ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คำสาปเสตาลัญฉน์ ฉบับปี ๒๕๕๖ [จบ]

    ลำดับตอนที่ #7 : เหยื่อแร้ง

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 57


    เสียงนั้นหายไปแล้ว...

     

    นักรบทั้งสิบควบม้าออกจากค่ายมาเพียงไม่นาน ทว่าไม่มีใครได้ยินเสียงหญิงสาวกรีดร้องอีก

     

    คีตาสั่งให้ทั้งหมดแยกย้ายกันค้นหา หากพบพวกเมยาดิคก็ให้จุดพลุสัญญาณ ส่วนเขากับพิฆานหันหัวม้ามุ่งลงไปทางใต้

     

    พวกเขาขี่ม้าไม่เร็วนัก ประสบการณ์สอนคีตาว่า กลางคืนยิ่งเงียบสงัด ยิ่งไม่น่าไว้ใจ

     

    หลังจากเสียงกรีดร้องนั้นเงียบหายไป หรีดหริ่งเรไรทั้งหลายก็ดูเหมือนพร้อมใจเงียบเสียงตามไปด้วย ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า มีอะไรบางอย่างรบกวนพวกมัน อะไรบางอย่างในละแวกโดยรอบนี้

     

    คีตาไม่ประมาท มือซ้ายของเขากุมบังเหียนม้าอยู่ แต่มือขวาเลื่อนแตะด้ามอสิกร ดวงตาเรียวสีดำสนิทกลอกมองโดยรอบอย่างระมัดระวัง

     

    ระหว่างนั้นเอง พลันมีเสียงลมกระพือขึ้นเหนือศีรษะ พิฆานแหงนหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ ทว่าคีตากลับก้มตัวหลบ

     

    การตัดสินใจของคีตานับว่าถูกต้อง เพราะเสียงลมนั้นอยู่ใกล้นัก เขารู้ว่ามันกำลังจะโฉบลงมา จึงก้มหลบเสีย ในขณะที่ผู้อ่อนประสบการณ์อย่างพิฆาน ถูกปีกนกขนาดใหญ่กวาดตกจากหลังม้า แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างใด เมื่อตะเกียกตะกายลุกยืนขึ้นได้แล้ว เด็กหนุ่มจึงเห็นแร้งขนาดใหญ่เท่ามนุษย์ บินร่อนอยู่บนท้องฟ้าอันดำมืด

     

    คีตาชักอสิกรออกมา เขาตวัดเท้าลงจากหลังม้า แต่ไม่โจมตี เพียงแค่ตั้งท่า รอคอยให้มันโฉบลงมาเอง

     

    ทว่านกแร้งนี้ไม่ได้มาเพียงตัวเดียว เหนือยอดไม้ที่ชายป่าห่างออกไปนั้น ปรากฏร่างแร้งอีกสามตัวบินร่อนวนไปมา คล้ายเฝ้ารอให้สัตว์บาดเจ็บตายลงเสียที

     

    ที่นั่นต้องมีอะไรสักอย่าง... คีตาคิดดังนั้นแล้วจึงก้าวไปสมทบกับพิฆาน ดวงตายังไม่ละจากแร้งตัวแรกที่จู่โจมพวกเขา

     

    "พิฆาน เจ้าเห็นแร้งที่บินวนอยู่ชายป่านั่นหรือไม่"

     

    เด็กหนุ่มสงเสียงรับคำหนึ่ง

     

    "ข้าจะไปดูทางนั้น เจ้าจัดการกับแร้งตัวนี้ได้หรือไม่"

     

    "ได้สิ ข้าจะคุ้มครองท่านเองพิฆานบอก พร้อมกับรอยยิ้มแสดงความมาดมั่น พลางกระชับด้ามดาบยาวที่ชักออกมาแต่แรก

     

