ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ ๖
แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านร่องประตูเหล็กกระทบพื้นโถงพักบันไดอย่างอ่อนโยน
รามภณยืนอยู่ที่นั่น สายตาของเขาเหม่อมองไปยังบานประตูเหล็กซึ่งปิดสนิท มือของเขากำริบบิ้นสีขาวครีบที่พับทบไว้อย่างเรียบร้อย
หัวใจของเขาเต้นแรง เร็ว และรัว
เขาพลักบานประตูออกไป... แสงสีขาวสว่างวาบผ่านช่องประตูเข้ามาจนเขาต้องหรี่ตา พร้อมกับยกมือขึ้นบัง
เมื่อดวงตาชินกับแสงสว่างแล้ว เขาจึงมองตรงออกไป มองออกไปยังริมผนัง ซึ่งสูงระดับอก
ในแสงสีขาว ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งยืนเกาะกำแพง หันหลังให้เขาอยู่ ผมสีดำยาวสยายปลิวไปในสายลม
หัวใจของรามภณยิ่งเต้นแรง ยิ่งเต้นรัวจนจับจังหวะไม่ถูก
'เธอ' นั่นเอง...เธอที่เขาพยายามตามหามานาน
รามภณส่งเสียงเรียกเธอแผ่วเบา ร่างบอบบางนั้นจึงค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ เส้นผมยังคงปลิวสยาย ปกปิดใบหน้าไปบางส่วน
หัวใจของรามภณเต้นระรัว เต้น...ราวกับจะกระดอนออกมานอกอก
"ว่าไง"
รามภณขมวดคิ้ว เสียงนี้ช่างคุ้นหูเหลือเกิน เสียงห้าว แต่สูง...
'เธอ' ยกมือเสยเส้นผมที่บดบังใบหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าสวย และดวงตาซุกซนที่มองมาอย่างขี้เล่น ทำเอารามภณถึงกับผงะ
...นภสินธุ์!
รามภณลืมตาโพลง ดีดตัวขึ้นนั่งบนเตียง ภายในห้องนอนของตัวเอง หัวใจเต้นระส่ำ หายใจหอบ มีเหงื่อซึมออกมาตามหน้าผากและฝ่ามือ เขาหันมองไปรอบๆ บรรยากาศรอบตัวเขายังมืดมิด เงียบสนิท
...ฝัน...แค่ฝัน
รามภณถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันมองไปยังริบบิ้นที่พับวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบมัน มองมันแล้วนึกขำตัวเอง
...จะเป็นหมอนั่นไปได้ยังไงกัน
% ###
สมาชิกของชมรมการแสดงกำลังเตรียมจัดเวทีอย่างขมักเขม้นอยู่ภายในโรงละครของมหาวิทยาลัย ซึ่งจิรัชย์ย่อมต้องอยู่คุมงานในบริเวณนั้น
วันนี้แล้ว ที่ต้นกุหลาบลูกผสมของภวาภพจะต้องมาค้างอ้างแรมอยู่ด้านหลังเวลา ภายในห้องประชุมแห่งนี้ จิรัชย์ติดต่อชมรมไม้ดอกไม้ประดับให้ย้ายต้นกุหลาบลงกระถางส่งมาที่นี่นานแล้ว ทว่าจนป่านนี้ก็ยังมาไม่ถึง
"อะไรวะ! ยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย" จิรัชย์โวยวาย "มายาวดี เธอโทรไปตามอีกทีซิ"
"นี่จะให้โทรตามทุกๆ ห้านาทีเลยรึไง" มายาวดีขึ้นเสียง เขาจึงหันไปจ้องเธอตาเขม็ง เธอก็จ้องตอบอย่างไม่ลดละ แต่สุดท้ายคนที่ยอมแพ้ก็ต้องเป็นจิรัชย์อีกเช่นเคย มันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่พวกเขาทะเลาะกัน
"โธ่โว้ย! แล้วเมื่อไหร่มันจะมาละวะ" จิรัชย์ยังคงโวยวายอย่างหัวเสีย แต่เสียงเบาลงกว่าเมื่อครู่นิดหน่อย
"บ่นไปก็เท่านั้นแหละ เธอก็รู้ว่าชมรมนั้นอยู่ห่างจากที่นี่ตั้งเยอะ กว่าจะขนขึ้นรถ กว่าจะขับออกมา..." เสียงของมายาวดียังไม่ทันขาดคำ ภวาภพกับธาวิน และเพื่อนร่วมชมรมอีกสองคนก็โผล่มาทางประตูด้านหลังของโรงละคร พร้อมกับกุหลาบกระถางใหญ่ห้าต้น ที่วางอยู่บนรถเข็นสำหรับบรรทุกของ
ต้นกุหลาบลูกผสมระหว่างคาร์ดินาลซอง กับเวเทอแรนส์ออเนอร์ กำลังชูดอกสีขนาดใหญ่สีแดงสดที่ยังตูมอยู่ ให้โดดเด่นท่ามกลางกิ่งใบสีเขียวซึ่งเต็มไปด้วยหนามแหลมคม
"เอากุหลาบมาส่งคร้าบ..." ธาวินตะโกนบอกคนข้างใน ลากหางเสียงยาวอย่างอารมณ์ดี จิรัชย์จึงรีบวิ่งออกมากำกับพวกเขา
"ยกเข้าไปหลังเวทีเลย มีคนรอตกแต่งอยู่แล้ว"
"ตกแต่ง" ภวาภพขมวดคิ้ว "ยังต้องตกแต่งอะไรอีก"
จิรัชย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย
"ใช่ ต้องตกแต่งอีก ต้องตัดต้องเล็มกิ่งที่เกะกะออกให้หมด"
ภวาภพพยักหน้าช้าๆ แล้วเขากับเพื่อนๆ ก็ช่วยกันดันรถเข็นตรงไปยังด้านหลังฉากกั้นเวที
"ต้องตัดต้องเล็มกิ่งที่เกะกะออก..." ธาวินเบ้ปาก ทำเสียงล้อเลียน แล้วก้มลงไปพูดกับต้นกุหลาบราวกับจะคุยกันรู้เรื่อง "อีหนูเอ๊ย น่าสงสารจริงจี้ง"
ภวาภพไม่ได้พูดอะไร..เขาพอรู้ว่าจิรัชย์ต้องการสื่อความหมายอะไรกับเขา
...สำหรับกุหลาบพวกนี้ จิรัชย์จะตัดกิ่งใดออก เขาไม่ว่า แต่ถ้าเป็นเพื่อนๆ ของเขา คงต้องมีการตอบโต้กันบ้าง
หลังจากคนส่งดอกไม้ออกจากโรงละครไปได้ครู่ใหญ่ สิโรตม์ก็เดินผ่านประตูทางด้านหลังเข้ามา เขาสอดส่ายสาตามองหาประธานชมรมการแสดง ซึ่งกำลังยืนกำกับคนจัดแสงอยู่ด้านหน้าเวที
"จิรัชย์..." เขาตะโกนเรียก พร้อมกับเดินเข้าไปหา
ชายสวมแว่นหันไปมองเขาแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับช่างไฟต่อ "มีอะไรวะ ข้ายิ่งไม่ค่อยว่างอยู่"
"ขอแค่ห้านาทีเท่านั้นแหละ"
"ก็รีบว่ามาสิ"
"ไอ้คณินทรมันจะให้ศาสตราเป็นกัปตันทีม!"
จิรัชย์นิ่ง ทิ้งหางตาผ่านเลนส์แว่นมองหน้าคนพูดครู่หนึ่ง
"ในเมื่อคณินทรจะให้มันเป็น แล้วข้าจะไปทำอะไรได้"
"อย่าพูดอย่างนั้นสิ มันยังพอมีทาง ถ้าไอ้ศาสตรามันเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เล่นบอลไม่ได้ มันก็จะอด"
"เอ็งรู้แล้ว ทำไมไม่ไปจัดการเองล่ะ"
"ก็ข้าไม่รู้จะไปจัดการกับมันยังไงนี่หว่า"
"เออๆๆ" จิรัชย์ว่า เสียงออกรำคาญ "ไว้เสร็จงานละครนี่ก่อน แล้วค่อยคุยกัน" จากนั้นเขาก็เดินออกไปดูแลการทำงานในส่วนอื่นๆ ต่อไป สิโรตม์จึงต้องถอนหายใจ ถอยออกมาก่อนก้าวหนึ่ง
% ###
รามภณเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ในโสตประสาทยังมีเสียงของนภสินธุ์ดังวนเวียนอยู่
...ลองแวะไปที่ชมรมดนตรีสากลตอนดึกๆ สิ
ดึก...ดึกขนาดไหนนะ ดึกขนาดที่เขามานั่งรออยู่ที่ชมรมดนตรีสากลเป็นชั่วโมงแล้ว ดึกขนาดที่เขาโทรบอกเพื่อนๆ ให้กลับบ้านกันไปก่อนเสียนานแล้ว
...ดึกขนาดนี้ ก็ยังไม่เห็นเธอ
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องชมรมดนตรีสากล มายืนอยู่นอกระเบียง จากนั้นจึงล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อ หยิบเอาริ้บบิ้นออกมาก้มมอง ดวงตาแฝงความผิดหวัง แล้วถอนหายใจ
หรือวันนี้เธอจะไม่มา หรือเป็นอีกครั้ง ที่เขาพลาดโอกาสจะได้พบเธอ
เขากำริบบิ้นไว้ แล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิด หลับตา...
...เสียงเปียโน...
เสียงเปียโนดังขึ้นเป็นทำนองเพลงที่คุ้นหู ทำให้รามภณลืมตาขึ้น หันกลับไปมองยังห้องชมรมดนตรีสากล
...ทำนองเพลงช้าๆ เศร้าๆ เงียบเหงา ราวกับคนที่กำลังคร่ำครวญ
รามภณเดินกลับเข้าไปในห้องชมรม เดินเลยไปทางห้องซ้อมดนตรีซึ่งอยู่ทางด้านหลัง เดินตรงไป...ตรงไป...ราวกับตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด
...อารมณ์เพลงค่อยๆ รุนแรงขึ้น มีพลังมากขึ้นอย่างประหลาด รู้สึกเหมือนเป็นพลังที่ต้องการปลดปล่อย...ปลดปล่อยหัวใจให้โบนบินออกไปไกล ไปหาคนรัก...ที่อยู่ไกลแสนไกล
'แม้ตัวฉันจะอยู่...แสนไกล
แต่หัวใจฉันอยู่...ใกล้เธอ
ไม่ว่าวันเวลาจะยาวนานอีกสักเท่าใด
หัวใจฉันมีเพียงเธอ...เธอผู้เดียว'
รามภณฮัมเพลงออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว จนมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องซ้อม เขามองไปยังเปียโนหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง
เสียงเปียโนยังดังอยู่ ด้วยอารมณ์รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ราวกับเสียงตะโกนร่ำร้องของสายลม ผสมกับเสียงคลื่นที่สาดซัดกระทบหน้าผาสูง
'แม้ว่าเธอจะอยู่...แสนไกล
ขอเพียงใจเราอยู่...ใกล้กัน
ไม่ว่าขอบฟ้าจะแยกเราห่างกันไกลเพียงใด
หัวใจฉันจะยังมั่นคง...ตลอดไป'
ปลายนิ้ว ข้อมือ ตลอดจนเส้นผมยาวสวยของหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ที่เปียโนหลังนั้น เคลื่อนไหวไปตามท่วงทำนอง จนดูเหมือนจะเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงเพลง
'ฉันรู้ว่าทางรักของเราไม่สดใส
แต่ตรบเท่าที่หัวใจยังผูกพันธ์
แม้อยู่คนละขอบฟ้า
ก็เหมือนใกล้กันเพียงเอื้อมมือ...'
