คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ ๔
หลังสอบมักเป็นช่วงเวลาที่ปลอดโปร่งที่สุดเสมอ
ศาสตราเดินบิดขี้เกียจตามหลังนฤตยาออกมาจากห้องสอบ ด้วยหน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
"เพราะยาเลยนะเนี่ย ฉันถึงได้ทำไปบ้าง ไม่ต้องส่งกระดาษเปล่า" เขาว่า พลางเดินตรงมาทางเพื่อนๆ ซึ่งรออยู่ที่ม้านั่งริมระเบียงหน้าห้องแล้ว
"ได้ทำเหรอ" นฤตยาหันกลับมาทำตาเขียวใส่เขา แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ดวงตากลมใสของเธอก็ไม่มีแววความดุเอาเสียเลย
"แหม ยา ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำล่ะน่า" ศาสตราแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
"แล้วภณล่ะ ทำได้หรือได้ทำ" หญิงสาวหันไปถามชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ชักชวนสายตาคนอื่นๆ ให้มองตาม
"เอ่อ..." รามภณก้มหน้ายิ้มๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ "ได้ทำน่ะใช่ แต่ทำได้รึเปล่ารึเปล่านี่ไม่แน่"
หญิงสาวเห็นแบบนั้นแล้วย่นคิ้วนิดหนึ่งพร้อมกับอมยิ้ม เป็นการตัดพ้ออย่างทีเล่นทีจริง
"เอาล่ะ ยาไปก่อนนะ มีเรียนต่อ" หญิงสาวบอก พลางโบกมือให้หนุ่มๆ ทีละคน
เมื่อนฤตยาเดินห่างไปแล้ว ศาสตราจึงหันกลับมาชวนเพื่อนๆ
"ไหนๆ ก็สอบเสร็จแล้ว เย็นนี้ไปฉลองกันดีกว่า"
"ฉลอง" ธาวินทวนคำอย่างสงสัย "อ๋อ ผับที่เอ็งพูดถึงเมื่อวันก่อนน่ะเหรอ"
"อืม ไปมั้ย"
รามภณและวสวัตติ์พยักหน้ารับ บางทีบางครั้งไปพักผ่อนสมองบ้างก็ดีเหมือนกัน แต่เมื่อพวกเขาหันไปลุ้นกับคำตอบของภวาภพ ก็เป็นไปตามที่คาด
"ไม่ไป" เขาตอบห้วนๆ สั้นๆ เช่นเคย ธาวินจึงหันมาฉีกยิ้มให้กับคำตอบกับศาสตรา
"ไอ้ภพไม่ไป ข้าก็ไม่ไป"
ภวาภพแทบไม่เคยออกนอกลู่นอกทางไปไหนเลย ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดีอะไร หากเป็นเพราะเขาชอบอยู่แต่กับต้นไม้และดอกไม้ ชอบที่จะอยู่กับความเงียบสงบเป็นส่วนตัว มากกว่าจะไปในสถานที่อึกทึกเต็มไปด้วยผู้คน และเพราะเหตุนี้จึงเป็นแรงดึงดูด ที่ทำให้ธาวินซึ่งอยากจะเล่นเกมอยู่กับบ้านมากกว่า ติดหนึบไปกับเขาด้วย
"แล้วเย็นนี้อย่าลืมไปส่งข้าที่บ้านก่อนล่ะ" ภวาภพสั่ง รามภณจึงโค้งศีรษะให้อย่างสุภาพ
"ครับ คุณชาย"
% ###
ต้นกุหลาบสูงระดับอกกำลังชูดอกตูมที่ถูกหุ้มห่อด้วยใบสีเขียวอย่างภาคภูมิ...