    คีตาผงกศีรษะนิดหนึ่ง แล้วจึงผละจากเด็กหนุ่ม หันวิ่งไปทางชายป่าด้านนั้น เจ้านกแร้งที่จับจ้องอยู่เห็นเป็นโอกาส จึงพับปีกทิ้งตัวดิ่งลงมา แต่แล้วก็ต้องกางปีกอีกครั้ง พลิกหางเบนทิศทาง บินกลับขึ้นไปบนฟ้าอีก หาไม่ตัวมันคงไม่แคล้วถูกดาบยาวของพิฆานฟันใส่เป็นแน่

     

    ทางด้านคีตาเมื่อเข้าใกล้ชายป่าแล้ว พวกแร้งที่บินวนอยู่เหนือยอดไม้ก็หันเหเป้าหมายมาที่เขา

     

    ชายหนุ่มขยับแขน ขว้างอสิกรออก พวกมันจึงพากันกระพือปีก บินหนีกระจัดกระจาย ทว่าก็ยังไม่ยอมไปไหนไกล เพียงหลบเข้าไปในป่า เกาะอยู่บนกิ่งไม้ห่างไปไม่ไกลนัก เฝ้ามองดูเขาอย่างใจเย็น

     

    แม้จะแปลกใจบ้างที่เห็นพวกมันบินหนีไปโดยไม่ต่อสู้ แต่คีตาก็ไม่มีเวลาใส่ใจ เพราะยามนี้มีสิ่งอื่นที่ดึงความสนใจของเขาไปจากพวกแร้ง

     

    เมื่อรับอสิกรกลับมาไว้ในมือแล้ว คีตาก็ยกมันขวางอยู่เบื้องหน้า เขาเพิ่งสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวในพุ่มไม้สูงและหนาทึบ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว สายตาของเขาจ้องอยู่ที่พุ่มไม้นั้น เห็นมันสั่นไหวเล็กน้อย คาดว่าต้องมีอะไรซ่อนอยู่เป็นแน่ ดังนั้นจึงค่อยๆ สืบเท้าเข้าใกล้

     

    พุ่มไม้หยุดสั่นไหวชั่วครู่ แล้วก็ไหวอีกเล็กน้อย...อะไรก็ตามที่อยู่ในพุ่มไม้นั้นคงเห็นคีตา คงทราบว่าเขากำลังเข้าไปใกล้ จึงได้ขยับหนีห่างออกไป

     

    คีตาหยุดเท้าลงชั่วครู่ รอดูท่าที หากเมื่อเขาเริ่มก้าวอีกครั้ง คราวนี้เจ้าตัวที่อยู่ในพุ่มไม้พลันกระโดดออกมาอย่างว่องไว...

     

    เพียงแวบหนึ่งที่คีตาเห็นร่างนั้น เขาก็ต้องรีบลดอาวุธในมือ เปลี่ยนเป็นอ้าแขนรอรับทันที

     

    เจ้าตัวนั้นโถมเข้าใส่ร่างสูงใหญ่ของคีตา เขารับมันไว้ กอดมันไว้แน่น ยกตัวมันสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อยเพื่อทอนกำลังของมัน แต่กระนั้นเจ้าตัวร้ายก็ยังดิ้นปัดๆ อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง

     

    "เด็กผู้หญิงหรือนี่" พิฆานทักขึ้นทางด้านหลัง นกแร้งตัวที่เขาสู้ด้วยเมื่อครู่ เมื่อเห็นพรรคพวกบินหนี มันก็ร่อนหายเข้าป่าไปเช่นกัน เด็กหนุ่มจึงได้โอกาสตามมาสมทบ

     

    เด็กหญิงนั้นยังพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนคีตา นางพยายามใช้แขนดันตัวเองจากอกเขา แต่ก็ไม่อาจทำให้ร่างใหญ่ขยับได้เลยสักนิด

     

