ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : อดีตอัปยศ
หลังจากย้ายรังเสร็จหมาดๆ ตอนนี้เพิ่งมีอินเตอร์เน็ตใช้
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้จะกลับมาแปะนิยายตามเดิมแล้วค่ะ ^^
###
บทที่ ๑๔ อดีตอัปยศ
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้จะกลับมาแปะนิยายตามเดิมแล้วค่ะ ^^
###
บทที่ ๑๔ อดีตอัปยศ
คีตา อะคีรา เดินมาตามทางเดินหน้าห้องท้องพระโรงในเวลาเช้า ทว่าผู้ที่ติดตามเขาในวันนี้...ไม่ใช่พิฆาน
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่กลับจากปราบปรามพวกเมยาดิคที่หมู่บ้านทางด้านตะวันตก และพบดาบของศมิน อาการของเด็กหนุ่มดีขึ้นบ้าง แต่ยังต้องใช้ไม้ค้ำยัน และยังขี้ม้าไม่ได้ จึงไม่สะดวกติดตามเข้าร่วมประชุมเสนาธิการ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คีตาพยายามจับดาดูพฤติกรรมของมินนรา พูดคุยกับนางเพื่อคอยดูท่าทีเป็นครั้งคราว ในกลางดึกบางวันเขายังออกมาเดินในสวนใกล้ๆ ห้องพักของนาง ดูว่านางหรือแมวป่าจะโผล่มาบ้างหรือไม่ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นความผิดปกติใดๆ ไม่เห็นแมวป่า ไม่มีใครเห็นมันอีกเลย...
จะเป็นเพราะนางรู้ว่าเขาคอยจ้องดูอยู่หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ทว่ายิ่งนานวัน เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกมากขึ้น รู้สึกอึดอัดในอก หัวใจราวกับถูกบีบทุกครั้งที่คิดว่านางเป็นเมยาดิค
...บางทีอาจเพราะเขาสงสัยในแผนของพวกมัน ความระแคะระคายสงสัยก็ทำให้รู้สึกอึดอัดได้เช่นกัน
ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่ห้องท้องพระโรง เขารู้สึกหลากใจอบ้างยามเห็นสายตาคลางแคลงของข้าราชการบางท่านที่มองมา หากเขาก็ทราบ แม้ระยะนี้จะไม่มีใครเห็นแมวป่าอีก แต่ข่าวลือก็ใช่ว่าจะจางหายไปด้วย ตรงกันข้าม ข่าวลือกลับกลายเป็นว่า หลังจากคนเสตาลัญฉน์ทราบว่าความลับถูกพบเห็น ก็จัดการเอาแมวนั่นไปเก็บเสีย
ข่าวลือก็คือข่าวลือ มีจริงบ้างเท็จบ้างปะปนกันไป
การประชุมเสนาบดีในเวลาต่อมายังคงมีราชาภควานเป็นประธานเช่นเคย ร่วมด้วยเจ้าชายนรบดี และเจ้าชายนิรมัน
การประชุมดำเนินไปด้วยดี หลังจากเหล่าเสนาบดีรายงานเหตุต่างๆ ภายใต้ความรับผิดชอบของตนแล้ว องค์ราชาก็ให้โอกาสที่ประชุมเสนอวาระอื่นเพิ่มเติม อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพระองค์
คนอื่นๆ ในที่ประชุมล้วนเงียบอยู่ ทว่าคีตาสังเกตเห็นทหารหลวงผู้ติดตามที่ด้านหลังเจ้าชายนรบดีก้มกระซิบกระซาบกับพระองค์ ชายผู้นั้นมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้เขาต้องสนใจ ผมสั้นนั้นเป็นสีเทา สายตากลอกลิ้ง ท่าทางหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย
ครั้นแล้วเจ้าชายก็เหลียวมาทางคีตา ริมฝีปากคลี่ยิ้มเย้ยหยัน
"ข้าขอเสนอเรื่องแมวป่าเป็นวาระเร่งด่วน" องค์ยุพราชโพล่งขึ้น เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงไปทั่วท้องพระโรง แม้แต่เจ้าชายนิรมันยังต้องเบิกตาด้วยความตระหนก
...พระองค์ก็คงทราบเรื่องข่าวลือเช่นกัน
"แมวป่า..." องค์ราชาตรัส
"ถูกแล้วพระบิดา ข้าได้ยินชาวบ้านลือกัน ว่าเสตาลัญฉน์เลี้ยงแมวป่าไว้ในคฤหาสน์ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้วิ่งเข้าๆ ออกๆ เป็นว่าเล่นเลยทีเดียว ตอนนี้เอาไปซ่อนเสียที่ไหนเล่า" ประโยคสุดท้าย ทรงหันมากล่าวกับคีตา
"มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ" ราชาภควานตรัสถาม พลางทอดพระเนตรมาทางผู้นำเสตาลัญฉน์เช่นกัน ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเคยสดับเรื่องนี้แล้วหรือไม่ หากแต่โดยปกติ แม้จะทรงทราบเรื่องแล้ว ก็ยังทรงถามเพื่อสอบสวนทวนความเช่นกัน
คีตาก้าวมาตรงหน้าพระพักตร์ กำมือขวาทาบอก ค้อมกายต่ำด้วยความเคารพอย่างสูง ก่อนจะยืดตัวตรงด้วยท่าทีอันผ่าเผย แล้วเอ่ยขึ้น
"ฝ่าบาท ข้าเองก็ได้ยินมาบ้าง" น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบ เช่นเดียวกับสีหน้าและดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
"พระบิดา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ชาวบ้านลือกันไปทั่ว ข้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายในที่นี้ก็ต้องเคยได้ยินมาเช่นกัน"
ในท้องพระโรงบังเกิดเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกครั้ง เสนาธิการบางคนพยักพเยิดให้กันและกัน ยอมรับว่าเคยได้ยินข่าวลือนี้จริง หากแต่ผู้นำเสตาลัญฉน์ยังคงรักษาท่าทีไว้ ไม่กล่าวกระไรอีก ในเมื่อไม่มีผู้ถาม เหตุใดจึงต้องกล่าวให้มากความ
ในที่สุดก็มีคนกล่าวขึ้น...