ราวกับความอัดอั้นทั้งมวลได้รับการปลดปล่อยในคราเดียว ประทุออกในตอนจบ พร้อมกับทำนองที่รุนแรง เร่าร้อน ก่อนที่เสียงเปียโนจะหยุดลง
...หลงเหลือแต่เพียงความเงียบ กับเสียงลมหายใจของคนสองคน
รามภณค่อยๆ ยกมือขึ้นปรบเป็นจังหวะ แปลก...ทั้งที่รู้สึกว่าหญิงสาวซึ่งนั่งหันหลังในเขาอยู่ในเวลานี้ เป็นคนเดียวกันกับเจ้าของริบบิ้นที่เขาพยายามตามหา เป็นคนเดียวกับที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงทุกครั้งเมื่อเห็นเธอบนดาดฟ้า แต่ตอนนี้...อารมณ์ของเขากลับสงบ หัวใจเต้นเป็นปกติ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด
เสียงปรบมือทำให้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย เธอลุกยืนขึ้นพ้อมกับหันมาทางต้นเสียง
...ใครๆ ก็ว่ามายาวดีเป็นคนสวย แต่ก็เข้าทำนอง 'คนงามเพราะแต่ง' ทว่าหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้ารามภณในขณะนี้ ลบคำเปรียบเปรยเหล่านั้นไปโดยสิ้นเชิง
ไม่สิ...เธอไม่ควรถูกนำไปเปรียบกับมายาวดี เพราะถึงแม้ในขณะนี้ ขณะที่ใบหน้าของเธอปราศจากการแต่งแต้มใดๆ เธอก็ยังดูสวย มีเสน่ห์มากกว่ามายาวดีหลายเท่านัก
รามภณจ้องมองเธอ หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้พบเธอ หรือเป็นเพราะดวงตาคู่สวย คมกริบ แฝงแววเจ้าชู้น้อยๆ ซึ่งกำลังมองจ้องเขาตอบ
"เธอ...รมัณยา...ใช่มั้ย" เขาถามขึ้น พยายามระงับความตื่นเต้น ทว่าเสียงยังคงสั่น
หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยมีแววสงสัย
"เอ่อ ขอโทษที่รบกวน คือ...จะเอา เอ่อ เอาริบบิ้นมาคืน" เขาอธิบายน้ำเสียงตื่นเต้น พลางยกชูริบบิ้นในมือขึ้นให้เธอเห็น
หญิงสาวยิ้ม รอยยิ้มนี้ช่างคล้ายลาวาที่สามารถหลอมละลายหินผา เธอเดินช้าๆ เข้าไปใกล้ จนรามภณได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เธอรับริบบิ้นมาจากมือเขา
"ขอบคุณนะ" เธอกล่าวออกมาด้วยเสียงระรื่นหู "นายเก็บมันได้เหรอ"
รามภณพยักหน้ารับ
"มัน...มันตกลงมาจากดาดฟ้าน่ะ เอ่อ...พอดี...นภสินธุ์บอก...บอกว่าเป็นของเธอ"
"รู้จักนภด้วยเหรอ" เธอถามพลางช้อนสายตามองลึกเข้าไปในดวงตาเขา ราวกับกำลังอ่านใจ
รามภณพยักหน้าอีกครั้งแล้วยิ้มเขิน สายตาของเธอ รอยยิ้มของเธอ น้ำเสียงของเธอ กำลังหลอมหัวใจของเขาให้ละลาย
เธอยิ้มออกมาอีกครั้ง ยิ้มด้วยดวงตาคมกริบคู่นั้น
"นายชื่ออะไร"
"ภณ...รามภณ"
"ฉันเคยได้ยินชื่อนี้..." เธอทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย "รามภณ...ดีเจที่ออกอากาศตอนเย็นๆ"
รามภณพยักหน้าอีก ผงกศีรษะจนรัว เขาดีใจที่เธอจำได้ ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่
"ถึงว่าสิ เสียงคุ้นๆ ฉันจำได้ นายชอบเปิดเพลงเพียงผูกพันธ์ ที่ฉันเล่นเมื่อกี้"
"ฉันชอบเพลงนี้ มันเพราะดี" เขาบอก "แต่...แบบที่เธอเล่นเปียโนนั่น ฟังให้อารมณ์กว่าเยอะ รู้สึกเหมือน...เห็นคนรักที่ต้องแยกห่าง ไกลจากกัน"
ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดหรืออย่างไร ทว่าเมื่อเขาพูดจบประโยค สีหน้าของเธอ แววตาที่ดูเปล่งประกายเมื่อครู่ กลับหมองไปเล็กน้อย แต่แล้วเพียงอึดใจ เธอก็ยิ้มออกมาอีก พร้อมกับกล่าวขอบคุณเขา
"จริงสิ เธอ...เอ่อ...แสดงละครเวทีด้วยใช่มั้ย"
รมัณยาพยักหน้าเล็กน้อย
"ความจริงก็ไม่ได้คิดจะแสดงหรอก แต่นภเขาชวน ก็เลยมา..."
ยังไม่ทันจบคำของรมัณยา เสียงทุ้มมีอำนาจ แต่แฝงไว้ด้วยความเอาแต่ใจ ก็ดังแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาของเธอและเขา
"รมัณยา ได้เวลาซ้อมแล้ว"
แม้ระดับเสียงจะเรียบนิ่ง คำพูดที่ใช้ก็ธรรมดา หากแต่น้ำเสียงกลับแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
รมัณยาและรามภณหันไปทางหน้าประตูห้องซ้อมดนตรี ก็พบจิรัชย์ยืนกอดอกมองมาทางพวกเขาอยู่ด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
"พรุ่งนี้ก็แสดงแล้ว ตั้งใจหน่อย"
หญิงสาวจึงหันมาบอกลารามภณ ทว่าขณะกำลังจะก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่ รามภณก็เรียกเธอไว้
"พรุ่งนี้ฉันจะไปดูเธอด้วย" เขาบอก สายตาจริงจังราวกับกำลังกล่าวคำมั่นสัญญา เธอจึงยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินผ่านจิรัชย์ออกจากห้องไป
เมื่อรมัณยาพ้นสายตาไปแล้ว จิรัชย์ก็ก้าวอาดๆ มาทางเขา ท่าทางบ่งบอกความไม่พอใจอย่างที่สุด
"อย่ายุ่งกับรมัณยา..." เขาบอกเสียงเบา หากกดต่ำ พร้อมกับถลึงตาผ่านเลนส์แว่น จ้อมองงรามภณด้วยแววอาฆาต "ถ้าฉันเห็นอีก อย่าหาว่าไม่เตือน!" พูดจบ ก็หันหลัง ก้าวยาวๆ ตามหญิงสาวออกไป
รามภณชะโงกมองตามเงาหลังของคนทั้งสอง แล้วก็นึกถึงคำพูดของศาสตราและมายาวดีขึ้นมาได้...จริงสิ จิรัชย์หวงนางเอกใหม่คนนี้มากนี่นะ
...แต่ถึงอย่างนั้น จิรัชย์ก็ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ที่จะห้ามไม่ให้เขาข้องเกี่ยวกับเธอ
ไม่มีสิทธิ์!
% ###
อันที่จริง ละครเวทีของมหาวิทยาลัยนั้น มีทั้งหมดห้ารอบ วันศุกร์เย็นเป็นรอบแรก เสาร์และอาทิตย์มีวันละสองรอบ เช้าและเย็น
สำหรับรอบที่รามภณไปจองไว้เป็นรอบวันศุกร์เย็น
เขา ศาสตรา และวสวัตติ์ไปรอนฤตยากับภารดีที่หน้าโรงละครของมหาวิทยาลัย หลังจากหมดชั่วโมงเรียน
โรงละครของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารสีขาว ตั้งอยู่ด้านหน้าคณะนิเทศศาสตร์ เหนือประตูทางเข้าโรงละครมีโปสเตอร์ขนาดใหญ่ เขียนด้วยอักษรประดิษฐ์ตัวโตว่า 'มัทนพาธา ตำนานแห่งดอกกุหลาบ' บนภาพพื้นหลังรูปดอกกุหลาบสีแดงดอกโต
เมื่อนฤตยากับภารดีมาแล้ว พวกเขาก็ทักทายกันเล็กน้อย ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในโรงละคร
ภายในโรงละครสามารถจุผู้ชมได้ราวแปดร้อยคน ที่นั่งชมแบ่งเป็นแถวเรียงขึ้นไปเป็นขั้นบันได มีทางเดินขึ้นลงอยู่ด้านข้างและตรงกลาง ที่ด้านหน้าเป็นเวทีขนาดมาตรฐาน มีม่านสีแดงกั้นปิดอยู่
เมื่อหนุ่มสาวทั้งห้าเข้ามาในโรงละครแล้วก็มองหาที่นั่งซึ่งอยู่แถวที่สามนับจากด้านหน้าเวที ใกล้ทางเดินตรงกลาง นับว่าเป็นจุดที่เห็นเวทีชัดทีเดียว
พวกเขานั่งรออีกครู่หนึ่ง ผู้คนทยอยเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เวลา ดวงไฟภายในโรงละครก็มืดดับลง เหลือเพียงดวงไฟสีส้มตามทางเดิน
ม่านเวทีก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดออก พร้อมกับหัวใจที่ลุ้นระทึกของรามภณ ...รมัณยายามอยู่เป็นเวทีจะสวยสักเพียงไหนกันนะ
ควันสีขาวจากน้ำแข็งแห้งที่ถูกเป่าออกมาลอยละล่องละเลียดพื้นเวที นัยว่านี่เป็นสรวงสวรรค์อันงดงาม ยามตัวละครเดินผ่าน ควันก็ฟุ้งม้วนขึ้นมาถึงหัวเข่า
รมัณยาเดินตัดผ่านกลุ่มควันสีขาวออกมาช้าๆ ชุดสาหรีประยุกต์สีแดง ยามอยู่บนร่างเธอ ช่างขับให้เธอยิ่งดูสวย มีเสน่ห์ร้อนแรง กระทั่งสองหนุ่ม...รามภณ และวสวัตติ์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน ต่างมองจ้องเธอไม่วางตา
นฤตยาหันมองชายหนุ่มที่นั่งตัวเกร็งอยู่ข้างเธอ ทว่ารามภณเอาแต่จ้องอยู่บนเวทีจนคล้ายเคลิ้มฝัน
เมื่อถึงตอนที่มัทนาเทพธิดา ถูกสุเทษณ์จอมเทพสาปให้ต้องไปเกิดเป็นดอกกุหลาบในโลกมนุษย์ เนื่องจากบังเกิดความพิโรธที่นางไม่รักตอบ รมัณยาก็ทิ้งตัวหมอบราบลงกับพื้นเวที ให้ควันสีขาวคลุมบังร่างเธอ
ม่านของฉากแรกรูดปิดลง รามภณและวสวัตติ์ก็ผ่อนลมหายใจออกโดยแรงเกือบพร้อมกัน พวกเขาจึงหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มออกมากับการกระทำแปลกๆ ของตน ต่างคนต่างไม่รู้เลยว่านอกจากการกระทำที่เหมือนกันแล้ว หัวใจของพวกเขายังเต้นเป็นจังหวะเดียวกันด้วย...