    เพียงแต่บาดแผลที่อกขวาของคีตายังไม่ทันหายดี ถูกกดเค้นมากเข้าก็เริ่มปริ มีเลือดซึม คีตากัดฟันข่มความเจ็บปวด แล้วจึงปล่อยนางลง ทว่าที่เขาปล่อยไม่ใช่เป็นเพราะรู้สึกเจ็บ แต่เพราะเขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนราวกับมีไฟลุกไหม้เผาบาดแผลนั้นต่างหาก

     

    เมื่อเด็กหญิงเป็นอิสระแล้วก็เตรียมจะหันกายหนีเข้าไปในพุ่มไม้อีก หากชั่วขณะนั้นพิฆานพลันคว้าข้อมือนางไว้ได้

     

    เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่!” พิฆานตวาดถาม เด็กหญิงนั้นก็ตวัดหันมองกลับมา ดวงตาเบิกกว้างมีแววหวาดผวาราวกับลูกแมวตื่นตระหนก นางพยายามงัดแกะมือตัวเองจากการยึดกุมของพิฆาน แต่กลับถูกคีตาคว้าแขนอีกข้างไปเสียอีก

     

    ปล่อยข้า!” นางร้อง บิดข้อมือดิ้นเร่าข้าจะสู้ตายกับพวกเจ้า ปล่อย!”

     

    พิฆานได้ยินแล้วก็ต้องหัวเราะออกมา ...นางว่าจะสู้ตาย ตัวกะเปี๊ยกเพียงนี้หรือจะสู้ไหว แค่คีตากอดแรงกว่านี้อีกสักหน่อย กระดูกนางก็คงป่นไปแล้ว

     

    อันที่จริงนางก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เป็นเด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปี ผมสีทองราวกับสีรวงข้าว หยักศกเป็นลอน ยาวจรดเอว ดวงตาโตก็เป็นสีทองสุกใส ปากนิดจมูกหน่อย รับกับใบหน้ารูปไข่ นางคงเป็นคนสวยน่ารักไม่ใช่น้อย หากผมเผ้าไม่ยุ่งเหยิง เนื้อตัวไม่มอมแมมราวคลุกโคลนเช่นนี้

     

    เสื้อผ้าที่นางสวมใส่เป็นเสื้อผ้าอย่างชาวบ้านธรรมดา คือเป็นเสื้อแขนยาวมีระบายตามขอบ กระโปรงซึ่งยาวปิดหน้าแข้ง  ทว่านอกจากจะสกปรกแล้ว เสื้อผ้านั้นยังรุ่งริ่ง และมีรอยคราบเลือดเปื้อนเปรอะไปทั่ว

     

    "เจ้าบาดเจ็บหรือ" คีตาถามเมื่อเห็นรอยเลือดเหล่านั้น

     

    เด็กสาวไม่ตอบ แต่สะบัดหันมองเขาด้วยสายตาไม้ไว้ใจ เขาจึงค่อยๆ คลายมือให้หลวมออก หากยังคงไม่ยอมปล่อย

     

    "วางใจเถอะ พวกเราไม่ใช่คนร้าย" น้ำเสียงของเขาอ่อนลง มีแววปลอบโยน "บอกมาสิ เจ้าบาดเจ็บที่ไหนรึเปล่า ข้าจะพาไปรักษา"

     

    เด็กสาวหยุดดิ้นรนแล้ว แต่ยังพยายามบิดข้อมือให้หลุดจากพันธนาการ ใบหน้าเหยเก คิ้วขมวดมุ่น แสดงว่ายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

     

    "ดิ้นเป็นแมวโดนน้ำร้อนแบบนี้ คงไม่ได้บาดเจ็บอะไรหรอก คีตา" พิฆานบอก แกล้งกระชากข้อมือน้อยนั้นเบาๆ ร่างบางก็กลับแทบปลิวตามแรงไปด้วย

     

