อนมันไว้บนโต๊ะเตี้ย ข้างชามบะหมี่กู้ชีพของศาสตรา

    "ตายจริง! เธอจะกินบะหมี่นี่น่ะเหรอ"

    ศาสตรายิ้มเขิน... ความจริงในรอยยิ้มนั้นไม่ได้มีแค่ความเขินอาย หากแต่ยังแฝงไว้ด้วยความดีใจและโล่งใจ... ดีใจที่เธอมา และโล่งใจที่เธอไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลีดเขา จากเหตุการณ์เมื่อวันนั้น วันที่เขาบึ่งไปหาเธอทันที หลังจากได้รับข้อความของเธอ...ในโทรศัพท์ของรามภณ

    "ไม่เอาล่ะ ฉันไปทำอะไรให้กินดีกว่า" หญิงสาวว่า แล้วหิ้วถุงกับข้าว เดินเข้าไปในครัว

    % ###

    "เอ็งว่าไงนะ!" ธาวินโพล่งเสียงดังจนคนถูกถามต้องเอานิ้วอุดหู "เอ็งพูดใหม่อีกทีซิ ข้าไม่อยากเชื่อว่ะ"

    "ทำไม ข้าจะชวนพวกเอ็งไปบันนี่บ้างไม่ได้รึไง" ภวาภพถามกลับเสียงเรียบ

    "ได้...แต่แปลก คนอย่างเอ็งเนี่ยนะ อยากเที่ยว คิดยังไงวะ" วสวัตติ์ถามขึ้นบ้าง

    "ก็แค่อยากไป แล้วจะไปกันได้รึยัง"

    รามภณที่คิดจะอ้าปากถาต่อ จึงไม่มีโอกาส เนื่องจากภวาภพออกเดินนำไปที่รถเสียแล้ว

    เมื่อโผล่มาถึงที่ผับ พวกเขาไม่แปลกใจเลยที่ภายในผับจะแน่นไปด้วยผู้คน พวกเขารู้อยู่แล้ว ว่านักดนตรีที่นี่ ดึงดูดลูกค้าได้ดีขนาดไหน หากแต่ที่พวกเขาไม่รู้คือ หลังจากที่พวกเขาจับจองที่นั่งในมุมด้านหนึ่งของร้านแล้ว ที่หน้าประตู ยังไม่คนที่พวกเขาคุ้นเคย ก้าวเข้ามาภายในร้านด้วย

    จิรัชย์ไม่ใช่คนชอบเที่ยว เขาไม่ค่อยได้มาในสถานที่เช่นนี้ หากแต่หลังจากงานละครจบลง เขาก็แทบไม่ได้พบรมัณยาอีกเลย ทางเดียวที่จะทำให้เขาได้พบเธอ คือมาที่นี่

    ชายหนุ่มจับจองพื้นที่ว่างใกล้บาร์เครื่องดื่มได้แล้ว ก็นั่งลง สั่งเครื่องดื่มเย็นๆ จิบไปพลางรอเวลาที่เขาจะได้เห็นเธอบนเวที

    เขาไม่ต้องรอนานนัก เสียงลองเครื่องดนตรีก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องของคนภายในผับ

    เสียงดนตรีผ่านเครื่องขยายเสียงดังไปทั่วบริเวณ แต่ไม่มีใครรู้สึกหนวกหูหรือรำคาญ เว้นแต่เพียงคนที่ไม่ชอบความอึกทึกอย่างภวาภพเท่านั้น เขากำลังพยายามอดกลั้นต่อเสียงที่ดังจนกลบเสียงอื่นหมดสิ้น รวมทั้งแสงไฟที่วูบวาบจนแสบตา

    เสียงดนตรียังดังกลบเสียงโทรศัพท์ของพวกเขาไปด้วย ชายหนุ่มทั้งสี่ ไม่มีใครรับโทรศัพท์ของศาสตราเลย แม้ว่าเขาจะพยายามโทรด้วยความร้อนใจเพียงใดก็ตาม

    % ###

    "ใจเย็นๆ นะยา เดี๋ยวจะลองโทรใหม่อีกที" ศาสตราหันไปปลอบหญิงสาว เมื่อกดตัดสัญญาณจากการพยายามติดต่อครั้งล่าสุด

    "ไม่เป็นไรหรอก ยากลับเองก็ได้" หญิงสาวบอกพร้อมกับรอยยิ้ม ทว่าในดวงตาของเธอนั้น กลับมีหมอกแห่งความกังวลบดบังอยู่บางๆ