ม่านเปิดออกอีกครั้ง ต้นกุหลาบของภวาภพชูดอกสีแดงโดดเด่นอยู่กลางเวที สวยงามสมเป็นราชินีแห่งไม้ดอก งดงามราวสาวสวยในชุดสีแดงสด
แต่ต้นกุหลาบไม่ใช่รมัณยา สองหนุ่มจึงดูจะเบื่อหน่ายเล็กน้อย กับฉากที่มีแต่ตัวละครชายเต็มเวที
ทว่าศาสตรากลับไม่เบื่อ เขาไม่ต้องรอให้หญิงสาวคนใดออกมาแสดงหน้าเวที ความจริงเขาแทบดูละครไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อจิตใจของเขามัวแต่พะวงอยู่กับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ข้างเพื่อนของเขา... จะมัวสนใจ มัวกังวลกับเธอไปทำไม ในเมื่อเขาเองเป็นคนเจาะจงดึงวสวัตติ์มานั่งติดกับเขา เพื่อให้เธอได้มีโอกาสอยู่ใกล้รามภณ
ฉากบนเวทีเปลี่ยนเป็นมืดสลัวของคืนวันเพ็ญ...คืนที่นางมัทนาจะได้กลับเป็นมนุษย์เพียงคืนเดียวในหนึ่งเดือน
นภสินธุ์แต่งตัวสวมเครื่องประดับแสดงถึงผู้มีบรรดาศักดิ์สูง ก้าวออกมารำพันตามบทที่เขาใช้เวลาซ้อมนานกว่าฉากใดๆ ในเรื่อง ทั้งยังเป็นบทที่จิรัชย์ย้ำหลายต่อหลายครั้ง บอกว่าสำคัญนักหนา
"โอ้โอ๋กระไรเลย บมิเคยณก่อนกาล
พอเห็นก็ซาบส้าน ฤดิรักบหักหาย..."*
เมื่อได้ยินคำรำพันของท้าวชัยเสน ที่เปิดเผยความในใจซึ่งมีต่อนางมัทนา ผ่านปากของนภสินธุ์แล้ว วสวัตติ์ก็ทำท่าราวกับจะสะดุ้ง...เขาเองก็ไม่แตกต่าง พอเห็นก็ซาบซ้าน ฤดิรักบหักหาย...
ส่วนรามภณก็รู้สึกโหวงในอกขึ้นมาแทบจะทันทีที่เห็นรมัณยาแง้มฉาก ซึ่งทำจากใบจากแห้งๆ สมมติเป็นประตูกระท่อม เดินช้าๆ ออกมา ในขณะที่นภสินธุ์หลบไปอยู่หลังกระถางต้นไม้ข้างๆ
รมัณยาออกมายืนพิงเสาระเบียงไม้ แหงนมองไปที่เพดานเวที ประหนึ่งเหม่อมองยังท้องฟ้า
"โอ้ว่าอนาถใจ ละไฉนนะเปนฉนี้
แต่ไรก็ไม่มี มะนะนึกระเหระหน
ไม่เคยจะเชื่อว่า ระตินั้นจะสัประดน
มาสู่ณใจตน และจะต้องระทมระทวย"*
คำพูดของเธอ น้ำเสียงของเธอ และยังท่าทางที่เธอแสดงอีก ยิ่งทียิ่งทำให้วสวัตติ์รู้สึกร่างกายอ่อนยวบ
...ฉากรักระหว่างท้าวชัยเสนและนางมัทนา ที่ทั้งนภสินธุ์และรมัณยาถ่ายทอดออกมานั้น ช่างงดงาม อ่อนหวาน น่าประทับใจ
เรื่องราวบนเวทีดำเนินต่อไป เมื่อนางมัทนามีความรักแล้ว ก็ไม่ต้องกลับเป็นดอกกุหลาบอีก ตามคำสาปของสุเทษณ์จอมเทพ ทว่านางจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากความรัก ถูกพระนางจัณฑี มเหสีของท้ายชัยเสนผู้ริษยานาง ใส่ความจนนางต้องระเห็ดออกจากวัง...
"น่าสงสารจัง" นฤตยารำพึงออกมาเบาๆ
คนที่นั่งประกบเธออยู่...ทั้งรามภณและภารดี ไม่มีใครสนใจได้ยิน ทั้งคู่ต่างจดจ่ออยู่ที่เวที มีเพียงศาสตรา คนที่มองเธออยู่ห่างๆ มาตลอดเท่านั้น จึงเห็นว่าเธอรู้สึกอย่างไร เขายิ้มออกมาอย่างเอ็นดูกับความอ่อนไหวของเธอ
รมัณยายังอยู่บนเวทีพร้อมกับนักแสดงอื่นๆ โดยมีเครื่องประกอบฉากที่สมมติให้เป็นพิธีบูชาเทพ เนื่องจากเรื่องราวได้ดำเนินมาถึงเมื่อนางมัทนาต้องอ้อนวอนขอต่อสุเทษณ์เทพให้ช่วยเหลือ
ทว่าเนื่องจากความรักที่ยังมีต่อนางมัทนาไม่เสื่อมคลาย สุเทษณ์จึงมีเงื่อนไข จะยอมแก้คำสาปก็ต่อเมื่อนางยอมรับความรักของตน หากแต่นางมัทนายังคงปฏิเสธอยู่เช่นเดิม จอมเทพจึงสาปให้นางต้องกลายเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล...
รมัณยาทิ้งตัวหมอบลงกับพื้นอีกครั้ง ควันสีขาวค่อยๆ ถูกปล่อยให้กลบบังตัวเธอ เหลือให้เห็นเพียงต้นกุหลาบที่ถูกเลื่อนเข้ามาแทนที่
ม่านค่อยๆ เลื่อนปิดเข้าหากันสนิท...
% ###
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วโรงละคร พร้อมกับเสียงผิวปากส่งเสียงแสดงความชื่นชม เมื่อเหล่านักแสดงทั้งหมดออกมายืนเรียงหน้ากระดานบนเวที เพื่อแสดงความขอบคุณต่อผู้ชม
จิรัชย์ ในฐานะผู้ควบคุมดูแลทุกอย่าง ก็ออกมายืนอยู่ตรงกลางแถวนักแสดง พร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีเชิง
นี่เป็นอีกครั้งกับความสำเร็จของเขา จะมีครั้งไหนบ้างหนอที่เขาไม่ได้รับการชมชื่น
ไม่มี...ต้องไม่มีเด็ดขาด ในชีวิตของจิรัชย์ ต้องไม่มีคำว่าล้มเหลว ไม่มีคำว่ายอมแพ้ ไม่ว่าในด้านการเรียน กิจกรรม ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เขาต้องประสบความสำเร็จ และต้องเป็นผู้ชนะ
เพราะความหยิ่งทนง ถือดีเช่นนี้นี่เอง จึงทำให้เขาผูกพยาบาทรามภณ มนุษย์เพียงผู้เดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้
ทว่านี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น มายาวดีเป็นเพียงแค่สะเก็ดไฟลูกเล็กๆเท่านั้น หากแต่ดวงไฟที่จะมอดไหม้พวกเขาจนเหลือเพียงเถ้าถ่านเพิ่งจะลุกลามเข้ามา...
เมื่อนักแสดงเดินแถวกลับเข้าหลังเวที ผู้ชมก็พากันทยอยออกจากโรงละคร
"สนุกดีนะ" ภารดีสะกิดบอกเพื่อนสาว ระหว่างที่กำลังลุกขึ้นจากที่นั่ง
"อืม แต่ก็น่าสงสาร" นฤตยาบอก
"จริงด้วย ท้าวชัยเสนไม่น่าซื่อบื้อเลย" เพื่อนสาวใส่อารมณ์ ทำเอาวสวัตติ์ที่เดินตามหลังต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
"อ้าว ไอ้ภณ จะไปไหนน่ะ" วสวัตติ์ตะโกนถาม เมื่อเห็นรามภณเดินออกจากแถวที่นั่งแล้ว แต่ไม่เดินเลี้ยวไปที่ทางออก กลับเดินไปทางด้านเวที
"เอ่อ จะไปหามายาวดี คือ มีธุระนิดหน่อย"
ชื่อมายาวดี เมื่อหลุดจากปากรามภณ ทำให้นฤตยาที่เดินตามหลังชะงักไปเล็กน้อย ซึ่งท่าทีนั้นของเธอ ย่อมไม่พ้นสายตาของศาสตรา ดังนั้นชายหนุ่มจึงตะโกนเตือนเพื่อน
"เอ็งเข้าไปเดี๋ยวก็เจอจิรัชย์หรอก มีธุระอะไรให้ข้าไปบอกให้มั้ยล่ะ"
รามภณนิ่งคิดนิดหนึ่ง รู้สึกเห็นด้วย จึงพยักหน้า พลางเดินกลับมาทางกลุ่มเพื่อน
"ข้าอยากมาดูอีกสักรอบน่ะ ก็เลยคิดว่าจะให้มายาวดีหาบัตรให้"
"เฮ้ย สนุกขนาดจะมาดูอีกรอบเลยเหรอ" ศาสตราถามอีก
"คือ..." รามภณพยายามหาเหตุผลมากลบเกลื่อน "ข้าว่าจะเอาไปคุยตอนออกอากาศวันจันทร์ไง"
"ถ้าอย่างนั้นข้ามาเป็นเพื่อนด้วยมั้ยล่ะ" วสวัตติ์เสนอตัว ด้วยความจริงแล้ว เขาเองก็อยากจะมาเห็นนางมัทนาคนนี้อีก "แล้วข้าจะเข้าไปคุยกับมายาวดีให้ พวกเอ็งไปกันก่อน ยังต้องไปส่งสาวๆ อีกนี่" เขาบอก แล้วก็เดินหายเข้าไปทางหลังเวที
ที่ด้านหลังเวทีออกจะวุ่นวายอยู่เล็กน้อยกับการจัดเก็บข้าวของอุปกรณ์ และเตรียมสำหรับการแสดงรอบต่อไปในวันพรุ่งนี้
วสวัตติ์มาถึงแล้ว ก็พยายามชะเง้อคอยาว มองหา 'นางมัทนา' คนนั้น
ทว่าที่นั่นไม่มีนางมัทนา...