    "คีตา..." เด็กสาวทวนคำเมื่อทรงตัวได้แล้ว นางหันมองเขา ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างกว่าเดิม นัยน์ตาสีทองกระจ่างนั้นราวกับจะทอแสง "ท่านคือคีตา...คีตาแห่งเสตาลัญฉน์หรือ"

     

    ชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย ไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เขาชินเสียแล้วกับสายตาของชาวบ้าน ที่มักตื่นเต้นยามได้ยินชื่อของเขา

     

    นางยังคงจ้องเขานิ่ง จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของเขา ประหนึ่งว่ากำลังค้นหาขุมทรัพย์ที่พัดหายเข้าไปในหลุมลึกคู่นั้น

     

    "เอาเถอะ" คีตาบอก เบือนหน้าไปทางพิฆาน ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าไม่ควรจ้องตากับนางนานเกินไป "นางจะบาดเจ็บหรือไม่ก็ช่าง เราต้องพานางกลับไปที่ค่ายก่อน ปล่อยไว้ที่นี่ไม่ได้ มีแต่อันตราย"

     

    พิฆานพยักหน้ารับแล้วจึงวิ่งกลับไปจูงม้าทั้งสองตัวที่ปล่อยทิ้งไว้ตอนถูกนกแร้งจู่โจม แล้วจึงยื่นสายจูงตัวหนึ่งส่งให้คีตา

     

    บาดแผลของบนอกขวาชายหนุ่มยังรู้สึกปวดแสบปวดร้อน หากเขาไม่แสดงออก พยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดไว้ อุ้มเด็กสาวขึ้นบนหลังม้าของตน แล้วจึงตวัดเท้าขึ้นซ้อน ควบกลับไปยังค่ายพักด้วยท่าทีปกติ

     

    พวกเขาไม่รู้เลยว่า การเคลื่อนไหวของตนนั้น กำลังถูกจับตาอยู่...

     

    ในป่า ชายร่างโปร่งสี่คนทรงตัวยืนอยู่บนคาคบของต้นไม้ใหญ่ พวกเขาเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบกริบ เมื่อเห็นเด็กสาวขี้ม้าไปกับคีตาแล้ว ทั้งสี่ก็หันมองหน้ากัน ต่างพากันกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วจึงเปลี่ยนร่างกลับเป็นนกแร้ง บินหายเข้าไปในป่า

     

     

    ระหว่างทางนั้น บาดแผลที่อกขวาของคีตาก็ยิ่งแสบร้อนขึ้นทุกที จากความแสบร้อนที่ผิวหนังค่อยๆ กัดกินลึกเข้าไปในร่างกาย ราวกับจะกร่อนกระดูกให้เป็นโพรง

     

    ชายหนุ่มยังไม่ยอมปริปาก แต่แม้จะพยายามควบคุมสีหน้าเป็นปกติ ทว่าเหงื่อกาฬก็ยังไหลซึมตามหน้าผาก และฝ่ามือ กระนั้นเขาก็ยังทน เวลานี้มีคนต้องการความคุ้มครองจากเขา จะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้เด็ดขาด

     

    มีหลายครั้งที่เขาประคองกายไม่อยู่ ร่างโน้มไปข้างหน้านิดหนึ่ง หากเมื่อกระทบถูกร่างบางเขาก็รู้สึกตัว พยายามเกร็งหลังให้กายกลับตั้งตรงเช่นเดิม

     

    ระยะทางกลับมายังค่ายพักไม่ไกลนัก ทว่าความเจ็บปวดนั้นทวีรุนแรงจนสุดระงับ จนเขาไม่อาจฝืนร่างกายได้อีกต่อไป

     

    เมื่อมาถึงที่ค่าย คีตาเห็นนักรบซึ่งเฝ้าค่ายอยู่ออกมารับ จากนั้นภาพทั้งหลายก็พลันรางเลือนไป ร่างของเขาค่อยๆ โอนเอน และพลัดตกจากหลังม้าในที่สุด...

     

    ###

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×