"ข้าขอเสนอให้มีการตรวจค้นคฤหาสน์เสตาลัญฉน์" ผู้กล่าวคือเจ้าชายนรบดีเอง "ข้าจะนำทหารไปตรวจค้นหลังจากการประชุมนี้เสียเลย"
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เหลือบหางตาไปทางผู้ติดตามของตน ...หากวันนี้ผู้ที่ติดตามเขามาเป็นพิฆาน คงได้เกิดเรื่องใหญ่กันแน่...
—
พิฆานก้าวออกจากห้องของตน หอบไม้ค้ำยัน ทำท่ากระย่องกระแย่งไปตามทางเดิน เขาไม่ต้องการใช้ไม้ค้ำยันให้เกิดเสียงดัง เมื่อมาถึงหน้าห้องบวงสรวงก็หันซ้ายแลขวา เห็นว่าไม่มีใครแน่แล้วจึงลอบยิ้มออกมา ล้วงหยิบกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง ไขปลดโซ่ที่คล้องประตู ก่อนจะผลักเข้าไปเบาๆ
เมื่อเช้า เขาได้ยินอัยยาบอกว่าจะเข้าไปในเมือง เพื่อซื้อหาผ้าพันแผลมาเพิ่ม (หลังจากมินนราใช้ทำแผลให้คีตาจนเกือบหมดม้วนในคราวเดียว) เขาจึงเห็นเป็นโอกาสฝ่าฝืนคำสั่งของท่านอา ลงไปหาพี่ชายในห้องใต้ดิน อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าขวา ทำให้เขาไม่ได้พบพี่ชายมาหลายวันแล้ว
การต้องอาศัยไม้ค้ำยันประคองตัวเองก้าวลงบันไดทำให้ขลุกขลักอยู่ไม่น้อย หากนั่นยังไม่นับรวมกับที่เขาต้องค่อยๆ คลำทางในความมืด เพราะเมื่อต้องใช้ไม้ค้ำยัน ก็ไม่มีมือไปถือคบเพลิง ทว่าความลำบากทั้งหมดนั้นไม่สำคัญ...ไม่สำคัญเลย...