บางทีเธออาจจะกำลังอยู่ในห้องแต่งตัว
ที่ด้านหลังนั้น มายาวดีกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมเครื่องประดับของนักแสดงที่จะใช้ในรอบต่อไป เธอจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างดี จนจิรัชย์วางใจ ไม่ค่อยต้องมาควบคุมด้วยตัวเอง หรือบางทีอาจเป็นเพราะ...พวกเขาเคยรู้ใจกันมาก่อน
"มายาวดี" วสวัตติ์ส่งเสียงเรียก พร้อมกับเดินตรงเข้ามา
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อรู้ว่าผู้มาเป็นใครแล้วก็ยิ้มรับ
"มาทำอะไรถึงหลังเวทีนี่ล่ะ แล้วภณไม่มาด้วยเหรอ"
"เอ่อ จริงๆ ก็มา แต่ไล่ให้กลับไปแล้ว"
"ว้า น่าเสียดายจัง"
"เธอก็รู้ว่าสถานการณ์ไอ้ภณมันเป็นยังไง" วสวัตติ์อธิบาย "แต่มันชอบละครนี่มากเลยนะ ขนาดบอกให้ฉันมาถามเธอ ว่ามีบัตรรอบอื่นเหลืออีกรึเปล่า"
มายาวดีนิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วเดินไปที่กระเป๋าถือของเธอ ซึ่งวางระเกะระกะไว้กับสัมภาระอื่นๆ ของนักแสดง เธอหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาแล้วเปิดดู
"บัตรน่ะ ขายหมดแล้ว ถ้าจะมีก็คงเป็นที่นั่งเสริมนะ มองเห็นเวทีไม่ชัด"
"ไม่เป็นไร เหลือสักสองใบรึเปล่า"
"มี" มายาวดีพยักหน้า "แต่ ภณอยากได้คนเดียวไม่ใช่เหรอ แล้วอีกใบนึงล่ะ"
"เอ่อ...ก็ จะมาเป็นเพื่อนไอ้ภณมันน่ะ" เขาบอก มายาวดีได้ยินแล้วจึงยิ้มออกมา
"พวกนายนี่เป็นเพื่อนที่รักกันดีจังเลยนะ น่าอิจฉา"
% ###
ละครรอบเย็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย น่าจะเป็นรอบที่มีคนดูมากที่สุด เพราะแม้แต่ที่นั่งเสริมก็ยังขายหมดเกลี้ยง
ที่นั่งเสริมเป็นเก้าอี้ซึ่งยกมาแทรกเพิ่มในบริเวณที่ว่างอย่างทางเดินด้านหลัง หรือใกล้ประตูทางเข้า
รามภณกับวสวัตติ์ได้ที่นั่งบริเวณด้านหลัง ติดกับทางเข้า ทำให้มองเห็นเวทีไม่ชัดถนัดเท่าครั้งแรก แต่เห็นคนที่เดินเข้าออกบริเวณประตูนั้นเกือบทุกคน เพราะเขาเป็นคนแรกๆ ที่มานั่งรอละครเริ่ม
ก่อนการแสดงละครจะเริ่มราวสิบนาที วีรินทร์กับตฤษณะก็เดินผ่านประตูนั้นเข้ามา วสวัตติ์เห็นคนทั้งสองจึงเรียกไว้
"วีรินทร์ คริสต์ มาดูด้วยเหรอ" เขาถามขึ้น
วีรินทร์กับตฤษณะเหลียวหลังมาโดยพร้อมเพรียง เมื่อเห็นว่าคนทักเป็นใคร วีรินทร์ก็ยิ้มกว้าง พร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้
"ก็ต้องมาสิ เพื่อนแสดงทั้งที แล้วนี่มากันสองคนเองเหรอ"
วสวัตติ์พยักหน้า "เพื่อน...ใครน่ะ"
รามภณได้ยินวสวัตติ์ถามอย่างนั้น จึงแสร้งเบือนหน้าไปทางอื่น เขาลืมบอกกับเพื่อนไปว่า ทั้งพระนางของละครเรื่องนี้เป็นใคร
"อ้าว ก็นภสินธุ์กับรมัณยาไง" วีรินทร์บอก "ที่เคยคุยให้ฟังว่ามาแสดงละคร ก็เลยไม่ได้ไปเล่นดนตรีที่บันนี่ผับน่ะ"
วสวัตติ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
"คู่พระนางเลยนะ"
คราวนี้หนุ่มผมยาวไม่ได้เพียงแค่พยักหน้ารับรู้ แต่ถึงกับออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด "จริงเหรอ อย่างนี้คงต้องให้เธอแนะนำซะแล้ว"
รามภณได้ยินแล้วรู้สึกใจโหวงขึ้นมาทันที ...ทำไมนะ เขาไม่อยากให้ใครรู้จักรมัณยาเลย นี่เขาเป็นเหมือนจิรัชย์อย่างนั้นหรือ
หวงเธอ ใช่แล้ว คนสวย มีเสน่ห์อย่างรมัณยา ใครเห็นก็อยากรู้จัก อยากอยู่ใกล้ จะไม่ให้หวงได้อย่างไร
"อ๊ะ ละครจะเริ่มแล้ว ไปก่อนนะ" วีรินทร์บอก "อ้อ หลังละครเรามีนัดกับสองคนนั้น ถ้ายังไงก็อยู่รอก่อนสิ จะได้แนะนำให้รู้จัก"
วสวัตติ์รับคำอย่างยินดี รามภณมองเพื่อนแล้วก็ให้สะกิดใจนัก
"เอ็งอยากรู้จักสองคนนั้นจริงๆ เหรอ"
วสวัตติ์หันกลับมามองเพื่อน ใบหน้าแสดงความฉงนจนคิ้วแทบติดกัน "เอ็งนี่ก็แปลก เพื่อนกันทำไมไม่อยากรู้จักละวะ"
เพื่อนกัน...อย่างนั้นหรือ จริงสิ เขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
"เออ โทษทีว่ะ ลืมไป"
% ###
ละครในวันนี้ไม่สนุกเหมือนเมื่อวันก่อน อาจเพราะตำแหน่งที่นั่งไม่ดี หรืออาจเป็นเพราะมีอะไรอย่างอื่นมารบกวนจิตใจ...
ต่อเมื่อการแสดงจบลง นักแสดงทั้งหมดก็ยังคงได้รับเสียงปรบมือกึกก้องอีกเช่นเคย เมื่อพวกเขาออกมายืนแถวแสดงความขอบคุณต่อผู้ชมแล้ว ก็พากันเดินแถวกลับเข้าด้านหลังเวที
รมัณยาค่อยๆ วางเท้าก้าวลงบันไดด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากชุดสาหรี่ประยุกต์ที่สวมอยู่นั้นยาวลากพื้น อาจทำให้เธอสะดุดตกเมื่อใดก็ได้ จิรัชย์ที่รอเธออยู่แล้วจึงเข้ามาช่วยจับแขนประคองเธอไว้ แล้วพูดกับเธอเสียงเบาราวจงใจกระซิบ
"เสร็จจากที่นี่แล้ว ไปกินข้าวด้วยกันนะ จะเลี้ยงขอบคุณนักแสดงด้วย"
"อืม สงสัยจะไม่ได้ค่ะ มีนัดแล้วน่ะ"
"นี่เธอจะไม่ให้โอกาสฉันบ้างเลยเหรอ" เขาตัดพ้อ สีหน้าแสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
รมัณยาไม่ตอบ...เธอรู้ว่าไม่ควรตอบ ไม่ว่าการพูดใดๆ ในขณะนี้มีแต่จะทำให้เรื่องยืดยาวออกไป เธอจึงผละจากเขา แล้วตรงเข้าห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว นภสินธุ์ที่เดินตามหลังรมัณยามาติดๆ จึงเข้ามาตอบคำถามนั้นแทน
"ถึงรมัณยาจะไม่ให้ แต่ผมให้โอกาสจิรัชย์เสมอนะ" เขาบอกทีเล่นทีจริง
ทว่าทั้งคำพูดและแววตาของชายหนุ่มหน้าสวยที่แสดงออกมานั้น แทบทำให้เขาอยากอาเจียน หากแต่เขายังต้องรักษาภาพพจน์ของตัวเองไว้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินเลี่ยงไปทางอื่นเสีย
% ###
ภาพดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนลงในทะเล จะอย่างไรก็เป็นภาพที่สวยงามตรึงตราอยู่เสมอ...
ตฤษณะปลีกตัวจากวีรินทร์ รามภณ และวสวัตติ์ ไปนั่งอยู่ที่ก้อนหินริมทางเดินลงมายาชายหาด
ควันบุหรี่ที่นิ้วของเขาค่อยๆ ลอยม้วนกระจายไปในอากาศ หนุ่มลูกครึ่งมองผ่านสายควันนั้นออกไป ราวกับมองเห็นเงาของใครคนหนึ่ง
"ยังไม่เลิกเผาปอดตัวเองอีกนะ บุหรี่นี่มันดียังไงกัน" เสียงนภสินธุ์ที่ยืนอยู่บนทางเดินด้านหลัง ทำให้เขาเหลียวหันไปมอง จากนั้นก็ได้แต่หัวเราะอยู่ในลำคอ
...บุหรี่มันดียังไง จะให้ตอบอย่างไรได้
"ไม่คิดว่านายจะมาดูด้วย" นภสินธุ์บอก
"ทำไมไม่มาล่ะ" ตฤษณะพยายามพูดภาษาไทย แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้ในประโยคหลัง "I got the free ticket."
นภสินธุ์หัวเราะเขิน...ก็เขานี่ล่ะ ที่เป็นคนยัดเยียดบัตรละครให้ทั้งสองคน อีกทั้งยังกำชับพวกเขาให้มาให้ได้
ตฤษณะเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ จากนั้นจึงหันไปถามถึงรมัณยา
"กำลังตามมา" นภสินธุ์บอก
"ตอนกลับ จะไปกับใคร" หนุ่มลูกครึ่งถามด้วยสำเนียงแปร่ง พลางขยี้ก้นบุหรี่ในมือลงกับพื้นทราย
"ก็คงซ้อนช็อปเปอร์รมัณยาเหมือนเดิม"
คำตอบของหนุ่มหน้าสวย ทำให้ดวงตาสีเขียวมีแววผิดหวังเล็กน้อย
"โอ๊ะโอ รมัณยามาพอดี"
หญิงสาวร่างบางเดินยิ้มมาตามทางเดิน ผมยาวสวยถูกรวบไว้ด้านหลังด้วยริบบิ้นสีขาวครีม...
"เฮ้ คริสต์" หญิงสาวทักทายมาแต่ไกล ตฤษณะจึงโบกมือทักตอบ
"วีรินทร์ล่ะ" รมัณยาถามทันทีที่เดินมาถึงตัว ตฤษณะจึงบุ้ยหน้าไปทางชายหาด จากนั้นจึงลุกยืนขึ้น ออกเดินนำ ทว่านภสินธุ์กลับยังรั้งเขาไว้อีก แล้วหยิบก้นบุหรี่ที่ดับแล้วขึ้นมาชู พลางลากเสียงยาว
"เอาไปทิ้งด้วย..."
เมื่อคนทั้งสามเดินมาถึง วีรินทร์กับรามภณและวสวัตติ์กำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ วีรินทร์เป็นคนคุยสนุก และคุยได้ทุกเรื่อง ยิ่งเวลาคุยกับเพื่อนผู้ชาย เธอก็สามารถกลมกลืนไปกับพวกเขา เหมือนเป็นเพื่อนผู้ชายด้วยกัน
วีรินทร์เงยหน้าจากวงสนทนา เมื่อเห็นตฤษณะกับชายหนุ่มและหญิงสาวหน้าสวยทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็ตะโกนทักเสียงดัง อีกสองหนุ่มที่นั่งคุยอยู่ด้วยจึงหันไปมองโดยพร้อมเพรียง
ใบหน้าของหญิงสาวอาบแสงยามเย็นจนเรื่อแดง เธอเดินเข้ามาใกล้พวกเขา พร้อมกับรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง
รามภณขยับปากจะทักทายเธอ ทว่าวีรินทร์กลับก้าวไปตะปบไหล่บางของหญิงสาวไว้ก่อน
"นี่ไง รมัณยา ที่เคยบอก" เธอแนะนำพลางดึงร่างน้อยเข้ามาโอบ "แล้วนี่ก็นภสินธุ์ ภณรู้จักแล้วนี่"
รามภณยิ้มแห้งๆ พยักหน้านิดหนึ่งก่อนกล่าวทักทายคนทั้งสอง
รมัณยายิ้มทักทายตอบ แล้วจึงหันไปพูดกับวีรินทร์
"รามภณ เรารู้จักแล้ว แต่คนนั้น ยังไม่รู้จัก" เธอปรายตาไปทางวสวัตติ์ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง วสวัตติ์จึงถือโอกาสแนะนำตัวเอง
"วสวัตติ์ เรียกวัตติ์ก็ได้" เขายิ้มให้เธอนิดหนึ่งอย่างไว้เชิง หากแต่ใครจะรู้ หัวใจของเขาตอนนี้เต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
ในที่นั้น นอกจากหัวใจวสวัตติ์จะเต้นไม่เป็นจังหวะ ยังมีหัวใจอีกดวงที่สูบฉีดเลือดอย่างแรงด้วยความพลุ่งพล่านของจิตใจ
จิรัชย์มองมาจากทางสวนสน ซึ่งอยู่ถัดจากชายหาด ห่างออกไป เขากำลังมองคนที่อยู่ในบริเวณชายหาดด้วยสายตาลุกร้อน ริมฝีปากของเขาเม้มสนิท ด้วยเกรงว่ามันจะสั่นระริก มือที่กำโทรศัพท์แนบหูอยู่ ก็ยิ่งกำแน่นเข้า
"เอ็งอยากกำจัดศาสตราใช่มั้ย" เขากรอกเสียงที่กดต่ำจนน่ากลัวลงในโทรศัพท์ "ข้าจะช่วย...แลกกับเรื่องที่ข้าอยากให้เอ็งทำ!"
