ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ ๑๑
"เอาล่ะ เสร็จแล้ว" รมัณยาเอามือพัดที่ภาพ ก่อนจะเก็บหลอดสีน้ำลงในกล่องอุปกรณ์ แล้วจึงดึงกระดาษลงมาปิดภาพซึ่งจะเพิ่งลงสีไปเมื่อครู่
"ไหนๆ ขอดูหน่อย" วสวัตติ์บอก พร้อมเดินเข้ามาที่กระดานรองเขียน
"อ๊ะๆ ยังดูไม่ได้ ต้องเก็บรายละเอียดก่อน"
"งั้นก็แปลว่ายังไม่เสร็จ" วสวัตติ์กอดอก หรี่ตามองจิตรกรสาว ในใจรู้สึกโล่งอกนิดๆ ที่ยังจะได้มาเป็นแบบให้เธอวาดภาพอีก
"อืม ก็ยังไม่สมบูรณ์แหละ แต่...คงไม่ต้องรบกวนนายแล้วล่ะ"
หัวใจของวสวัตติ์วูบไหวราวร่วงหล่นจากหน้าผาสูง ...จะไม่ได้มาเจอเธอแบบนี้อีกแล้วหรือ
"อ๊ะ ได้เวลาที่นายต้องไปชมรมแล้วนี่ นายไปก่อนก็ได้นะ" หญิงสาวบอก หลังจากเหลือบมองนาฬิกาที่ผนังห้อง
ทว่าวสวัตติ์ไม่ได้มีทีท่าจะก้าวเท้าออกจากห้องแม้แต่น้อย หากแต่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาจับจ้องไปที่หญิงสาวผมยาวสวย ที่กำลังเดินไปล้างพู่กันในอ่างล้างมือ
"วันนี้...ฉัน...ไม่มีซ้อม ไม่ต้องไปชมรม" ชายหนุ่มพูดออกมาในที่สุด
"อ้าว เหรอ งั้นเย็นนี้ก็ว่างสิ"
"ใช่ ว่าง" วสวัตติ์ตอบ "แล้วเธอว่างรึเปล่า อยู่เป็นเพื่อนกันสักพักได้มั้ย"
"ว้า ขอโทษนะ คงไม่ได้ล่ะ ต้องไปเล่นดนตรีที่บันนี่ผับต่อ" หญิงสาวชี้แจง พร้อมกับผละจากอ่างล้างมือ กลับมาเก็บของต่อ
"อย่างนั้นเหรอ" ดวงตาของวสวัตติ์หม่นลง เสียงก็คล้ายจะกลืนหายไปในลำคอ
"นี่ มีอะไรรึเปล่า" รมัณยาถามด้วยสังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าคนตัวโต หากแต่วสวัตติ์กลับส่ายหน้า หญิงสาวจึงยิ้มให้นิดหนึ่ง พลางโยนกระเป๋าขึ้นพาดบ่า อีกมือหนึ่งหอบกระดานรองเขียนกับขาตั้ง ทำท่าจะก้าวออกจากห้อง ทว่ามือใหญ่กลับยื่นออกมาคว้าต้นแขนเธอไว้
"เรา...ยังจะได้เจอกันอยู่ใช่มั้ย"
รมัณยานิ่งงันไปนิดหนึ่งด้วยความฉงน ก่อนจะตอบกลับมา
"ได้เจอสิ ทำไมจะไม่ได้เจอล่ะ เราก็ยังเรียนอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ"
วสวัตติ์ค่อยๆ คลายมือออก ...เขาเป็นอะไรไปนะ ทำอะไรบ้าๆ ถามอะไรโง่ๆ
หากแต่ความโง่และความบ้าของเขากลับอยู่ในสายตาของคนสองคนโดยตลอด...
จิรัชย์พามายาวดีมาดูให้เห็นกับตา ว่าสิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาได้บอกกล่าวกับเธอไปเมื่อคราวก่อน ไม่ใช่เขาคิดขึ้นเอง และไม่ใช่เรื่องโกหก อีกอย่าง เขาต้องการให้เธอยืนยันกับรามภณด้วย ว่านี่เป็นเรื่องจริง
...แม้รามภณจะเชื่อมั่นในตัวเพื่อนของเขาเท่าใดก็ตาม แต่หากถูกพูดจากรอกหูอยู่เรื่อยๆ จะอย่างไรก็ต้องมีระแวงกันบ้าง
และเมื่อความระแวงบังเกิดขึ้น การจะทำลายสายใยที่เชื่อมโยงพวกเขาอยู่ก็ไม่ยากเลย
% ###
สี่ทุ่ม เป็นเวลาที่หญิงสาวควรจะกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว หากแต่หลังจากเล่นดนตรีที่ผับบันนี่เสร็จ รมัณยาก็กลับมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง
เวลาดึกเงียบสงัด มีเพียงเสียงคลื่นที่ถูกลมพัดมากระทบฝั่งให้ฟังเพลิน หญิงสาวหอบกระเป๋าใส่อุปกรณ์วาดภาพ รวมทั้งกระดานรองเขียนและขาตั้งขึ้นไปยังดาดฟ้าของอาคารกิจกรรม
เธอจัดวางอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว มองไปในความมืดของทะเล ก่อนจะหันกลับมาหยิบภาพที่วาดไว้ แต่ยังไม่สมบูรณ์ดี
ภาพชายหนุ่มในท่วงท่าถือคันธนู ผมยาวที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย รวมทั้งแบบเสื้อผ้า ทำให้ดูคล้ายเป็นเทพเจ้ากรีก มากกว่าจะเป็นนักกีฬายิงธนู เธอมองภาพนั้นแล้วอมยิ้มเล็กน้อย ...คนเป็นแบบจะว่าอย่างไรนะ ถ้ารู้ว่าเธอวาดเขาออกมาในสภาพนี้
ในจำนวนภาพที่เธอหอบติดมือมา มีอยู่สองสามภาพเป็นภาพที่เธอร่างไว้เมื่อครั้งรามภณพาเธอไปวาดรูปที่อ่าว ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของชายหาด
"รูปนี้ทิ้งไว้นานแล้ว น่าจะเอามาลงสีให้เสร็จๆ ด้วยเหมือนกัน จะได้ให้พวกเขาไปพร้อมๆ กันเลย" หญิงสาวพีมพำออกมา เมื่อหยิบภาพของชายหนุ่ม ในท่าทางนั่งอ่านหนังสืออยู่บนพื้นหาด ซึ่งลงสีไปได้เพียงครึ่งหนึ่งออกมา
ภาพทั้งสอง แม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่ก็ให้ความรู้สึกแตกต่าง... ภาพของรามภณในอากัปกิริยาสบายๆ นั้น ช่างดูนุ่มนวลละมุนละไม เฉกเช่นเดียวกับอุปนิสัยของต้นแบบ ส่วนภาพของวสวัตติ์ กลับดูมีพลัง ให้ความรู้สึกเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว
รมัณยามองภาพทั้งสองเทียบกัน ใช้ความคิดอยู่เป็นครู่ ก่อนจะตัดสินใจเก็บภาพรามภณไว้ก่อน แล้วจัดแจงหยิบพู่กัน จานสี และอุปกรณ์อื่นๆ ออกจากกระเป๋า เตรียมลงสีภาพของวสวัตติ์
อันที่จริงแล้ว การลงสีน้ำท่ามกลางแสงสปอตไลท์ ในสถานที่ซึ่งมีลมแรงเช่นนี้ ไม่เหมาะเท่าใดนักเนื่องจากจะทำให้สีแห้งเร็วเกินไป แต่สำหรับรมัณยา ที่ใดก็ได้ที่เธออยู่แล้วสบายใจ เธอจะทำงานได้ดีกว่า
ยิ่งเมื่อได้อยู่กับคนที่เธอจากมาไกลถึงครึ่งโลก ถ้าคนคนนั้นมาอยู่ข้างๆ ในเวลานี้ คงดีไม่น้อย...