เด็กหนุ่มแหย่ไม้ค้ำยันไปเบื้องหน้าเพื่อนำทาง แล้วค่อยๆ จรดลงที่บันไดขั้นถัดไป ก่อนจะโยกกายวางเท้าซ้ายตามลงไป โดยพยายามไม่ให้เท้าขวาต้องกระทบพื้น เพื่อป้องกันการกระเทือนถึงหัวเข่า
เขาก้าวบ้างพักบ้าง เป็นเวลานานพอสมควรกว่าจะไต่บันไดอันวกวนลงมาถึงห้องลับใต้ดิน แล้วจึงค่อยๆ โขยกเขยกตรงไปผลักประตูเหล็ก อันเป็นเสมือนคุกขังพี่ชายให้เปิดออกเบาๆ
"เวคิน!" เขาร้องขึ้นอย่างยินดี ทันทีที่เห็นพี่ชายนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ชายผมแดงเงยหน้าขึ้นจากตำรา ดวงตาสองสีแฝงแววหม่นมีรอยยิ้มเปี่ยมอาทร เขายืนขึ้นอ้าแขนรับน้องชายที่ลืมตัว โผเข้ามาทั้งที่ขายังเจ็บ จนทั้งคู่แทบล้มโครมลง
"เจ้าบาดเจ็บไม่ใช่หรือ ลงมาทำไม" ผู้เป็นพี่เอ่ยถามด้วยความห่วงใย ก่อนจะประคองน้องชายให้นั่งลงที่โต๊ะกลมกลางห้อง
"เจ็บแค่นี้เล็กน้อย" พิฆานคุยโอ่ "กลัวแต่ว่าพี่จะเฉาตายเสียก่อน ถ้าไม่ได้ยินเสียงข้า"
เวคินหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่เคยมีใครทำให้เขาหัวเราะได้อย่างจริงใจ นอกจากเด็กหนุ่มผู้นี้
"ลงมาแบบนี้ ท่านอาไม่ว่าอะไรหรือ" เขาถามอีก หย่อนกายนั่งลงข้างน้องชาย
พิฆานเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ "อย่าเอ็ดไป ท่านอาไม่อยู่ ข้าจึงแอบลงมาได้"
ผู้เป็นพี่แสร้งเหลือบมองกลับด้วยแววตารู้ทัน "อย่างนี้ถ้าท่านอากลับมา คงต้องบอกให้ล่ามเจ้าไว้แล้วล่ะสิ"
"อย่าเชียว" เด็กหนุ่มท้วง "ถ้าท่านอาล่ามข้า แล้วใครจะเอาเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้พี่ฟังเล่า"
เวคินคลี่ยิ้มบางๆ "แล้ววันนี้มีอะไรมาเล่าล่ะ เรื่องที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บนี่น่ะหรือ"
"ใช่แล้ว" พิฆานรับ จากนั้นจึงเล่าเหตุการณ์การต่อสู้กับงูน้ำอย่างออกรส
เวคินรับฟังด้วยท่าทีสนอกสนใจ ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง ทำท่าตื่นเต้นไปตามเรื่องตามราว หากในใจยังอดคิดไม่ได้ ...งูน้ำ อย่างไรก็เป็นงู ตัวเขาเองก็เป็นงู
"แล้วพี่อ่านอะไรอยู่หรือ" เด็กหนุ่มถามขึ้นบ้าง หลังจากเล่าเรื่องของตัวจบ พร้อมกับหันไปทางตำราแผ่นหนังที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ...ตำราที่พี่ชายของเขาอ่านค้างไว้
"ประวัติของกาเยน" เวคินตอบเรียบๆ
"กาเยน...กาเยน..." พิฆานทวนคำ "กาเยน เสตาลัญฉน์ ผู้นำกองกำลังคนสุดท้ายที่เป็นคนตระกูลเสตาลัญฉน์น่ะหรือ"
ชายผมแดงพยักหน้านิดหนึ่ง
"ประวัติของเขาเป็นอย่างไร พี่เล่าให้ข้าฟังหน่อย"
เวคินกลอกตาตลบหนึ่ง ก่อนจะตอบเป็นเชิงหยอก "เจ้าก็เอาไปอ่านเองสิ"
"โธ่ พี่ก็รู้ว่าข้าไม่ชอบอ่าน แค่จับตำราก็ง่วงแล้ว"
ผู้เป็นพี่หัวเราะเบาๆ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ น้องชายของเขาขี้เกียจอ่านตำราเป็นที่สุด หากให้เขานั่งเฉยๆ อ่านตำรา ยังยากกว่าให้เขาบุกตะลุยเข้าป่าปิศาจหลายเท่านัก
ทว่าก่อนที่เวคินจะเริ่มเล่า ก็มีเสียงบางอย่างขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เสียงที่ทำให้พิฆานต้องสะดุ้งสุดตัว รวบไม้ค้ำยันของตน ยกขา กระโดดเหยงๆ ไปหลบอยู่หลังฉากกั้นห้องทีเดียว
