ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ห้องแห่งความลับ
อัยยาก้าวมาตามทางเดินอันเงียบกริบ
แขนซ้ายของนางคล้องกระเช้าใส่อาหารและเหยือกน้ำ ทั้งยังมีตำราประวัติศาสตร์ที่จารึกบนแผ่นหนังสอดอยู่ที่ด้านข้างอีกสองเล่ม
ทางที่นางเดินอยู่ คือปีกอาคารด้านทิศเหนือของคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ เป็นด้านที่มีคนพักอาศัยอยู่น้อย ทั้งนี้เพราะในอดีต เคยมีเหตุการณ์อันน่าพรั่นพรึงเกิดขึ้น
อัยยาเดินผ่านหน้าห้องห้องหนึ่ง หยุดมองที่บานประตูซึ่งปิดสนิทอยู่ แล้วถอนหายใจยาว
ทุกครั้งที่เดินผ่านห้องนี้ นางจะรู้สึกหดหู่จนต้องถอนหายใจเสียทุกครั้ง ห้องนี้ประวัติอันดำมืด ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนเท่านั้น...
นางยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ครั้งนั้นกองกำลังเสตาลัญฉน์ทราบข่าวจากทยุต พี่ชายของนางซึ่งแฝงตัวเป็นสายอยู่ในกลุ่มพวกเมยาดิคว่า นีซากำลังพยายามค้นหาราดิศ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเสตาลัญฉน์ ที่หายสาปสูญไปแต่แรกเกิด ผู้ซึ่งชาวเมยาดิคคาดหมายว่าจะมาเป็นผู้นำของตนตามคำสาปโบราณที่เล่าขานกันมา ดังนั้นจิรภัจ ในฐานะรักษาการแทนผู้นำกองกำลัง จึงมอบหมายให้นางกับคีตาออกค้นหาราดิศเช่นกัน
ราดิศ เสตาลัญฉน์ ชายผู้ซึ่งถูกคำสาปตามหลอกหลอนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง...
อัยยาจำได้ คราที่พบราดิศครั้งแรกนอกหมู่บ้านอันห่างไกลสุดแดนเหนือ บริเวณเชิงเขาเสียดฟ้านั้น เขาดูน่าสงสาร มีท่าทีหวาดกลัว และไม่กล้าพบใคร แม้ตนเองจะไม่ได้มีลักษณะแตกต่างจากชาวอุตตราศูรแม้แต่น้อย หากเพราะเขาทราบว่าตนเองเป็นเสตาลัญฉน์ ทราบว่าตนมีสายเลือดเมยาดิค ทราบว่าวันหนึ่งเขาจะต้องเปลี่ยนร่าง...เปลี่ยนเป็นปิศาจร้าย!
หากแม้ทราบกระนั้น จิรภัจก็ยังให้นางกับคีตาพาเขากลับมายังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ ทั้งนี้เพราะสิ่งที่จิรภัจเกรงมากกว่า คือการที่ราดิศตกไปอยู่ในมือพวกเมยาดิค
ทว่านั่นกลับเป็นผลร้าย...เป็นผลร้ายอย่างยิ่ง...
หลังจากพากลับมายังเสตาลัญฉน์แล้ว จิรภัจก็ให้คนจัดห้องสำหรับเขา พยายามให้เขารู้สึกว่าเป็นบ้าน แต่ก็ยังหานักรบคอยเฝ้าเขาไว้เช่นกัน
แน่นอน การนำลูกครึ่งเมยาดิคที่ไม่ทราบว่าจะเปลี่ยนเป็นปิศาจร้ายเมื่อใดมาอยู่ในเสตาลัญฉน์นั้น ย่อมได้รับการทักท้วงและต่อต้าน หากแต่ไม่มีใครคิดหาทางอื่นที่ดีกว่าได้ ดังนั้นจากต่อต้าน จึงเปลี่ยนเป็นหวาดระแวง ทุกคนล้วนแต่คอยเฝ้าระวังว่าเขาจะเปลี่ยนร่างเมื่อใด ต่างคิดว่าวันใดที่เขาเปลี่ยนร่าง วันนั้นจะเป็นวันตายของเขา!
ปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้าง ทำให้ราดิศเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ยิ่งหวาดกลัว ยิ่งทุกข์ทรมาน
จะมีก็แต่จิณณา...จิณณาสงสารเขา นางเป็นผู้เดียวที่คอยดูแลเขาด้วยความห่วงใย แสดงออกต่อเขาอย่างจริงใจ นางเป็นพลัง เป็นความหวังให้เขายังคงมีชีวิตอยู่
เพียงไม่นาน จากความสงสารก็เปลี่ยนเป็นความรัก ทว่าความรักของจิณณากับราดิศ กลับเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น...ไม่ควรเกิดขึ้นเลย...