% ###
"ท่าจะบ้าแล้ว" วสวัตติ์สบถเสียงเบา หลังจากที่พบว่าตนเองมาอยู่ในห้องจิตรกรรมร่วมชั่วโมง เพื่อรอคอยรมัณยา
...เธอจะมาได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้นัดกันไว้ เธอวาดภาพเสร็จแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะต้องมาพบเขาอีก
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่หัวใจกลับดูเหมือนไม่ยอมรับ เขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะก้าวออกจากห้องแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเดินไปยังริมหน้าต่าง บริเวณที่รมัณยาเคยบอกให้เขายืนนิ่งๆ เพื่อเป็นแบบให้เธอ ...อยากย้อนเวลากลับไปช่วงเวลานั้นเหลือเกิน
"อ้าว วัตติ์ ไม่ไปชมรมเหรอ" เสียงร้องทักที่คุ้นหูดังมาจากทางหน้าประตู วสวัตติ์หันกลับไปตามเสียงด้วยหัวใจพองโต
"รมัณยา..." ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆ ก่อนจะตรงดิ่ง แทบวิ่งมาหยุดอยู่หน้าหญิงสาว อยากยื่นมือออกมาเกาะกุมมือของเธอไว้ ทว่าเขายังยั้งตัวเองไว้ได้
"มา... เอ่อ... มาทำอะไรเหรอ" วสวัตติ์ถาม เสียงตะกุกตะกัก
"ไม่ได้มาทำอะไรหรอก แค่เดินผ่านน่ะ" หญิงสาวตอบ พลางช้อนตามองชายหนุ่มอย่างนึกขันในอากัปกิริยาของเขา
"เออนี่" เธอว่า พลางวางข้าวของที่หอบมาไว้บนพื้น ก่อนจะดึงเอาแผ่นภาพที่หนีบติดกระดานรองเขียนออกมา "พอดีเลย กำลังคิดว่าจะเอาไปให้ที่ชมรมอยู่พอดี"
วสวัตติ์รับภาพมา พิจารณาด้วยสีหน้าแปลกใจ ...ภาพครึ่งตัวของเขา กลับกลายเป็นเทพเจ้ากรีก กำลังง้างธนู บนพื้นหลังสีแดงส้มราวกับอยู่ในกองเพลิง
รมัณยาหัวเราะคิก อย่างอดไม่ได้ เมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา ชายหนุ่มจึงหันกลับมามองเธอด้วยความฉงน
"นี่ คืออะไร" เขาถามออกมาในที่สุด
"ก็ภาพนายไง" หญิงสาวว่า เสียงสั่นด้วยความขบขัน "แหม ท่าทางนายดูเหมาะกับคอสทูมแบบนี้ออก เท่ดี"
คำสุดท้ายทำให้คนเป็นแบบยิ้มเขินออกมาได้
"แล้วนี่ ให้ฉันดูเฉยๆ หรือจะให้เลยเนี่ย"
"ให้นายนั่นแหละ เก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วกัน ว่าครั้งหนึ่ง นายเคยได้เป็นเทพเจ้ากรีกด้วย" หญิงสาวว่าแล้วหัวเราะออกมา
ชายหนุ่มไม่ได้ว่ากระไร หากแต่พิจารณาภาพที่เพิ่งได้มาด้วยความชื่นชม ...คิดถูกแล้วที่เขามารอเธอที่นี่ คิดถูกแล้วที่รออยู่จนได้เจอเธอ
"เพิ่งเสร็จเมื่อวานเลยเหรอ" วสวัตติ์ถามอีก เมื่อเหลือบเป็นเห็นวันที่ซึ่งลงกำกับไว้ใต้ลายเซ็น
"ต้องบอกว่าเมื่อคืนต่างหาก" ศิลปินสาวตอบ
"ขอบใจนะ"
รมัณยายิ้มให้เขาอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ราวกับจะกลืนหัวใจของเขาไปทั้งดวง
% ###
'ก่อนชมรม รมัณยากับวสวัตติ์นัดเจอกันที่ห้องจิตรกรรม ถ้าไม่เชื่อก็ถามเพื่อนเธอดู'
ข้อความนี้ ส่งมาถึงรามภณตั้งแต่เมื่อวาน อันที่จริงเขาอ่านแล้วก็คิดจะลบมันทิ้ง ทว่าข้อความทำนองเดียวกันที่ถูกส่งมาถึงเขาหลายต่อหลายครั้ง ก็ทำให้เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ในใจลึกๆ
แม้จะแข็งแกร่งสักเพียงไหน หากแต่เมื่อน้ำหลากมา ภูผาก็ทลายได้เช่นกัน อย่าว่าแต่เนื้อหัวใจ
สองคนนั้น ไปทำอะไรที่ห้องจิตรกรรมนะ... รามภณนึกพลาง เท้าก็พาออกจากห้องชมรมวิทยุกระจายเสียง มาหยุดยืนอยู่ริมระเบียง จากนั้นจึงยื่นศีรษะ ชะโงกมองขึ้นไปด้านบน หากแต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เห็นอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าเหนือศีรษะยังมีกันสาดบังสายตาจนมิด
ห้องจิตรกรรม...อยู่ชั้นบนนี่เอง ทว่าเขาไม่ได้ย่างกรายขึ้นไปหลายเดือนแล้ว เมื่อไม่มีธุระแล้วจะปีนขึ้นไปทำไม
...หรือว่าเขาควรจะขึ้นไป ไปดูให้เห็นกับตาว่าสองคนนั้นอยู่ที่นั่นจริงหรือเปล่า
เขาคิดกลับไปกลับมา วนเวียนอยู่หลายรอบจนรู้สึกว่า ตนเองคงเริ่มเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ทว่ามือขาวกับนิ้วเรียวที่โบกไหวๆ อยู่ตรงหน้า ก็ฉุดดึงเขาหลุดออกจากกับดักเขาวงกตในจิตใจ
"คิดอะไรอยู่" รอยยิ้มหวานประกอบนัยน์ตาคม ที่เวลานี้หรี่มองมายังเขาราวกับจะจับผิด ทำให้ชายหนุ่มแทบลืมหายใจไปชั่วขณะ
คิดถึงคนตรงหน้า... หากเป็นไปได้ เขาคงอยากจะตอบแบบนี้
"ปละ...เปล่า" ในที่สุดก็เค้นคำตอบออกมาได้
"จริงเหรอ" คำถามของหญิงสาวทำให้เขาหน้าเจื่อนไปทันที เขายิ้มแห้งๆ เป็นเหตุให้หญิงสาวยิ่งยื่นหน้าเข้ามา ดวงตาคมกริบมีประกายระยิบระยับจ้องเขานิ่งจนชายหนุ่มต้องเบือนหน้าหลบ
"นายนี่มันน่ารักอย่างนี้นี่เอง สาวๆ ถึงติดกันเกรียว" เธอว่าพร้อมส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างไว้เชิง
รามภณได้ยินประโยคนี้แล้วถึงกับตัวเย็นด้วยความตื่นเต้น... นี่เธอกำลังชมเขารึเปล่านะ บางทีเธอเองอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับเขา
"เราชมนายอยู่นะเนี่ย"
ขายหนุ่มนิ่งงันไปอีกครั้ง... เธอบอกออกมาราวกับอ่านใจเขาได้
เวลานั้นเอง หญิงสาวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา "ก็ดูสิ หน้านายน่ะ มันบอกความรู้สึกของนายหมดเลย เราถึงว่านายน่ารักยังไงล่ะ"
รามภณยิ้มเขิน ยกนิ้วเกาข้างแก้มเบาๆ แก้เก้อ... คงต้องไปฝึกวิชาหน้าตายกับภวาภพเสียแล้วสิ
"เอาล่ะ ไม่แกล้งแล้ว" เธอบอก พร้อมกับหันไปดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกระดานรองเขียน "ฉันให้"
สีหน้ารามภณแสดงความงุนงงสงสัย หากก็รับกระดาษแผ่นนั้นมาแต่โดยดี ชายหนุ่มมองภาพในกระดาษอยู่เป็นครู่ เมื่อตระหนักได้แล้วว่าคนในภาพเป็นใคร ก้อนเนื้อในอกก็ถึงกับเต้นระรัว
รามภณหันมองหญิงสาวที่ด้านข้าง พลางชี้มือไปยังภาพชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมหาด
"ใช่ รูปนายนั่นแหละ แอบวาดไว้" เธอบอก พร้อมกับขยิบตาข้างหนึ่ง
เธอแอบวาดรูปเขา... เธอแอบวาดรูปเขา... สุ้มเสียงนี้ก้องอยู่ในหัว วนเวียนไปมาอยู่หลายรอบ... จะเป็นไปได้มั้ยนะ ว่าเธอจะ...
"ฉันแวะเอารูปมาให้เท่านั้นแหละ" รมัณยาบอก "ไว้เจอกันนะ" เธอว่าพร้อมกับโบกมือ แล้วจึงเดินผ่านข้างกายเขาไป กลิ่มหอมเย็นๆ ล่องลอยมาแตะจมูก ราวกับจะทิ้งรอยสลักไว้ในหัวใจของเขา
หากเป็นไปได้ อยากรวบร่างบางเข้ามากอด แล้วซบใบหน้าลงบนเรือนผมสวย สูดกลิ่นรัญจวนนั้นให้ชุ่มปอด...