% ====================
* บทละครเรื่องมัทนพาธา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รามภณยืนอยู่ที่นั่น สายตาของเขาเหม่อมองไปยังบานประตูเหล็กซึ่งปิดสนิท มือของเขากำริบบิ้นสีขาวครีบที่พับทบไว้อย่างเรียบร้อย
หัวใจของเขาเต้นแรง เร็ว และรัว
เขาพลักบานประตูออกไป... แสงสีขาวสว่างวาบผ่านช่องประตูเข้ามาจนเขาต้องหรี่ตา พร้อมกับยกมือขึ้นบัง
เมื่อดวงตาชินกับแสงสว่างแล้ว เขาจึงมองตรงออกไป มองออกไปยังริมผนัง ซึ่งสูงระดับอก
ในแสงสีขาว ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งยืนเกาะกำแพง หันหลังให้เขาอยู่ ผมสีดำยาวสยายปลิวไปในสายลม
หัวใจของรามภณยิ่งเต้นแรง ยิ่งเต้นรัวจนจับจังหวะไม่ถูก
'เธอ' นั่นเอง...เธอที่เขาพยายามตามหามานาน
รามภณส่งเสียงเรียกเธอแผ่วเบา ร่างบอบบางนั้นจึงค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ เส้นผมยังคงปลิวสยาย ปกปิดใบหน้าไปบางส่วน
หัวใจของรามภณเต้นระรัว เต้น...ราวกับจะกระดอนออกมานอกอก
"ว่าไง"
รามภณขมวดคิ้ว เสียงนี้ช่างคุ้นหูเหลือเกิน เสียงห้าว แต่สูง...
'เธอ' ยกมือเสยเส้นผมที่บดบังใบหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าสวย และดวงตาซุกซนที่มองมาอย่างขี้เล่น ทำเอารามภณถึงกับผงะ
...นภสินธุ์!
รามภณลืมตาโพลง ดีดตัวขึ้นนั่งบนเตียง ภายในห้องนอนของตัวเอง หัวใจเต้นระส่ำ หายใจหอบ มีเหงื่อซึมออกมาตามหน้าผากและฝ่ามือ เขาหันมองไปรอบๆ บรรยากาศรอบตัวเขายังมืดมิด เงียบสนิท
...ฝัน...แค่ฝัน
รามภณถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันมองไปยังริบบิ้นที่พับวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบมัน มองมันแล้วนึกขำตัวเอง
...จะเป็นหมอนั่นไปได้ยังไงกัน
% ###
สมาชิกของชมรมการแสดงกำลังเตรียมจัดเวทีอย่างขมักเขม้นอยู่ภายในโรงละครของมหาวิทยาลัย ซึ่งจิรัชย์ย่อมต้องอยู่คุมงานในบริเวณนั้น
วันนี้แล้ว ที่ต้นกุหลาบลูกผสมของภวาภพจะต้องมาค้างอ้างแรมอยู่ด้านหลังเวลา ภายในห้องประชุมแห่งนี้ จิรัชย์ติดต่อชมรมไม้ดอกไม้ประดับให้ย้ายต้นกุหลาบลงกระถางส่งมาที่นี่นานแล้ว ทว่าจนป่านนี้ก็ยังมาไม่ถึง
"อะไรวะ! ยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย" จิรัชย์โวยวาย "มายาวดี เธอโทรไปตามอีกทีซิ"
"นี่จะให้โทรตามทุกๆ ห้านาทีเลยรึไง" มายาวดีขึ้นเสียง เขาจึงหันไปจ้องเธอตาเขม็ง เธอก็จ้องตอบอย่างไม่ลดละ แต่สุดท้ายคนที่ยอมแพ้ก็ต้องเป็นจิรัชย์อีกเช่นเคย มันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่พวกเขาทะเลาะกัน
"โธ่โว้ย! แล้วเมื่อไหร่มันจะมาละวะ" จิรัชย์ยังคงโวยวายอย่างหัวเสีย แต่เสียงเบาลงกว่าเมื่อครู่นิดหน่อย
"บ่นไปก็เท่านั้นแหละ เธอก็รู้ว่าชมรมนั้นอยู่ห่างจากที่นี่ตั้งเยอะ กว่าจะขนขึ้นรถ กว่าจะขับออกมา..." เสียงของมายาวดียังไม่ทันขาดคำ ภวาภพกับธาวิน และเพื่อนร่วมชมรมอีกสองคนก็โผล่มาทางประตูด้านหลังของโรงละคร พร้อมกับกุหลาบกระถางใหญ่ห้าต้น ที่วางอยู่บนรถเข็นสำหรับบรรทุกของ
ต้นกุหลาบลูกผสมระหว่างคาร์ดินาลซอง กับเวเทอแรนส์ออเนอร์ กำลังชูดอกสีขนาดใหญ่สีแดงสดที่ยังตูมอยู่ ให้โดดเด่นท่ามกลางกิ่งใบสีเขียวซึ่งเต็มไปด้วยหนามแหลมคม
"เอากุหลาบมาส่งคร้าบ..." ธาวินตะโกนบอกคนข้างใน ลากหางเสียงยาวอย่างอารมณ์ดี จิรัชย์จึงรีบวิ่งออกมากำกับพวกเขา
"ยกเข้าไปหลังเวทีเลย มีคนรอตกแต่งอยู่แล้ว"
"ตกแต่ง" ภวาภพขมวดคิ้ว "ยังต้องตกแต่งอะไรอีก"
จิรัชย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย
"ใช่ ต้องตกแต่งอีก ต้องตัดต้องเล็มกิ่งที่เกะกะออกให้หมด"
ภวาภพพยักหน้าช้าๆ แล้วเขากับเพื่อนๆ ก็ช่วยกันดันรถเข็นตรงไปยังด้านหลังฉากกั้นเวที
"ต้องตัดต้องเล็มกิ่งที่เกะกะออก..." ธาวินเบ้ปาก ทำเสียงล้อเลียน แล้วก้มลงไปพูดกับต้นกุหลาบราวกับจะคุยกันรู้เรื่อง "อีหนูเอ๊ย น่าสงสารจริงจี้ง"
ภวาภพไม่ได้พูดอะไร..เขาพอรู้ว่าจิรัชย์ต้องการสื่อความหมายอะไรกับเขา
...สำหรับกุหลาบพวกนี้ จิรัชย์จะตัดกิ่งใดออก เขาไม่ว่า แต่ถ้าเป็นเพื่อนๆ ของเขา คงต้องมีการตอบโต้กันบ้าง
หลังจากคนส่งดอกไม้ออกจากโรงละครไปได้ครู่ใหญ่ สิโรตม์ก็เดินผ่านประตูทางด้านหลังเข้ามา เขาสอดส่ายสาตามองหาประธานชมรมการแสดง ซึ่งกำลังยืนกำกับคนจัดแสงอยู่ด้านหน้าเวที
"จิรัชย์..." เขาตะโกนเรียก พร้อมกับเดินเข้าไปหา
ชายสวมแว่นหันไปมองเขาแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับช่างไฟต่อ "มีอะไรวะ ข้ายิ่งไม่ค่อยว่างอยู่"
"ขอแค่ห้านาทีเท่านั้นแหละ"
"ก็รีบว่ามาสิ"
"ไอ้คณินทรมันจะให้ศาสตราเป็นกัปตันทีม!"
จิรัชย์นิ่ง ทิ้งหางตาผ่านเลนส์แว่นมองหน้าคนพูดครู่หนึ่ง
"ในเมื่อคณินทรจะให้มันเป็น แล้วข้าจะไปทำอะไรได้"
"อย่าพูดอย่างนั้นสิ มันยังพอมีทาง ถ้าไอ้ศาสตรามันเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เล่นบอลไม่ได้ มันก็จะอด"
"เอ็งรู้แล้ว ทำไมไม่ไปจัดการเองล่ะ"
"ก็ข้าไม่รู้จะไปจัดการกับมันยังไงนี่หว่า"
"เออๆๆ" จิรัชย์ว่า เสียงออกรำคาญ "ไว้เสร็จงานละครนี่ก่อน แล้วค่อยคุยกัน" จากนั้นเขาก็เดินออกไปดูแลการทำงานในส่วนอื่นๆ ต่อไป สิโรตม์จึงต้องถอนหายใจ ถอยออกมาก่อนก้าวหนึ่ง
% ###
รามภณเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ในโสตประสาทยังมีเสียงของนภสินธุ์ดังวนเวียนอยู่
...ลองแวะไปที่ชมรมดนตรีสากลตอนดึกๆ สิ
ดึก...ดึกขนาดไหนนะ ดึกขนาดที่เขามานั่งรออยู่ที่ชมรมดนตรีสากลเป็นชั่วโมงแล้ว ดึกขนาดที่เขาโทรบอกเพื่อนๆ ให้กลับบ้านกันไปก่อนเสียนานแล้ว
...ดึกขนาดนี้ ก็ยังไม่เห็นเธอ
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องชมรมดนตรีสากล มายืนอยู่นอกระเบียง จากนั้นจึงล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อ หยิบเอาริ้บบิ้นออกมาก้มมอง ดวงตาแฝงความผิดหวัง แล้วถอนหายใจ
หรือวันนี้เธอจะไม่มา หรือเป็นอีกครั้ง ที่เขาพลาดโอกาสจะได้พบเธอ
เขากำริบบิ้นไว้ แล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิด หลับตา...
...เสียงเปียโน...
เสียงเปียโนดังขึ้นเป็นทำนองเพลงที่คุ้นหู ทำให้รามภณลืมตาขึ้น หันกลับไปมองยังห้องชมรมดนตรีสากล
...ทำนองเพลงช้าๆ เศร้าๆ เงียบเหงา ราวกับคนที่กำลังคร่ำครวญ
รามภณเดินกลับเข้าไปในห้องชมรม เดินเลยไปทางห้องซ้อมดนตรีซึ่งอยู่ทางด้านหลัง เดินตรงไป...ตรงไป...ราวกับตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด
...อารมณ์เพลงค่อยๆ รุนแรงขึ้น มีพลังมากขึ้นอย่างประหลาด รู้สึกเหมือนเป็นพลังที่ต้องการปลดปล่อย...ปลดปล่อยหัวใจให้โบนบินออกไปไกล ไปหาคนรัก...ที่อยู่ไกลแสนไกล
'แม้ตัวฉันจะอยู่...แสนไกล
แต่หัวใจฉันอยู่...ใกล้เธอ
ไม่ว่าวันเวลาจะยาวนานอีกสักเท่าใด
หัวใจฉันมีเพียงเธอ...เธอผู้เดียว'
รามภณฮัมเพลงออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว จนมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องซ้อม เขามองไปยังเปียโนหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง
เสียงเปียโนยังดังอยู่ ด้วยอารมณ์รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ราวกับเสียงตะโกนร่ำร้องของสายลม ผสมกับเสียงคลื่นที่สาดซัดกระทบหน้าผาสูง
'แม้ว่าเธอจะอยู่...แสนไกล
ขอเพียงใจเราอยู่...ใกล้กัน
ไม่ว่าขอบฟ้าจะแยกเราห่างกันไกลเพียงใด
หัวใจฉันจะยังมั่นคง...ตลอดไป'
ปลายนิ้ว ข้อมือ ตลอดจนเส้นผมยาวสวยของหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ที่เปียโนหลังนั้น เคลื่อนไหวไปตามท่วงทำนอง จนดูเหมือนจะเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงเพลง
'ฉันรู้ว่าทางรักของเราไม่สดใส
แต่ตรบเท่าที่หัวใจยังผูกพันธ์
แม้อยู่คนละขอบฟ้า
ก็เหมือนใกล้กันเพียงเอื้อมมือ...'