และแล้ว วันที่ทุกคนหวาดกลัวก็มาถึง...วันที่ราดิศเปลี่ยนร่างเป็นครั้งแรก!
คืนนั้นทุกอย่างประจวบเหมาะ ทุกสิ่งลงตัว...
ไม่ว่านีซาจะทราบหรือไม่ ว่าราดิศกำลังจะเปลี่ยนร่าง แต่การจู่โจมของพวกเมยาดิคในหมู่บ้านใกล้กรุงอุษณบุรีในคืนนั้น ก็ดึงความสนใจของจิรภัจ อัยยา คีตา และนักรบคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
คฤหาสน์เสตาลัญฉน์ในคืนนั้นมีนักรบอยู่เพียงสิบกว่าคน นอกนั้นก็เป็นเพียงคนดูแล และญาติของเหล่านักรบเท่านั้น
อัยยาจำได้ว่า หลังจากขับไล่พวกเมยาดิคไปแล้ว พวกนางกลับมายังคฤหาสน์ และต้องตื่นตระหนกเมื่อทราบข่าวร้าย...
ข่าวร้ายนั้นคือ ราดิศเปลี่ยนร่างแล้ว เขาเป็นหมาป่าร่างใหญ่ เส้นขนทั่วตัวเป็นสีดำสนิท มีพลกำลังมหาศาล นักรบเสตาลัญฉน์ถึงห้าคนก็ไม่อาจต้านทานกำลังของเขาได้
คืนนั้นนักรบถึงเจ็ดคนต้องสังเวยชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น เขายังลักพาจิณณา ก่อนจะหลบหนีออกจากคฤหาสน์ไป!
ทันทีที่ทราบข่าว จิรภัจก็ถึงกับล้มทั้งยืน จิณณาเป็นลูกสาวของเขา เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เป็นแก้วตาดวงใจที่เขามีอยู่ เมื่อถูกลักพาตัวไปเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้เป็นพ่อคิดไปต่างๆ นานา ในที่สุดความกลัดกลุ้มกังวล ความเป็นห่วงโหยหาก็ทำให้เขาล้มป่วยลง
คีตาในวัยสิบห้าปี กำลังเลือดร้อน เมื่อเห็นจิรภัจมีอาการไม่สู้ดีเช่นนั้นจึงไม่อาจนิ่งเฉย เขามาบอกกับอัยยา บอกว่าจะไปป่าปิศาจ ไปหาจิณณา ดูว่านางยังมีชีวิตอยู่ หรือราดิศสังหารนางเสียแล้ว
อัยยาห้ามเขาไม่ได้ หากเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ได้ คีตาไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด ไม่ว่าจะอันตรายประเภทไหนก็ไม่อาจหยุดเขาได้
คีตาเดินทางไปยังป่าปิศาจ หายไปร่วมสัปดาห์จึงกลับมา เมื่อเห็นเขากลับมาโดยปลอดภัยนางก็เบาใจ คีตายังเล่าอีกว่า ได้พบจิณณาที่ป่าปิศาจ บอกว่านางปลอดภัยอยู่ข้างกายราดิศ บอกเหตุผลที่นางไม่อาจกลับมายังเสตาลัญฉน์ แม้จะทราบว่าจิรภัจกำลังป่วยอยู่ก็ตาม
ทว่าการที่จิณณาทราบว่าบิดาของนางป่วย กลับส่งผลเลวร้าย...
