ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : หวนคลื่นคืนฝั่ง
อืม...รู้สึกว่าไม่ค่อยได้มาทักทาย
พอดีมีข่าวมาบอก วันพรุ่งนี้จะเอามาแปะให้อีกตอน แล้วจะหายไปประมาณสองสามสัปดาห์นะคะ
กำลังอยู่ในช่วงย้ายรัง ^^
###
บทที่ ๑๒ หวนคลื่นคืนฝั่ง
พอดีมีข่าวมาบอก วันพรุ่งนี้จะเอามาแปะให้อีกตอน แล้วจะหายไปประมาณสองสามสัปดาห์นะคะ
กำลังอยู่ในช่วงย้ายรัง ^^
###
บทที่ ๑๒ หวนคลื่นคืนฝั่ง
โลงไม้สี่ห้าโลงถูกหามใส่เกวียนลากมาตามทาง ผู้ที่อยู่ในโลงไม่มีลมหายใจ...
คีตาขี่ม้านำอยู่หน้าขบวน นักรบเสตาลัญฉน์ที่รอดชีวิตก็ขี่ม้าของตนติดตามมา ส่วนม้าของผู้ที่สละชีวิต ถูกนำมาใช้เทียมเกวียน ลากร่างไร้วิญญาณของนายพวกมันกลับคืนสู่บ้าน
พิฆานนั่งมาในเกวียนที่บรรทุกคนเจ็บอีกเล่มหนึ่ง เมื่อวันก่อน หลังจากต่อสู้กับพวกงูแล้ว คีตาก็ให้เขาซ้อนม้า ขี่กลับมาสมทบกับคนอื่นๆ เนื่องจากตัวเขามีอาการบาดเจ็บที่ขา ซึ่งนอกจากจะถูกงูกัดแล้ว กระดูกหัวเข่าของเขาก็ยังหลุด อันเนื่องมาจากถูกงูกระชากแล้วกระชากอีกนั่นเอง
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปพักค้างแรมในเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเส้นทางออกไป ทั้งนี้เพราะคีตาต้องการให้หมอในหมู่บ้าน ช่วยเยียวยาอาการของนักรบที่บาดเจ็บโดยเร็วที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องหาโลงบรรจุร่างผู้เสียชีวิต รวมถึงเกวียนสำหรับขนย้ายด้วย จึงทำให้เสียเวลาไปสองวัน
อาการของพิฆานไม่สาหัส พิษงูเจือจางไปมากแล้ว จึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ทว่ากระดูกหัวเข่าซึ่งเพิ่งดึงกลับเข้าที่นั้น ทำให้เขาขี่ม้าไม่ได้ไปอีกหลายสัปดาห์ และยังต้องใช้ไม้ค้ำยัน ส่วนคนอื่นก็ได้รับบาดเจ็บในลักษณะต่างๆ กันไป บางคนถูกพิษแมงมุม แต่ไม่รุนแรงมาก และมียาแก้ไข จึงไม่เป็นอะไร
ม้าตัวโตเหยาะย่างไม่เร็วนัก คีตาก็ไม่ได้เร่งมัน เวลานี้ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนแล้ว เขานึกย้อนกลับไปถึงดาบ ดาบที่พิฆานพบกลางทะเลสาบ...
ดาบเก่าสนิมเขรอะ มีตะไคร่จับอยู่เล็กน้อย ทั้งยังหาความคมไม่ได้ แต่กลับมีลักษณะสะดุดตาที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะกิดใจ
ดาบมีลักษณะโค้ง ตัวดาบกว้าง ด้ามดาบทำจากไม้สลักลาย บริเวณใกล้กับโคนดาบมีการแซะร่องเป็นรูปวงกลมตื้นๆ คล้ายกับสำหรับฝังวัตถุกลมแบน หากวัตถุนั้นหลุดหายไปแล้ว
ทว่าคีตาจำได้ ลักษณะของดาบนั้นคล้ายกันมาก...คล้ายกับดาบของศิมันต์
ทว่าดาบของศิมันต์ ลูกชายคนโตของศิษฎี ถูกเก็บไว้อย่างดีภายในห้องเก็บอาวุธของคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ ดังนั้นดาบเล่มนี้จึงไม่มีทางเป็นของศิมันต์ไปได้ แต่คีตาก็ทราบว่า มีดาบอีกเล่มหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายกัน
ดาบของศมิน ลูกชายคนรองของศิษฎี...