    "ไม่ได้ๆ มันมืดแล้ว กลับคนเดียวได้ยังไง อันตราย"

    นฤตยาได้ยินดังนั้น จึงได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่ที่โซฟา ...ก็เพราะมันมืดแล้วน่ะสิ เธอถึงอยากกลับ ด้วยเกรงคนที่บ้านจะเอ็ดเอาอย่างคราวที่แล้วอีก

    ศาสตราเห็นหญิงสาวก้มหน้านิ่งเช่นนั้นก็กลัวเธอจะโกรธ อีกทั้งยังรู้ว่าเธอเป็นกังวล จึงคิดจะเอื้อมมือไปยึดกุมมือน้อยไว้เพื่อปลอบโยน ทว่าเขากลับต้องยับยั้งไว้เพียงแค่ความคิด ไม่อาจกระทำตามที่ใจปรารถนา

    "เอาอย่างนี้สิ" ศาสตราเสนอ "เดี๋ยวจะโทรไปบอกที่บ้านยาให้นะ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง"

    "ไม่ได้!" นฤตยาร้องห้ามขึ้นมาทันที "เอ่อ จะให้...จะให้พวกเขารู้ได้ยังไงล่ะ ว่ามาอยู่บ้าน...บ้านพวกเธอค่ำๆ มืดๆ แบบนี้น่ะ"

    ศาสตรามองท่าทีขัดเขินของหญิงสาวแล้วให้รู้สึกโล่งใจ ...เธอไม่ได้โกรธ

    "เปล่า ไม่ใช่ฉันโทร" เขาบอกเสียงอ่อนโยน "จะบอกให้ภารดีโทรต่างหากล่ะ มีภายืนยันแล้ว ที่บ้านเธอจะได้ไม่ต้องห่วงมากไง รายนั้นคงหาเหตุผลได้เก่งพอดูอยู่"

    คำพูดของเขา ช่วยระบายยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวจนดูสดใสขึ้นทันตา

    % ###

    เสียงดนตรีอึกทึกเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงเบาๆ ที่เปิดจากเครื่องเสียงภายในร้าน หลังจากที่เหล่่านักดนตรีทั้งสี่คนก้าวลงจากเวที

    ทันทีที่เห็นพวกเขาเดินลงมา จิรัชย์ก็ปรี่เข้าไปหา

    "เพลงเพราะมากเลยนะ รมัณยา" เขาทักหญิงสาวที่ตัวเองหมายตาไว้ทันที โดยไม่มีตามองเพื่อนๆ ของเธอเลยด้วยซ้ำ

    รมัณยายิ้มขอบคุณตามมารยาทนิดหนึ่ง จากนั้นจึงได้ยินเสียงวีรินทร์ทักทายคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนั่งจับกลุ่มกันในที่ห่างออกไป

    "เฮ้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ว่าแต่ ทำไมวันนี้ภวาภพถึงมาได้ เห็นพวกนี้เผาว่านายไม่ชอบที่แบบนี้ไม่ใช่เหรอ" สาวมือกลองแกล้งถามขึ้น

    ภวาภพทำหน้าตาย หันไปเหล่เพื่อนอีกสามคนที่พยายามกลั้นหัวเราะจนหุบยิ้มไม่ลง

    "คราวที่แล้วก็มา" เขาตอบสั้นๆ พลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ทำเอาคนถามยิ้มเจื่อน ตอบไม่ถูกเลยทีเดียว...ใช่แล้ว คราวที่แล้วเขาก็มา แต่เธอไม่ได้ตั้งคำถามแบบนี้ ที่เธอพูดออกไป ก็เพราะต้องการหันเหความสนใจของรมัณยากับจิรัชย์ต่างหาก

    "คราวที่แล้วถูกลากมา แต่คราวนี้มันเป็นคนชวนเองเลยนะ" รามภณช่วยแก้สถานการณ์ให้

    "จริงเหรอ อย่างนั้นก็เป็นเรื่องแปลกน่ะสิ" รมัณยาได้ที จึงสอดรับขึ้น ด้วยเธอต้องการปลีกตัวจากจิรัชย์ ซึ่งนั่นก็ได้ผล