เสียงโทรศัพท์ปลุกชายหนุ่มขึ้นจากภวังค์อันหอมหวาน รามภณหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดดูข้อความที่ส่งมาทำลายความฝันอันแสนรื่นรมย์ของเขา
...จากมายาวดีอีกแล้ว
ชื่อคนส่งทำให้เขาไม่อยากเปิดข้อความออกอ่าน ด้วยไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวปลุกปั่นระหว่างเขากับเพื่อน แต่แล้วความสงสัยใคร่รู้ก็เป็นฝ่ายชนะ
'รมัณยาให้รูปวาดกับวสวัตติ์ ถึงเธอจะไม่เชื่อก็ควรพิสูจน์'
พิสูจน์... เพื่ออะไรกัน
รามภณอ่านข้อความชวนหงุดหงิดนั้นแล้วก็กดลบมันทิ้ง พร้อมกับข้อความอื่นๆ ที่ส่งมาก่อนหน้านี้
...รมัณยาวาดรูปให้เขาต่างหาก ส่วนวสวัตติ์...เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
% ###
หน้ามหาวิทยาลัยค่อนข้างคึกคักด้วยร้านรวงต่างๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นร้านขายอาหาร แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
ในจำนวนร้านต่างๆ เหล่านั้นยังมีร้านรับทำกรอบรูปอยู่ร้านหนึ่ง
รามภณหอบม้วนภาพที่เพิ่งได้รับมาจากรมัณยา เดินตรงเข้าร้านรับทำกรอบนั้น แล้วคลี่กางภาพวางลงบนเคาน์เตอร์หน้าร้าน
"ผมเอาภาพนี้มาเข้ากรอบครับ" เขาบอกอย่างอารมณ์ดี
เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนร่างเล็ก ซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ เขาหยิบตลับเมตรจากลิ้นชักใต้เคาน์เตอร์ ออกมาวัดความกว้างยาวของภาพ พลางชวนชายหนุ่มพูดคุยอย่างเป็นมิตร
"เรียนอยู่ที่นี่เหรอ"
"ครับ" รามภณรับ
"เรียนวาดรูปเหรอ"
"เปล่าครับ รูปนี้มีคนให้มา"
"เอ้อ เมื่อกี้ก็มีคนเอารูปวาดมาให้เข้ากรอบ" เจ้าของร้านบอก พร้อมกับชี้ไปที่ลายเซนต์กำกับตรงมุมภาพ "คนวาดคนเดียวกันด้วยเนี่ย"
รามภณนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
"คนวาด...คนเดียวกัน...เหรอครับ" รามภณถามย้ำ คล้ายกับมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอทำให้พูดไม่คล่อง
เจ้าของร้านพยักหน้าพร้อมกับเก็บตลับเมตร "เห็นว่ามีคนให้มาเหมือนกัน ไม่รู้จะพ่อหนุ่มจะรู้จักรึเปล่า เขาตัวสูงๆ ผมยาวๆ น่ะ"
"คะ...ครับ" รามภณรู้สึกอึดอัด ราวกับหลอดลมพลันตีบตันอย่างกระทันหัน ...วสวัตติ์ หรือจะเป็นวสวัตติ์ ถ้าอย่างนั้น ข้อความที่มายาวดีส่งมาเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ
เจ้าของร้านหยิบไม้ที่เข้าเป็นมุม ซึ่งเป็นตัวอย่างกรอบมาให้ดู รามภณเลือกอย่างสุ่มๆ เนื่องจากเขาในตอนนี้ ไม่มีแก่ใจจะสนใจกับภาพนั้นแล้ว
หลังจากเจรจาเรื่องราคาและค่าจ้างเรียบร้อยแล้ว รามภณเดินออกจากร้าน ความรู้สึกของเขาในเวลานี้ยากจะอธิบาย ด้วยเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปไปทั้งความฉงน สับสน และที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นความผิดหวัง... ผิดหวังที่เขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่เธอวาดภาพ ผิดหวังในตัวเพื่อน ผิดหวัง...ที่ทั้งคู่เป็นคนที่เขารัก
% ###
"เป็นอะไรวะไอ้วัตติ์ เดินยิ้มแก้มฉีกมาเชียว" ศาสตราตะโกนถามขึ้น เมื่อเห็นวสวัตติ์ เพื่อนคนสุดท้ายที่พวกเขากำลังรออยู่ เดินยิ้มอย่างอารมณ์ดีมาแต่ไกล
"คืออะไรวะ ยิ้มแก้มฉีก เคยได้ยินแต่แก้มปริ" ธาวินถาม
"ก็ยิ้มกว้างกว่าแก้มปริไง นี่ฉีกเลย" ศาสตราอธิบาย
วสวัตติ์เดินมาถึงตัวคนถาม ใบหน้ายังคงระรื่น
"ตกลงเป็นอะไรของเอ็งวะ" ศาสตราถามอีก
"ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร" คนหน้าระรื่นตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง จนแก้มแทบฉีกแล้วจริงๆ
รามภณที่มองเพื่อนอยู่นานแล้ว เห็นเป็นโอกาสจึงเอ่ยถามขึ้นลอยๆ "หรือมีใครให้อะไรถูกใจมารึเปล่า"
"เฮ้ย ไม่มี" คนถูกถามปฏิเสธ แต่ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้มอยู่จางๆ
"แน่ใจเหรอ" รามภณถามย้ำ
"แน่สิวะ ไอ้ภณ"
"หรือไม่ก็ไปเจอใครมา" รามภณแกล้งถามเป็นเชิงหยอก ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง หากเจตนาของเขาจริงจัง
"ไม่มี ข้าอยู่แต่ชมรมนั่นแหละ"
"ก่อนชมรมล่ะ"
"ยิ่งไม่มีใหญ่เลย แยกจากพวกเอ็งที่ห้องเรียนก็ตรงดิ่งไปชมรมเลย"
"จริงเหรอ" รามภณถามย้ำอีก ทว่าคราวนี้น้ำเสียงกลับเปลี่ยนนิ่งเรียบ
"จริง" วสวัตติ์เองก็ตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ยืนยันหนักแน่นเช่นกัน
ภวาภพซึ่งมองสถานการณ์ระหว่างพวกเขาอยู่ เริ่มเห็นว่าเมฆฝนระหว่างพวกเขาเริ่มก่อตัวขึ้นจางๆ จึงชิงตัดบทด้วยการลุกยืนขึ้น
"กลับกันเถอะ" เขาบอกสั้นๆ แล้วเดินนำเพื่อนๆ ไปทางลานจอดรถ
คนอื่นๆ ลุกเดินตามไป ราวกับคำจากปากภวาภพเป็นคำสั่งที่ฝืนไม่ได้ รามภณรั้งรออยู่ท้ายสุด สายตาของเขาจับจ้องไปที่แผ่นหลังกว้างของเพื่อนตัวโต
จริงหรือโกหกกันแน่... รามภณคิด
...หากเป็นความจริง แล้วคนที่เจ้าของร้านทำกรอบพูดถึงเป็นใครกัน
...แต่หากเพื่อนโกหก แล้วเขาจะทำไปเพื่ออะไร เพียงแค่เขานัดพบกับรมัณยา เพียงแค่เธอมอบภาพวาดให้ เรื่องเพียงนี้ ทำไมเพื่อนต้องโกหก หากไม่ใช่เพราะเพื่อนมีเหตุอื่น เหตุที่บอกให้เขารับรู้ไม่ได้
% ###
ภาพชายหนุ่มนั่งพิงโขดหินริมหาดขาวสะอาดตา ภายในกรอบไม้สีอ่อน ปิดกระจกอย่างดี ช่างเป็นภาพที่ดูนุ่มนวลชวนให้คนมองรู้สึกจิตใจสงบเย็น เฉกเช่นน้ำทะเลในภาพ
หากแต่จิตใจของรามภณในขณะนี้กลับตรงข้ามกัน... ทั้งฟุ้งซ่าน ทั้งร้อนรุ่ม
วสวัตติ์...รมัณยาให้ภาพวาดกับเขามาจริงหรือ
รามภณวางภาพวาดลงบนเตียงนอน เขาไปเพิ่งไปรับภาพนี้มาจากร้านทำกรอบ แล้วขับรถนำกลับมาที่บ้านก่อน จากนั้นจึงค่อยกลับไปรับเพื่อนๆ อีกรอบ หากแต่เวลานี้กลับมีเรื่องที่ชวนให้เขารั้งรออยู่
ชายหนุ่มยืนกอดอกมองภาพนั้นอยู่ที่ปลายเตียง ในหัวมีความคิดต่างๆ นานา สุมกันเข้าจนหัวคิ้วขมวดมุ่น
...หากวสวัตติ์เป็นคนที่เจ้าของร้านทำกรอบพูดถึงจริง เย็นนี้เขาต้องเห็นเพื่อนหอบกรอบภาพนั้นกลับมา หรือบางที วสวัตติ์อาจจะเอากลับมาเก็บไว้ที่บ้านก่อนอย่างที่เขาทำอยู่ก็เป็นได้
รามภณขยับเท้าก้าวออกจากห้องของตัวเอง เท้าทั้งสองค่อยๆ พาเขามาจนถึงหน้าห้องนอนของวสวัตติ์ ชายหนุ่มมองที่ลูกบิดประตูอยู่เป็นนาน จากนั้นจึงหันหลังกลับ
...เขาไม่ควรเข้าห้องเพื่อนโดยพลการ ถึงแม้จะเป็นเพื่อน ถึงแม้เจ้าของห้องจะไม่อยู่ แต่เขาก็ไม่ควรเข้าไป
...ทว่าถ้าไม่เข้าไปดู แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเพื่อนพูดจริงหรือไม่
ในที่สุด รามภณหันหลังกลับ ยื่นมือออกบิดลูกบิดประตู เขาเปิดประตูเข้าไปช้าๆ มองสำรวจรอบๆ ห้อง
ห้องของวสวัตติ์ค่อนข้างมืดและเล็กกว่าห้องของคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นห้องที่อยู่ตรงกลาง จึงมีหน้าต่างเพียงบานเดียว ผิดกับห้องของรามภณ หรือเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ตรงมุมบ้าน จึงมีหน้าต่างสองด้าน
เมื่อตอนที่เลือกห้องกันนั้น วสวัตติ์เป็นคนบอกเองว่าจะอยู่ห้องนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาขี้เกียจทำความสะอาดห้องกว้างๆ หากแต่พวกเขาย่อมรู้ วสวัตติ์ยอมเสียสละให้เพื่อนต่างหาก
รามภณก้าวเข้าไปในห้องซึ่งค่อนข้างเป็นระเบียบในสายตาหนุ่มโสด คงเพราะนิสัยของวสวัตติ์เองก็เป็นคนเจ้าระเบียบอยู่แล้ว หากแต่ที่ข้างตู้เสื้อผ้า กลับมีห่อกระดาษสีน้ำตาล รูปร่างสี่เหลี่ยมแบนๆ ขนาดไม่ใหญ่ไม่โตนักวางพิงผนังอยู่บนพื้น
ขนาดมันพอๆ กับภาพวาดที่รามภณเอาไปเข้ากรอบ...
รามภณก้าวเข้าไปใกล้ ทิ้งตัวนั่งบนส้นเท้า ค่อยๆ หยิบห่อกระดาษนั้นขึ้นมาพิจารณา ด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม
ไม่...มันต้องไม่ใช่ ต้องไม่ใช่ภาพที่รมัณยาวาด
แม้สมองจะพยายามปฏิเสธ หากใจกลับเชื่อไปกว่าสามในสี่แล้ว
ห่อกระดาษนี้ดูเหมือนเคยถูกเปิดแล้วห่อกลับไปใหม่อย่างลวกๆ เนื่องจากบริเวณที่ปิดเทปไว้ฉีกขาด ดังนั้นรามภณจึงค่อยๆ คลี่ห่อกระดาษออกได้ โดยไม่ต้องเกรงว่าจะทิ้งหลักฐานให้เป็นพิรุธ
สิ่งที่อยู่ในห่อเป็นกรอบรูปจริงๆ กรอบแบบเดียวกับภาพของรามภณ หากแต่ไม้ที่ทำกรอบเป็นสีเข้ม รับกับภาพซึ่งเน้นสีส้มและแดงราวเปลวเพลิง ตรงกลางเป็นภาพชายหนุ่มผมยาวในท่าง้างธนูดูเคร่งขรึม แววตามุ่งมั่นจริงจังของคนในภาพ ยิ่งส่งให้ภาพดูมีพลังราวกับเป็นภาพเทพเจ้าแห่งสงคราม
...วสวัตติ์! ไอ้คนโกหก!