ราวกับความอัดอั้นทั้งมวลได้รับการปลดปล่อยในคราเดียว ประทุออกในตอนจบ พร้อมกับทำนองที่รุนแรง เร่าร้อน ก่อนที่เสียงเปียโนจะหยุดลง
...หลงเหลือแต่เพียงความเงียบ กับเสียงลมหายใจของคนสองคน
รามภณค่อยๆ ยกมือขึ้นปรบเป็นจังหวะ แปลก...ทั้งที่รู้สึกว่าหญิงสาวซึ่งนั่งหันหลังในเขาอยู่ในเวลานี้ เป็นคนเดียวกันกับเจ้าของริบบิ้นที่เขาพยายามตามหา เป็นคนเดียวกับที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงทุกครั้งเมื่อเห็นเธอบนดาดฟ้า แต่ตอนนี้...อารมณ์ของเขากลับสงบ หัวใจเต้นเป็นปกติ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด
เสียงปรบมือทำให้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย เธอลุกยืนขึ้นพ้อมกับหันมาทางต้นเสียง
...ใครๆ ก็ว่ามายาวดีเป็นคนสวย แต่ก็เข้าทำนอง 'คนงามเพราะแต่ง' ทว่าหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้ารามภณในขณะนี้ ลบคำเปรียบเปรยเหล่านั้นไปโดยสิ้นเชิง
ไม่สิ...เธอไม่ควรถูกนำไปเปรียบกับมายาวดี เพราะถึงแม้ในขณะนี้ ขณะที่ใบหน้าของเธอปราศจากการแต่งแต้มใดๆ เธอก็ยังดูสวย มีเสน่ห์มากกว่ามายาวดีหลายเท่านัก
รามภณจ้องมองเธอ หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้พบเธอ หรือเป็นเพราะดวงตาคู่สวย คมกริบ แฝงแววเจ้าชู้น้อยๆ ซึ่งกำลังมองจ้องเขาตอบ
"เธอ...รมัณยา...ใช่มั้ย" เขาถามขึ้น พยายามระงับความตื่นเต้น ทว่าเสียงยังคงสั่น
หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยมีแววสงสัย
"เอ่อ ขอโทษที่รบกวน คือ...จะเอา เอ่อ เอาริบบิ้นมาคืน" เขาอธิบายน้ำเสียงตื่นเต้น พลางยกชูริบบิ้นในมือขึ้นให้เธอเห็น
หญิงสาวยิ้ม รอยยิ้มนี้ช่างคล้ายลาวาที่สามารถหลอมละลายหินผา เธอเดินช้าๆ เข้าไปใกล้ จนรามภณได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เธอรับริบบิ้นมาจากมือเขา
"ขอบคุณนะ" เธอกล่าวออกมาด้วยเสียงระรื่นหู "นายเก็บมันได้เหรอ"
รามภณพยักหน้ารับ
"มัน...มันตกลงมาจากดาดฟ้าน่ะ เอ่อ...พอดี...นภสินธุ์บอก...บอกว่าเป็นของเธอ"
"รู้จักนภด้วยเหรอ" เธอถามพลางช้อนสายตามองลึกเข้าไปในดวงตาเขา ราวกับกำลังอ่านใจ
รามภณพยักหน้าอีกครั้งแล้วยิ้มเขิน สายตาของเธอ รอยยิ้มของเธอ น้ำเสียงของเธอ กำลังหลอมหัวใจของเขาให้ละลาย
เธอยิ้มออกมาอีกครั้ง ยิ้มด้วยดวงตาคมกริบคู่นั้น
"นายชื่ออะไร"
"ภณ...รามภณ"
"ฉันเคยได้ยินชื่อนี้..." เธอทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย "รามภณ...ดีเจที่ออกอากาศตอนเย็นๆ"
รามภณพยักหน้าอีก ผงกศีรษะจนรัว เขาดีใจที่เธอจำได้ ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่
"ถึงว่าสิ เสียงคุ้นๆ ฉันจำได้ นายชอบเปิดเพลงเพียงผูกพันธ์ ที่ฉันเล่นเมื่อกี้"
"ฉันชอบเพลงนี้ มันเพราะดี" เขาบอก "แต่...แบบที่เธอเล่นเปียโนนั่น ฟังให้อารมณ์กว่าเยอะ รู้สึกเหมือน...เห็นคนรักที่ต้องแยกห่าง ไกลจากกัน"
ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดหรืออย่างไร ทว่าเมื่อเขาพูดจบประโยค สีหน้าของเธอ แววตาที่ดูเปล่งประกายเมื่อครู่ กลับหมองไปเล็กน้อย แต่แล้วเพียงอึดใจ เธอก็ยิ้มออกมาอีก พร้อมกับกล่าวขอบคุณเขา
"จริงสิ เธอ...เอ่อ...แสดงละครเวทีด้วยใช่มั้ย"
รมัณยาพยักหน้าเล็กน้อย
"ความจริงก็ไม่ได้คิดจะแสดงหรอก แต่นภเขาชวน ก็เลยมา..."
ยังไม่ทันจบคำของรมัณยา เสียงทุ้มมีอำนาจ แต่แฝงไว้ด้วยความเอาแต่ใจ ก็ดังแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาของเธอและเขา
"รมัณยา ได้เวลาซ้อมแล้ว"
แม้ระดับเสียงจะเรียบนิ่ง คำพูดที่ใช้ก็ธรรมดา หากแต่น้ำเสียงกลับแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
รมัณยาและรามภณหันไปทางหน้าประตูห้องซ้อมดนตรี ก็พบจิรัชย์ยืนกอดอกมองมาทางพวกเขาอยู่ด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
"พรุ่งนี้ก็แสดงแล้ว ตั้งใจหน่อย"
หญิงสาวจึงหันมาบอกลารามภณ ทว่าขณะกำลังจะก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่ รามภณก็เรียกเธอไว้
"พรุ่งนี้ฉันจะไปดูเธอด้วย" เขาบอก สายตาจริงจังราวกับกำลังกล่าวคำมั่นสัญญา เธอจึงยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินผ่านจิรัชย์ออกจากห้องไป
เมื่อรมัณยาพ้นสายตาไปแล้ว จิรัชย์ก็ก้าวอาดๆ มาทางเขา ท่าทางบ่งบอกความไม่พอใจอย่างที่สุด
"อย่ายุ่งกับรมัณยา..." เขาบอกเสียงเบา หากกดต่ำ พร้อมกับถลึงตาผ่านเลนส์แว่น จ้อมองงรามภณด้วยแววอาฆาต "ถ้าฉันเห็นอีก อย่าหาว่าไม่เตือน!" พูดจบ ก็หันหลัง ก้าวยาวๆ ตามหญิงสาวออกไป
รามภณชะโงกมองตามเงาหลังของคนทั้งสอง แล้วก็นึกถึงคำพูดของศาสตราและมายาวดีขึ้นมาได้...จริงสิ จิรัชย์หวงนางเอกใหม่คนนี้มากนี่นะ
...แต่ถึงอย่างนั้น จิรัชย์ก็ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ที่จะห้ามไม่ให้เขาข้องเกี่ยวกับเธอ
ไม่มีสิทธิ์!
% ###
อันที่จริง ละครเวทีของมหาวิทยาลัยนั้น มีทั้งหมดห้ารอบ วันศุกร์เย็นเป็นรอบแรก เสาร์และอาทิตย์มีวันละสองรอบ เช้าและเย็น
สำหรับรอบที่รามภณไปจองไว้เป็นรอบวันศุกร์เย็น
เขา ศาสตรา และวสวัตติ์ไปรอนฤตยากับภารดีที่หน้าโรงละครของมหาวิทยาลัย หลังจากหมดชั่วโมงเรียน
โรงละครของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารสีขาว ตั้งอยู่ด้านหน้าคณะนิเทศศาสตร์ เหนือประตูทางเข้าโรงละครมีโปสเตอร์ขนาดใหญ่ เขียนด้วยอักษรประดิษฐ์ตัวโตว่า 'มัทนพาธา ตำนานแห่งดอกกุหลาบ' บนภาพพื้นหลังรูปดอกกุหลาบสีแดงดอกโต
เมื่อนฤตยากับภารดีมาแล้ว พวกเขาก็ทักทายกันเล็กน้อย ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในโรงละคร
ภายในโรงละครสามารถจุผู้ชมได้ราวแปดร้อยคน ที่นั่งชมแบ่งเป็นแถวเรียงขึ้นไปเป็นขั้นบันได มีทางเดินขึ้นลงอยู่ด้านข้างและตรงกลาง ที่ด้านหน้าเป็นเวทีขนาดมาตรฐาน มีม่านสีแดงกั้นปิดอยู่
เมื่อหนุ่มสาวทั้งห้าเข้ามาในโรงละครแล้วก็มองหาที่นั่งซึ่งอยู่แถวที่สามนับจากด้านหน้าเวที ใกล้ทางเดินตรงกลาง นับว่าเป็นจุดที่เห็นเวทีชัดทีเดียว
พวกเขานั่งรออีกครู่หนึ่ง ผู้คนทยอยเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เวลา ดวงไฟภายในโรงละครก็มืดดับลง เหลือเพียงดวงไฟสีส้มตามทางเดิน
ม่านเวทีก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดออก พร้อมกับหัวใจที่ลุ้นระทึกของรามภณ ...รมัณยายามอยู่เป็นเวทีจะสวยสักเพียงไหนกันนะ
ควันสีขาวจากน้ำแข็งแห้งที่ถูกเป่าออกมาลอยละล่องละเลียดพื้นเวที นัยว่านี่เป็นสรวงสวรรค์อันงดงาม ยามตัวละครเดินผ่าน ควันก็ฟุ้งม้วนขึ้นมาถึงหัวเข่า
รมัณยาเดินตัดผ่านกลุ่มควันสีขาวออกมาช้าๆ ชุดสาหรีประยุกต์สีแดง ยามอยู่บนร่างเธอ ช่างขับให้เธอยิ่งดูสวย มีเสน่ห์ร้อนแรง กระทั่งสองหนุ่ม...รามภณ และวสวัตติ์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน ต่างมองจ้องเธอไม่วางตา
นฤตยาหันมองชายหนุ่มที่นั่งตัวเกร็งอยู่ข้างเธอ ทว่ารามภณเอาแต่จ้องอยู่บนเวทีจนคล้ายเคลิ้มฝัน
เมื่อถึงตอนที่มัทนาเทพธิดา ถูกสุเทษณ์จอมเทพสาปให้ต้องไปเกิดเป็นดอกกุหลาบในโลกมนุษย์ เนื่องจากบังเกิดความพิโรธที่นางไม่รักตอบ รมัณยาก็ทิ้งตัวหมอบราบลงกับพื้นเวที ให้ควันสีขาวคลุมบังร่างเธอ
ม่านของฉากแรกรูดปิดลง รามภณและวสวัตติ์ก็ผ่อนลมหายใจออกโดยแรงเกือบพร้อมกัน พวกเขาจึงหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มออกมากับการกระทำแปลกๆ ของตน ต่างคนต่างไม่รู้เลยว่านอกจากการกระทำที่เหมือนกันแล้ว หัวใจของพวกเขายังเต้นเป็นจังหวะเดียวกันด้วย...