ภวาภพนั่งกอดเข่ามองจ้องมันอยู่นานแล้ว แววตาของเขาดูคล้ายกับแววตาของชายหนุ่มที่กำลังจ้องมองหญิงสาวอันเป็นที่รัก ผู้ซึ่งกำลังจะจากไป
ธาวินที่นั่งตาปรืออยู่ข้างๆ ภายในเรือนเพาะชำ คอยสังเกตอาการของเพื่อนอยู่นาน จนในที่สุดก็อดไม่ได้ ต้องถอนหายใจแรงๆ
"เฮ้อ...คนอกหัก"
แต่หนุ่มอกหักรายนั้นกลับไม่ได้สนใจเสียงของเขา ยังคงนั่งขดจนตัวกลมอยู่เงียบๆ
"ห้าต้นนี้น่ะเหรอ ที่ฉันมาดูเมื่อวันก่อน" เสียงทุ้มแฝงอำนาจของจิรัชย์ดังขึ้น ในขณะที่เจ้าตัวกำลังเดินเข้ามาในเรือนเพาะชำพร้อมกับสิโรตม์ "ไม่เลวนี่ ดอกใหญ่ขึ้นเยอะ ว่าแต่ จะบานทันวันแสดงรึเปล่า" เขาก้มตัวยื่นหน้าเข้ามาถามภวาภพ แต่ก็เหมือนพูดกับท่อนไม้ ภวาภพยังคงนั่งเหม่อจ้องทะลุตัวประธานชมรมการแสดงไป
"เอ้อ แต่ดูท่า จะต้องตกแต่งอีกเยอะแฮะ" เขาว่า พลางก้าวไปที่ต้นกุหลาบ และเอื้อมมือไปแตะกิ่งใบเล็กๆ ที่ยื่นระเกะระกะออกมา "อย่างใบนี้ก็ควรเอาออก..."
ไม่ทันขาดคำ จิรัชย์ก็ดึงใบกุหลาบใบน้อยนั้นออกมาจริงๆ!
ธาวินที่นั่งมองเหตุการณ์นั้นอยู่เงียบๆ ถึงกับตกใจจนแทบนั่งไม่ติดพื้น แต่เมื่อหันไปเห็นท่าทีสงบนิ่งของภวาภพแล้วก็ได้แต่ทำเฉยไว้
"เอาเถอะ ยังไงก็ดูแลมันดีๆ ด้วยก็แล้วกัน" จิรัชย์แกล้งพูดลอยๆ เมื่อเห็นว่าการกระทำของเขาไม่สามารถกระตุ้นโทสะของใครได้ จากนั้นจึงก้าวมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าเจ้าของกุหลาบ
"อย่าให้ละครของฉันต้องมีปัญหาล่ะ" เขาพูดเสียงเย็น ก่อนจะเดินออกจากเรือนเพาะชำ โดยมีสิโรตม์ตามหลังไปติดๆ
เมื่อจิรัชย์กับสิโรตม์ออกไปแล้ว ธาวินจึงถลาไปเขย่าตัวเพื่อนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ด้วยความเป็นห่วง
ภวาภพค่อยๆ ขยับลุกขึ้น เดินตรงไปยังต้นกุหลาบลูกผสมที่เขาประคบประหงมมานาน เอื้อมมือออกไปลูบตรงบริเวณรอยแผลซึ่งถูกเด็ดใบออกไปเมื่อครู่อย่างช้าๆ
"เอ็งเป็นอะไรรึเปล่า" ธาวินถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าภวาภพกลับเพียงส่ายหน้าช้าๆ
"ถึงขนาดนี้แล้วเอ็งยังไม่คิดจะบอกไอ้พวกนั้นอีกเหรอ"
ภวาภพส่ายหน้าอีก
"ข้าไม่เข้าใจ ท่าทางเอ็งรักกุหลาบต้นนี้นักหนา แต่พอเกิดเรื่อง ทำไมเอ็งถึงปล่อยมันไป"
"บอกแล้วจะได้อะไรวะ มีแต่เรื่องเปล่าๆ" ในที่สุดภวาภพก็ยอมเปิดปาก