% ###
"เป็นไงมั่งวะ" ศาสตราส่งเสียงถาม เมื่อเห็นวสวัตติ์กดตัดสัญญาณโทรศัพท์แล้ว
"มันไม่รับว่ะ" คนร่างใหญ่ตอบ
"อะไรของมันเนี่ย แล้วนี่มันหายหัวไปไหนของมัน" ศาสตราบ่นอุบ
"เอาน่า ถ้าไอ้ภณมันไม่มา เราก็นั่งแท็กซี่กลับกันเองก็ได้" ธาวินบอก หลังจากที่พวกเขารออยู่ที่จุดนัดในสวนริมหาดเป็นชั่วโมงแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรามภณ และถึงแม้วสวัตติ์จะโทรไปหลายครั้งแล้ว สารถีคนดีก็ไม่รับสาย
"หรือว่ามันเป็นอะไรรึเปล่า" วสวัตติ์ถามโพล่งออกมาทันทีที่ความคิดผุดขึ้นในสมอง
ทั้งวสวัตติ์ ศาสตรา และธาวินต่างมองหน้ากัน... จะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนหรือเปล่านะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จะทำอย่างไรกัน จะหาตัวเพื่อนได้จากที่ไหน
"ไอ้วิน เอ็งลองโทรสิ" เสียงภวาภพดังแทรกความคิดฟุ้งซ่านอลหม่านของเพื่อนๆ
ทุกคนหันมองภวาภพ หากแต่เพื่อนกลับมองธาวินนิ่ง จึงรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น...ภวาภพไม่เคยพูดเล่น ดังนั้นธาวินจึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดหาชื่อรามภณแล้วต่อสัญญาณ
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่สองครั้ง จากนั้นจึงได้ยินเสียงจากปลายสาย
"เฮ้ย ไอ้ภณ เอ็งอยู่ไหนวะ พวกข้ารอเอ็งอยู่ตั้งนาน ทำไมไม่มาซะที แล้วนี่เป็นอะไรรึเปล่า" ธาวินกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ยาวเป็นชุด ก่อนจะเว้นให้ปลายสายตอบกลับมาเพียงสั้นๆ แล้วจึงพูดตอบไปอีกสองสามคำ จากนั้นจึงค่อยตัดสัญญาณ
"ไอ้ภณมันบอกว่าไม่ค่อยสบายว่ะ ตอนนี้อยู่บ้าน" ธาวินรายงานเพื่อนๆ
ภวาภพได้ยินดังนั้น จึงออกเดินนำเพื่อนๆ ไปยังหน้ามหาวิทยาลัย เพื่อโบกรถแท็กซี่กลับ
หากแต่ในใจวสวัตติ์ยังคงมีคำถามผุดขึ้นมา
...แล้วทีเขาโทรไป ทำไมเพื่อนจึงไม่รับ
% ###
รามภณนั่งอยู่ที่โซฟาภายในห้องนั่งเล่น โดยด้านหลังเยื้องไปทางขวามือเป็นประตูทางเข้า ข้างๆ ขาซ้ายของเขาก็มีกรอบรูปบานหนึ่ง วางพิงหน้ากับโซฟาอยู่
ชายหนุ่มนั่งก้มหน้า ศอกทั้งสองวางอยู่บนเข่า ส่วนสมองของเขาจมอยู่ในความคิดอันวกวน
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังตัดสัญญาณโทรศัพท์จากธาวิน รามภณก็ได้ยินเสียงรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน พร้อมกับเสียงฝีเท้าของเพื่อนๆ ก้าวเข้ามา ไม่ช้า ประตูทางเข้าก็เปิดผางออก พร้อมกับเสียงศาสตราดังมาแต่หน้าประตู
"ไอ้ภณ ไม่สบายเป็นอะไรวะ"
เสียงศาสตราดังมาก่อน ทว่ามือของวสวัตติ์เอื้อมมาถึงหน้าผากเขาก่อน
"ตัวไม่ร้อนนี่หว่า" วสวัตติ์บอก หากแล้วเขาก็ต้องชะงักไป เมื่อเห็นสิ่งที่เพื่อนเอื้อมมือไปหยิบมันจากข้างตัว พร้อมกับยืดกายยืนขึ้น หันมาเผชิญหน้ากับเขา
"เอ็งจะอธิบายว่ายังไง" รามภณถามเสียงทุ้มต่ำ แม้ในเวลาปกติ เสียงของเขาจะฟังดูนุ่มนวล อ่อนโยน หากแต่ไม่ว่าใครเมื่อได้ยินเสียงของเขาในเวลานี้ ก็ต้องรู้สึกขนลุก
เพื่อนๆ ของเขาได้ยินเสียงนี้ ทั้งหมดหันมองรามภณ และสิ่งที่อยู่ในมือเขาเป็นตาเดียว ธาวินขยับเข้าใกล้ภวาภพ พลางป้องปากกระซิบกรอกหูเพื่อน
"ดูท่า จิรัชย์จะพูดจริงว่ะ"
ภวาภพยังคงนิ่งเงียบ ไม่แสดงท่าทีใดๆ เขากำลังรอดูสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ พลางคิดหาหนทางไกล่เกลี่ย แต่จะมีทางใดเล่า ในเมื่อหลักฐานคาตาอยู่เช่นนี้
ท่ามกลางความเงียบงันชวนอึดอัด ไม่มีใครปริปาก ไม่มีใครขยับไปไหนแม้สักคน ศาสตรากลับเป็นคนแรกที่ไม่สามารถทนต่อความอึดอัดเช่นนี้ได้ จนต้องโพล่งออกมา
"กับแค่รูปแค่นี้เอง ทำเป็นเครียดอะไรวะ"
รามภณชำเลืองมองคนพูดนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปจ้องจำเลยของเขานิ่งอีกครา
วสวัตติ์ไม่ได้จ้องตอบ เขาเพียงก้มหน้า แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ใช่...รมัณยาวาดรูปนี้ให้ข้า เรานัดเจอกันหลังเลิกเรียน ก่อนที่ข้าจะไปชมรม" เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน "แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเอ็งนี่หว่า"
"มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของข้าหรอก ถ้าเอ็งไม่โกหก!" รามภณตอบด้วยเสียงอันดัง ดวงตายังคงจ้องเพื่อนนิ่ง จนวสวัตติ์ต้องเบือนหน้าหลบอีกครั้ง
บรรยากาศชวนอึดอัดวนกลับมาปกคลุมพวกเขาอีกครั้ง ราวกลับระลอกคลื่นม้วนตัวกลับมาสาดกระทบชายหาด รังแต่จะกวาดพาทุกสิ่งลงไปในทะเล
"เอ็ง..." รามภณเอ่ยขึ้นอีก ด้วยเสียงแผ่วเบา "ชอบรมัณยาใช่มั้ย"
ในที่สุดรามภณก็เค้นคำถามนี้ออกมา จะมีใครรู้บ้างไหมว่า คำถามนี้ สำหรับเขามันยากเย็นเพียงใดที่จะเอ่ย
วสวัตติ์ยังคงก้มหน้านิ่งอยู่ แม้คำถามจะเอ่ยยากเพียงใด หากแต่คำตอบกลับพูดออกมายากยิ่งกว่า
รามภณเห็นวสวัตติ์นิ่งเงียบเช่นนั้น ก็ไม่สามารถข่มกลั้นอารมณ์ไว้ได้ ในที่สุดก็ยื่นมืออก คว้าคอเสื้อเพื่อน กระชากเข้ามาหาตัว!
"เอ็งชอบรมัณยาใช่มั้ย ใช่มั้ย!" เขาตะคอกถามย้ำอีก หากแต่ไม่เป็นผล ไม่มีคำตอบใดๆ
เพื่อนๆ อีกสามคนเห็นท่าไม่ดี จึงกรูกันเข้ามาห้ามปราม เสียงเพื่อนๆ เตือนสติให้เขาทำใจเย็นๆ ดังระงม ทว่าเวลานี้เขาจะทำใจเย็นได้อย่างไร
รามภณคำรามกรอด ปล่อยมือจากคอเสื้อเพื่อน ก่อนจะหมุนกายกลับ ทรุดนั่งลงที่โซฟาอีกครั้ง
ผ่านไปอีกอึดใจ เสียงวสวัตติ์ก็ดังขึ้นเบาๆ หากแต่ในความเงียบ เสียงนี้กลับดังชัดเจนในโสตประสาทของทุกคน
"ใช่"
ทั้งศาสตรา ภวาภพ และธาวิน ต่างเบิกตา หันมองเพื่อนตัวโต พร้อมอุทานออกมาเบาๆ โดยพร้อมเพรียง มีเพียงรามภณเท่านั้นที่ยังนั่งก้มหน้านิ่ง ไม่มีใครเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
"ข้าชอบรมัณยา..." วสวัตติ์พูดต่อ "แล้วข้าก็รู้ว่าเอ็งชอบเธอ แต่..." เขาหยุดไปนิดหนึ่ง สูดหายใจลึกๆ แล้วบอกต่อด้วยเสียงดังกว่าเดิม "เอ็งก็เหมือนกันนั่นแหละ เอ็งก็รู้ว่าจิรัชย์ชอบรมัณยา แต่เอ็งก็พยายามแย่งเธอมา"
พลั่ก!