ม่านเปิดออกอีกครั้ง ต้นกุหลาบของภวาภพชูดอกสีแดงโดดเด่นอยู่กลางเวที สวยงามสมเป็นราชินีแห่งไม้ดอก งดงามราวสาวสวยในชุดสีแดงสด
แต่ต้นกุหลาบไม่ใช่รมัณยา สองหนุ่มจึงดูจะเบื่อหน่ายเล็กน้อย กับฉากที่มีแต่ตัวละครชายเต็มเวที
ทว่าศาสตรากลับไม่เบื่อ เขาไม่ต้องรอให้หญิงสาวคนใดออกมาแสดงหน้าเวที ความจริงเขาแทบดูละครไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อจิตใจของเขามัวแต่พะวงอยู่กับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ข้างเพื่อนของเขา... จะมัวสนใจ มัวกังวลกับเธอไปทำไม ในเมื่อเขาเองเป็นคนเจาะจงดึงวสวัตติ์มานั่งติดกับเขา เพื่อให้เธอได้มีโอกาสอยู่ใกล้รามภณ
ฉากบนเวทีเปลี่ยนเป็นมืดสลัวของคืนวันเพ็ญ...คืนที่นางมัทนาจะได้กลับเป็นมนุษย์เพียงคืนเดียวในหนึ่งเดือน
นภสินธุ์แต่งตัวสวมเครื่องประดับแสดงถึงผู้มีบรรดาศักดิ์สูง ก้าวออกมารำพันตามบทที่เขาใช้เวลาซ้อมนานกว่าฉากใดๆ ในเรื่อง ทั้งยังเป็นบทที่จิรัชย์ย้ำหลายต่อหลายครั้ง บอกว่าสำคัญนักหนา
"โอ้โอ๋กระไรเลย บมิเคยณก่อนกาล
พอเห็นก็ซาบส้าน ฤดิรักบหักหาย..."*
เมื่อได้ยินคำรำพันของท้าวชัยเสน ที่เปิดเผยความในใจซึ่งมีต่อนางมัทนา ผ่านปากของนภสินธุ์แล้ว วสวัตติ์ก็ทำท่าราวกับจะสะดุ้ง...เขาเองก็ไม่แตกต่าง พอเห็นก็ซาบซ้าน ฤดิรักบหักหาย...
ส่วนรามภณก็รู้สึกโหวงในอกขึ้นมาแทบจะทันทีที่เห็นรมัณยาแง้มฉาก ซึ่งทำจากใบจากแห้งๆ สมมติเป็นประตูกระท่อม เดินช้าๆ ออกมา ในขณะที่นภสินธุ์หลบไปอยู่หลังกระถางต้นไม้ข้างๆ
รมัณยาออกมายืนพิงเสาระเบียงไม้ แหงนมองไปที่เพดานเวที ประหนึ่งเหม่อมองยังท้องฟ้า
"โอ้ว่าอนาถใจ ละไฉนนะเปนฉนี้
แต่ไรก็ไม่มี มะนะนึกระเหระหน
ไม่เคยจะเชื่อว่า ระตินั้นจะสัประดน
มาสู่ณใจตน และจะต้องระทมระทวย"*
คำพูดของเธอ น้ำเสียงของเธอ และยังท่าทางที่เธอแสดงอีก ยิ่งทียิ่งทำให้วสวัตติ์รู้สึกร่างกายอ่อนยวบ
...ฉากรักระหว่างท้าวชัยเสนและนางมัทนา ที่ทั้งนภสินธุ์และรมัณยาถ่ายทอดออกมานั้น ช่างงดงาม อ่อนหวาน น่าประทับใจ
เรื่องราวบนเวทีดำเนินต่อไป เมื่อนางมัทนามีความรักแล้ว ก็ไม่ต้องกลับเป็นดอกกุหลาบอีก ตามคำสาปของสุเทษณ์จอมเทพ ทว่านางจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากความรัก ถูกพระนางจัณฑี มเหสีของท้ายชัยเสนผู้ริษยานาง ใส่ความจนนางต้องระเห็ดออกจากวัง...
"น่าสงสารจัง" นฤตยารำพึงออกมาเบาๆ
คนที่นั่งประกบเธออยู่...ทั้งรามภณและภารดี ไม่มีใครสนใจได้ยิน ทั้งคู่ต่างจดจ่ออยู่ที่เวที มีเพียงศาสตรา คนที่มองเธออยู่ห่างๆ มาตลอดเท่านั้น จึงเห็นว่าเธอรู้สึกอย่างไร เขายิ้มออกมาอย่างเอ็นดูกับความอ่อนไหวของเธอ
รมัณยายังอยู่บนเวทีพร้อมกับนักแสดงอื่นๆ โดยมีเครื่องประกอบฉากที่สมมติให้เป็นพิธีบูชาเทพ เนื่องจากเรื่องราวได้ดำเนินมาถึงเมื่อนางมัทนาต้องอ้อนวอนขอต่อสุเทษณ์เทพให้ช่วยเหลือ
ทว่าเนื่องจากความรักที่ยังมีต่อนางมัทนาไม่เสื่อมคลาย สุเทษณ์จึงมีเงื่อนไข จะยอมแก้คำสาปก็ต่อเมื่อนางยอมรับความรักของตน หากแต่นางมัทนายังคงปฏิเสธอยู่เช่นเดิม จอมเทพจึงสาปให้นางต้องกลายเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล...
รมัณยาทิ้งตัวหมอบลงกับพื้นอีกครั้ง ควันสีขาวค่อยๆ ถูกปล่อยให้กลบบังตัวเธอ เหลือให้เห็นเพียงต้นกุหลาบที่ถูกเลื่อนเข้ามาแทนที่
ม่านค่อยๆ เลื่อนปิดเข้าหากันสนิท...
% ###
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วโรงละคร พร้อมกับเสียงผิวปากส่งเสียงแสดงความชื่นชม เมื่อเหล่านักแสดงทั้งหมดออกมายืนเรียงหน้ากระดานบนเวที เพื่อแสดงความขอบคุณต่อผู้ชม
จิรัชย์ ในฐานะผู้ควบคุมดูแลทุกอย่าง ก็ออกมายืนอยู่ตรงกลางแถวนักแสดง พร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีเชิง
นี่เป็นอีกครั้งกับความสำเร็จของเขา จะมีครั้งไหนบ้างหนอที่เขาไม่ได้รับการชมชื่น
ไม่มี...ต้องไม่มีเด็ดขาด ในชีวิตของจิรัชย์ ต้องไม่มีคำว่าล้มเหลว ไม่มีคำว่ายอมแพ้ ไม่ว่าในด้านการเรียน กิจกรรม ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เขาต้องประสบความสำเร็จ และต้องเป็นผู้ชนะ
เพราะความหยิ่งทนง ถือดีเช่นนี้นี่เอง จึงทำให้เขาผูกพยาบาทรามภณ มนุษย์เพียงผู้เดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้
ทว่านี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น มายาวดีเป็นเพียงแค่สะเก็ดไฟลูกเล็กๆเท่านั้น หากแต่ดวงไฟที่จะมอดไหม้พวกเขาจนเหลือเพียงเถ้าถ่านเพิ่งจะลุกลามเข้ามา...
เมื่อนักแสดงเดินแถวกลับเข้าหลังเวที ผู้ชมก็พากันทยอยออกจากโรงละคร
"สนุกดีนะ" ภารดีสะกิดบอกเพื่อนสาว ระหว่างที่กำลังลุกขึ้นจากที่นั่ง
"อืม แต่ก็น่าสงสาร" นฤตยาบอก
"จริงด้วย ท้าวชัยเสนไม่น่าซื่อบื้อเลย" เพื่อนสาวใส่อารมณ์ ทำเอาวสวัตติ์ที่เดินตามหลังต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
"อ้าว ไอ้ภณ จะไปไหนน่ะ" วสวัตติ์ตะโกนถาม เมื่อเห็นรามภณเดินออกจากแถวที่นั่งแล้ว แต่ไม่เดินเลี้ยวไปที่ทางออก กลับเดินไปทางด้านเวที
"เอ่อ จะไปหามายาวดี คือ มีธุระนิดหน่อย"
ชื่อมายาวดี เมื่อหลุดจากปากรามภณ ทำให้นฤตยาที่เดินตามหลังชะงักไปเล็กน้อย ซึ่งท่าทีนั้นของเธอ ย่อมไม่พ้นสายตาของศาสตรา ดังนั้นชายหนุ่มจึงตะโกนเตือนเพื่อน
"เอ็งเข้าไปเดี๋ยวก็เจอจิรัชย์หรอก มีธุระอะไรให้ข้าไปบอกให้มั้ยล่ะ"
รามภณนิ่งคิดนิดหนึ่ง รู้สึกเห็นด้วย จึงพยักหน้า พลางเดินกลับมาทางกลุ่มเพื่อน
"ข้าอยากมาดูอีกสักรอบน่ะ ก็เลยคิดว่าจะให้มายาวดีหาบัตรให้"
"เฮ้ย สนุกขนาดจะมาดูอีกรอบเลยเหรอ" ศาสตราถามอีก
"คือ..." รามภณพยายามหาเหตุผลมากลบเกลื่อน "ข้าว่าจะเอาไปคุยตอนออกอากาศวันจันทร์ไง"
"ถ้าอย่างนั้นข้ามาเป็นเพื่อนด้วยมั้ยล่ะ" วสวัตติ์เสนอตัว ด้วยความจริงแล้ว เขาเองก็อยากจะมาเห็นนางมัทนาคนนี้อีก "แล้วข้าจะเข้าไปคุยกับมายาวดีให้ พวกเอ็งไปกันก่อน ยังต้องไปส่งสาวๆ อีกนี่" เขาบอก แล้วก็เดินหายเข้าไปทางหลังเวที
ที่ด้านหลังเวทีออกจะวุ่นวายอยู่เล็กน้อยกับการจัดเก็บข้าวของอุปกรณ์ และเตรียมสำหรับการแสดงรอบต่อไปในวันพรุ่งนี้
วสวัตติ์มาถึงแล้ว ก็พยายามชะเง้อคอยาว มองหา 'นางมัทนา' คนนั้น
ทว่าที่นั่นไม่มีนางมัทนา...