ทบทวนความทรงจำถึงตรงนี้แล้ว อัยยาก็ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง ครั้นนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีธุระจะต้องทำ จึงสลัดความคิดทั้งหมด ชำเลืองมองห้องนั้นอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าก้าวต่อไป
—
ทางเดินในคฤหาสน์เสตาลัญฉน์นั้นค่อนข้างซับซ้อน อัยยาเดินลัดเลี้ยวซ้ายขวาอยู่สองสามครั้งจึงบรรลุถึงห้องที่อยู่ริมสุดของปีกอาคารด้านทิศเหนือ
นางหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง ประตูไม้นั้นปิดสนิท บนบานประตูสลักภาพดวงอาทิตย์รัศมีแปดแฉก ส่วนที่จับประตูมีโซ่หยาบใหญ่คล้องไว้ พร้อมใส่แม่กุญแจอย่างแน่นหนา
อัยยาหันมองทางด้านหลัง สำรวจซ้ายขวาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใด จึงค่อยดึงเอาลูกกุญแจที่คล้องอยู่ที่คอออกมาไข ปลดแม่กุญแจและโซ่ออก
ความจริงทางเดินบริเวณนี้ก็แทบไม่มีใครผ่านไปมาอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งเพราะอยู่ลึกเข้ามาทางปีกอาคารซึ่งซับซ้อนเกินไป อีกส่วนหนึ่งเพราะห้องหับในบริเวณนี้ล้วนเก่าทรุดโทรม ไม่ได้รับการบูรณะอย่างห้องที่อยู่ใกล้โถงกลาง
...คงมีแต่พิฆานที่ยินดีอยู่ห้องทางปีกนี้
อัยยาผลักบานประตูออกช้าๆ ดวงอาทิตย์บนบานประตูก็ค่อยๆ แยกออกจากกันราวกับถูกผ่า
ครั้นก้าวเข้ามาในห้องแล้ว นางก็หันไปปิดประตูลง แล้วจึงหมุนตัวกลับมา พิงหลังกับบานประตู ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นจึงก้าวไปทางหน้าต่างไม้ฝั่งตรงข้าม ดึงกลอน ผลักบานหน้าต่างเปิดออกบานหนึ่ง ปล่อยให้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาภายใน
ห้องนี้เป็นห้องโล่ง สองข้างซ้ายขวาเป็นผนังหินทึบ มีคบเพลิงซึ่งไม่ได้จุดเสียบอยู่ที่แป้นตามผนัง เครื่องเรือนไม้เก่าๆ กองสุมอยู่มุมห้องด้านหนึ่ง และแท่นหินสูงที่กลางห้อง ซึ่งมีผ้าสีขาวคลุมอยู่เท่านั้น
ในสมัยก่อน ห้องนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่บวงสรวงเทพเจ้าแห่งแสง อันเป็นประเพณีประจำปีของชาวอุตตราศูร ซึ่งทุกบ้านจะต้องทำกัน ทว่าในระยะหลัง ทางราชสำนักจัดให้มีการบวงสรวงใหญ่ที่วิหารแห่งแสง และอนุญาตให้ชาวเมืองเข้าร่วมได้ ผู้คนทั้งหลายจึงมักไปร่วมงานบวงสรวงที่วิหารแห่งแสง มากกว่าจะจัดกันเองในบ้าน คนเสตาลัญฉน์เองก็ไปร่วมกับชาวเมืองที่นั่นด้วย ตั้งแต่นั้นมาห้องนี้จึงถูกปิด และไม่ได้ใช้งานอีก
อัยยาก้าวไปที่แท่นหิน เลิกผ้าขาวเปิดออก แท่นหินนี้เคยถูกใช้เป็นแท่นบูชา หน้าตัดกว้างครึ่งวา ยาวสองส่วนสามวา บนผิวหน้ามีแผ่นหินอ่อนวางทับอยู่ บนหินอ่อนสลักรูปดวงอาทิตย์รัศมีแปดแฉก
ทว่าที่อัยยามองหาอยู่นั้นไม่ใช่ภาพดวงอาทิตย์บนแผ่นหินอ่อน นางค่อยๆ เลื่อนแผ่นหินออก จึงพบช่องใต้แผ่นหิน นางล้วงมือเข้าไปค้นหาสลักกลไก เมื่อพบแล้วจึงดึงสลัก ผนังหินที่ด้านขวาจึงค่อยๆ เลื่อนเปิดออก ส่งเสียงครืดคราดเบาๆ
ผนังหินภายในห้องอันศักดิ์สิทธิ์กลับกลายเป็นประตูลับ...
อัยยาเดินตรงไปทางผนังที่เปิดออกนั้น มองลงไปตามบันไดหินซึ่งทอดยาวสู่ความมืดเบื้องล่าง จากนั้นก็เอื้อมฉวยคบเพลิงที่ด้านข้างมาจุด แล้วจึงก้าวผ่านประตูลับเข้าไป
ครั้นเข้ามาแล้ว นางก็ยกมือหมุนกลไกที่ด้านข้าง ผนังจึงค่อยเลื่อนปิดลง ในระหว่างที่นางเดินลงไปตามบันได
อัยยามาที่นี่เป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้ง ยกเว้นในช่วงฤดูหนาว ทำเช่นนี้มาร่วมยี่สิบปีแล้ว ซึ่งโดยปกติ หากไม่มีธุระอะไร พิฆานก็จะลงมากับนางด้วย ทว่าวันนี้เขาไปสำรวจชายป่ากับคีตา คืนนี้จึงมีเพียงนางเท่านั้น
บันไดหินทั้งแคบและวกวน สองข้างเป็นผนังทึบเรียบ ไม่มีแป้นคบเพลิง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ภายในมีเพียงความมืด