เสียงกำปั้นของรามภณกระแทกเข้าโหนกแก้มวสวัตติ์จังๆ ร่างใหญ่ของเขาเซไปข้างๆ ดีที่ธาวินกับภวาภพช่วยกันประคองไว้ได้ ไม่เช่นนั้นคงล้มลงไปกองกับพื้น
"มันไม่เหมือนกัน! เอ็งเป็นเพื่อนข้า มันไม่เหมือนกัน เข้าใจมั้ย!" เขาตะโกนเสียงดัง ก่อนจะสลัดแขนจากศาสตรา ซึ่งเพิ่งเข้ามายุดเขาไว้ ด้วยเกรงว่าจะเข้าไปทำร้ายเพื่อนซ้ำอีก แล้วจึงเดินขึ้นห้องไปด้วยอาการฉุนเฉียว
"ไอ้วัตติ์ เป็นไงมั่งวะ" เพื่อนๆ เข้ามารุมดูอาการวสวัตติ์ หากแต่คนตัวโตที่ตอนนี้มีเลือดกลบปาก กลับไม่พูดอะไร เพียงผละออกจากกลุ่มเพื่อนช้าๆ แล้วค่อยๆ เดินกลับขึ้นห้องไปเช่นกัน
% ###
"ไอ้วัตติ์ เอ็งจะไปไหนวะ" ศาสตราถามขึ้นเมื่อตามเพื่อนตัวโตขึ้นมาถึงในห้อง แล้วเห็นเขากำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋ากีฬาของตัวเองอยู่
วสวัตติ์เงยหน้าขึ้นมองคนถามนิดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ขยำเสื้ออีกสองตัวใส่กระเป๋า
"ไปชมรม" เขาตอบห้วนๆ
"เฮ้ย เพื่อนกัน คุยกันก่อนดีกว่า ไอ้ภณมันแค่ใจร้อนไปหน่อย"
วสวัตติ์ผละจากการเก็บเสื้อผ้า หันมามองศาสตราซึ่งเวลานี้เดินมานั่งลงที่เก้าอี้อ่านหนังสือข้างเตียง
"เอ็งเคยเห็นไอ้ภณเป็นแบบนี้เหรอ"
คำถามนี้ทำให้ศาสตราถึงกับอึ้งไป เพราะความจริงแล้วเขาไม่เคยเห็นรามภณแสดงอาการฉุนเฉียวขนาดนี้มาก่อน นอกจากตอนที่เขาถูกพวกสิโรตม์ทำร้าย นี่คงเป็นเรื่องร้ายแรงเกินกว่าที่รามภณจะคุมสติอยู่ได้ ใช่สิ...รู้ว่าเพื่อนชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ทั้งยังปกปิด ไม่พูดความจริงอีก ถ้าเป็นเขาก็คงเหมือนระเบิดปรมณูทิ้งลงกลางศีรษะ
แต่จะว่าไป วสวัตติ์อาจจะผิดที่ปิดบังความจริง หากแต่เขาไม่ผิด ที่จะชอบรมัณยา เรื่องของหัวใจ บังคับกันไม่ได้ แม้แต่ตัวเองเขายังบังคับไม่ได้ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรไปบอกให้คนอื่นบังคับหัวใจตัวเอง
"ถ้าอย่างนั้น ข้าไปด้วย" ศาสตราบอก พลางดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้
"อย่าเลย พวกเอ็งอยู่เป็นเพื่อนไอ้ภณมันเถอะ"
"ไอ้ภณมันมีไอ้ภพกับไอ้วินเป็นเพื่อนแล้ว ไม่ต้องห่วงมันหรอก"
วสวัตติ์ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อย ริมฝีปากยังมีเลือดซึมอยู่นิดๆ
"ขอบใจ"
% ###
เสียงเคาะประตูห้องดังอยู่นานแล้ว แต่คนในห้องยังคงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาเปิดประตูแต่ประการใด
"ปล่อยมันไปก่อนดีกว่ามั้ง" เสียงธาวินกระซิบกับเพื่อนอีกคนอย่างแผ่วเบา หากแต่ดังพอที่คนในห้องจะได้ยิน ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงฝีเท้าของคนทั้งสอง ก้าวออกจากบริเวณหน้าห้อง เดินลงบันไดไป
รามภณซุกหน้าลงกับหมอน มือทั้งสองข้างวางอยู่ข้างลำตัว มันค่อยๆ ขยับกำเข้าหากันแน่น
เมื่อครู่เขาชกวสวัตติ์ หมัดของเขาโดนหน้าเพื่อนอย่างจัง แม้แต่เวลานี้ ข้อนิ้วก็ยังเป็นรอยแดงอยู่
มือของเขาเจ็บ แต่หัวใจเจ็บยิ่งกว่า...
ทำร้ายเพื่อนที่คบกันมานาน ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวด หากแต่คนถูกทำร้ายจะรู้ไหมหนอ ว่าเขาเจ็บปานใด
แล้วใครกันเล่าที่ผิด ใครกันเล่าที่ปิดบังความจริง...
รามภณค่อยๆ ยันตัวขึ้น พลิกกลับขึ้นมานั่ง
หากวสวัตติ์บอกความจริงกับเขาแต่แรก เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้... ใช่แล้ว เรื่องมันต้องไม่เป็นแบบนี้ แต่จะเป็นอย่างไรกัน หากวสวัตติ์บอกกับเขาตามตรง เขาจะยอมรับได้หรือ...
ที่เขาชกวสวัตติ์ เป็นเพราะวสวัตติ์ปิดบังเขา หรือเพราะเขายอมรับไม่ได้ว่าเพื่อนก็ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน
รามภณเงยหน้ามองเพดานแล้วถอนหายใจยาว
ไอ้วัตติ์...ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย
% ====================
"ไหนๆ ขอดูหน่อย" วสวัตติ์บอก พร้อมเดินเข้ามาที่กระดานรองเขียน
"อ๊ะๆ ยังดูไม่ได้ ต้องเก็บรายละเอียดก่อน"
"งั้นก็แปลว่ายังไม่เสร็จ" วสวัตติ์กอดอก หรี่ตามองจิตรกรสาว ในใจรู้สึกโล่งอกนิดๆ ที่ยังจะได้มาเป็นแบบให้เธอวาดภาพอีก
"อืม ก็ยังไม่สมบูรณ์แหละ แต่...คงไม่ต้องรบกวนนายแล้วล่ะ"
หัวใจของวสวัตติ์วูบไหวราวร่วงหล่นจากหน้าผาสูง ...จะไม่ได้มาเจอเธอแบบนี้อีกแล้วหรือ
"อ๊ะ ได้เวลาที่นายต้องไปชมรมแล้วนี่ นายไปก่อนก็ได้นะ" หญิงสาวบอก หลังจากเหลือบมองนาฬิกาที่ผนังห้อง
ทว่าวสวัตติ์ไม่ได้มีทีท่าจะก้าวเท้าออกจากห้องแม้แต่น้อย หากแต่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาจับจ้องไปที่หญิงสาวผมยาวสวย ที่กำลังเดินไปล้างพู่กันในอ่างล้างมือ
"วันนี้...ฉัน...ไม่มีซ้อม ไม่ต้องไปชมรม" ชายหนุ่มพูดออกมาในที่สุด
"อ้าว เหรอ งั้นเย็นนี้ก็ว่างสิ"
"ใช่ ว่าง" วสวัตติ์ตอบ "แล้วเธอว่างรึเปล่า อยู่เป็นเพื่อนกันสักพักได้มั้ย"
"ว้า ขอโทษนะ คงไม่ได้ล่ะ ต้องไปเล่นดนตรีที่บันนี่ผับต่อ" หญิงสาวชี้แจง พร้อมกับผละจากอ่างล้างมือ กลับมาเก็บของต่อ
"อย่างนั้นเหรอ" ดวงตาของวสวัตติ์หม่นลง เสียงก็คล้ายจะกลืนหายไปในลำคอ
"นี่ มีอะไรรึเปล่า" รมัณยาถามด้วยสังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าคนตัวโต หากแต่วสวัตติ์กลับส่ายหน้า หญิงสาวจึงยิ้มให้นิดหนึ่ง พลางโยนกระเป๋าขึ้นพาดบ่า อีกมือหนึ่งหอบกระดานรองเขียนกับขาตั้ง ทำท่าจะก้าวออกจากห้อง ทว่ามือใหญ่กลับยื่นออกมาคว้าต้นแขนเธอไว้
"เรา...ยังจะได้เจอกันอยู่ใช่มั้ย"
รมัณยานิ่งงันไปนิดหนึ่งด้วยความฉงน ก่อนจะตอบกลับมา
"ได้เจอสิ ทำไมจะไม่ได้เจอล่ะ เราก็ยังเรียนอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ"
วสวัตติ์ค่อยๆ คลายมือออก ...เขาเป็นอะไรไปนะ ทำอะไรบ้าๆ ถามอะไรโง่ๆ
หากแต่ความโง่และความบ้าของเขากลับอยู่ในสายตาของคนสองคนโดยตลอด...
จิรัชย์พามายาวดีมาดูให้เห็นกับตา ว่าสิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาได้บอกกล่าวกับเธอไปเมื่อคราวก่อน ไม่ใช่เขาคิดขึ้นเอง และไม่ใช่เรื่องโกหก อีกอย่าง เขาต้องการให้เธอยืนยันกับรามภณด้วย ว่านี่เป็นเรื่องจริง
...แม้รามภณจะเชื่อมั่นในตัวเพื่อนของเขาเท่าใดก็ตาม แต่หากถูกพูดจากรอกหูอยู่เรื่อยๆ จะอย่างไรก็ต้องมีระแวงกันบ้าง
และเมื่อความระแวงบังเกิดขึ้น การจะทำลายสายใยที่เชื่อมโยงพวกเขาอยู่ก็ไม่ยากเลย
% ###
สี่ทุ่ม เป็นเวลาที่หญิงสาวควรจะกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว หากแต่หลังจากเล่นดนตรีที่ผับบันนี่เสร็จ รมัณยาก็กลับมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง
เวลาดึกเงียบสงัด มีเพียงเสียงคลื่นที่ถูกลมพัดมากระทบฝั่งให้ฟังเพลิน หญิงสาวหอบกระเป๋าใส่อุปกรณ์วาดภาพ รวมทั้งกระดานรองเขียนและขาตั้งขึ้นไปยังดาดฟ้าของอาคารกิจกรรม
เธอจัดวางอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว มองไปในความมืดของทะเล ก่อนจะหันกลับมาหยิบภาพที่วาดไว้ แต่ยังไม่สมบูรณ์ดี
ภาพชายหนุ่มในท่วงท่าถือคันธนู ผมยาวที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย รวมทั้งแบบเสื้อผ้า ทำให้ดูคล้ายเป็นเทพเจ้ากรีก มากกว่าจะเป็นนักกีฬายิงธนู เธอมองภาพนั้นแล้วอมยิ้มเล็กน้อย ...คนเป็นแบบจะว่าอย่างไรนะ ถ้ารู้ว่าเธอวาดเขาออกมาในสภาพนี้
ในจำนวนภาพที่เธอหอบติดมือมา มีอยู่สองสามภาพเป็นภาพที่เธอร่างไว้เมื่อครั้งรามภณพาเธอไปวาดรูปที่อ่าว ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของชายหาด
"รูปนี้ทิ้งไว้นานแล้ว น่าจะเอามาลงสีให้เสร็จๆ ด้วยเหมือนกัน จะได้ให้พวกเขาไปพร้อมๆ กันเลย" หญิงสาวพีมพำออกมา เมื่อหยิบภาพของชายหนุ่ม ในท่าทางนั่งอ่านหนังสืออยู่บนพื้นหาด ซึ่งลงสีไปได้เพียงครึ่งหนึ่งออกมา
ภาพทั้งสอง แม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่ก็ให้ความรู้สึกแตกต่าง... ภาพของรามภณในอากัปกิริยาสบายๆ นั้น ช่างดูนุ่มนวลละมุนละไม เฉกเช่นเดียวกับอุปนิสัยของต้นแบบ ส่วนภาพของวสวัตติ์ กลับดูมีพลัง ให้ความรู้สึกเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว
รมัณยามองภาพทั้งสองเทียบกัน ใช้ความคิดอยู่เป็นครู่ ก่อนจะตัดสินใจเก็บภาพรามภณไว้ก่อน แล้วจัดแจงหยิบพู่กัน จานสี และอุปกรณ์อื่นๆ ออกจากกระเป๋า เตรียมลงสีภาพของวสวัตติ์
อันที่จริงแล้ว การลงสีน้ำท่ามกลางแสงสปอตไลท์ ในสถานที่ซึ่งมีลมแรงเช่นนี้ ไม่เหมาะเท่าใดนักเนื่องจากจะทำให้สีแห้งเร็วเกินไป แต่สำหรับรมัณยา ที่ใดก็ได้ที่เธออยู่แล้วสบายใจ เธอจะทำงานได้ดีกว่า
ยิ่งเมื่อได้อยู่กับคนที่เธอจากมาไกลถึงครึ่งโลก ถ้าคนคนนั้นมาอยู่ข้างๆ ในเวลานี้ คงดีไม่น้อย...