เสียงฝีเท้าก้าวลงบันไดหินมาช้าๆ
เวคินได้ยินแล้วก็พอทราบว่าเป็นใคร เขาอยู่ห้องใต้ดินมาเนิ่นนาน คนที่ลงมาก็มีเพียงไม่กี่คน ให้จำแนกเสียงฝีเท้าของคนเหล่านั้น ไม่ยากเลย
"ท่านปู่ ไม่ใช่ท่านอาหรอก ออกมาเถอะ" เขากระซิบบอกน้องชายที่หลังฉากกั้นห้อง พิฆานจึงผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ดังเฮือกใหญ่ กะเผลกกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม
สักครู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงไม้เท้าเคาะกับประตูเหล็ก จากนั้น ร่างซูบผอมก็ก้าวเข้ามา เมื่อเห็นสองพี่น้องอยู่กันพร้อมหน้า ชายชราก็คลี่ยิ้มเปี่ยมเมตตา
"ท่านปู่ทำข้าตกใจหมด" เด็กหนุ่มโอด เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากผู้มาใหม่
"อัยยาห้ามไม่ให้เจ้าลงมาไม่ใช่หรือ" จิรภัจเอ่ยถามเป็นเชิงหยอก
"ถ้าไม่ได้ลงมา ข้าคงอึดอัดตาย"
ชายชราหัวเราะออกมาอีก แล้วจึงหันไปทางเวคิน "คราวนี้ น้องเจ้าเอาวีรกรรมอะไรมาเล่าให้ฟังอีกล่ะ"
"วีรกรรมในน้ำน่ะ ท่านปู่ ถูกกระชากลงน้ำจนขาแทบหัก"
จิรภัจพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงรับรู้ แล้วจึงหย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
พิฆานเห็นพวกเขาเงียบไปเป็นครู่ จึงพูดขึ้นบ้าง "ข้ากำลังจะให้พี่เล่าเรื่องกาเยน สมัยก่อนท่านปู่ก็ติดตามกาเยนไม่ใช่หรือ ท่านปู่เล่าให้ข้าฟังบ้างเถิด"
จิรภัจได้ยินแล้วก็ถอนใจยาว เรื่องราวของกาเยนในความทรงจำของเขาสลดหดหู่อยู่ไม่น้อย "ฟังคนแก่เล่าจะไปสนุกอะไร ฟังพี่เจ้าเล่านั่นละ ดีแล้ว"
"ข้าก็รู้มาจากตำราเท่านั้น ที่ไหนจะสนุกเท่าฟังท่านเล่าจากประสบการณ์ ข้าเองก็อยากฟังเช่นกัน ท่านปู่"
ชายชราเห็นสายตาอ้อนวอนของสองพี่น้อง จึงจำต้องสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเริ่มเอ่ย
"กาเยนในตอนนั้น ก็เป็นผู้นำเสตาลัญฉน์ที่อาจหาญ เช่นเดียวกับคีตาของพวกเจ้าในเวลานี้..."
—
ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่...
"ตรวจค้นคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ ไฉนต้องเร่งด่วนปานนั้นเล่า ท่านพี่" เจ้าชายนิรมันท้วงขึ้น
"หากชักช้า ข้าเกรงว่าจะมีคนพาแมวป่านั่นไปซ่อนเสียก่อน" องค์ยุพราชตอบ
"เป็นไปได้อย่างไร แมวป่านั่นเป็นใครก็ยังไม่รู้"
เจ้าชายนรบดีแค่นหัวเราะนิดหนึ่ง "มีปิศาจเมยาดิคในคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ มีหรือที่คนเสตาลัญฉน์จะไม่รู้ ข้าคิดว่าพวกเขาจงใจปกปิดมาแต่แรก ทว่าแมวป่าตัวนั้นซนเกินไป พวกเขาจึงปิดไม่อยู่" เจ้าชายกวาดมองไปที่คีตา ก่อนเอ่ยต่อไป "พวกท่านจำคำสาปของเซเทลไม่ได้หรือ...คำสาปที่ว่าคนเสตาลัญฉน์จะเป็นผู้นำเมยาดิคมาล้างผลาญพวกเรา!"
คำพูดนี้เหมือนสายฟ้าฟาดกลางใจทุกผู้คนในท้องพระโรง ทั้งหมดต่างนิ่งงันไป รอบบริเวณเงียบสนิทราวกับต้องมนต์สะกด
สายลมพัดผ่านมาแผ่วๆ หากสายลมนั้นกลับคล้ายหอบเอาเสียงเพลงขับของนักเล่านิทานเข้ามาด้วย ในโสตประสาทของคีตาคล้ายได้ยินเสียงเพลงนั้นก้องประสานบาดหูจนกายสะท้าน
อันคำสาปมีมาว่าดั่งนี้ ศิษฎี เสตาลัญฉน์ จงฟังข้า
