ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใจเอย... [จบ]

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ ๓

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 54


    บ้านเช่าสองชั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งล้อมรอบด้วยรั้วไม้เตี้ยๆ ภายในอาณาเขตรั้วไม้เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้

    ที่หน้าบ้านมีทั้งกุหลาบ บานเย็น ดาวเรือง ดาหลา ข้างรั้วก็เป็นต้นเบิร์ด และเฟื่องฟ้า แผ่ดอกออกใบจนแทบจะคลุมรั้ว ขนาดเพิงจอดรถที่ติดกับประตูรั้ว ซึ่งมีรถเอนกประสงค์สีฟ้าจอดอยู่กับมอเตอร์ไซค์อีกสองคันหนึ่ง ยังกลายเป็นที่เกาะเกี่ยวของการะเวกซึ่งออกใบดกหนาจนดูทึบไป

    บนระเบียงชั้นสองยังมีระแนงแขวนกล้วยไม้นานาพันธุ์ ส่วนด้านหลังของตัวบ้านก็เป็นไม้ยืนต้นอย่างจำปี แสงจันทร์ และขนุน

    เจ้าของบ้านจะเป็นคนรักต้นไม้หรือไม่นั้น ไม่มีใครทราบ...แต่คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ รักและชอบที่จะดูแลต้นไม้เป็นที่สุด

    ภวาภพกำลังบรรจงตะแคงบัวรดน้ำรดใส่กล้วยไม้ซึ่งแขวนเรียงรายอยู่ริมระเบียง...มันเป็นกิจวัตรของเขา ทุกเช้า ไม่ว่าจะเป็นวันที่มีเรียน หรือวันหยุด เขาก็จะตื่นแต่เช้ามาดูแลต้นไม้ทุกต้นที่ปลูกเองกับมือ

    ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันเสาร์ เป็นวันหยุด ตามปกติแล้วเวลาเช้าเช่นนี้มักจะเงียบสงบ เพราะจะมีก็แต่ภวาภพเท่านั้นตื่นขึ้นมาดูแลต้นไม้ ทว่าเช้าวันนี้คนที่มักนอนตื่นเอาเมื่อตะวันโด่งอย่างศาสตรา กลับกำลังส่งเสียงโหวกเหวกอยู่ในห้องรามภณ

    "ไอ้ภณโว้ย! ตื่น!"

    รามภณงัวเงียลืมตาดูนาฬิกาข้อมือที่ถอดวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง

    "วันนี้วันเสาร์ไม่ใช่เหรอ" คนถูกปลุกถามเสียงงัวเงีย

    "เออ แต่วันนี้มีนัดติวกับยานะโว้ย"

    "งั้นขออีกห้านาทีก็แล้วกัน"

    "เฮ้ย! ไม่ได้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย ข้าไม่อยากให้ยาเห็นว่าเราสายนะโว้ย"

    ขณะที่ศาสตรากำลังฉุดกระชากลากรามภณลงจากเตียงในห้องนอนของเขา ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ด้านหลังของชั้นบน ที่ชั้นล่าง วสวัตติ์กับธาวินซึ่งเพิ่งเสร็จภารกิจยามเช้าจึงออกมารอดูสถานการณ์อยู่ที่หน้าบันได แล้วต่างมองหน้ากัน

    "วัตติ์ เอ็งเจอไอ้ศาสตราปลุกเหมือนกันเหรอ" ธาวินถามพร้อมกับรอยยิ้มอย่างรู้ทัน

    "เออ รำคาญมันก็เลยต้องตื่น ไม่รู้มันจะตื่นเต้นอะไรนักหนา" วสวัตติ์ตอบเสียงหงุดหงิด

    "ยังไม่ชินอีกเหรอวะ นัดกับสาวๆ ทีไร มันก็เป็นอย่างนี้ทุกที"

    วสวัตติ์ส่ายหน้าระอา "ยังไม่ชินว่ะ"

    % ###

    แสงอาทิตย์ยามเช้ากระทบเกลียวคลื่นที่สาดซัดใส่หาดทรายขาวสะอาดจนเป็นประกายระยิบระยับ

    ในศาลาริมหาดของมหาวิทยาลัย นฤตยานั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งทำจากไม้ บนโต๊ะตรงหน้าเธอมีหนังสือเล่มหนาวางกางไว้อยู่ ท่าทางของเธอก็ดูเหมือนกำลังอ่านหนังสือ ทว่าจิตใจของเธอล่องลอยไปไกลแล้ว