% ###
"ท่าจะบ้าแล้ว" วสวัตติ์สบถเสียงเบา หลังจากที่พบว่าตนเองมาอยู่ในห้องจิตรกรรมร่วมชั่วโมง เพื่อรอคอยรมัณยา
...เธอจะมาได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้นัดกันไว้ เธอวาดภาพเสร็จแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะต้องมาพบเขาอีก
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่หัวใจกลับดูเหมือนไม่ยอมรับ เขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะก้าวออกจากห้องแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเดินไปยังริมหน้าต่าง บริเวณที่รมัณยาเคยบอกให้เขายืนนิ่งๆ เพื่อเป็นแบบให้เธอ ...อยากย้อนเวลากลับไปช่วงเวลานั้นเหลือเกิน
"อ้าว วัตติ์ ไม่ไปชมรมเหรอ" เสียงร้องทักที่คุ้นหูดังมาจากทางหน้าประตู วสวัตติ์หันกลับไปตามเสียงด้วยหัวใจพองโต
"รมัณยา..." ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆ ก่อนจะตรงดิ่ง แทบวิ่งมาหยุดอยู่หน้าหญิงสาว อยากยื่นมือออกมาเกาะกุมมือของเธอไว้ ทว่าเขายังยั้งตัวเองไว้ได้
"มา... เอ่อ... มาทำอะไรเหรอ" วสวัตติ์ถาม เสียงตะกุกตะกัก
"ไม่ได้มาทำอะไรหรอก แค่เดินผ่านน่ะ" หญิงสาวตอบ พลางช้อนตามองชายหนุ่มอย่างนึกขันในอากัปกิริยาของเขา
"เออนี่" เธอว่า พลางวางข้าวของที่หอบมาไว้บนพื้น ก่อนจะดึงเอาแผ่นภาพที่หนีบติดกระดานรองเขียนออกมา "พอดีเลย กำลังคิดว่าจะเอาไปให้ที่ชมรมอยู่พอดี"
วสวัตติ์รับภาพมา พิจารณาด้วยสีหน้าแปลกใจ ...ภาพครึ่งตัวของเขา กลับกลายเป็นเทพเจ้ากรีก กำลังง้างธนู บนพื้นหลังสีแดงส้มราวกับอยู่ในกองเพลิง
รมัณยาหัวเราะคิก อย่างอดไม่ได้ เมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา ชายหนุ่มจึงหันกลับมามองเธอด้วยความฉงน
"นี่ คืออะไร" เขาถามออกมาในที่สุด
"ก็ภาพนายไง" หญิงสาวว่า เสียงสั่นด้วยความขบขัน "แหม ท่าทางนายดูเหมาะกับคอสทูมแบบนี้ออก เท่ดี"
คำสุดท้ายทำให้คนเป็นแบบยิ้มเขินออกมาได้
"แล้วนี่ ให้ฉันดูเฉยๆ หรือจะให้เลยเนี่ย"
"ให้นายนั่นแหละ เก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วกัน ว่าครั้งหนึ่ง นายเคยได้เป็นเทพเจ้ากรีกด้วย" หญิงสาวว่าแล้วหัวเราะออกมา
ชายหนุ่มไม่ได้ว่ากระไร หากแต่พิจารณาภาพที่เพิ่งได้มาด้วยความชื่นชม ...คิดถูกแล้วที่เขามารอเธอที่นี่ คิดถูกแล้วที่รออยู่จนได้เจอเธอ
"เพิ่งเสร็จเมื่อวานเลยเหรอ" วสวัตติ์ถามอีก เมื่อเหลือบเป็นเห็นวันที่ซึ่งลงกำกับไว้ใต้ลายเซ็น
"ต้องบอกว่าเมื่อคืนต่างหาก" ศิลปินสาวตอบ
"ขอบใจนะ"
รมัณยายิ้มให้เขาอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ราวกับจะกลืนหัวใจของเขาไปทั้งดวง
% ###
'ก่อนชมรม รมัณยากับวสวัตติ์นัดเจอกันที่ห้องจิตรกรรม ถ้าไม่เชื่อก็ถามเพื่อนเธอดู'
ข้อความนี้ ส่งมาถึงรามภณตั้งแต่เมื่อวาน อันที่จริงเขาอ่านแล้วก็คิดจะลบมันทิ้ง ทว่าข้อความทำนองเดียวกันที่ถูกส่งมาถึงเขาหลายต่อหลายครั้ง ก็ทำให้เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ในใจลึกๆ
แม้จะแข็งแกร่งสักเพียงไหน หากแต่เมื่อน้ำหลากมา ภูผาก็ทลายได้เช่นกัน อย่าว่าแต่เนื้อหัวใจ
สองคนนั้น ไปทำอะไรที่ห้องจิตรกรรมนะ... รามภณนึกพลาง เท้าก็พาออกจากห้องชมรมวิทยุกระจายเสียง มาหยุดยืนอยู่ริมระเบียง จากนั้นจึงยื่นศีรษะ ชะโงกมองขึ้นไปด้านบน หากแต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เห็นอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าเหนือศีรษะยังมีกันสาดบังสายตาจนมิด
ห้องจิตรกรรม...อยู่ชั้นบนนี่เอง ทว่าเขาไม่ได้ย่างกรายขึ้นไปหลายเดือนแล้ว เมื่อไม่มีธุระแล้วจะปีนขึ้นไปทำไม
...หรือว่าเขาควรจะขึ้นไป ไปดูให้เห็นกับตาว่าสองคนนั้นอยู่ที่นั่นจริงหรือเปล่า
เขาคิดกลับไปกลับมา วนเวียนอยู่หลายรอบจนรู้สึกว่า ตนเองคงเริ่มเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ทว่ามือขาวกับนิ้วเรียวที่โบกไหวๆ อยู่ตรงหน้า ก็ฉุดดึงเขาหลุดออกจากกับดักเขาวงกตในจิตใจ
"คิดอะไรอยู่" รอยยิ้มหวานประกอบนัยน์ตาคม ที่เวลานี้หรี่มองมายังเขาราวกับจะจับผิด ทำให้ชายหนุ่มแทบลืมหายใจไปชั่วขณะ
คิดถึงคนตรงหน้า... หากเป็นไปได้ เขาคงอยากจะตอบแบบนี้
"ปละ...เปล่า" ในที่สุดก็เค้นคำตอบออกมาได้
"จริงเหรอ" คำถามของหญิงสาวทำให้เขาหน้าเจื่อนไปทันที เขายิ้มแห้งๆ เป็นเหตุให้หญิงสาวยิ่งยื่นหน้าเข้ามา ดวงตาคมกริบมีประกายระยิบระยับจ้องเขานิ่งจนชายหนุ่มต้องเบือนหน้าหลบ
"นายนี่มันน่ารักอย่างนี้นี่เอง สาวๆ ถึงติดกันเกรียว" เธอว่าพร้อมส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างไว้เชิง
รามภณได้ยินประโยคนี้แล้วถึงกับตัวเย็นด้วยความตื่นเต้น... นี่เธอกำลังชมเขารึเปล่านะ บางทีเธอเองอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับเขา
"เราชมนายอยู่นะเนี่ย"
ขายหนุ่มนิ่งงันไปอีกครั้ง... เธอบอกออกมาราวกับอ่านใจเขาได้
เวลานั้นเอง หญิงสาวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา "ก็ดูสิ หน้านายน่ะ มันบอกความรู้สึกของนายหมดเลย เราถึงว่านายน่ารักยังไงล่ะ"
รามภณยิ้มเขิน ยกนิ้วเกาข้างแก้มเบาๆ แก้เก้อ... คงต้องไปฝึกวิชาหน้าตายกับภวาภพเสียแล้วสิ
"เอาล่ะ ไม่แกล้งแล้ว" เธอบอก พร้อมกับหันไปดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกระดานรองเขียน "ฉันให้"
สีหน้ารามภณแสดงความงุนงงสงสัย หากก็รับกระดาษแผ่นนั้นมาแต่โดยดี ชายหนุ่มมองภาพในกระดาษอยู่เป็นครู่ เมื่อตระหนักได้แล้วว่าคนในภาพเป็นใคร ก้อนเนื้อในอกก็ถึงกับเต้นระรัว
รามภณหันมองหญิงสาวที่ด้านข้าง พลางชี้มือไปยังภาพชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมหาด
"ใช่ รูปนายนั่นแหละ แอบวาดไว้" เธอบอก พร้อมกับขยิบตาข้างหนึ่ง
เธอแอบวาดรูปเขา... เธอแอบวาดรูปเขา... สุ้มเสียงนี้ก้องอยู่ในหัว วนเวียนไปมาอยู่หลายรอบ... จะเป็นไปได้มั้ยนะ ว่าเธอจะ...