ลูกหลานเจ้าจะม้วยมอดวอดชีวา โลหิตหลั่งพสุธาจนเนืองนอง
สกุลเจ้าจะบำราศพินาศสิ้น จะแดดิ้นภินท์พังทั้งพวกผอง
จะถูกล่าเถือมังสาดังข้าปอง แม้เหลือกองเพียงกระดูกก็บรรลัย
จักมีหนึ่งเป็นผู้รวมเลือดเนื้อข้า จักเป็นร่างคืนชีวาที่ตักษัย
จักนำพาเมยาดิคพิชิตชัย จักเป็นไฟผลาญสิ้นศูรแห่งอุดร
เพลงร้องนี้แต่งขึ้นโดยกวีนิรนามตั้งแต่เมื่อสามร้อยปีก่อน เมื่อใดก็ตามที่มีผู้เล่าตำนานการสู้รบระหว่างศิษฎีและเซเทลแล้ว เพลงนี้จะต้องถูกนำมาร้องปิดเรื่องทุกครั้งไป
ศูรแห่งอุดร...นักรบแห่งแดนเหนือ...คำนี้ย่อมหมายถึงชาวอุตตราศูร
เซเทลไม่เพียงต้องการให้ตระกูลเสตาลัญฉน์หมดสิ้น ยังต้องการให้เสตาลัญฉน์ทรยศต่อชาติพันธุ์ด้วย
ยี่สิบปีก่อนนั้น แม้ราดิศจะนำพาเมยาดิคบุกมาจริง หากแต่ไม่อาจพิชิตชัย ทั้งนี้เพราะจิณณายอมสละชีวิตและหัวใจ ยอมเป็นผู้สังหารคนรักด้วยมือตนเอง เพื่อปกป้องบ้านเมือง... คีตาเชื่อเช่นนั้น ภาพที่เห็นทำให้เขาคิดเช่นนั้น ภาพจิณณาสิ้นใจอยู่บนร่างราดิศยังคงติดตาอยู่จนบัดนี้
"องค์ยุพราช!" สุ้มเสียงราวกลองคะนองศึกของผู้บัญชาการพลราบเอ่ยขึ้น พร้อมกับเจ้าตัวก้าวออกมายืนข้างคีตา เขาแสดงความเคารพต่อองค์ราชา แล้วจึงกล่าวต่อ "พวกเราทุกคนล้วนทราบดี คำสาปนี้หมายถึงคนในตระกูลเสตาลัญฉน์ เมื่อบัดนี้ตระกูลเสตาลัญฉน์สูญสิ้นไปแล้ว ไฉนยังต้องกังวลเรื่องคำสาปอีกเล่า"
"พวกท่านแน่ใจหรือว่าตระกูลเสตาลัญฉน์สิ้นสูญลงที่ราดิศจริง บางทีอาจยังมีทายาทเสตาลัญฉน์หลงเหลือซุกซ่อนอยู่ในคฤหาสน์ รอคอยโอกาสสมทบกับพวกปิศาจเมยาดิคอยู่ก็เป็นได้" เจ้าชายลอยพระพักตร์ ตรัสสำทับขึ้นอีก "พวกท่านคิดหรือว่าในตระกูลเสตาลัญฉน์ จะมีเพียงกาเยน ที่ทำเรื่องอัปยศเช่นนั้น"
คีตานิ่งฟังอยู่ ทว่ามือของเขาค่อยๆ รวบกำเข้าเป็นหมัด อย่างไรเสียเขาก็ต้องอดทน ไม่ว่าผู้ใดประณามตระกูลเสตาลัญฉน์ เขาก็ต้องอดทน อย่าว่าแต่เหตุอัปยศเมื่อครั้งกระโน้นเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
เหตุอัปยศที่ทำให้คำสาปกลายเป็นความจริง...
—
"เหตุอัปยศนั่นมีว่าอย่างไรหรือ" พิฆานคะยั้นคะยอ
จิรภัจทอดตามองไปยังภาพวาดของเวคิน ที่บนผนังด้านหนึ่ง ภาพสัตว์ประหลาดสี่เท้า หน้าตาคล้ายมนุษย์ หากมีใบหูเรียวป้องไปข้างหน้า หางยาวเป็นพวง และมีขนสีน้ำตาลทั่วตัว...ภาพหมาป่าในจินตนาการของเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยเห็นโลกภายนอก
"มันเริ่มเมื่อตอนที่กาเยนถูกพวกเมยาดิคจับไป หลังการปะทะกันครั้งใหญ่ ในปลายรัชสมัยของราชาองค์ก่อน พวกเราในกองทัพคิดว่าเขาต้องตายแน่แล้ว...คิดว่าตระกูลเสตาลัญฉน์คงสูญสิ้นในครั้งนั้น หากวันหนึ่งเขาก็กลับมา...กลับมาพร้อมกับหญิงชาวเมยาดิคผู้หนึ่ง"
ชายชราหยุดทบทวนความหลังเล็กน้อย ก่อนจะเล่าต่อไป
“กาเยนแนะนำต่อทุกคนว่านางคือ รีอา เป็นคนที่ช่วยให้เขาหลบหนีมาได้ เขาว่านางเป็นคนดี และกำลังตั้งครรภ์ลูกของเขา ทว่าคนในเสตาลัญฉน์ไม่เชื่อ หลายคนคิดว่าเป็นแผนของพวกเมยาดิคที่ใช้หญิงสาวเป็นเหยื่อล่อ กล่อมให้กาเยนไว้วางใจ พวกเขาคิดจะฆ่ารีอาด้วยเกรงกลัวคำสาป ทว่าบางคนก็ไม่ยอม..."