    เธอมาถึงก่อนเวลานัดนานพอดู เพราะเมื่อคืน เธอตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ตื่นเต้นที่จะได้พบเขา ได้อยู่ใกล้ๆ เขาตลอดทั้งวัน

    เธอรู้...วันนี้ไม่ใช่มีเพียงแต่เขา แต่เธอก็ยังดีใจ

    ...ทำไมนะ ทำไมความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาจึงมากมายถึงเพียงนี้ มันเริ่มต้นจากไหนกัน

    ใช่ ตั้งแต่พบกันครั้งแรกในงานรับน้องเมื่อปีที่แล้ว ตั้งแต่เขาถูกรุ่นพี่สั่งให้ถือดอกกุหลาบเหี่ยวๆ มาขอความรักกับเธอ ทั้งที่หน้าตาเปรอะไปด้วยแป้งและสี รอยยิ้มแบบหนุ่มขี้อายของเขาในวันนั้น...ตรึงหัวใจเธอไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น

    รอยยิ้ม...ที่มีให้กับทุกคน ไม่ใช่แต่เฉพาะเธอคนเดียว

    "ยู้ฮู สาวน้อย" เสียงทุ้มห้าว ทว่าร่าเริง ดังมาแต่ไกล ดึงเธอออกจากภวังค์แห่งความเพ้อฝัน เธอเงยหน้าขึ้น หันมองไปทางต้นเสียง

    ศาสตรากระโดดแผล่วลงจากบันไดทางลงมายังชายหาด ยิ้มหน้าระรื่นตรงไปยัง 'สาวน้อย' อย่างกระตือรือร้น ตามมาด้วยธาวิน ภวาภพ วสวัตติ์ และรามภณ

    นฤตยาลุกยืนยิ้มทักทายศาสตราและคนอื่นๆ อย่างเป็นกันเอง จนเมื่อมาถึงรามภณ รอยยิ้มของเธอก็ดูกว้างขึ้น แต่สายตากลับหลุบลงเล็กน้อยโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว และไม่รู้ว่ามีคนสังเกตท่าทีของเธออยู่

    ภวาภพใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับการดูแลต้นไม้ และการสังเกต

    อย่างที่ธาวินมักจะพูดถึงภวาภพบ่อยๆ ว่าเขาไม่ใช่เป็นคนไม่สนใจต่อสิ่งรอบข้าง อย่างท่าทีนิ่งๆ เฉยๆ ที่เขาแสดงออก แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำให้คนอื่นรู้ว่าเขาสนใจ บางครั้ง ไม่ให้คนอื่นรู้จะเป็นผลดีมากว่าเสียด้วย

    ซึ่งนั่นก็เป็นความจริง ภายใต้ท่าทีเฉยเมย ภวาภพสังเกตทุกคนรอบตัวเขา ดังนั้นจุดเล็กจุดน้อยที่คนอื่นพลาดไป เขาก็มักจะสังเกตเห็น และรับรู้ได้มากกว่า

    ภวาภพพอจะรู้มานานแล้ว ถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสตรา นฤตยา และรามภณ มันเป็นเชือกฟั่นที่นับวันมีแต่จะพันเกลียวแน่นชึ้น

    ความรู้สึกของนฤตยาที่มีต่อรามภณ ยิ่งวันยิ่งพอกพูนขึ้น เช่นเดียวกับความรู้สึกของศาสตราที่มีต่อสาวน้อยคนนี้ แม้ศาสตรามักจะหยอดคำหวานหว่านเสน่ห์กับผู้หญิงไปทั่วจนกลายเป็นเรื่องปกติ การกระทำของเขาก็ดูเหมือนหยอกเล่นไม่จริงใจ แต่เขาก็ไม่เคยหลอกลวงจิตใจของผู้อื่นเช่นกัน...