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ศมินหายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งทำศึกกับเซเทล ไม่มีใครทราบความเป็นไปของเขา ไม่มีใครทราบว่าเขาเป็นหรือตาย ทว่าเวลานี้ ดาบคู่กายของศมิน กลับมาปรากฏอยู่ในทะเลสาบอันห่างไกล
...หรือว่าศมินที่หายสาบสูญ จะฝังร่างอยู่ใต้ทะเลสาบ
...หรือว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งดั้นด้นมาถึงทะเลสาบแห่งนั้น!
—
อารัญก้าวเข้ามาในห้องทรงงาน ถวายความเคารพต่อผู้ที่ยืนหันหลังอยู่ที่ริมหน้าต่าง แล้วจึงนิ่งอยู่
“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” องค์ยุพราชตรัสถาม ไม่ได้หันกลับมา
“ข้าให้คนไปสอบถามชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณนั้นแล้ว หลายคนบอกตรงกันว่าระยะนี้ มีแมวป่าผลุบเข้าออกคฤหาสน์เสตาลัญฉน์จริง ฝ่าบาท”
เจ้าชายหันกลับมา รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ดี...ดีมาก”
“พระองค์จะให้ข้านำคนไปค้นเลยหรือไม่” อารัญถาม ดวงตาเรียวเจ้าเล่ห์มีประกายวิบวับ
“ยังก่อน” เจ้าชายบอก “รอให้มันลือกันมากกว่านี้อีกสักหน่อย แล้วข้าจะเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเอง ข้าจะทูลเรื่องนี้ต่อหน้าท่านพ่อ ดูทีว่าคีตาจะทำหน้าเช่นไร”
อารัญชำเลืองมองเจ้าชายเล็กน้อย รู้สึกไม่ใคร่พอใจกับการตัดสินใจขององค์ยุพราชนัก ...เขาเห็นว่านี่เป็นโอกาสไปยังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ ทว่าเจ้าชายกลับห้ามไว้เสีย
“แต่ถ้าไม่ไปค้น แล้วเราจะจับแมวตัวนั้นได้หรือฝ่าบาท”
เจ้าชายเหยียดยิ้มอีก “เรื่องนั้นละ ที่ข้าจะทูลขอต่อพระบิดา พวกเสตาลัญฉน์เห็นว่าพระบิดาให้ท้ายอยู่ หากเราเข้าไปไม่บอกไม่กล่าว พวกมันจะเอามาฟ้องได้ แต่ถ้าพระบิดาทรงมีบัญชา อย่างไรมันก็ต้องยอมให้ค้น”
“แล้วไฉนจึงต้องรอให้ลือกันมากกว่านี้อีกเล่าฝ่าบาท”
“หากลือกันในกลุ่มเล็กๆ พระบิดาอาจเห็นว่าเป็นเพียงการสร้างเหตุก่อกวน เราต้องรอให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียก่อน ถึงตอนนั้น พระบิดาจะต้องสั่งค้น หรือสั่งให้ทำอะไรสักอย่างเป็นแน่”
คราวนี้...อารัญเหยียดยิ้มออกมาบ้างแล้ว
—
หลังจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ชำระร่างกายจนสบายตัวแล้ว คีตาก็ออกจากห้อง ตรงไปยังห้องทำงานของจิรภัจ ซึ่งอยู่ทางปีกเหนือของอาคารชั้นเดียวกัน