    จิรัชย์เกิดอาการฉุนกึก จนกำหมัดทุบลงไปที่โต๊ะตัวหนึ่งโดยไม่ได้มองเลยว่า กลุ่มคนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น...เล่นด้วยไม่ได้

    "หาเรื่องเหรอวะ" ชายฉกรรจ์ ที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดลุกขึ้นถามเสียงเย็น พร้อมกับจ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

    ทว่าคำถามนั้น ไม่ได้ต้องการคำตอบ

    เมื่อจบคำถาม หมัดขวาซึ่งมีแหวนเงินสวมอยู่ที่นิ้วชี้และนิ้วกลางก็พุ่งตรงเข้าปะทะใบหน้าของจิรัชย์ทันที

    จิรัชย์ถึงกับหน้าหัน แว่นที่สวมอยู่ตกกระทบพื้น ดีแต่เลนส์เป็นพลาสติก จึงไม่ถึงกับแตก ทว่าที่แตกกลับเป็นโหนกแก้มซ้ายของเขาเอง

    ครั้นเมื่อจิรัชย์หันกลับมา ก็พบกับหมัดซ้ายของฝ่ายตรงข้ามอีก คราวนี้ซัดเข้าที่แก้มขวา ทำเอาตัวเขากระเด็นกระแทกโต๊ะทางซ้ายดังโครมคราม ก่อนจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้น

    พวกรามภณ และตฤษณะเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็จำได้ว่าเป็นจิรัชย์ จึงกรูกันเข้าแยกพวกเขาออก ทว่าพรรคพวกของฝ่ายตรงข้ามกลับไม่รามือง่ายๆ ดังนั้นแทนที่จะมาห้ามทัพกลับกลายเป็นการตะลุมบอนยกใหญ่

    ที่สุดกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย พวกเขาก็ได้แผลช้ำเลือดกันไปคนละจ้ำสองจ้ำ และการเที่ยวของพวกเขา ก็ต้องมาจบลงที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

    "เฮ้อ พวกนายนี่ เอะอะก็ใช้กำลัง แย่จริงๆ เลย" นภสินธุ์บ่นอุบ ระหว่างที่รอพยาบาลทำแผลให้จิรัชย์เป็นคนสุดท้าย

    "น้อยๆ หน่อย พวกเขาไม่เหมือนนายนี่ ไอ้..." วีรินทร์เกือบจะหลุดคำพูดบางอย่างออกมา ทว่ายั้งไว้ได้ทัน หากแต่ไม่ทันที่นภสินธุ์จะหันกลับมาจ้องเธอตาโต

    "นายกับเราก็มันก็พวกเดียวกันนั่นแหละ" เขาปิดท้ายด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะเดินไปทางจิรัชย์ซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากห้องทำแผล หนุ่มๆ ทั้งห้าคน กับอีกสองสาวจึงมองตามเป็นตาเดียว

    "อะไรวะ แค่นี้ทำงอนอย่างกับผู้หญิง" วสวัตติ์เปรยออกมาเบาๆ ให้รามภณ และภวาภพที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้กันเพียงสามคน

    "ไม่มีอะไรมั้ง อย่าคิดมากน่า" รามภณบอก ทว่ายังไม่ละสายตาไปจากชายหนุ่มหน้าสวย ที่กำลังเดินไล่ตามจิรัชย์ ซึ่งเดินหนีเขาอย่างรำคาญมาทางนี้

    ภวาภพเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า แต่เขาไม่พูดอะไรมาก เขาหันมองวีรินทร์แวบหนึ่ง เห็นเธอพยักเพยิดกับรมัณยา ให้เหลือบมองหนุ่มลูกครึ่งแวบบหนึ่ง แล้วพวกเธอก็พากันอมยิ้มมีเลศนัย

    พวกเธอคงรู้ความหมายในแววตาหมองของตฤษณะที่กำลังมองไปทางชายหนุ่ม เพื่อนร่วมวงดนตรีของตนในขณะนี้

    ...หากแต่ความรู้สึกในหัวใจ จะมีใครรู้ดีมากไปกว่าตัวของตัวเอง

    จิรัชย์เดินหนีนภสินธุ์มาจนถึงตรงหน้ารามภณ

    "เรื่องวันนี้ ฉันขอบใจ" เขาบอกด้วยท่าทีแข็งกร้าว เหลือบมองไปทางรมัณยานิดหนึ่ง "แต่เรื่องอื่น ฉันไม่เลิกราหรอกนะ"