อัยยาเดินลงมาราวห้าสิบขั้น จึงเริ่มเห็นแสงสว่างส่องกระทบแนวโค้งของผนังหิน เมื่อก้าวลงจากขั้นสุดท้ายก็พบโถงแคบๆ และประตูเหล็กขวางอยู่ตรงหน้า
บานประตูเหล็กแง้มอยู่เล็กน้อย นางจึงเสียบคบเพลิงไว้ที่แป้นหน้าประตู ก่อนจะค่อยๆ ผลักมันเปิดออก บานพับประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ
ที่นี่คือห้องลับใต้ดิน สถานที่ลับซึ่งไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรู้ว่ามีห้องนี้อยู่ นางเองก็เพิ่งรู้เมื่อจิรภัจบอกต่อพวกนาง ในระหว่างวิกฤตการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อน
ครั้งแรกที่นางเข้ามาในห้องนี้พร้อมกับทยุต และคีตา ห้องลับนี้มีสภาพน่าหดหู่ ไม่ต่างอะไรจากคุกใต้ดิน ทว่าในเวลานี้ ภาพนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ห้องกว้างขวางล้อมรอบด้วยผนังทึบ ไม่มีหน้าต่าง แต่สะอ้านสะอ้าน ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยผ้าสีสันต่างๆ เพื่อเพิ่มความสดใสให้กับห้อง มีฉากกั้นทำจากไม้ฉลุลาย แบ่งห้องออกเป็นสองส่วน ส่วนที่อัยยายืนอยู่นี้ มีโต๊ะ ตู้ เตียง เครื่องเรือนครบครัน ซึ่งทั้งหมดล้วนทำจากไม้ แกะสลักอย่างวิจิตร ข้างหัวเตียงก็มีแจกันดอกไม้ส่งกลิ่นหอมจรุง ภายในห้องก็สว่างไสวไปด้วยแสงจากคบเพลิงที่รายล้อมรอบด้าน ราวกับจะชดเชยสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในที่นี้...แสงอาทิตย์
ตรงกลางห้องทางด้านนี้มีโต๊ะกลม พร้อมกับเชิงเทียนถูกจุดสว่างไสววางอยู่กลางโต๊ะ ส่วนข้างเตียงซึ่งอยู่ชิดติดผนังด้านในสุดก็เป็นโต๊ะเขียนหนังสือ มีพับตำราใบลานกองพะเนินอยู่ด้านหนึ่ง กลางโต๊ะมีแผ่นหนังกางไว้ วางทับด้วยขวดหมึก และแท่นซึ่งมีปากกาขนนกเสียบอยู่
อัยยาหยิบตำราประวัติศาสตร์ทั้งสองเล่มวางลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วจึงหันมาทางโต๊ะกลม วางกระเช้าที่คล้องมา พลางชะเง้อมองหาเจ้าของห้อง
"เวคิน" นางเรียกเสียงเบา หากแต่ผ่านไปเป็นครู่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงขานตอบ นางจึงเดินอ้อมไปทางหลังฉาก พร้อมส่งเสียงเรียกอีกครั้ง "เวคิน..."
ที่หลังฉากไม่มีเครื่องเรือน หากแต่ผนังทางด้านนี้เต็มไปด้วยภาพสีสันสวยงาม บ้างเป็นภาพต้นไม้ ภาพทิวทัศน์กลางแจ้ง หากแต่ทั้งหมดกลับผิดสัดส่วนอย่างประหลาด สีสันก็แปลกแตกต่างจากความเป็นจริง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งหันหน้าเข้าหากำแพง กำลังบรรจงแต้มสีลงบนผนังอย่างใจเย็น ข้างตัวเขาก็มีสีมากมาย พร้อมทั้งขวดน้ำยาประสาน สีต่างๆ เหล่านี้เป็นสีฝุ่น ทำจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ จากพืชที่ให้สีสันบ้าง จากไขของสัตว์บ้าง จากแร่ต่างๆ บ้าง พู่กันที่เขาใช้บางด้ามก็ทำมาจากขนม้า บางด้ามทำจากขนกระต่าย
อัยยาค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ มองจากทางด้านหลัง รูปร่างของชายผู้นี้ผอมไปบ้าง แขนท่อนล่างที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาไม่ได้มีลักษณะกล้ามเนื้อเด่นชัดอย่างชายในวัยเดียวกัน ผิวของเขาเป็นสีแดงเรื่อดูผิดแปลก หากแต่ที่สะดุดตาคือผมของเขา ผมสั้นระต้นคอนั้นมีสีแปลกจนประหลาด...เป็นสีแดงดั่งเพลิง
"เวคิน" อัยยาเรียกขึ้นอีก นางมายืนอยู่ข้างหลังแล้ว เอื้อมมือแตะบ่าเขาเบาๆ "ข้าเอาอาหารมาแล้ว ไปกินเถอะ"
"ข้ายังไม่หิวเลย ท่านอา..." เขาตอบ พร้อมกับวางพู่กันลง แล้วจึงหันมามองนาง
อัยยาพิศมองหลานชาย พลางยกมือลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู เขาเป็นชายหน้าตาดี ใบหน้าเรียว จมูกปากได้รูปทรง มีลักษณะของพ่อเด่นชัด หากแต่นัยน์ตากลับมีสีแปลก ประหลาดยิ่งกว่าสีผมของเขาเสียอีก
นอกจากผมสีแดงเพลิงแล้ว เขายังมีนัยน์ตาสองสี...