ในมือของเขาหอบห่อผ้าสีน้ำตาล ซึ่งพันวัตถุรูปร่างยาวอยู่ด้วย
เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ขบวนนักรบแห่งกองกำลังเสตาลัญฉน์เดินทางกลับมาถึงกรุงอุษณบุรี หลังจากรายงานตัวที่ค่ายฝึกแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตน
เขาและพิฆาน พร้อมด้วยนักรบอีกจำนวนหนึ่งเดินทางกลับมายังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ เมื่อมาถึงก็พบอัยยาออกมาต้อนรับ เขาจึงบอกเรื่องดาบกับอัยยา
ป่านนี้นางคงบอกเรื่องนี้ต่อจิรภัจเรียบร้อยแล้ว... เขาคิด ระหว่างที่ก้าวมาหยุดตรงหน้าบานประตูไม้ซึ่งแง้มเปิดอยู่
คีตายกมือเคาะประตู เมื่อได้ยินเสียงขานรับจึงผลักบานประตูออก ก้าวเข้าไปในห้องอันสว่างไสวไปด้วยแสงตะเกียง
จิรภัจนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้านในสุด อัยยายืนอยู่ด้านข้าง บนโต๊ะทำงานมีดาบยาววางอยู่เล่มหนึ่ง เป็นดาบซึ่งมีลักษณะโค้ง ตัวดาบกว้าง สภาพยังดี ไม่มีสนิม ไม่มีรอยบิ่น แสดงว่าได้รับการดูแลทำความสะอาดอยู่เนืองๆ บนด้ามใกล้กับโคนดาบยังฝังหยกสีขาวสลักรูปราชสีห์บนดาวหกแฉกอีกด้วย
คีตาเห็นดาบเล่มนั้นบ่อยครั้งในห้องเก็บอาวุธ...ดาบของศิมันต์ เสตาลัญฉน์
ครั้นเห็นคีตาเดินเข้ามา จิรภัจก็มีท่าทีตื่นเต้นยินดีนัก เขาลุกยืนขึ้น พูดคุยทักทาย ก่อนที่คีตาจะแก้ห่อผ้าในมือออก แล้ววางดาบสนิมเขรอะเทียบกับดาบของศิมันต์
ชายชราค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทา หยิบดาบเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นขึ้นมา เขาพินิจดูที่ด้ามดาบ อดเบิกตาโพลงไม่ได้
“โอ เป็นความจริงหรือนี่ ศมิน...ศมิน เสตาลัญฉน์” เขาอุทานด้วยความตื่นเต้น
“เป็นของศมินจริงหรือ” คีตาถามย้ำอีก
“จริงแท้แน่นอน” จิรภัจยืนยัน เขาวางดาบลง แล้วหันไปเลือกหยิบตำราแผ่นหนังจากชั้นที่ด้านข้างออกมาพลิกเปิด เมื่อพบหน้าที่ต้องการแล้วจึงยื่นส่งให้คีตา
“อ่านตรงบรรทัดที่สามนั่น” ชายชราบอก คีตาจึงอ่านออกเสียงให้อัยยาได้ยินด้วย
“...นอกจากดวงตราหยกขาวที่สลักเป็นรูปสัญลักษณ์เสตาลัญฉน์ ซึ่งฝังอยู่ใกล้โคนดาบแล้ว ตัวดาบของศิมันต์ยังตอกลายเป็นเส้นสายคล้ายเปลวเพลิง ในขณะที่ดาบของศมินเป็นลายคล้ายเกลียวคลื่น...”