    นฤตยาช่วยติวหนังสือให้หนุ่มๆ ตั้งแต่เช้าจนเกือบเย็น เนื้อหาทั้งหมดที่จะสอบถูกอัดเข้าหัวพวกเขาจนครบ เพียงแต่พวกเขาจะบันทึกไว้ได้เท่าใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    "เฮ้อ จบแล้ว แทบตาย" ศาสตราบ่นอุบอิบ ขณะปิดหนังสือแล้ววางศีรษะหนุนมัน

    คนอื่นๆ ก็ดูหมดสภาพราวกับถูกนักมวยหมัดหนักน็อคมาไม่ต่างกัน

    นฤตยามองดู 'ศพ' ที่เกลื่อนศาลาแล้วก็คลี่ยิ้มออกมา

    "เรียนมาเกือบครึ่งเทอม แล้วให้มาอัดในวันเดียวก็แบบนี้แหละ"

    "แต่ก็ต้องขอบคุณยานะ" รามภณบอก พร้อมส่งยิ้มให้เธอ ทำให้หญิงสาวต้องหลบสายตา อ้อมแอ้มพูดแก้เขิน

    "ไม่เป็นไร เอ่อ...นี่จะเย็นแล้ว ยาว่า ยากลับก่อนดีกว่า" พูดแล้วก็อยากดีดจมูกตัวเองนัก ทำไมเธอไม่รอให้เขาออกปากชวนไปกินข้าวเย็นก่อน จะได้ยืดเวลาที่อยู่ด้วยกันให้ยาวต่อไปอีก

    "จริงด้วย" ศาสตราลุกพรวดขึ้น "เย็นแล้วนี่ ให้ฉันไปส่งดีกว่า"

    "ไม่เป็นไร ไม่ต้องก็ได้" นฤตยายิ้มแห้งๆ หากเปลี่ยนเป็นรามภณ เธอคงไม่ปฏิเสธ

    "กลับคนเดียวอันตรายนะยา ให้ศาสตราไปส่งดีกว่า" วสวัตติ์สนับสนุน ศาสตราจึงหันไปยิ้มยิงฟันขาวให้เจ้าของรถ ซึ่งเขาก็รู้หน้าที่ดี จึงโยนกุญแจรถให้โดยไม่ลังเล

    "ไปกันเถอะยา" ศาสตราว่า พลางเข้าไปช่วยนฤตยาถือหนังสือ แล้วเดินนำเธอออกมาจากศาลา

    "เดี๋ยวสิ แล้วพวกเขาละ" หญิงสาวท้วง

    "ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเรากลับกันเองได้" รามภณพูดยิ้มๆ ทำให้เธอจำต้องเดินตามศาสตราขึ้นจากหาด ไปที่ลานจอดรถ

    % ###

    นฤตยาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ น้ำทะเลสะท้อนรังสีของดวงอาทิตย์จนผืนน้ำเป็นสีส้มแดง

    ในที่สุดวันนี้ก็กำลังจะหมดลง และอีกหลายวันกว่าเธอจะได้พบกับเขาอีกครั้ง...ในวันสอบ

    "ยา เป็นอะไรรึเปล่า เหนื่อยเหรอ" ศาสตราถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นเธอนั่งเงียบมาตลอดทาง

    "เปล่านี่" หญิงสาวปฏิเสธ

    "ขอโทษนะที่ทำให้ต้องลำบากมาติวให้"

    "พูดอะไรอย่างนั้น ฉันยินดีนะ"

    ศาสตราเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง เห็นท่าทางของเธอยังดูเหม่อลอย จึงชี้ไปยังหน้าผาตระหง่านตรงเบื้องหน้า ซึ่งเป็นแหลมยื่นออกไปเหนือผืนทะเล

    "เห็นนั่นมั้ย"

    "อืม เห็นจ๊ะ" เธอตอบ ค่อนข้างแปลกใจ

    "นั่นล่ะ จุดหมายของเราล่ะ" เขาบอกพร้อมหักพวงมาลัยเบนหัวรถเข้าช่องทางตรงก่อนจะถึงแยกด้านหน้า ซึ่งเขาควรจะเลี้ยวออกไปตามเส้นทางสู่บ้านของนฤตยา

    "บ้า! จะไปจริงๆ เหรอ" หญิงสาวมีท่าทีตื่นเล็กน้อย

    "เอาน่า แวะแป๊บเดียว ตรงนั้นวิวสวยนะ โดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ตก" ศาสตราบอกพลางขยิบตา เพื่อให้เธอวางใจ

    ทิวทัศน์เบื้องหน้าสวยจริงอย่างที่ศาสตราบอก หญิงสาวเห็นภาพดวงอาทิตย์สีแสดดวงโตกำลังค่อยๆ เคลื่อนจากปลายกิ่งไม้ ราวกับถูกหย่อนลงทะเลอย่างนุ่มนวล

    ...ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายห้าวอย่างศาสตราจะหาสถานที่ชมวิวได้โรแมนติกแบบนี้