    รามภณแม้มีท่าทีไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนจนต้องโพล่งออกมา กลับเป็นวสวัตติ์

    "แกจะเอายังไง" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แม้เบา แต่หนักแน่น

    "ไม่เอายังไง" จิรัชย์ตอบ แล้วหันมาทางรามภณอีกครั้งหนึ่ง "ฉันจะไม่ใช้วิธีแบบที่ใช้กับศาสตรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีวิธีอื่น" เขาทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น แล้วจึงหันมาทางรมัณยา

    เขามองหน้าเธอนิดหนึ่ง ทว่าสิ่งที่อยากพูดกับเธอ กลับไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ ดังนั้นจึงได้แต่ผละจากไปเงียบๆ

    "รมัณยา" นภสินธุ์พูดขึ้น "นายว่าเราทำอะไรผิดไปรึเปล่า ทำไมเขาต้องทำท่ารังเกียจเราขนาดนั้นด้วยล่ะ"

    รมัณยามองคนถามนิดหนึ่ง แล้วหันมองตฤษณะอีกแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยักไหล่เล็กน้อย ก่อนให้คำตอบ

    "นิสัยของผู้ชายมั้ง"

    "จริงเหรอ แบบนี้ต้องพิสูจน์" เขาบอก ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ร้าย จากนั้นจึงก้าวไปยืนตรงหน้ารามภณ จ้องหน้าเขา มองดวงตาของเขา ก่อนจะบอกออกมา

    "นายไม่เห็นจะทำท่ารังเกียจเราแบบนั้นเลยนี่" เขาว่า แล้วยิ้มสวยแบบที่น่าจะเป็นรอยยิ้มของหญิงสาวมากกว่า

    ขนลุก...นั่นเป็นความรู้สึกของรามภณ หากแต่เขามีมารยาทพอที่จะไม่พูดออกมา โชคยังดี ที่บังเอิญเสียงโทรศัพท์ของเขาดังช่วยชีวิตไว้เสียก่อน

    "ศาสตราเหรอ โทษที มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ" เขากรอกเสียงลงในโทรศัพท์ทันทีที่กดรับ หากแต่เมื่อคนต้นคิดให้ทิ้งเพื่อนมา ได้ยินว่าปลายสายเป็นใครก็ยื่นมือมาเป็นเชิงขอโทรศัพท์ไป

    "ขอให้มีความสุข" ภวาภพบอกเพียงเท่านั้น แล้วกดตัดสัญญาณไป

    % ###

    "เฮ้ย อะไรวะ" ศาสตราส่งเสียงดังลั่นใส่โทรศัพท์ ทำเอานฤตยาที่นั่งอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ถึงกับสะดุ้ง "เอ้อ ขอโทษนะยา"

    "ไม่เป็นไร" หญิงสาวว่า "มีอะไรเหรอ พวเขา...ยังไม่กลับเหรอ"

    "ไม่รู้สิ เห็นไอ้ภณว่ามีเรื่องนิดหน่อย แต่พูดยังไม่ทันรู้เรื่องเลย ก็วางไปแล้ว" เขาอธิบายโดยเลี่ยงที่จะไม่กล่าวถึงประโยคสุดท้าย

    ...ไอ้ภพ ต้องเป็นแผนของไอ้บ้าภวาภพแน่ๆ

    "เอ่อ ถ้าพวกเขาไม่ว่าง ยากลับเองก็ได้" นฤตยาบอก แล้วก็ลุกขึ้นจากโซฟา ทำท่าจะเดินตรงไปทางประตู

    "เดี๋ยว! โอ๊ย!" ศาสตราซึ่งคิดจะถลาเข้าไปห้ามเธอไว้ กลับลืมไปว่าขาตัวเองยังเจ็บอยู่ จึงเป็นเหตุให้ล้มโครมลง

    "ตายจริง" นฤตยาหมุนกายกลับ ก้าวเข้ามา แล้วย่อตัวลงเพื่อประคองชายหนุ่ม ใบหน้าของเธอห่างจากใบหน้าของเขาไม่ถึงคืบ ดังนั้นเมื่อศาสตราเงยหน้าขึ้นมามอง สายตาของทั้งคู่จึงสบกันในระยะใกล้

    ทั้งคู่ชะงักไปในลักษณะนั้น ประสานสายตากันนิ่งนาน ก่อนที่นฤตยาจะถอนสายตากลับ รู้สึกแก้มเนียนใสของเธอมีไอร้อนผะผ่าว