จิรภัจยิ้ม แล้วจึงชี้ให้ทั้งคู่ดูที่ตัวดาบทั้งสองเล่ม บนเนื้อดาบของศิมันต์มีการตอกลายลักษณะคล้ายเปลวเพลิงจริง ดูราวกับเปลวเพลิงนั้นกำลังสั่นระริก ล้อแสงตะเกียงที่ส่องมากระทบ
บนเนื้อเหล็กของดาบสนิมเขรอะก็มีลวดลาย แม้จะพร่าเลือนไปตามกาลเวลา ทั้งยังขาดการดูแลรักษา หากเกลียวคลื่นที่ปรากฏอยู่หาใช่จะเลือนหายไปหมดสิ้น ...เกลียวคลื่นที่หมุนวน ราวกับจะนำพาเอาประวัติศาสตร์ที่เลือนหายกลับคืนมา
“ถ้าอย่างนั้น...” น้ำเสียงของชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย “ข้าจะให้คนออกไปค้นหาในทะเลสาบดีหรือไม่ ค้นหาศพของศมิน”
จิรภัจส่ายหน้าเล็กน้อย “ทะเลสาบกว้างใหญ่ จะค้นหาอย่างไร อีกอย่าง คนของเจ้าฝึกไว้เพื่อการรบ ไม่ใช่เพื่อการค้นหา”
คีตายิ้มเก้อนิดหนึ่ง แม้เขาจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ประสบการณ์ความคิดอ่านก็ยังสู้จิรภัจไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงนิ่งฟังชายชราอธิบายต่อไป
“ดาบของศมินไปอยู่ในทะเลสาบ ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเขาจะต้องอยู่ในทะเลสาบ หากมีคนพบเขาเสียชีวิตที่ใดที่หนึ่ง แล้วนำดาบของเขาไปโยนลงในทะเลสาบ ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
คีตาก้มมองดาบเก่า ยื่นมือลูบด้ามดาบเบาๆ ...หรือศมินจะตายอย่างโดดเดี่ยวในที่ห่างไกล ปล่อยร่างกายเป็นอาหารของแร้งกา ไม่ได้ทำพิธีอย่างเหมาะสม
ชาวอุตตราศูรเชื่อกันว่า ถ้าผู้ตายไม่ได้ถูกบรรจุร่วมกับพี่น้องหรือพวกพ้องแล้ว ดวงวิญญาณในปรโลกก็จะไม่สงบ เพราะไม่อาจหาหนทางกลับคืนสู่ครอบครัวของตนได้
...หากเป็นเช่นนั้นจริง เวลานี้ดวงวิญญาณของศมินหาใช่กำลังทุกข์ทรมานจากความอ้างว้างเปล่าดายหรือไม่ กำลังพยายามหาหนทางกลับคืนสู่เสตาลัญฉน์หรือเปล่า
อัยยาเดินอ้อมโต๊ะทำงานมา วางมือบนไหล่ของชายหนุ่ม
“อย่างน้อยเรามีดาบแล้ว ก็ควรนำมาเก็บรักษาไว้อย่างมีเกียรติ์เช่นเดียวกับดาบของศิมันต์ไม่ใช่หรือ”
—
คีตาก้าวไปตามทางเดิน เพื่อกลับไปห้องของตน ทว่าในใจยังอดประหวัดหวนนึกถึงดาบของศมินไม่ได้
หากตัวเขาเองหายสาบสูญไประหว่างสงคราม หากเขาต้องตายเพียงเดียวดายเฉกเช่นศมิน เขาจะรู้สึกเช่นไรหนอ
...และเมื่อถึงเวลาที่ต้องตายจริงๆ ใครกันจะอยู่เคียงข้างเขา ใครจะเป็นผู้นำพาเขากลับคืนเสตาลัญฉน์
“คีตา...” เสียงเด็กสาวเรียกขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มจึงหยุดเท้า หันไปทางต้นเสียง
มินนราก้าวช้าๆ เข้ามาใกล้...ใกล้จนมองเห็นหยาดน้ำน้อยๆ เกาะอยู่ที่หางตา
จริงสิ เมื่อตอนที่เขากลับมา อัยยาก็บอกกับเขา บอกว่าตั้งแต่เกิดเรื่องที่ในเมือง มินนราก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่พูดจากับใคร หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง
“มีอะไรหรือ” คีตาแสร้งทำเป็นไม่เห็นคราบน้ำตานั้น ถามออกไปด้วยเสียงปกติ
“ข้า...” นางชั่งใจนิดหนึ่ง “ข้ารู้ว่าท่านเพิ่งกลับมา ท่านคงเหนื่อยและอยากพักผ่อน แต่ข้ามีเรื่องอยากขอร้อง...”