    "เป็นไง สวยใช่มั้ยล่ะ" ศาสตราถามนฤตยาที่กำลังยืนอมยิ้มอยู่ข้างกาย

    "สวย" เธอพยักหน้าตอบ กำลังดื่มด่ำกับภาพความงดงามตรงหน้าจนลืมทุกอย่าง...ลืมแม้แต่จะสนใจสังเกตสายตาของคนที่พาเธอมา

    ศาสตราเองก็กำลังดื่มด่ำไปกับความสวยงามที่อยู่ในสายตาเขาเช่นกัน... แต่ในสายตาของเขาเวลานี้ มีเพียงภาพหญิงสาวที่น่ารัก น่าทะนุถนอมคนหนึ่งเท่านั้น

    ...จะเป็นอย่างไรนะ ถ้าเขาบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปในเวลานี้ บอกว่าเกือบปีที่รู้จักกัน ในสายตาของเขาก็มีแต่เธอ ถึงเขาจะดูเจ้าชู้ ปากหวานกับใครต่อใคร แต่ก็ไม่เคยมีความรู้สึก 'พิเศษ' ให้กับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน

    ...อย่าเลย อย่าเพิ่งดีกว่า ถ้าในสายตาของเธอไม่ได้มีเขาอยู่ บางที มันอาจจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับทั้งเขาและเธอไปเลยก็ได้

    ศาสตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอานฤตยาต้องหันกลับมามอง

    "เป็นอะไรรึเปล่า"

    "เอ้อ...เปล่า" เขาอ้อมแอ้มตอบ "พระอาทิตย์ตกไปแล้ว จะกลับเลยมั้ย"

    "กลับสิ แต่..คราวนี้ต้องพาฉันกลับบ้านจริงๆ แล้วนะ"

    % ###

    "ศาสตรามันยังไม่กลับมาอีกเหรอ" รามภณชะโงกลงมาถามเพื่อน ซึ่งนั่งๆ นอนๆ กองกันอยู่ที่ชุดโซฟาหน้าโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น ในขณะที่เขากำลังเดินลงบันไดมา

    "ยัง" ธาวินตอบ ตายังคงจับจ้องอยู่ที่จอโทรทัศน์ มือรัวปุ่มจอยสติกค์ที่ถืออยู่จนเกร็ง เช่นเดียวกับวสวัตติ์ ส่วนภวาภพนั่งเหยียดขาอ่านหนังสือ 'วิธีผสมพันธุ์กล้วยไม้' อยู่ที่โซฟา

    "ลองโทรหามันดูสิ" วสวัตติ์แนะนำ รามภณจึงเดินเข้ามาหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกระจกเตี้ย ข้างโซฟาขึ้นมาต่อสัญญาณหาศาสตรา

    "เอ็งไปส่งยาถึงไหนวะ ป่านนี้ยังไม่กลับ" เขากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เมื่อได้ยินปลายสายกดรับแล้ว

    "อุบัติเหตุ!" เสียงโยวายของรามภณทำเอาเพื่อนๆ พากันหันมาสนอกสนใจกับบทสนทนาของเขา "มีอะไรวะ แล้วเอ็งเป็นอะไรรึเปล่า เหรอ เออๆ เสร็จแล้วก็รีบกลับมาก็แล้วกัน"

    ชายหนุ่มกดตัดสัญญาณ แล้วหันมาปะทะกับสายตาเพื่อนๆ ที่กำลังจ้องเขม็งมาทางเขาด้วยความอยากรู้

    "มันไปเฉี่ยวเอามอเตอร์ไซค์เข้าว่ะ ตอนนี้พาเขาไปโรงพยาบาลอยู่ เดี๋ยวคงต้องไปส่งฝ่ายนั้นก่อน แล้วถึงจะกลับมา"

    % ###

    ศาสตรานั่งรออยู่ที่หน้าห้องตรวจ เขายังคงตกใจไม่หายกับเหตุการณ์เมื่อครู่่

    ...ช็อปเปอร์คันสีแดงเลี้ยวออกมาจากซอยตัดหน้าเขาอย่างกระทันหัน แล้วล้มคว่ำลงไปตรงหน้ารถเขานั่นเอง โชคดีที่เขาเหยียบเบรคได้ทัน ไม่อย่างนั้น... คิดแล้วก็ให้เสียวสันหลังวาบ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