...มีบางคนที่ไม่ยอม จิรภัจเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเชื่อในสายตาของกาเยน เคารพต่อการตัดสินใจของผู้นำเสตาลัญฉน์ในเวลานั้น ความเชื่อมั่นของเขาไม่เคยคลอนแคลนแม้จะผ่านมาร่วมสี่สิบปีแล้วก็ตาม
จิรภัจในวัยยี่สิบสี่ปี ก็เหมือนพิฆานเวลานี้ ติดตามกาเยนแทบทุกฝีก้าว เทิดทูนกาเยนยิ่งกว่าบิดาผู้ให้กำเนิด
เขาจำได้ว่าในคราวนั้น คนเสตาลัญฉน์แตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการให้ฆ่ารีอากับลูกเสีย ป้องกันเซเทลจะกลับมาในร่างเด็กน้อย หากอีกฝ่ายเห็นแก่กาเยน เห็นแก่เด็กที่เป็นผู้บริสุทธิ์ เด็กที่ไม่มีความผิดอันใด
ในที่สุดพวกเขาก็หาทางออกได้ โดยให้รีอาไปอยู่กระท่อมน้อยนอกกรุงอุษณบุรี ห่างจากคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ไปทางใต้ราวหนึ่งโยชน์ และให้มีคนคอยจับตาดูนางอยู่ด้วย
บริเวณนั้นไม่มีหมู่บ้าน มีเพียงกระท่อมน้อยเดียวดายกลางทุ่งโล่ง ทว่ารีอาก็เต็มใจอยู่ แม้กาเยนจะมีหน้าที่การงานรัดตัว จนไม่สามารถไปมาหาสู่นางได้บ่อยนัก แต่นางอยู่มาอย่างเข้มแข็ง ดูแลลูกในท้องด้วยความอดทน
"ท่านปู่ พวกเรารู้ว่าเมยาดิคเป็นปิศาจเลวร้าย แต่เหตุใดรีอาจึงดูไม่เป็นเช่นนั้นเลย" เวคินขัดขึ้นด้วยความสงสัย
"เมื่อแรกกาเยนก็บอกเช่นนั้น" จิรภัจตอบ "เขาว่าเมยาดิคไม่ใช่ปิศาจเสียทุกคน เขาว่ารีอาเป็นคนดี ช่วงเวลาหลายเดือนที่นางอยู่ที่กระท่อมน้อย ก็ทำให้พวกเราหลายคนคิดไปเช่นนั้น และเริ่มวางใจในตัวนาง ดังนั้นเมื่อกาเยนบอกกล่าวกับคนอื่นๆ ขอให้รีอากลับมาอยู่ที่คฤหาสน์เพราะเห็นว่านางท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที คนส่วนมากจึงยินยอม แม้ยังคงมีบางส่วนที่ไม่พอใจก็ตาม"
ชายชราหยุดนิดหนึ่ง ถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสุ้มเสียงแหบพร่า "แต่แล้ว...แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ..."
จิรภัจจำได้อย่างแม่นยำ คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด แม้ดาวราชสีห์จะสุกสกาวอยู่กลางหาว แต่ใต้ผืนฟ้าสีดำที่ดารดาษไปด้วยดาวก็ยังคงมืดมิดอยู่นั่นเอง
เขากำลังช่วยงานกาเยนอยู่ในห้องทำงานซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ ระหว่างนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นที่ชั้นล่าง พวกเขารีบวิ่งลงไปตามเสียง และพบคนจำนวนสี่ห้าคนกำลังรุมล้อมหมาป่าสีเทาร่างใหญ่ ท้องของหมาป่านั้นนูนโต บ่งบอกว่าภายในท้องยังมีอีกชีวิตหนึ่ง
หมาป่าสีเทากำลังแยกเขี้ยวอย่างดุร้าย มันถูกต้อนไปกระทั่งจนอยู่ที่มุมทางเดินอาคาร ขาหน้าข้างหนึ่งได้รับบาดเจ็บ มีเลือดหยดจากใต้ขนสีเทา ทว่าไม่มีใครสนใจบาดแผลของมัน คนที่รุมล้อมอยู่ต่างสนใจศพที่เบื้องหน้ามันต่างหาก
เบื้องหน้ามันเป็นศพชายกลางคนผู้หนึ่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลจากคมเขี้ยว โดยเฉพาะบริเวณลำคอซึ่งถูกกัดเป็นแผลฉกรรจ์ จิรภัจเห็นชายผู้นี้เข้าก็จำได้ทันที เขามีตำแหน่งในกองกำลังเป็นถึงหัวหน้าหน่วย เป็นหนึ่งในคนที่ต่อต้านรีอาอย่างเต็มที่ รังเกียจลูกในท้องของนางอย่างยิ่ง และเชื่อมั่นปักใจว่าเด็กนั่นจะต้องเป็นเซเทล
ภรรยาของผู้ตายยืนตัวซีดตัวสั่นอยู่ด้านข้าง เสียงกรีดร้องที่ได้ยินคือเสียงของนางเอง ทันทีที่เห็นกาเยน นางก็ตรงเข้าไปกอดขาเขา ร้องห่มร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง
"นางฆ่าสามีข้า!" หญิงนั้นร้อง "นางเป็นปิศาจ นางฆ่าสามีข้า!"