"ฉันแวะเอารูปมาให้เท่านั้นแหละ" รมัณยาบอก "ไว้เจอกันนะ" เธอว่าพร้อมกับโบกมือ แล้วจึงเดินผ่านข้างกายเขาไป กลิ่มหอมเย็นๆ ล่องลอยมาแตะจมูก ราวกับจะทิ้งรอยสลักไว้ในหัวใจของเขา
หากเป็นไปได้ อยากรวบร่างบางเข้ามากอด แล้วซบใบหน้าลงบนเรือนผมสวย สูดกลิ่นรัญจวนนั้นให้ชุ่มปอด...
เสียงโทรศัพท์ปลุกชายหนุ่มขึ้นจากภวังค์อันหอมหวาน รามภณหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดดูข้อความที่ส่งมาทำลายความฝันอันแสนรื่นรมย์ของเขา
...จากมายาวดีอีกแล้ว
ชื่อคนส่งทำให้เขาไม่อยากเปิดข้อความออกอ่าน ด้วยไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวปลุกปั่นระหว่างเขากับเพื่อน แต่แล้วความสงสัยใคร่รู้ก็เป็นฝ่ายชนะ
'รมัณยาให้รูปวาดกับวสวัตติ์ ถึงเธอจะไม่เชื่อก็ควรพิสูจน์'
พิสูจน์... เพื่ออะไรกัน
รามภณอ่านข้อความชวนหงุดหงิดนั้นแล้วก็กดลบมันทิ้ง พร้อมกับข้อความอื่นๆ ที่ส่งมาก่อนหน้านี้
...รมัณยาวาดรูปให้เขาต่างหาก ส่วนวสวัตติ์...เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
% ###
หน้ามหาวิทยาลัยค่อนข้างคึกคักด้วยร้านรวงต่างๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นร้านขายอาหาร แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
ในจำนวนร้านต่างๆ เหล่านั้นยังมีร้านรับทำกรอบรูปอยู่ร้านหนึ่ง
รามภณหอบม้วนภาพที่เพิ่งได้รับมาจากรมัณยา เดินตรงเข้าร้านรับทำกรอบนั้น แล้วคลี่กางภาพวางลงบนเคาน์เตอร์หน้าร้าน
"ผมเอาภาพนี้มาเข้ากรอบครับ" เขาบอกอย่างอารมณ์ดี
เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนร่างเล็ก ซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ เขาหยิบตลับเมตรจากลิ้นชักใต้เคาน์เตอร์ ออกมาวัดความกว้างยาวของภาพ พลางชวนชายหนุ่มพูดคุยอย่างเป็นมิตร
"เรียนอยู่ที่นี่เหรอ"
"ครับ" รามภณรับ
"เรียนวาดรูปเหรอ"
"เปล่าครับ รูปนี้มีคนให้มา"
"เอ้อ เมื่อกี้ก็มีคนเอารูปวาดมาให้เข้ากรอบ" เจ้าของร้านบอก พร้อมกับชี้ไปที่ลายเซนต์กำกับตรงมุมภาพ "คนวาดคนเดียวกันด้วยเนี่ย"
รามภณนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
"คนวาด...คนเดียวกัน...เหรอครับ" รามภณถามย้ำ คล้ายกับมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอทำให้พูดไม่คล่อง
เจ้าของร้านพยักหน้าพร้อมกับเก็บตลับเมตร "เห็นว่ามีคนให้มาเหมือนกัน ไม่รู้จะพ่อหนุ่มจะรู้จักรึเปล่า เขาตัวสูงๆ ผมยาวๆ น่ะ"
"คะ...ครับ" รามภณรู้สึกอึดอัด ราวกับหลอดลมพลันตีบตันอย่างกระทันหัน ...วสวัตติ์ หรือจะเป็นวสวัตติ์ ถ้าอย่างนั้น ข้อความที่มายาวดีส่งมาเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ
เจ้าของร้านหยิบไม้ที่เข้าเป็นมุม ซึ่งเป็นตัวอย่างกรอบมาให้ดู รามภณเลือกอย่างสุ่มๆ เนื่องจากเขาในตอนนี้ ไม่มีแก่ใจจะสนใจกับภาพนั้นแล้ว
หลังจากเจรจาเรื่องราคาและค่าจ้างเรียบร้อยแล้ว รามภณเดินออกจากร้าน ความรู้สึกของเขาในเวลานี้ยากจะอธิบาย ด้วยเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปไปทั้งความฉงน สับสน และที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นความผิดหวัง... ผิดหวังที่เขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่เธอวาดภาพ ผิดหวังในตัวเพื่อน ผิดหวัง...ที่ทั้งคู่เป็นคนที่เขารัก
% ###
"เป็นอะไรวะไอ้วัตติ์ เดินยิ้มแก้มฉีกมาเชียว" ศาสตราตะโกนถามขึ้น เมื่อเห็นวสวัตติ์ เพื่อนคนสุดท้ายที่พวกเขากำลังรออยู่ เดินยิ้มอย่างอารมณ์ดีมาแต่ไกล
"คืออะไรวะ ยิ้มแก้มฉีก เคยได้ยินแต่แก้มปริ" ธาวินถาม
"ก็ยิ้มกว้างกว่าแก้มปริไง นี่ฉีกเลย" ศาสตราอธิบาย
วสวัตติ์เดินมาถึงตัวคนถาม ใบหน้ายังคงระรื่น
"ตกลงเป็นอะไรของเอ็งวะ" ศาสตราถามอีก
"ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร" คนหน้าระรื่นตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง จนแก้มแทบฉีกแล้วจริงๆ
รามภณที่มองเพื่อนอยู่นานแล้ว เห็นเป็นโอกาสจึงเอ่ยถามขึ้นลอยๆ "หรือมีใครให้อะไรถูกใจมารึเปล่า"
"เฮ้ย ไม่มี" คนถูกถามปฏิเสธ แต่ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้มอยู่จางๆ
"แน่ใจเหรอ" รามภณถามย้ำ
"แน่สิวะ ไอ้ภณ"
"หรือไม่ก็ไปเจอใครมา" รามภณแกล้งถามเป็นเชิงหยอก ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง หากเจตนาของเขาจริงจัง
"ไม่มี ข้าอยู่แต่ชมรมนั่นแหละ"
"ก่อนชมรมล่ะ"
"ยิ่งไม่มีใหญ่เลย แยกจากพวกเอ็งที่ห้องเรียนก็ตรงดิ่งไปชมรมเลย"
"จริงเหรอ" รามภณถามย้ำอีก ทว่าคราวนี้น้ำเสียงกลับเปลี่ยนนิ่งเรียบ
"จริง" วสวัตติ์เองก็ตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ยืนยันหนักแน่นเช่นกัน
ภวาภพซึ่งมองสถานการณ์ระหว่างพวกเขาอยู่ เริ่มเห็นว่าเมฆฝนระหว่างพวกเขาเริ่มก่อตัวขึ้นจางๆ จึงชิงตัดบทด้วยการลุกยืนขึ้น
"กลับกันเถอะ" เขาบอกสั้นๆ แล้วเดินนำเพื่อนๆ ไปทางลานจอดรถ
คนอื่นๆ ลุกเดินตามไป ราวกับคำจากปากภวาภพเป็นคำสั่งที่ฝืนไม่ได้ รามภณรั้งรออยู่ท้ายสุด สายตาของเขาจับจ้องไปที่แผ่นหลังกว้างของเพื่อนตัวโต
จริงหรือโกหกกันแน่... รามภณคิด
...หากเป็นความจริง แล้วคนที่เจ้าของร้านทำกรอบพูดถึงเป็นใครกัน
...แต่หากเพื่อนโกหก แล้วเขาจะทำไปเพื่ออะไร เพียงแค่เขานัดพบกับรมัณยา เพียงแค่เธอมอบภาพวาดให้ เรื่องเพียงนี้ ทำไมเพื่อนต้องโกหก หากไม่ใช่เพราะเพื่อนมีเหตุอื่น เหตุที่บอกให้เขารับรู้ไม่ได้
% ###
ภาพชายหนุ่มนั่งพิงโขดหินริมหาดขาวสะอาดตา ภายในกรอบไม้สีอ่อน ปิดกระจกอย่างดี ช่างเป็นภาพที่ดูนุ่มนวลชวนให้คนมองรู้สึกจิตใจสงบเย็น เฉกเช่นน้ำทะเลในภาพ
หากแต่จิตใจของรามภณในขณะนี้กลับตรงข้ามกัน... ทั้งฟุ้งซ่าน ทั้งร้อนรุ่ม
วสวัตติ์...รมัณยาให้ภาพวาดกับเขามาจริงหรือ
รามภณวางภาพวาดลงบนเตียงนอน เขาไปเพิ่งไปรับภาพนี้มาจากร้านทำกรอบ แล้วขับรถนำกลับมาที่บ้านก่อน จากนั้นจึงค่อยกลับไปรับเพื่อนๆ อีกรอบ หากแต่เวลานี้กลับมีเรื่องที่ชวนให้เขารั้งรออยู่
ชายหนุ่มยืนกอดอกมองภาพนั้นอยู่ที่ปลายเตียง ในหัวมีความคิดต่างๆ นานา สุมกันเข้าจนหัวคิ้วขมวดมุ่น
...หากวสวัตติ์เป็นคนที่เจ้าของร้านทำกรอบพูดถึงจริง เย็นนี้เขาต้องเห็นเพื่อนหอบกรอบภาพนั้นกลับมา หรือบางที วสวัตติ์อาจจะเอากลับมาเก็บไว้ที่บ้านก่อนอย่างที่เขาทำอยู่ก็เป็นได้
รามภณขยับเท้าก้าวออกจากห้องของตัวเอง เท้าทั้งสองค่อยๆ พาเขามาจนถึงหน้าห้องนอนของวสวัตติ์ ชายหนุ่มมองที่ลูกบิดประตูอยู่เป็นนาน จากนั้นจึงหันหลังกลับ
...เขาไม่ควรเข้าห้องเพื่อนโดยพลการ ถึงแม้จะเป็นเพื่อน ถึงแม้เจ้าของห้องจะไม่อยู่ แต่เขาก็ไม่ควรเข้าไป
...ทว่าถ้าไม่เข้าไปดู แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเพื่อนพูดจริงหรือไม่
ในที่สุด รามภณหันหลังกลับ ยื่นมือออกบิดลูกบิดประตู เขาเปิดประตูเข้าไปช้าๆ มองสำรวจรอบๆ ห้อง
ห้องของวสวัตติ์ค่อนข้างมืดและเล็กกว่าห้องของคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นห้องที่อยู่ตรงกลาง จึงมีหน้าต่างเพียงบานเดียว ผิดกับห้องของรามภณ หรือเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ตรงมุมบ้าน จึงมีหน้าต่างสองด้าน
เมื่อตอนที่เลือกห้องกันนั้น วสวัตติ์เป็นคนบอกเองว่าจะอยู่ห้องนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาขี้เกียจทำความสะอาดห้องกว้างๆ หากแต่พวกเขาย่อมรู้ วสวัตติ์ยอมเสียสละให้เพื่อนต่างหาก
รามภณก้าวเข้าไปในห้องซึ่งค่อนข้างเป็นระเบียบในสายตาหนุ่มโสด คงเพราะนิสัยของวสวัตติ์เองก็เป็นคนเจ้าระเบียบอยู่แล้ว หากแต่ที่ข้างตู้เสื้อผ้า กลับมีห่อกระดาษสีน้ำตาล รูปร่างสี่เหลี่ยมแบนๆ ขนาดไม่ใหญ่ไม่โตนักวางพิงผนังอยู่บนพื้น
ขนาดมันพอๆ กับภาพวาดที่รามภณเอาไปเข้ากรอบ...