ธาวินหุบปากเงียบไป จริงอย่างที่เพื่อนเขาว่า ถึงบอกไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แล้วยิ่งถ้าคนอย่างศาสตรารู้เข้า ก็มีแต่จะทำอะไรโดยไม่คิด จนเกิดเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมามากกว่า วิธีจัดการกับจิรัชย์ที่ดีที่สุด คงมีแต่นิ่งไว้ อย่าเต้นไปตามบทเพลงที่เขาบรรเลง เพราะมันมีแต่จะทำให้เราเหนื่อยล้า อ่อนแรง ในขณะที่คนบรรเลงได้หัวเราะเย้ยหยัน
...เฉยเสีย คนบรรเลงก็มีแต่จะเบื่อ และเลิกราไปในที่สุด
% ###
"จิรัชย์ ข้าสงสัยมานานแล้ว" สิโรตม์เอ่ยปากขึ้น ขณะเดินตามจิรัชย์ออกมาจากชมรมไม้ดอกไม้ประดับ ซึ่งเป็นชมรมที่กินพื้นที่สวนกว้างขวางภายในมหาวิทยาลัย "ข้าว่าเอ็งไม่ชอมรามภณไม่ใช่เหรอ ทำไมเอ็งไปหาเรื่องเอากับเพื่อนมันวะ"
"เรื่องนี้เอ็งเป็นคนขอร้องเองนะ" เขาตอบยิ้มๆ อย่างมีเลศนัย
"ข้าเนี่ยนะ"
"ก็ใช่สิ" จิรัชย์ตอบกลั้วหัวเราะ "ก็เอ็งอยากเป็นกัปตันทีมฟุตบอลไม่ใช่เหรอ"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน"
"เรื่องนี้เอ็งคิดว่า ไอ้ศาสตรามันจะรู้มั้ยล่ะ"
"ก็น่าจะรู้" สิโรตม์ตอบอย่างไม่มั่นใจ
"ถ้ามันรู้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น"
"อืม" สิโรตม์นิ่งคิดนิดหนึ่ง "อ้าว เฮ้ย! แล้วแบบนี้มันจะไม่มาเอาเรื่องกับเอ็งเหรอ"
"นั่นล่ะ ข้าอยากให้มันมา แล้วเราจะได้มีข้ออ้างกับประธานชมรมเอ็งยังไงล่ะ" เขาบอกแล้วก็หัวเราะ ขยำใบกุหลาบที่เด็ดติดมือมาทิ้งลงบนพื้น
ทว่ากับบางเรื่อง บางครั้งก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป...
% ###
สิโรตม์จับตามองศาสตราวิ่งไปยังตำแหน่งของตนเองที่กรอบประตูตาข่าย ในขณะที่ตัวเขาเองยืนอยู่หลังลูกฟุตบอลลูกกลมๆ เพื่อเตรียมฝึกฝนการเลี้ยงบอลบุกไปทำประตู
แต่ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร ฝ่ายตรงข้ามก็ยังดูบ้าบอไร้สาระเป็นปกติ ไม่เห็นมีทีท่าโกรธขึ้งฉุนเฉียวแต่อย่างใด
...หรือมันจะยังไม่รู้เรื่องนั้น พวกมันไม่ได้คุยกันบ้างหรือยังไงนะ
"สิโรตม์ มัวเหม่ออะไรอยู่วะ เลี้ยงเข้ามาเลย" ผู้รักษาประตูตะโกนมา กระตุ้นให้สิโรตม์ต้องขยับเท้า ทั้งที่สีหน้ายังแสดงความหงุดหงิด เขาเลี้ยงลูกฟุตบอลหลบหลีกกองหลังสามคนที่รุมเข้ามายื้อลูกฟุตบอลกับเขาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะง้างเท้าขึ้นเมื่อหลุดมาประจันหน้ากับศาสตราสองต่อสอง
แต่กับบางเครื่อง บางครั้งก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ...