เวลานั้นจิรภัจก็ไม่ทราบว่าตนเองรู้สึกเช่นไร รู้เพียงว่าตัวชาไปหมด เมื่อหันมาทางผู้นำเสตาลัญฉน์ ก็เห็นเขายืนนิ่ง สายตาทอดมองไปยังหมาป่าร่างใหญ่นั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังกังขา ดวงตาสีดำสนิทมีแววปวดร้าวเหลือประมาณ
หมาป่าครางขึ้นเบาๆ คล้ายจะเอ่ยอะไรบางอย่าง หากจนใจที่ตนอยู่ในร่างหมาป่า นางขยับตั้งท่าจะเปลี่ยนร่างคืนเป็นมนุษย์ ทว่าขณะนั้นเอง กลับมีเสียงคนตะโกนขึ้น
"พวกเมยาดิค! พวกเมยาดิคกำลังยกมา ตอนนี้อยู่ห่างไปราวสิบแปดโยชน์!"
เสียงนั้นทำให้กาเยนต้องขบฟันกรอด เขาหันไปบอกกับภรรยาของผู้ตายให้รอก่อน เขาจะกลับมาสะสางเรื่องนี้หลังจากขับไล่พวกเมยาดิคไปแล้ว
...หากใครเล่าจะทราบ การไปครั้งนี้ เขาจะไม่ได้กลับมาอีกเลย
หลังจากระดมกำลังได้จำนวนหนึ่ง กาเยนก็นำพาเหล่านักรบที่มีอยู่เดินทางไปสกัดพวกเมยาดิคไว้ จิรภัจเองก็ติดตามไปด้วย พวกเขาเดินทางเป็นเวลาชั่วยามเศษก็เข้าปะทะกับพวกมัน
หลังจากต่อสู้กันอยู่ครู่หนึ่ง กองกำลังเสตาลัญฉน์สูญเสียนักรบไปจำนวนสิบกว่าคน ในขณะที่พวกเมยาดิคสูญเสียมากกว่า นีซาในร่างผีเสื้อขาวจึงคืนร่างกลับเป็นชายกลางคนผิวสีซีด และสั่งพวกของตนถอยกลับไปตั้งหลัก ในขณะที่ตัวเองกับบริวารอีกสี่ห้าคนยังรั้งรออยู่
"พวกเราไม่ได้มารบ" นีซาเอ่ย "เราเพียงต้องการคนของเราคืน"
จิรภัจในวัยหนุ่มยังไม่มีความคิดอ่านลึกซึ้งนัก คาดว่าคนที่นีซากล่าวถึงคือรีอา ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมา เขานึกย้อนกลับไปอีกครั้งก็คิดได้ว่า ที่นีซาต้องการคือลูกของรีอาต่างหาก เด็กที่พวกเมยาดิคล้วนคาดหมายว่าจะเป็นเซเทลคืนชีพ
"คนของท่าน..." กาเยนแค่นเสียงตอบหลังจากนิ่งไปเป็นครู่ "นางเพิ่งสังหารคนของข้าไปคนหนึ่ง จึงยังส่งคืนท่านไม่ได้"
นีซาเลิกคิ้วสูง เงียบไปเป็นครู่ จึงค่อยเหยียดยิ้มออกมา
"นางทำงานได้ไม่เลว" ผู้นำเมยาดิคกล่าว "ข้านึกว่าแผนจะล้มเหลวเสียแล้ว"
"ท่านว่าอย่างไร!" กาเยนตะคอกเสียงดังปานประหนึ่งราชสีห์คำราม หากนีซาไม่ตอบ เขาชำเลืองมองกาเยนด้วยสายตาของผู้กำชัยชนะ แล้วจึงหันหลัง สั่งบริวารเดินทางกลับไปในลักษณะนั้น
จิรภัจมองผู้นำของเขา เห็นกาเยนยืนทื่อตัวสั่น ไม่ทราบเป็นด้วยความโกรธแค้น หรือผิดหวังเสียใจ เขาเอื้อมแตะมือที่กำอสิกรแน่นจนสั่นระริก มือข้างนั้นเย็นเฉียบ เขาจึงตัดสินใจบีบข้อมือข้างนั้น กระตุกเบาๆ กาเยนจึงได้สติ นำกองกำลังของตนเดินทางกลับคฤหาสน์
ทว่ายังไม่ทันเข้าเขตกรุงอุษณบุรี คนจากที่คฤหาสน์ก็ควบขับม้าสวนทางมาอย่างรีบร้อน เมื่อพบกาเยนก็รายงานด้วยสุ้มเสียงสั่นเครือ เขาว่ารีอาหนีไปแล้ว คนในคฤหาสน์พยายามจับกุมก็ถูกนางทำร้ายบาดเจ็บ