นัยน์ตาขวาของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้มซึ่งได้มาจากพ่อ และเป็นสีเดียวกับนัยน์ตาของอัยยา หากนัยน์ตาซ้ายกลับมีสีแดงดั่งเลือดนก!
ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขากำลังยิ้มอยู่ หากรอยยิ้มนั้นเศร้าเหลือเกิน แววตาของเขาหมองหม่นเหลือเกิน
อัยยาถอนหายใจเล็กน้อย "ตามใจเจ้าเถอะ" นางบอก แล้วจึงเงยมองภาพที่เขากำลังวาด มันเป็นภาพอาคารหลังหนึ่ง
"วิหารแห่งแสง..." เวคินบอกเสียงเบาหวิว "ข้าพยายามวาดวิหารแห่งแสง ตามที่คีตาเคยเล่าให้ฟัง"
อัยยายิ้มนิดหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ อธิบายลักษณะของวิหารแห่งแสงอย่างละเอียด ชี้จุดที่เขาวาดผิดจากความเป็นจริง ซึ่งเวคินก็รับฟังอย่างตั้งใจ และแก้ไขตามที่นางบอก
"ข้าอยากไปวิหารแห่งแสง" เขาบอกช้าๆ "ข้าอยากไปเห็นของจริง อยากไปยืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ แล้วมองไปที่ยอดวิหารนั้น"
คำพูดของเขาทำให้อัยยาต้องแหงนหน้า พยายามกลืนน้ำตาที่กำลังจะทะลักออกมา ...เขามีลักษณะผิดแปลกเช่นนี้ จะออกไปที่ใดได้
เวคินไม่เคยออกไปข้างนอก ไม่เคยแม้แต่จะย่างเท้าขึ้นไปบนคฤหาสน์ เขาถูกเก็บเป็นความลับอันดำมืดของเสตาลัญฉน์ แม้แต่ผู้ที่อาศัยในคฤหาสน์เองก็ไม่ทราบว่ามีเขาอยู่ ผู้ที่รู้ความลับนี้ นอกจากนางและพิฆานแล้ว ก็มีเพียงจิรภัจกับคีตาเท่านั้น
เวคินอยู่ภายในห้องลับนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต ด้วยลักษณะอันแตกต่าง จึงไม่อาจให้ใครพบเห็นได้ ...ลักษณะของเขา ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นย่อมต้องเข้าใจว่าเป็นเมยาดิค เป็นปิศาจที่ต้องกำจัด!
ทว่าความจริงแล้ว เลือดครึ่งหนึ่งในกายเขาคืออุตตราศูร เป็นเลือดของทยุต พี่ชายนาง พ่อของพิฆาน...
ก่อนหน้าที่พวกนางจะออกตามหาราดิศ ทยุตกับคนของกองกำลังบางส่วนไปสอดแนมพวกเมยาดิค ซึ่งมีพฤติกรรมน่าสงสัย แต่กลับถูกพวกมันจับได้ เขาจึงต้องตกเป็นเชลยของพวกมัน
ความจริงหากไม่ใช่เพราะหญิงชาวเมยาดิคผู้หนึ่งนามว่า วานู เขาก็คงต้องถูกสังหารเสียแต่ตอนนั้นแล้ว
วานูเป็นคนสวย หากในความสวยงามกลับมีความผิดประหลาด นางมีผิวสีแดงเรื่อ มีผมสีแดงดั่งเพลิง และนัยน์ตาทั้งสองก็เป็นสีแดงเลือดนก
...ลักษณะเช่นนี้เองที่ถ่ายทอดมาสู่เวคิน ผู้เป็นลูกของนาง
ความจริง ก่อนที่เขาจะถูกจับไปเป็นเชลย ทยุตมีภรรยาอยู่แล้ว คือ พิสนี เป็นหญิงสาวชาวอุตตราศูร แต่เพราะความจำเป็น เพื่อให้ตนเองได้มีชีวิตกลับมาพบภรรยาอีกครั้ง เขาจึงต้องมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น
วานูอยู่ในเผ่างูแดง นางมีพรรคพวกพี่น้องมาก เป็นคนสำคัญในกลุ่มเมยาดิค ทยุตเคยบอกต่อจิรภัจว่า แม้นางไม่ได้อยู่ในชนชั้นปกครองของชาวเมยาดิค แต่ก็สนิทสนมกับหลานสาวของนีซาที่ชื่อ นาอิน แม้นีซาเองก็รักนางดั่งหลานคนหนึ่งเช่นกัน
ทยุตยังบอกอีกว่า นางมีนิสัยเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ต้องการอะไรก็ต้องได้ แต่เพราะนิสัยเช่นนี้ จึงทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ เพราะนางพึงตาต้องใจในตัวเขา จึงยังไม่ปล่อยให้ใครฆ่าเขาเสียแต่แรก
แม้เขาจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากพวกเมยาดิค และถูกจำกัดให้อยู่แต่ในเขตเฉพาะ ไม่ให้ยุ่มย่ามล่วงล้ำเข้าใกล้สถานที่สำคัญ ทั้งยังถูกจับตาอยู่ทุกฝีก้าว แต่เขาก็สามารถล้วงความลับของพวกมันได้จากวานู เขาเป็นผู้ที่ส่งข่าวเรื่องราดิศกลับมาให้ทางกองกำลัง เป็นผู้ช่วยเหลือคีตาเมื่อครั้งที่เขาบุกเข้าป่าปิศาจไปหาจิณณา หากแล้วไม่นานหลังจากนั้นเขาก็กลับมา ทว่าการกลับมาของเขานั้น ได้นำพาหายนะติดตามมาด้วย...