เมื่อลูกฟุตบอลหลุดจากเท้ากองหน้าตัวฉกาจ ก็พุ่งตรงไป เข้ามือของศาสตราโดยไม่เลี้ยวไม้โค้ง และไม่ต้องให้ผู้รักษาประตูพุ่งออกจากตำแหน่งเดิมเลย
ศาสตราเงยหน้าจากลูกฟุตบอลในมือขึ้นมามองเพื่อนร่วมทีมอย่างสงสัย
"ซ้อมเสร็จแล้วรออยู่ข้างล่างก่อน มีเรื่องจะคุยด้วย" สิโรตม์บอกเสียงห้วน ศาสตราจึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างงงๆ
'ข้างล่าง' สำหรับพวกเขาแล้ว หมายถึง ห้องแต่งตัว...
ศาสตรากำลังหยิบเสื้อนักศึกษาที่แขวนอยู่ในล็อคเกอร์ ซึ่งเป็นตู้เหล็กเรียงรายเป็นแผงยาวชิดผนังห้องแต่งตัว สิโรตม์นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเดินเข้ามาเปิดล็อคเกอร์ของเขาซึ่งอยู่ถัดไปสองช่อง เพื่อหยิบเสื้อผ้าของตัวเอง
"ได้ยินจิรัชย์มันว่า มันเห็นไอ้ภณไปจองบัตรละคร พวกเอ็งจะไปดูละครกันเหรอ"
ศาสตรามองจ้องเขาอย่างสงสัย แต่ก็พยักหน้าแทนคำตอบ
"แล้วไอ้ภพไปด้วยรึเปล่า"
"เปล่า ทำไมวะ"
"ไม่มีอะไร พอดีจิรัชย์มันต้องใช้กุหลาบมาแต่งเวที ก็เลยไปขอยืมคนที่ชมรมไม้ดอกฯ คนที่ชมรมนั้นก็เลยแนะนำ บอกว่าเพื่อนเอ็งมีกุหลาบแบบที่มันต้องการ"
"ขอยืม...ต้นไหนวะ" ศาสตราถามด้วยความตื่นเต้น พลางสอดแขนโผล่ออกมาจากเสื้อข้างหนึ่ง
"ต้นกุหลาบ...เห็นบอกว่าที่กำลังจะออกดอกสีแดงน่ะ จิรัชย์มันว่า เข้ากับเนื้อเรื่องดี แต่รู้สึกว่าไอ้ภพมันจะหวงของมันมากด้วยนี่" สิโรตม์ว่า พลางเหลือบมอง สังเกตท่าทีของฝ่ายตรงข้าม
"เฮ้ย! แล้วมันจะให้ยืมเหรอ" ศาสตราแปลกใจ เขาเองก็พอรู้ว่าเพื่อนของเขารักต้นไม้ต้นไหนมากเป็นพิเศษ ถ้ารักแล้ว ก็จะรักมากเสียด้วย
"ท่าทางก็ไม่เต็มใจหรอก แต่ช่วยไม่ได้ว่ะ จิรัชย์มันประเภท อยากได้อะไรก็ต้องได้ วันนี้มันก็ไปดูมา แถมเด็ดใบมาเป็นที่ระลึกอีกใบนึง หน้าเพื่อนเอ็งตอนนั้นนะ อึ้งไปเลยว่ะ" สิโรตม์บอกแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ
ศาสตรายังไม่ทันติดกระดุมเสื้อเรียบร้อยดี เขาก็รีบสวมรองเท้าผ้าใบอย่างลวกๆ แล้วคว้ากระเป๋ากีฬาวิ่งออกไปทันที
"ได้ผลแฮะ พูดไม่กี่ประโยคก็แจ้นออกไปแล้ว..." สิโรตม์พึมพำ แล้วหัวเราะกับตัวเองอีกครั้ง
% ###
"ไอ้ภพ...ไอ้ภพ!"