ดวงตาสีทองมีแววอ้อนวอน คีตารู้สึกหัวใจตัวเองกระตุก
“ว่า...ว่ามาสิ”
“คราวหน้า ถ้าท่านไปปราบพวกเมยาดิคอีก ท่าน...ท่านอย่าฆ่าพวกเขาได้ไหม”
ชายหนุ่มย่นคิ้ว “เจ้าพูดอะไร!” ความเคลือบแคลงสงสัยหวนกลับมาแทนที่ความรู้สึกเมื่อครู่ ...หรือนางจะเป็นพวกเมยาดิคจริง
“ข้า...ข้าก็แค่...” เด็กสาวก้มหน้า น้ำเสียงเริ่มเครือ “ข้าก็แค่ไม่อยากให้มีใครตายอีก” ว่าพลางน้ำตาเริ่มไหลริน “ท่านฆ่าเขา เขาฆ่าท่าน ฆ่ากันไปฆ่ากันมา มีแต่คนตาย!”
น้ำเสียงของนางในตอนท้ายปวดร้าวยิ่งนัก คีตายื่นมือออก อยากดึงนางเข้ามากอด อยากปลอบประโลมนาง หากเมื่อเห็นมือหยาบหนาของตัวเอง เขาก็ต้องชักมันกลับ
มือทั้งคู่ของเขาเพิ่งจับมีดดาบฆ่าผู้อื่น กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ไม่จาง จะปลอบโยนนางได้อย่างไร
“มินนรา...” เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน “พวกเมยาดิคน่ะ เป็นปิศาจเลวร้าย เจ้าเองก็รู้ดีไม่ใช่หรือ” พูดออกไปแล้ว เขากลับรู้สึกเสียใจขึ้นมา ...นางเองก็เพิ่งสูญเสียบ้าน สูญเสียครอบครัว คำพูดของเขาอาจจะไปสะกิดบาดแผลในใจนาง
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ บางทีอาจเป็นเพราะนางเพิ่งเห็นคนตายมากมาย จึงพูดออกไปเช่นนั้น จึงมีความคิดเช่นนั้น
“แต่...พวกเขาก็เป็นคน”
คีตายิ้มออกมา ...เด็กสาวที่มีจิตใจอ่อนโยนเช่นนี้น่ะหรือ จะเป็นพวกเมยาดิคไปได้
“พวกมันในยามปกติเป็นคนก็จริงอยู่ แต่เมื่อใดที่พวกมันเปลี่ยนร่าง ก็จะกลายเป็นปิศาจกระหายเลือด”
นี่เป็นสิ่งที่ราดิศได้ยืนยันต่อหน้าต่อตาพวกเขาแล้ว ครั้งแรกที่ราดิศเปลี่ยนร่าง เขาก็ฆ่าคนในคฤหาสน์ไปถึงเจ็ดคน
มินนราทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรอีก หากกลับยั้งไว้
“ดึกแล้ว เจ้าไปนอนเสียเถอะ” คีตาบอกราวกับสั่งเด็กหญิงน้อยๆ “แล้วก็...อย่าคิดมากนักเลย”
เด็กสาวพยักหน้า ทว่านางกลับได้ยินเสียงตนเองตะโกนค้านอยู่ในใจ
—
ท้องฟ้ายามดึกเหนือกรุงอุษณบุรีประพรายด้วยหมู่ดาว หากดวงที่สว่างที่สุดยังคงเป็นดาวราชสีห์
พิฆานนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง แหงนหน้ามองหมู่ดาวน้อยใหญ่ พลางทอดถอนใจ
เมื่อตอนกลับมา อัยยาเห็นสภาพเขาแล้วก็ตกใจใหญ่ สั่งให้เขาอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้ออกไปไหนอีก
คำสั่งนั้น เท่ากับห้ามไม่ให้เขาลงไปห้องใช้ดิน ไปพบพี่ชาย...