คืนหนึ่ง หลังจากคีตากลับจากป่าปิศาจได้ไม่ถึงเดือน อัยยาก็พบทยุตที่หน้าคฤหาสน์
เขามีสภาพอ่อนล้าอิดโรยจากการเดินทาง แต่ยังคงเรียกให้นางตามไปยังบ้านร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกกรุงอุษณบุรีไปทางทิศใต้ ที่นั่น อัยยาได้พบจิณณา นางอุ้มทารกอายุไม่ถึงขวบปีคนหนึ่งด้วย
เมื่อแรก อัยยารู้สึกตระหนกที่เด็กมีผมสีแดง และผิวสีแดงเรื่อ หากเมื่อทยุตบอกว่าเด็กเป็นลูกของเขา ซึ่งเกิดกับวานู นางก็เข้าใจ ...เด็กมีสายเลือดเมยาดิค
ทยุตกับจิณณาผลัดกันบอกต่อนางว่า หลังจากคีตาไปที่ป่าปิศาจ จิณณาทราบว่าบิดาป่วย จึงเป็นห่วงสาหัสนัก ต้องการกลับมาเยี่ยมดูอาการ นางจึงปรึกษากับทยุต วางแผนลอบหลบหนีมา
แผนของพวกเขาสัมฤทธิผล หลบหนีออกมาได้ แต่เพราะทยุตเห็นว่าการหลบหนีเช่นนี้ ย่อมไม่มีโอกาสกลับไปยังป่าปิศาจอีก จึงได้โอบอุ้มลูกกลับมาด้วย
แม้จะอยู่กับพวกเมยาดิคมาเนิ่นนาน แต่ทยุตก็ไม่เคยเห็นด้านดีของพวกมัน กระทั่งวานู เขาก็ยังเห็นนางเป็นปิศาจที่เอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ
หากแต่เขาไม่ได้คาดหมายว่าตนเองจะตาย ไม่คิดว่าตนเองจะต้องปล่อยลูกน้อยให้เผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย...
ทารกที่มีสายเลือดเมยาดิค ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของชาวอุตตราศูร ราดิศก็เป็นตัวอย่างที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากลอบพาทั้งสามชีวิตกลับมายังเสตาลัญฉน์ อัยยาก็ซ่อนทารกน้อยไว้ในห้องของตน บอกเหตุที่เกิดขึ้นต่อจิรภัจ เขาจึงแนะให้นำเด็กไปไว้ในห้องลับใต้ดิน ซึ่งถูกเก็บเป็นความลับมานาน
จิรภัจตัดสินใจเช่นนี้เพราะได้บทเรียนจากเมื่อครั้งราดิศ ทราบว่าเด็กที่มีสายเลือดเมยาดิคจะเป็นที่รังเกียจและหวาดระแวง ทั้งยังคิดว่าห้องลับใต้ดินนั้นแน่นหนาแข็งแรง สามารถเป็นทั้งปราการปกป้องตัวเด็กเอง และคุมขังในวันที่เขาเปลี่ยนร่างเป็นปิศาจร้าย
ไม่กี่วันหลังจากนั้น คีตากับพิสนีก็ทราบเรื่อง เมื่อแรกพี่สะใภ้เสียใจมากที่สามีทรยศต่อความรัก แต่พอทราบความจำเป็นนางก็เข้าใจ และยอมรับเด็กในที่สุด นางยังเลี้ยงดูเขาต่อมาอีกหลายเดือน เนรมิตห้องลับใต้ดินให้น่าอยู่ และเปลี่ยนชื่อเด็ก จากเดิมที่มีชื่ออย่างเมยาดิคเป็น เวคิน
ทว่าการกลับมาของจิณณานั้น แม้จะสร้างความปีติยินดีแก่จิรภัจมากมาย หากเขาก็มองเห็นหายนะที่จะตามมาเช่นกัน
...เมื่อจิณณาหายไป ราดิศต้องออกติดตาม และแน่นอน เขาต้องนำพาพวกเมยาดิคมาด้วย
ดังนั้นจิรภัจจึงให้กองกำลังเสตาลัญฉน์ไปตั้งด่านที่ระหว่างทาง สกัดกั้นเส้นทางพวกเมยาดิคเสียก่อนจะบุกมาถึงกรุงอุษณบุรี