ธาวินเยี่ยมหน้าออกมาจากประตูเรือนเพาะชำ เมื่อได้ยินเสียงศาสตราตะโกนโหวกเหวกอยู่บริเวณด้านหน้า
"มีอะไรวะ" เขาตะโกนถาม
ทว่าศาสตราไม่ได้ตอบ กลับรี่เข้ามากระชากประตูลูกกรงเรือนเพาะชำ ทำเอาร่างผอมบางของธาวินที่ยึดจับบานประตูอยู่แทบปลิวออกไปด้วย
"ไอ้ภพมันอยู่ไหน จิรัชย์มาหาเรื่องมันจริงๆ เหรอ" เขาถามทั้งที่สายตาไม่ได้หันกลับไปมองเพื่อนร่างเล็ก แต่กำลังสอดส่ายหาตัวเพื่อนอีกคนหนึ่ง
"หาเรื่อง เอ็งพูดถึงอะไร" ภวาภพเดินถือถุงปุ๋ยออกมาจากทางด้านหลังกอต้นเทียน ที่เพิ่งแตกยอดใหม่
"วันนี้ไอ้จิรัชย์มาหาเรื่องเอ็งไม่ใช่เหรอ สิโรตม์บอกข้า มันจะเอาต้นกุหลาบอะไรของเอ็งไปแต่งเวทีด้วย"
"แล้วไง"
"ก็แล้วใช่ไอ้ลูกครึ่งที่เอ็งดูแล ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมนั่นรึเปล่า"
"กุหลาบเขาใช้คำว่าลูกผสม ไม่ใช่ลูกครึ่ง" ภวาภพพยายามหันเหไปเรื่องอื่น ตักปุ๋ยโรยใส่ต้นวาสนาที่เริ่มเห็นดอกตูมสีน้ำตาล ทว่าศาสตราไปไถลไปกับเขาด้วย
"จะอะไรก็แล้วแต่ ใช่รึเปล่าล่ะ" เขาถามย้ำ
"มันก็ใช่" ธาวินพูดแทรกขึ้นมา "แต่แค่ขอยืมไป เดี๋ยวก็เอามาคืน"
"เอามาคืน...ในสภาพไหนวะ"
ธาวินตอบไม่ได้ เขาไม่ใช่หมอดูทำนายอนาคต แต่ก็พอรู้ว่าโอกาสที่มันจะกลับมาในสภาพแข็งแรงอย่างตอนที่อยู่กับภวาภพนั้น แทบไม่มีเลย
"อย่างมากก็ปลูกใหม่" ภวาภพพูดออกมาในที่สุด
"ข้ารู้ว่าเอ็งปลูกใหม่ได้ แต่มันทำแบบนี้ตั้งใจจะหาเรื่องกันอยู่ชัดๆ"
ภวาภพถอนหายใจ เอามือตบบ่าเพื่อนผู้เลือดร้อนเบาๆ
"เอาเป็นว่าคราวนี้ข้าขอ เอ็งอย่าไปยุ่งกับพวกมัน ข้าจะจัดการเอง"
% ###
บรรยากาศภายในผับบันนี่ค่อนข้างสลัว ด้วยหลอดไฟที่ประดับภายในร้านเป็นสีเหลืองนวลแทบทั้งสิ้น โต๊ะเก้าอี้ภายในร้านถูกจัดเป็นชุด เรียงรายมาตั้งแต่หน้าประตูจนถึงหน้าเวทีซึ่งอยู่ที่มุมด้านหนึ่ง ที่หน้าเวทีนั้นเว้นเป็นที่ว่างเล็กน้อย แล้วจึงมีชุดโต๊ะเก้าอี้วางเรียงต่อไปอีกจนถึงประตูด้านหลัง
เวลาประมาณสองทุ่มเช่นนี้ ภายในร้านค่อนข้างเงียบเหงา บนเวทีก็มีแต่เครื่องดนตรีวางอยู่ ยังไม่มีนักดนตรีสักคน
ที่มุมตรงข้ามกับเวทีเป็นบาร์เครื่องดื่ม รามภณ ศาสตรา และวสวัตติ์ นั่งอยู่ที่เก้าอี้สูงหน้าบาร์ ท่าทางของศาสตรายังหงุดหงิด ทั้งที่เขาเป็นคนชวนให้มาฉลองหลังสอบที่นี่