    หญิงสาวประคองเขาให้ลุกยืนขึ้น โดยไม่ได้พูดอะไร หากแต่เมื่อศาสตราลุกยืนขึ้นเต็มความสูงแล้ว จะก้าวห่างออกมา กลับต้องเซถลาให้เธอรับไว้อีก เนื่องจากไม้ค้ำยันยังคงกองอยู่ที่พื้น

    ทว่าหญิงสาวร่างเล็กบางอย่างนฤตยาน่ะหรือ จะรับร่างสูงใหญ่อย่างนักกีฬาของศาสตราไว้ได้ ดีที่ด้านหลังของเธออิงกับพนักพิงของโซฟาไว้อยู่ พวกเขาจึงไม่ได้พากันล้มลง

    "ขอ...ขอโทษ" ศาสตราบอกแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ เมื่อยันแขนตัวเองกับขอบพนักพิงของโซฟา เพื่อประคองตัวไว้ได้แล้ว

    หญิงสาวไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่ก้มลงเก็บไม้ค้ำยันขึ้นมา ยื่นส่งให้ชายหนุ่ม

    "ฉัน...กลับก่อนนะ" เธอบอกเสียงค่อย ยังไม่ยอมเงยหน้ามองเขา หากแต่ศาสตรากับรั้งเธอไว้อีก

    "อย่ากลับเองเลยนะ" เขาบอก "ฉัน...เอ่อ...ฉันเป็นห่วง"

    เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หญิงสาวรู้สึกขอบตาตัวเองร้อนขึ้นมาทันที น้ำตาค่อยๆ รื้นขึ้น หากแต่จะเป็นเพราะสาเหตุใดนั้น แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถตอบได้

    ...ตอบไม่ได้ เพราะเธอรู้ว่า หัวใจตัวเองยังฝากไว้ที่เพื่อนของเขาอยู่ แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่าดีใจเพียงไหน ที่มีเขาคอยเป็นห่วงเป็นใย

    ศาสตราเห็นร่างบางสะท้านตามแรงสะอื้น ก็อดไม่ได้ ต้องยื่นมือประคองใบหน้าสวยน่ารักนั้นขึ้นมาไม่ได้ เขาค่อยๆ ปาดน้ำตาจากแก้มเนียนของเธออย่างแผ่วเบา

    ...อย่าร้องไห้เลยนะ...หัวใจบอกอย่างนั้น แต่ปากของเขากลับขยับออกเสียงไม่ได้ พูดไม่ออก เพราะเมื่อเห็นน้ำตาของเธอ เขาก็เจ็บปวดจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว

    เสียงรถยนต์แล่นมา พร้อมกับเสียงเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน เตือนให้หนุ่มสาวทั้งสองรู้ว่าคนที่พวกเขารอคอยอยู่กลับมากันแล้ว

    วสวัตติ์เป็นคนแรกที่เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับคำถาม

    "อ้าว ยา มาได้ยังไงเนี่ย"

    หญิงสาวรีบปาดน้ำตา หันกลับมา ปั้นยิ้ม "ก็มีคนพามาส่งน่ะสิ"

    "คนพามาส่ง ใครวะ" วสวัตติ์หันไปทางประตู กะจะถามคำถามนี้กับคนที่เดินตามเข้ามา ทว่าภวาภพกลับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เพียงเดินผ่านหน้าเขาไป โดยไม่หันมองแม้แต่หญิงสาวผู้เป็นแขก

    "ไอ้วัตติ์ เอ็งพายาไปส่งที่บ้านด้วย" เขาบอกนิ่งๆ ก่อนจะก้าวขึ้นบันได

    "เฮ้ย อะไรวะ" วสวัตติ์บ่นออกมา ธาวินที่เดินตามหลังภวาภพมาต้อยๆ จึงหันกลับมากระซิบ

    "เอ็งไปน่ะดีแล้ว เอ็งไม่ใช่คู่กรณีของไอ้ภณมันนี่" จากนั้นธาวินก็หันไปทักทายหญิงสาวคนเดียวในบ้าน

    จริงอยู่ วสวัตติ์อาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ หากแต่รามภณยังมีคดีอื่นอีก เป็นคดีที่วสวัตติ์ต้องตกเป็นคู่กรณีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...

    % ====================

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×