ทว่าแม้กองกำลังซึ่งมีคีตาและอัยยาร่วมอยู่ด้วยจะตั้งด่านสกัดอยู่นานหลายสัปดาห์ พวกเขาก็ยังไม่เห็นวี่แววพวกเมยาดิคจะบุกมา จิรภัจสันนิษฐานว่า ราดิศคงต้องใช้เวลาในการรวบรวมสมัครพรรคพวก รวมถึงตระเตรียมการเผชิญหน้ากับกองกำลัง
สัปดาห์ที่ห้าหลังจากเดินทางมาตั้งด่าน ทยุตกับจิณณาก็ตามมาสมทบ จิณณาเห็นว่า หากราดิศพาพวกเมยาดิคบุกมาจริง นางเองก็ควรมีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้น นางยังว่า บางทีหากนางเจรจากับราดิศ ยอมกลับป่าปิศาจกับเขาเสียโดยดี ราดิศก็อาจจะรามือ โดยไม่ต้องมีการปะทะก็เป็นได้
หากการณ์กลับไม่เป็นดังที่นางคาด เพราะในกองทัพของพวกเมยาดิคนั้น นอกจากราดิศแล้ว ยังมีวานู!
นางกับพรรคพวกในเผ่างูแดงเข้าร่วมกับกองทัพเมยาดิคนี้ เพื่อทวงเอาลูกชายคืน
แต่ทยุตย่อมไม่ยินยอม เขาต่อสู้กับวานูในร่างงูแดงด้วยตนเอง หากกลับไม่ยอมสู้อย่างเต็มที่ อัยยาทราบดี นางต้องเข้าป้องกันทยุตจากเขี้ยวพิษของวานูหลายต่อหลายครั้ง
อัยยาทราบว่าพี่ชายตนรักพี่สะใภ้ แต่เพราะความจำเป็นจึงต้องมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น หากนางก็รู้อีกว่า ทยุตรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ตนเองทำไปเพียงไหน เขาทำผิดต่อผู้หญิงถึงสองคน ด้วยเหตุนี้เขาจึงยอมชดใช้...ชดใช้ด้วยชีวิตของตนเอง
ทยุตถูกเขี้ยวพิษของวานูในที่สุด...พิษร้ายแรง ทำให้เขาเป็นอัมพาตไปในทันที ก่อนที่หัวใจจะหยุดเต้นในเวลาต่อมา
อัยยาตื่นตระหนกอย่างที่สุดเมื่อเห็นพี่ชายตนล้มลง วานูเองก็คงไม่คิดฝันเช่นเดียวกัน การจู่โจมของนางหยุดชะงัก ร่างงูใหญ่ถึงกับนิ่งงันไป ปล่อยให้อัยยาเสือกแทงดาบยาวในมือ ทะลุเกล็ดสีแดงที่พังพาน สะบั้นหลอดลมของนางโดยง่ายดาย
ทางด้านจิณณาและราดิศนั้น อัยยามาทราบในภายหลังว่า จิณณาทำดังที่ตั้งใจไว้จริง นั่นคือเรียกราดิศออกไปเจรจาตามลำพังในที่ลับตา หากการเจรจาเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ได้
จิรภัจเห็นจิณณากับราดิศหายไปนานนัก จึงให้คนไปดู ทว่าผู้ที่ไปดูกระหืดกระหอบกลับมาด้วยอาการแตกตื่น เรียกให้จิรภัจและคนอื่นๆ ตามไปโดยเร็ว
เมื่อเห็นสภาพที่เกิดขึ้น จิรภัจก็ไม่อาจทรงกายได้ ต้องทรุดเข่าลง ก้มหน้าน้ำตาอาบ
คนที่เห็นเล่าให้ฟังว่า พวกเขาเห็นจิณณาฟุบอยู่บนร่างของราดิศซึ่งทอดนอนสงบนิ่งอยู่ ในมือของจิณณามีกริชเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบนางนำมาจากไหน ไม่มีใครเคยเห็นนางจับอาวุธมาก่อน ทว่าบนคมมีดในเวลานั้น กลับอาบไปด้วยเลือด!