"เป็นอะไรวะ ยังคิดเรื่องไอ้ภพอยู่อีกเหรอ" รามภณถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
"มันก็บอกแล้วนี่ว่ามันจะจัดการเอง ยังห่วงอะไรอีกวะ" วสวัตติ์พูดเสริม
"ข้าไม่เข้าใจ ไอ้ภพยอมได้ยังไงวะ" ศาสตราบอกอย่างหัวเสีย
"มันก็คงมีวิธีจัดการของมันละนา ไอ้ภพมันรอบคอบอยู่แล้วนี่" วสวัตติ์บอก
รามภณ ซึ่งได้ยินรื่องของภวาภพจากศาสตรามาแล้ว ถอนหายใจยาว
"ความจริง เรื่องนี้ข้าเป็นต้นเหตุ ข้าน่าจะจัดการมากกว่า"
"ไม่เห็นเกี่ยวกันเลยนี่หว่า" วสวัตติ์พยายามพูดปลอบ "เรื่องของเอ็งก็คือเรื่องของเอ็ง เรื่องของไอ้ภพก็อีกเรื่อง"
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันก็ดูเหมือนผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในร้านเรื่อยๆ จนเต็มแทบทุกโต๊ะ จากนั้นก็เห็นวีรินทร์เดินกะโผลกกะเผลกขึ้นมาบนเวที ตามมาด้วยชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้ม ทั้งยังมีผมสีน้ำตาล และนัยน์ตาสีเขียวใส ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนไทย
คนบนเวทีหยิบกีตาร์ที่วางไว้บนขาตั้งคนละตัว แล้วขยับมานั่งเก้าอี้สูงที่จัดไว้คู่กับไมโครโฟน จากนั้นจึงเริ่มดีดคอร์ดเป็นเพลงสากลที่คุ้นหู
'Saying I love you,
Is not the words I want to hear from you...'*
"ผู้หญิงคนนั้นเหรอวะ ที่เอ็งไปชนเข้าเมื่อวันก่อนน่ะ" วสวัตติ์ถามนำ้เสียงกวนประสาท
"ข้าไม่ได้ชนโว้ย" ศาสตราตอบ แล้วค่อยลดเสียงให้เบาลง "แค่เกือบเท่านั้นแหละ"
รามภณไม่ได้ฟังเพื่อนของเขาคุยกัน เขาฟังแต่เสียงเพลงที่ดังก้องอยู่เท่านั้น
'More than words is all I ever needed you to show
Then you wouldn't have to say
That you love me
'Cause I'd already know'*
คนบนเวทียังเล่นไม่ทันจบเพลง ชายหนุ่มวัยทำงานผู้หนึ่งก็ออกมาโวยวายอยู่ที่หน้าเวที ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่า...กำลังเมา
เขาตะโกนโหวกเหวก พูดจาจับความไม่ค่อยได้ ทราบแต่เพียงเขาถามหาใครสักคน จนสุดท้ายก็จะปีนขึ้นบนเวที
สามหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังคนเมานั้นก็รีบกระโจนไปคว้าตัวเขาไว้ทันที
เรื่องมันน่าจะจบ หากชายอีกสี่คนที่นั่งร่วมโต๊ะกับคนเมานั้น ไม่ลุกขึ้นมาช่วยผสมโรง...