กาเยนคั่งแค้นจนแทบบ้า เขาคำรามด้วยสุ้มเสียงอันดัง ถามว่านางหนีไปทางใด เมื่อได้ความแล้วก็ลงแส้ฟาดม้าอย่างบ้าคลั่ง ม้าโจนทะยานไปด้วยความตื่นตระหนก
จิรภัจเห็นดังนั้นก็บอกให้คนอื่นๆ กลับเข้ากรุงอุษณบุรีไปเสียก่อน ตัวเขากับผู้ติดตามอีกสองคนเร่งม้าควบขับตามกาเยนไป
พวกเขาติดตามมาครู่เดียวก็ไม่เห็นวี่แววของผู้นำเสตาลัญฉน์แล้ว ต่างคนจึงต่างแยกย้ายกันออกค้นหา จิรภัจพยายามแกะรอยเท้าม้าที่เหยียบย่ำลึกเข้าไปในป่า เขาใช้เวลานานเกือบชั่วยามจึงพบกาเยน ทว่าภาพที่เห็นกลับทำให้เขาไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ ได้แต่ชะเง้อมองอยู่แต่ไกลด้วยความรู้สึกยากอธิบาย
ภาพผู้นำเสตาลัญฉน์นั่งคุกเข่าอยู่ข้างภรรยายังคงติดตาเขามาจนถึงทุกวันนี้...
กาเยนคุกเข่าอยู่ข้างรีอา นางกำลังนั่งเอนหลังพิงโคนไม้ใหญ่ ตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าชโลมไปด้วยเลือด ดวงตานางปิดสนิท ใบหน้าของนางขาวซีดแต่ดูเปี่ยมสุข ริมฝีปากนางมีรอยยิ้มน้อยๆ อันอบอุ่น ทว่าอกของนางไม่เคลื่อนไหว ไม่มีสัญญาณแห่งชีวิต...
น้ำตา...ผู้นำเสตาลัญฉน์ ชายผู้อาจหาญกำลังหลั่งน้ำตา...น้ำตาที่ไม่สามารถข่มกลั้น น้ำตาที่มีแต่ต้องปล่อยให้ไหลลงมาโดยไม่อาจคำนึงถึงสายตาใครทั้งสิ้น
ชั่วครู่ จิรภัจเริ่มได้ยินเสียงเด็กร้อง เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็น ในอ้อมอกของกาเยน ยังมีร่างทารกแรกเกิดเนื้อตัวแดงก่ำ กำลังดิ้นแผดเสียงจ้าด้วยเรี่ยวแรงแห่งชีวิต
ผู้เป็นพ่อค่อยๆ วางทารกน้อยลงบนร่างของมารดา แล้วถอดเสื้อตัวนอกออกห่อหุ้มร่างเด็กน้อย ผูกแขนเสื้อคล้องกับร่างมารดา ให้ทารกได้อยู่ในอ้อมอกแม่ ถึงแม้จะเป็นเพียงร่างที่ปราศจากวิญญาณแล้วก็ตาม
"จิรภัจ..."
เมื่อเจ้าตัวได้ยินกาเยนเอ่ยเรียกก็สะดุ้ง ก้าวเข้าไปใกล้นิดหนึ่งเพื่อรอรับคำสั่ง
"ข้าฝากเสตาลัญฉน์ไว้กับเจ้า จากนี้ไปจงนำพากองกำลัง ปกป้องทุกคนจากพวกนีซา"
"แล้วท่านเล่า"
"เจ้าไม่พบข้า ไม่เคยพบข้าที่นี่ จากนี้ไปข้าจะเป็นผู้สาบสูญ เฉกเช่นศมิน เสตาลัญฉน์"
"แต่ลูกของท่าน..." เขายั้งคำพูดไว้ ไม่ต้องการทำร้ายจิตใจกาเยนอีก ลูกต้องคำสาปย่อมทำให้พ่อหัวใจสลาย
กาเยนก้มมองลูกของตน ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ "ลูกชายข้า หากเขาคือเซเทลจริง..." หยุดนิดหนึ่งราวกับจะรวบรวมกำลังความกล้าที่เพิ่งมลายหายไปให้กลับคืนมา "ข้า...จะเป็นคนสังหารเขาเอง!"
จิรภัจนิ่งงันไป เขามองกาเยนช้อนร่างของภรรยาขึ้นพร้อมกับลูกน้อย เดินจากไปท่ามกลางความเงียบสงัดแห่งผืนป่า
###
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น