บนร่างของคนทั้งสองก็ถูกชโลมไปด้วยเลือด ที่กลางอกของราดิศมีบาดแผลฉกรรจ์อันสันนิษฐานได้ว่าเกิดจากกริชในมือจิณณา ที่สำคัญ ปลายมีดนั้นทะลวงลึกถึงหัวใจ
ส่วนบนร่างของจิณณานั้นมีบาดแผลที่ลำคอ คมมีดกรีดผ่านหลอดลม เป็นบาดแผลอันเกิดจากกริชเล่มเดียวกัน
...นั่นจึงนับเป็นการสิ้นสุดวิกฤการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อน
ทว่าแม้เหตุการณ์จะจบลง แต่เรื่องราวกลับไม่ได้จบตามไปด้วย ทุกการกระทำมีผลกระทบสืบต่อมาเป็นสายโซ่ที่หาปลายไม่ได้
เมื่อพิสนีทราบว่าทยุตเสียชีวิต นางก็เสียใจมากจนถึงกับหมดสติ ครั้นหมอมาตรวจดูอาการจึงทราบว่านางกำลังตั้งครรภ์...ลูกคนที่สองของทยุต
แม้จะมีพิฆาน พิสนีก็ไม่ละทิ้งเวคิน นางกับอัยยาผลัดกันมาดูแลเขาในห้องลับใต้ดินไม่ได้ขาด ดีแต่เวคินไม่ใช่เด็กซุกซน เขามักจะอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวออกแรงมากนัก ยิ่งในฤดูหนาวแล้ว เขาจะจำศีล นอนอยู่ในห้องใต้ดินตลอดฤดู
"ท่านอา..." เสียงเรียกของเวคินปลุกอัยยาจากความทรงจำอันแสนวิปโยค
นางก้มมองเขา ยกมือลูบเส้นผมสีแดงเพลิงนั้น "มีอะไรหรือ"
"ราดิศเปลี่ยนร่างเมื่อใด ท่านอา"
อัยยานิ่งงันไป รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นระรัว
"ยี่สิบปีก่อน เจ้าถามทำไม"
"ตอนนั้นเขาอายุเท่าไหร่ ท่านอาพอทราบไหม"
อัยยานึกทบทวนกลับไป จำได้ว่าเมื่อครั้งที่จิรภัจให้นางออกค้นหาราดิศ เขาบอกว่าราดิศควรมีอายุราวยี่สิบถึงยี่สิบเอ็ดปี นางจึงตอบหลานชายไปเช่นนั้น
"ยี่สิบเอ็ด" เวคินทวนคำ น้ำเสียงหดหู่ "ข้ากำลังจะอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว เวลาของข้าใกล้เข้ามาแล้ว"
ได้ยินเช่นนั้น อัยยาก็พลันสะดุ้งนิดหนึ่ง ...เปลี่ยนร่างครั้งแรก นางเพิ่งนึกขึ้นได้ ตลอดเวลานางคิดอยู่เสมอว่าเวลาของเวคินคือเมื่อใด หากนางไม่ได้สงสัยเลยว่า การเปลี่ยนร่างจะขึ้นอยู่กับอายุหรือไม่ นางไม่ได้ตระหนักเลยว่า เวคินเอง ก็กำลังจะมีอายุเท่าราดิศในเวลานั้น
หลังจากสูญเสียลูกและสามี หลังจากพี่สะใภ้เสียชีวิต นางก็เลี้ยงดูเด็กทั้งสองมาโดยตลอด ไม่ได้สังเกตเลยว่าพวกเขาได้เติบโตขึ้นแล้ว เวลาของเวคินใกล้เข้ามาแล้ว
...เวลาที่เวคินเปลี่ยนร่างเป็นครั้งแรก จะนับเป็นเวลาตายของเขาด้วยหรือไม่
"หากข้าต้องตาย" เวคิดพูดต่อไป น้ำเสียงยิ่งแผ่วเบา ยิ่งเศร้าสลด "ก่อนตาย ข้าอยากออกไปข้างนอก ข้าอยากเห็นท้องฟ้า เห็นแสงอาทิตย์ ท่านอา..."
น้ำตาค่อยๆ เอ่อท้นดวงตาของหญิงกลางคน ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป นางค่อยๆ ก้มตัวลงโอบกอดหลานชายไว้
ราดิศยังโชคดีกว่าเวคิน เขายังมีลักษณะภายนอกอย่างชาวอุตตรศูรทุกประการ ยังมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ได้เห็นท้องฟ้า ได้เห็นแสงอาทิตย์
ทว่าหลานชายของนาง จะมีโอกาสเช่นนั้นหรือไม่...จนตาย เขาจะได้ออกจากห้องนี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้
###
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น