วสวัตติ์ถูกดึงออกไปทางหนึ่ง รามภณก็ถูกกระชากจนล้มลงกับพื้น ส่วนศาสตราซึ่งล็อคคอคนเมานั้นอยู่ ถูกศอกของฝ่ายตรงข้ามกระแทกศอกเข้าที่ท้องอย่างแรง และยังหันกลับมาชกใส่หน้าเขาอีกหมัดหนึ่ง ชายหนุ่มนักดนตรีที่อยู่บนเวทีจึงวางกีตาร์ กระโดดลงมาร่วมวงด้วย
เหตุการณ์ชุลมุนจนฝุ่นตลบอยู่ครู่หนึ่งจึงมีเสียงผู้หญิงตะโกนออกมา
"ตำรวจมา!"
กลุ่มของคนเมาก็กระวีกระวาดวิ่งเตลิดออกมาทางประตูหลังผับ เรื่องจึงสงบลงได้
จากที่คิดว่าจะฉลองหลังสอบกันที่ผับบันนี่ ทั้งสามหนุ่มจึงต้องมาฉลองกันที่โรงพยาบาลพร้อมกับนักดนตรีอีกสองคนแทน
"โอ๊ย! เบาๆ หน่อยสิจ๊ะ คนสวยทำไมมือหนักจัง" เสียงศาสตราดังออกมาจากห้องทำแผล ในขณะที่นางพยาบาลสาวหน้าแฉล้มกำลังทำแผลแตกที่ใต้ตาให้เขา
วสวัตติ์ยืนกอดอกพิงกรอบประตู มองเพื่อนปากหวานแล้วส่ายหน้าระอา หันไปพูดกับรามภณที่ได้รอยช้ำตรงมุมปากมาเล็กน้อย
"ดูมัน บ้าไม่เลิก ทีเมื่อกี้จะวิ่งตามไปอัดกับเขาต่อ ตอนนี้ทำมาโวยวาย"
รามภณไม่ออกความเห็น ได้แต่ยิ้ม จากนั้นวีรินทร์กับเพื่อนนักดนตรีเมื่อครู่จึงเดินตรงมาทางพวกเขา
"ขอบใจนะที่ช่วย" หญิงสาวยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง รามภณและวสวัตติ์จึงยิ้มตอบพลางโค้งให้เล็กน้อย
"พวกนายเป็นเพื่อนหมอนั่นเหรอ" เธอถามต่อ พลางเหลือบมองไปทางศาสตรา ซึ่งทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะเดินมาสมทบ
วสวัตติ์พยักหน้าตอบ พลางมองไปที่เท้าของหญิงสาวซึ่งยังพันยืดไว้อยู่
"เห็นศาสตราว่า มันขับรถเกือบชนเธอเมื่อวันก่อนเหรอ"
หญิงสาวหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย
"เรื่องวันนั้นน่ะเหรอ ความจริงเราผิดเองแหละ รีบมากไปหน่อย เลยไม่ได้มอง..." เธอพูดเหมือนเป็นเรื่องทำชามแตกมากกว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
"นายใจร้อน ดีที่ไม่เป็นอะไร" เสียงตำหนิติดสำเนียงฝรั่งจากชายหนุ่มที่มาด้วยกัน ทำให้วีรินทร์หันกลับไปมองค้อนจนตาเขียว
"พูดไม่ชัดก็ zip it"
"ต้องฝึกพูดมากๆ ต่างหาก" ชายหนุ่มเถียง สำเนียงยิ่งฟังยิ่งแปร่งหู
ทว่ายังไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบอะไรกลับไป ศาสตราก็เดินเข้ามาเบนความสนใจของเธอไปเสียก่อน
"นี่ ฉันพาเพื่อนมาถล่มตามที่เธอบอกแล้วนะ แต่เสียดาย เกิดเรื่องซะก่อน"
วีรินทร์เบ้ปาก พลางยักไหล่เป็นเชิงเหนื่อยหน่าย
"พวกนั้นมันมาเมาแบบนี้ได้หลายวันแล้วล่ะ...น่ารำคาญ"
"ที่ตะโกนว่าตำรวจมานั่น เสียงเธอล่ะสิ" วสวัตติ์ถาม พลางเหล่ตามองเธออย่างรู้ทัน หญิงสาวจึงยิ้มรับ จากนั้นจึงหันไปทางชายหนุ่มหน้าฝรั่ง