เขาเข้าใจดี ขาของเขาบาดเจ็บเช่นนี้ ไม่ควรฝืนเดินขึ้นๆ ลงๆ บันไดหลายขั้น
แต่เขาคิดถึงเวคิน...คิดถึงพี่ชาย
แต่เล็กมา แม่บอกว่าเขามีพี่ชาย แต่แม่ไม่เคยบอกว่าพี่ชายของเขาเป็นใคร ไม่เคยพาเขาไปพบพี่ชายเลย จนกระทั่งแม่ตาย
ครั้นเมื่อเขาอายุครบสิบปีเต็ม อัยยากับคีตามาหาเขา ถามเขาว่าเก็บความลับได้หรือไม่ ความลับชนิดคอขาดบาดตาย จะอย่างไรก็ห้ามบอกใครเด็ดขาด
ตอนนั้นเขาไม่ทราบว่าท่านอากล่าวถึงอะไร คิดว่าคงเป็นการเล่นสนุก เห็นเป็นสิ่งตื่นเต้นท้าทาย จึงรีบตอบรับไปอย่างแข็งขัน จากนั้นทั้งอัยยาและคีตาก็นำผ้ามาปิดตาเขา พาเขาลงไปยังห้องใต้ดินโดยไม่ให้รู้ทาง นั่นจึงเป็นครั้งแรก ที่เขาได้พบกับเวคิน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็นับวันรอให้ท่านอาพาลงไปยังห้องใต้ดิน เวคินมักเล่าตำนานต่างๆ ให้เขาฟัง บอกว่าอ่านมาจากตำรา พิฆานไม่ชอบตำรับตำรา เขาชอบกระโดดโลดเต้น ชอบการผจญภัย ดังนั้นจึงมักมีเรื่องราวต่างๆ จากภายนอกไปเล่าให้พี่ชายฟังเป็นการแลกเปลี่ยน เวคินก็มักทำตาโตตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ฟัง
เขาเคยถามอัยยาหลายต่อหลายครั้งว่าเหตุใดจึงไม่ให้เวคินขึ้นมาบ้าง อัยยาก็ไม่ตอบ หากเมื่อโตขึ้น เขาก็เข้าใจ เขารู้ว่าพี่ชายเป็นลูกครึ่งเมยาดิค จึงต้องถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีโอกาสได้ออกมาเห็นท้องฟ้าที่สวยงาม
...ทว่าเขาจะไม่ให้เป็นเช่นนัน เวคินจะต้องได้เห็นดวงอาทิตย์ จะต้องได้เห็นดาวราชสีห์ เขาจะต้องหาทางให้เวคินได้ขึ้นมาสักวันหนึ่ง
จะด้วยความผูกพันธ์ทางสายเลือดหรืออะไรก็ตาม เขารักพี่ชาย ไม่ต้องการให้พี่ชายต้องตกตายอยู่ในห้องใต้ดินตลอดกาล...
สายลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างวูบหนึ่ง ราวกับจะร่ำร้องประท้วงความคิดของพิฆาน
ทันใดนั้น เขาก็เห็นเงาวูบหายไปในพุ่มไม้ด้านนอก พุ่มไม้นั้นสั่นไหวเล็กน้อยแล้วสงบนิ่งอยู่
แวบแรกนั้น พิฆานไม่ทราบว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร หากเมื่อพุ่มไม้สั่นไหวอีกครั้ง เขาก็เห็นเงาร่างปราดเปรียวกระโจนพรวดออกมาจากพุ่มไม้ กระโดดแผล็วไปทางกำแพงด้านทิศเหนือของคฤหาสน์
ห้องของพิฆานก็อยู่ทางปีกเหนือ อยู่ชั้นล่างสุด ถัดจากห้องบวงสรวงไปไม่กี่ห้อง เขาจึงเห็นเงานั้นชัดตา
...แมวป่าสีทอง!
###
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น