    ประตูห้องตรวจเปิดออก นางพยาบาลชุดขาวเข็นรถเข็นพาหญิงสาวออกมา โดยที่ตัวคนเจ็บนอกจากจะมีผ้ายืดพันอยู่ที่เท้าซ้ายแล้ว ยังมีผ้าพันแผลสีขาวปิดอยู่ที่ศอกและแขนซ้ายด้วย ศาสตราเข้าไปรับรถเข็นต่อจากนางพยาบาล

    "เป็นยังไงบ้าง" เขาถามอาการของคนบนรถเข็น ขณะที่พาเธอไปยังห้องจ่ายยา

    "ไม่เป็นอะไรมากหรอก" เธอตอบด้วยท่าทางเป็นกันเอง "กระดูกไม่หัก มีแต่แผลภายนอก หมอก็ทำแผลให้แล้วด้วย"

    "อย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ" เขาพูดน้ำเสียงอ่อย

    "เฮ้ นี่ ไม่ต้องทำหน้าสำนึกผิดหรอกน่า ไม่ใช่ความผิดของนายซักหน่อย"

    ศาสตรายิ้มเฝื่อน พลางเข็นเธอมาจอดไว้ตรงข้างเก้าอี้หน้าห้องจ่ายยา

    "แล้วเธอจะไปไหนต่อล่ะ ฉันจะได้ไปส่ง"

    "บันนี่ผับ..."

    "หา! ขาเดี้ยงแบบนี้แล้วยังจะเที่ยวอีกเหรอ"

    "ไม่ใช่!" หญิงสาวปฏิเสธเสียงแหลม "เราทำงานอยู่ที่นั่น เป็นนักดนตรีน่ะ"

    "อ๋อ"

    ...ถึงว่าสิ การแต่งตัวของเธอจึงได้ดูแปลก แม้เธอจะนับว่าเป็นคนสวย แต่กลับปล่อยให้เส้นผมที่ทำไฮไลท์เป็นริ้วสีทองอยู่ด้านหน้าตกลงมาปรกลูกตาไปข้างหนึ่ง ด้านหลังก็ซอยสั้นจนกุด ส่วนเส้นผมด้านที่เธอไม่ได้ปล่อยให้ลงมาปรกลูกตานั้นก็พูดเหน็บไว้หลังใบหูเรียบร้อย เผยให้เห็นใบหูที่มีต่างหูถึงห้าอันเรียงอยู่ที่ขอบใบหู

    เธอยังสวมเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์ตัวสั้น ทับเสื้อกล้ามไว้อีกชั้นหนึ่ง กับกางเกงยีนส์สีเข้มที่ดูเหมือนจะถูกตัดและทำให้รอยขาดรุ่ยออกมาเป็นเส้นตรงบริเวณหัวเข่าและหน้าขา ซึ่งดูไม่ค่อยเข้ากับรองเท้าบู๊ทใหม่เอี่ยม ที่ตอนนี้สวมติดเท้าข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเพียงข้างเดียว

    "เราเรียนไปด้วย ทำงานพิเศษด้วย สนุกดี" เธอชวนคุยต่อ "นายล่ะ ยังเรียนอยู่เหมือนกันล่ะสิ"

    "ใช่"

    "ที่ไหนเหรอ"

    จากบทสนทนานี้จึงทำให้ศาสตรารู้ว่า อันที่จริงแล้ว พวกเขาก็เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เธอชื่อ วีรินทร์...ไม่ใช่นักกิจกรรมอย่างพวกเขา แต่เอาเวลาหลังเลิกเรียนมาทำงานพิเศษที่ผับบันนี่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าใดนัก อีกทั้งเธอยังมีเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันอีกสามคน ตั้งวงเป็นนักดนตรีอยู่นั่น เขาเองก็พอรู้ว่าระยะนี้ ผับบันนี่ค่อนข้างดัง คนในมหาวิทยาลัยเดียวกันก็ไปเที่ยวที่นั่นเยอะ

    "อยากไปเที่ยวที่นั่นบ้างมั้ยล่ะ" เธอออกปากชวน

    "บันนี่ผับน่ะเหรอ" ศาสตราทำท่าครุ่นคิด ความจริงเขากับเพื่อนๆ ก็ไม่ได้ไปเที่ยวในสถานที่แบบนั้นมานานแล้ว ตั้งแต่ขลุกอยู่กับกิจกรรมชมรม

    "มีส่วนลดนะ" หญิงสาวพยายามหลอกล่อ

    "ได้ ไว้ะชวนเพื่อนไปถล่ม" เขาตอบรับ พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

    % ====================

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×