"นี่ตฤษณะ เรียกคริสต์ก็ได้" เธอแนะนำ ตฤษณะจึงจับมือทักทายพวกเขาทีละคน พร้อมกับทักทาย
"สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก" เขาพูดติดสำเนียงฝรั่งฟังขัดหู
วีรินทร์จึงอธิบายว่า เขาเป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นคนไทยที่ไปทำงานอยู่ที่อเมริกา ส่วนแม่เป็นคนอเมริกัน เกิดและเติบโตอยู่ที่เท็กซัส เพิ่งจะย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันในฐานะนักเรียนและเปลี่ยน ฟังภาษาไทยออก และพูดได้นิดหน่อย
"แล้วทำไมถึงย้ายมาเรียนที่นี่ล่ะ" วสวัตติ์สงสัย ทว่าตฤษณะส่ายหน้ายิ้มๆ
"มันเป็นความลับ"
ระหว่างที่พวกเขาพากันเดินไปรอรับยาที่ห้องจ่ายยา พวกเขาก็ได้พูดคุยทำความรู้จักกันมากขึ้น วีรินทร์บอกว่า พวกเธอยังมีเพื่อนร่วมวงอีกสองคน เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่พอดีช่วงนี้ต้องไปร่วมทำกิจกรรมอยู่ที่มหาวิทยาลัย จึงไม่ได้มาเล่นดนตรีที่นี่
รามภณฟังถึงตอนนี้ ภาพใบหน้าสวยแบบผู้หญิงของนภสินธุ์ก็ผุดขึ้นมาในสมอง
"นภสินธุ์เหรอ" เขาถามออกมาเบาๆ
"เฮ้! รู้จักพวกนั้นด้วยเหรอ" วีรินทร์ร้อง "จริงสิ นายเป็นดีเจนี่นะ" จากนั้นสายตาของวีรินทร์ก็ดูเหมือนมีแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเล็กน้อย "สวยใช่มั้ยล่ะ"
รามภณอึ้งไป ไม่คิดว่าเธอจะถามออกมาตรงๆ แบบนี้ แต่แล้วเขาก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มแบบหนุ่มขี้อาย
"ความจริงก็เพิ่งรู้จักเขาเมื่อไม่กี่วันมานี่แหละ หน้าตาเขาก็สวยดี..." ทว่าเมื่อพูดไปแล้วค่อยนึกขึ้นได้ เขาจึงพูดดักไว้ก่อน "เอ่อ แต่ฉันไม่ใช่เกย์นะ"
"เราไม่ได้หมายถึงนภ เราหมายถึงรมัณยาต่างหาก" วีรินทร์บอกกลั้วหัวเราะ
"รมัณยา..." รามภณทวนชื่อนั้นอย่างสงสัย
"อืม รมัณยา เพื่อนร่วมวงอีกคนไง เราบอกแล้วว่ามีสองคน นี่แปลว่านายยังไม่เคยเจอรมัณยาล่ะสิ"
รามภณส่ายหน้า แต่เรื่องเพื่อนสาวของนภสินธุ์เริ่มแทรกเข้ามาในความคิด
"น่าเสียดายแฮะ" วีรินทร์ว่า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่ใบหน้าของเธออีกครั้ง
"เสียดาย...ทำไมเหรอ" ศาสตรามีท่าทีสนใจอย่างเห็นได้ชัด เรื่องของผู้หญิงสวย กระตุ้นความสนใจของเขาได้เสมอ
"พวกนายเจอก็จะรู้เองแหละ ว่าทำไมถึงต้องเสียดาย" หญิงสาวให้คำตอบแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
% ====================
*เพลง More Than Words โดย Eric Clapton
ความคิดเห็น