บางทีเธออาจจะกำลังอยู่ในห้องแต่งตัว
ที่ด้านหลังนั้น มายาวดีกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมเครื่องประดับของนักแสดงที่จะใช้ในรอบต่อไป เธอจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างดี จนจิรัชย์วางใจ ไม่ค่อยต้องมาควบคุมด้วยตัวเอง หรือบางทีอาจเป็นเพราะ...พวกเขาเคยรู้ใจกันมาก่อน
"มายาวดี" วสวัตติ์ส่งเสียงเรียก พร้อมกับเดินตรงเข้ามา
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อรู้ว่าผู้มาเป็นใครแล้วก็ยิ้มรับ
"มาทำอะไรถึงหลังเวทีนี่ล่ะ แล้วภณไม่มาด้วยเหรอ"
"เอ่อ จริงๆ ก็มา แต่ไล่ให้กลับไปแล้ว"
"ว้า น่าเสียดายจัง"
"เธอก็รู้ว่าสถานการณ์ไอ้ภณมันเป็นยังไง" วสวัตติ์อธิบาย "แต่มันชอบละครนี่มากเลยนะ ขนาดบอกให้ฉันมาถามเธอ ว่ามีบัตรรอบอื่นเหลืออีกรึเปล่า"
มายาวดีนิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วเดินไปที่กระเป๋าถือของเธอ ซึ่งวางระเกะระกะไว้กับสัมภาระอื่นๆ ของนักแสดง เธอหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาแล้วเปิดดู
"บัตรน่ะ ขายหมดแล้ว ถ้าจะมีก็คงเป็นที่นั่งเสริมนะ มองเห็นเวทีไม่ชัด"
"ไม่เป็นไร เหลือสักสองใบรึเปล่า"
"มี" มายาวดีพยักหน้า "แต่ ภณอยากได้คนเดียวไม่ใช่เหรอ แล้วอีกใบนึงล่ะ"
"เอ่อ...ก็ จะมาเป็นเพื่อนไอ้ภณมันน่ะ" เขาบอก มายาวดีได้ยินแล้วจึงยิ้มออกมา
"พวกนายนี่เป็นเพื่อนที่รักกันดีจังเลยนะ น่าอิจฉา"
% ###
ละครรอบเย็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย น่าจะเป็นรอบที่มีคนดูมากที่สุด เพราะแม้แต่ที่นั่งเสริมก็ยังขายหมดเกลี้ยง
ที่นั่งเสริมเป็นเก้าอี้ซึ่งยกมาแทรกเพิ่มในบริเวณที่ว่างอย่างทางเดินด้านหลัง หรือใกล้ประตูทางเข้า
รามภณกับวสวัตติ์ได้ที่นั่งบริเวณด้านหลัง ติดกับทางเข้า ทำให้มองเห็นเวทีไม่ชัดถนัดเท่าครั้งแรก แต่เห็นคนที่เดินเข้าออกบริเวณประตูนั้นเกือบทุกคน เพราะเขาเป็นคนแรกๆ ที่มานั่งรอละครเริ่ม
ก่อนการแสดงละครจะเริ่มราวสิบนาที วีรินทร์กับตฤษณะก็เดินผ่านประตูนั้นเข้ามา วสวัตติ์เห็นคนทั้งสองจึงเรียกไว้
"วีรินทร์ คริสต์ มาดูด้วยเหรอ" เขาถามขึ้น
วีรินทร์กับตฤษณะเหลียวหลังมาโดยพร้อมเพรียง เมื่อเห็นว่าคนทักเป็นใคร วีรินทร์ก็ยิ้มกว้าง พร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้
"ก็ต้องมาสิ เพื่อนแสดงทั้งที แล้วนี่มากันสองคนเองเหรอ"
วสวัตติ์พยักหน้า "เพื่อน...ใครน่ะ"
รามภณได้ยินวสวัตติ์ถามอย่างนั้น จึงแสร้งเบือนหน้าไปทางอื่น เขาลืมบอกกับเพื่อนไปว่า ทั้งพระนางของละครเรื่องนี้เป็นใคร
"อ้าว ก็นภสินธุ์กับรมัณยาไง" วีรินทร์บอก "ที่เคยคุยให้ฟังว่ามาแสดงละคร ก็เลยไม่ได้ไปเล่นดนตรีที่บันนี่ผับน่ะ"
วสวัตติ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
"คู่พระนางเลยนะ"
คราวนี้หนุ่มผมยาวไม่ได้เพียงแค่พยักหน้ารับรู้ แต่ถึงกับออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด "จริงเหรอ อย่างนี้คงต้องให้เธอแนะนำซะแล้ว"
รามภณได้ยินแล้วรู้สึกใจโหวงขึ้นมาทันที ...ทำไมนะ เขาไม่อยากให้ใครรู้จักรมัณยาเลย นี่เขาเป็นเหมือนจิรัชย์อย่างนั้นหรือ
หวงเธอ ใช่แล้ว คนสวย มีเสน่ห์อย่างรมัณยา ใครเห็นก็อยากรู้จัก อยากอยู่ใกล้ จะไม่ให้หวงได้อย่างไร
"อ๊ะ ละครจะเริ่มแล้ว ไปก่อนนะ" วีรินทร์บอก "อ้อ หลังละครเรามีนัดกับสองคนนั้น ถ้ายังไงก็อยู่รอก่อนสิ จะได้แนะนำให้รู้จัก"
วสวัตติ์รับคำอย่างยินดี รามภณมองเพื่อนแล้วก็ให้สะกิดใจนัก
"เอ็งอยากรู้จักสองคนนั้นจริงๆ เหรอ"
วสวัตติ์หันกลับมามองเพื่อน ใบหน้าแสดงความฉงนจนคิ้วแทบติดกัน "เอ็งนี่ก็แปลก เพื่อนกันทำไมไม่อยากรู้จักละวะ"
เพื่อนกัน...อย่างนั้นหรือ จริงสิ เขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
"เออ โทษทีว่ะ ลืมไป"
% ###
ละครในวันนี้ไม่สนุกเหมือนเมื่อวันก่อน อาจเพราะตำแหน่งที่นั่งไม่ดี หรืออาจเป็นเพราะมีอะไรอย่างอื่นมารบกวนจิตใจ...
ต่อเมื่อการแสดงจบลง นักแสดงทั้งหมดก็ยังคงได้รับเสียงปรบมือกึกก้องอีกเช่นเคย เมื่อพวกเขาออกมายืนแถวแสดงความขอบคุณต่อผู้ชมแล้ว ก็พากันเดินแถวกลับเข้าด้านหลังเวที
รมัณยาค่อยๆ วางเท้าก้าวลงบันไดด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากชุดสาหรี่ประยุกต์ที่สวมอยู่นั้นยาวลากพื้น อาจทำให้เธอสะดุดตกเมื่อใดก็ได้ จิรัชย์ที่รอเธออยู่แล้วจึงเข้ามาช่วยจับแขนประคองเธอไว้ แล้วพูดกับเธอเสียงเบาราวจงใจกระซิบ
"เสร็จจากที่นี่แล้ว ไปกินข้าวด้วยกันนะ จะเลี้ยงขอบคุณนักแสดงด้วย"
"อืม สงสัยจะไม่ได้ค่ะ มีนัดแล้วน่ะ"
"นี่เธอจะไม่ให้โอกาสฉันบ้างเลยเหรอ" เขาตัดพ้อ สีหน้าแสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
รมัณยาไม่ตอบ...เธอรู้ว่าไม่ควรตอบ ไม่ว่าการพูดใดๆ ในขณะนี้มีแต่จะทำให้เรื่องยืดยาวออกไป เธอจึงผละจากเขา แล้วตรงเข้าห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว นภสินธุ์ที่เดินตามหลังรมัณยามาติดๆ จึงเข้ามาตอบคำถามนั้นแทน
"ถึงรมัณยาจะไม่ให้ แต่ผมให้โอกาสจิรัชย์เสมอนะ" เขาบอกทีเล่นทีจริง
ทว่าทั้งคำพูดและแววตาของชายหนุ่มหน้าสวยที่แสดงออกมานั้น แทบทำให้เขาอยากอาเจียน หากแต่เขายังต้องรักษาภาพพจน์ของตัวเองไว้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินเลี่ยงไปทางอื่นเสีย
% ###
ภาพดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนลงในทะเล จะอย่างไรก็เป็นภาพที่สวยงามตรึงตราอยู่เสมอ...
ตฤษณะปลีกตัวจากวีรินทร์ รามภณ และวสวัตติ์ ไปนั่งอยู่ที่ก้อนหินริมทางเดินลงมายาชายหาด
ควันบุหรี่ที่นิ้วของเขาค่อยๆ ลอยม้วนกระจายไปในอากาศ หนุ่มลูกครึ่งมองผ่านสายควันนั้นออกไป ราวกับมองเห็นเงาของใครคนหนึ่ง
"ยังไม่เลิกเผาปอดตัวเองอีกนะ บุหรี่นี่มันดียังไงกัน" เสียงนภสินธุ์ที่ยืนอยู่บนทางเดินด้านหลัง ทำให้เขาเหลียวหันไปมอง จากนั้นก็ได้แต่หัวเราะอยู่ในลำคอ
...บุหรี่มันดียังไง จะให้ตอบอย่างไรได้
"ไม่คิดว่านายจะมาดูด้วย" นภสินธุ์บอก
"ทำไมไม่มาล่ะ" ตฤษณะพยายามพูดภาษาไทย แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้ในประโยคหลัง "I got the free ticket."
นภสินธุ์หัวเราะเขิน...ก็เขานี่ล่ะ ที่เป็นคนยัดเยียดบัตรละครให้ทั้งสองคน อีกทั้งยังกำชับพวกเขาให้มาให้ได้
ตฤษณะเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ จากนั้นจึงหันไปถามถึงรมัณยา
"กำลังตามมา" นภสินธุ์บอก
"ตอนกลับ จะไปกับใคร" หนุ่มลูกครึ่งถามด้วยสำเนียงแปร่ง พลางขยี้ก้นบุหรี่ในมือลงกับพื้นทราย
"ก็คงซ้อนช็อปเปอร์รมัณยาเหมือนเดิม"
คำตอบของหนุ่มหน้าสวย ทำให้ดวงตาสีเขียวมีแววผิดหวังเล็กน้อย
"โอ๊ะโอ รมัณยามาพอดี"
หญิงสาวร่างบางเดินยิ้มมาตามทางเดิน ผมยาวสวยถูกรวบไว้ด้านหลังด้วยริบบิ้นสีขาวครีม...
"เฮ้ คริสต์" หญิงสาวทักทายมาแต่ไกล ตฤษณะจึงโบกมือทักตอบ
"วีรินทร์ล่ะ" รมัณยาถามทันทีที่เดินมาถึงตัว ตฤษณะจึงบุ้ยหน้าไปทางชายหาด จากนั้นจึงลุกยืนขึ้น ออกเดินนำ ทว่านภสินธุ์กลับยังรั้งเขาไว้อีก แล้วหยิบก้นบุหรี่ที่ดับแล้วขึ้นมาชู พลางลากเสียงยาว
"เอาไปทิ้งด้วย..."
เมื่อคนทั้งสามเดินมาถึง วีรินทร์กับรามภณและวสวัตติ์กำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ วีรินทร์เป็นคนคุยสนุก และคุยได้ทุกเรื่อง ยิ่งเวลาคุยกับเพื่อนผู้ชาย เธอก็สามารถกลมกลืนไปกับพวกเขา เหมือนเป็นเพื่อนผู้ชายด้วยกัน
วีรินทร์เงยหน้าจากวงสนทนา เมื่อเห็นตฤษณะกับชายหนุ่มและหญิงสาวหน้าสวยทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็ตะโกนทักเสียงดัง อีกสองหนุ่มที่นั่งคุยอยู่ด้วยจึงหันไปมองโดยพร้อมเพรียง
ใบหน้าของหญิงสาวอาบแสงยามเย็นจนเรื่อแดง เธอเดินเข้ามาใกล้พวกเขา พร้อมกับรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง
รามภณขยับปากจะทักทายเธอ ทว่าวีรินทร์กลับก้าวไปตะปบไหล่บางของหญิงสาวไว้ก่อน
"นี่ไง รมัณยา ที่เคยบอก" เธอแนะนำพลางดึงร่างน้อยเข้ามาโอบ "แล้วนี่ก็นภสินธุ์ ภณรู้จักแล้วนี่"
รามภณยิ้มแห้งๆ พยักหน้านิดหนึ่งก่อนกล่าวทักทายคนทั้งสอง
รมัณยายิ้มทักทายตอบ แล้วจึงหันไปพูดกับวีรินทร์
"รามภณ เรารู้จักแล้ว แต่คนนั้น ยังไม่รู้จัก" เธอปรายตาไปทางวสวัตติ์ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง วสวัตติ์จึงถือโอกาสแนะนำตัวเอง
"วสวัตติ์ เรียกวัตติ์ก็ได้" เขายิ้มให้เธอนิดหนึ่งอย่างไว้เชิง หากแต่ใครจะรู้ หัวใจของเขาตอนนี้เต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
ในที่นั้น นอกจากหัวใจวสวัตติ์จะเต้นไม่เป็นจังหวะ ยังมีหัวใจอีกดวงที่สูบฉีดเลือดอย่างแรงด้วยความพลุ่งพล่านของจิตใจ
จิรัชย์มองมาจากทางสวนสน ซึ่งอยู่ถัดจากชายหาด ห่างออกไป เขากำลังมองคนที่อยู่ในบริเวณชายหาดด้วยสายตาลุกร้อน ริมฝีปากของเขาเม้มสนิท ด้วยเกรงว่ามันจะสั่นระริก มือที่กำโทรศัพท์แนบหูอยู่ ก็ยิ่งกำแน่นเข้า
"เอ็งอยากกำจัดศาสตราใช่มั้ย" เขากรอกเสียงที่กดต่ำจนน่ากลัวลงในโทรศัพท์ "ข้าจะช่วย...แลกกับเรื่องที่ข้าอยากให้เอ็งทำ!"
% ====================
* บทละครเรื่องมัทนพาธา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น