รามภณก้าวเข้าไปใกล้ ทิ้งตัวนั่งบนส้นเท้า ค่อยๆ หยิบห่อกระดาษนั้นขึ้นมาพิจารณา ด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม
ไม่...มันต้องไม่ใช่ ต้องไม่ใช่ภาพที่รมัณยาวาด
แม้สมองจะพยายามปฏิเสธ หากใจกลับเชื่อไปกว่าสามในสี่แล้ว
ห่อกระดาษนี้ดูเหมือนเคยถูกเปิดแล้วห่อกลับไปใหม่อย่างลวกๆ เนื่องจากบริเวณที่ปิดเทปไว้ฉีกขาด ดังนั้นรามภณจึงค่อยๆ คลี่ห่อกระดาษออกได้ โดยไม่ต้องเกรงว่าจะทิ้งหลักฐานให้เป็นพิรุธ
สิ่งที่อยู่ในห่อเป็นกรอบรูปจริงๆ กรอบแบบเดียวกับภาพของรามภณ หากแต่ไม้ที่ทำกรอบเป็นสีเข้ม รับกับภาพซึ่งเน้นสีส้มและแดงราวเปลวเพลิง ตรงกลางเป็นภาพชายหนุ่มผมยาวในท่าง้างธนูดูเคร่งขรึม แววตามุ่งมั่นจริงจังของคนในภาพ ยิ่งส่งให้ภาพดูมีพลังราวกับเป็นภาพเทพเจ้าแห่งสงคราม
...วสวัตติ์! ไอ้คนโกหก!
% ###
"เป็นไงมั่งวะ" ศาสตราส่งเสียงถาม เมื่อเห็นวสวัตติ์กดตัดสัญญาณโทรศัพท์แล้ว
"มันไม่รับว่ะ" คนร่างใหญ่ตอบ
"อะไรของมันเนี่ย แล้วนี่มันหายหัวไปไหนของมัน" ศาสตราบ่นอุบ
"เอาน่า ถ้าไอ้ภณมันไม่มา เราก็นั่งแท็กซี่กลับกันเองก็ได้" ธาวินบอก หลังจากที่พวกเขารออยู่ที่จุดนัดในสวนริมหาดเป็นชั่วโมงแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรามภณ และถึงแม้วสวัตติ์จะโทรไปหลายครั้งแล้ว สารถีคนดีก็ไม่รับสาย
"หรือว่ามันเป็นอะไรรึเปล่า" วสวัตติ์ถามโพล่งออกมาทันทีที่ความคิดผุดขึ้นในสมอง
ทั้งวสวัตติ์ ศาสตรา และธาวินต่างมองหน้ากัน... จะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนหรือเปล่านะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จะทำอย่างไรกัน จะหาตัวเพื่อนได้จากที่ไหน
"ไอ้วิน เอ็งลองโทรสิ" เสียงภวาภพดังแทรกความคิดฟุ้งซ่านอลหม่านของเพื่อนๆ
ทุกคนหันมองภวาภพ หากแต่เพื่อนกลับมองธาวินนิ่ง จึงรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น...ภวาภพไม่เคยพูดเล่น ดังนั้นธาวินจึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดหาชื่อรามภณแล้วต่อสัญญาณ
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่สองครั้ง จากนั้นจึงได้ยินเสียงจากปลายสาย
"เฮ้ย ไอ้ภณ เอ็งอยู่ไหนวะ พวกข้ารอเอ็งอยู่ตั้งนาน ทำไมไม่มาซะที แล้วนี่เป็นอะไรรึเปล่า" ธาวินกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ยาวเป็นชุด ก่อนจะเว้นให้ปลายสายตอบกลับมาเพียงสั้นๆ แล้วจึงพูดตอบไปอีกสองสามคำ จากนั้นจึงค่อยตัดสัญญาณ
"ไอ้ภณมันบอกว่าไม่ค่อยสบายว่ะ ตอนนี้อยู่บ้าน" ธาวินรายงานเพื่อนๆ
ภวาภพได้ยินดังนั้น จึงออกเดินนำเพื่อนๆ ไปยังหน้ามหาวิทยาลัย เพื่อโบกรถแท็กซี่กลับ
หากแต่ในใจวสวัตติ์ยังคงมีคำถามผุดขึ้นมา
...แล้วทีเขาโทรไป ทำไมเพื่อนจึงไม่รับ
% ###
รามภณนั่งอยู่ที่โซฟาภายในห้องนั่งเล่น โดยด้านหลังเยื้องไปทางขวามือเป็นประตูทางเข้า ข้างๆ ขาซ้ายของเขาก็มีกรอบรูปบานหนึ่ง วางพิงหน้ากับโซฟาอยู่
ชายหนุ่มนั่งก้มหน้า ศอกทั้งสองวางอยู่บนเข่า ส่วนสมองของเขาจมอยู่ในความคิดอันวกวน
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังตัดสัญญาณโทรศัพท์จากธาวิน รามภณก็ได้ยินเสียงรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน พร้อมกับเสียงฝีเท้าของเพื่อนๆ ก้าวเข้ามา ไม่ช้า ประตูทางเข้าก็เปิดผางออก พร้อมกับเสียงศาสตราดังมาแต่หน้าประตู
"ไอ้ภณ ไม่สบายเป็นอะไรวะ"
เสียงศาสตราดังมาก่อน ทว่ามือของวสวัตติ์เอื้อมมาถึงหน้าผากเขาก่อน
"ตัวไม่ร้อนนี่หว่า" วสวัตติ์บอก หากแล้วเขาก็ต้องชะงักไป เมื่อเห็นสิ่งที่เพื่อนเอื้อมมือไปหยิบมันจากข้างตัว พร้อมกับยืดกายยืนขึ้น หันมาเผชิญหน้ากับเขา
"เอ็งจะอธิบายว่ายังไง" รามภณถามเสียงทุ้มต่ำ แม้ในเวลาปกติ เสียงของเขาจะฟังดูนุ่มนวล อ่อนโยน หากแต่ไม่ว่าใครเมื่อได้ยินเสียงของเขาในเวลานี้ ก็ต้องรู้สึกขนลุก
เพื่อนๆ ของเขาได้ยินเสียงนี้ ทั้งหมดหันมองรามภณ และสิ่งที่อยู่ในมือเขาเป็นตาเดียว ธาวินขยับเข้าใกล้ภวาภพ พลางป้องปากกระซิบกรอกหูเพื่อน
"ดูท่า จิรัชย์จะพูดจริงว่ะ"
ภวาภพยังคงนิ่งเงียบ ไม่แสดงท่าทีใดๆ เขากำลังรอดูสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ พลางคิดหาหนทางไกล่เกลี่ย แต่จะมีทางใดเล่า ในเมื่อหลักฐานคาตาอยู่เช่นนี้
ท่ามกลางความเงียบงันชวนอึดอัด ไม่มีใครปริปาก ไม่มีใครขยับไปไหนแม้สักคน ศาสตรากลับเป็นคนแรกที่ไม่สามารถทนต่อความอึดอัดเช่นนี้ได้ จนต้องโพล่งออกมา
"กับแค่รูปแค่นี้เอง ทำเป็นเครียดอะไรวะ"
รามภณชำเลืองมองคนพูดนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปจ้องจำเลยของเขานิ่งอีกครา
วสวัตติ์ไม่ได้จ้องตอบ เขาเพียงก้มหน้า แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ใช่...รมัณยาวาดรูปนี้ให้ข้า เรานัดเจอกันหลังเลิกเรียน ก่อนที่ข้าจะไปชมรม" เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน "แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเอ็งนี่หว่า"
"มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของข้าหรอก ถ้าเอ็งไม่โกหก!" รามภณตอบด้วยเสียงอันดัง ดวงตายังคงจ้องเพื่อนนิ่ง จนวสวัตติ์ต้องเบือนหน้าหลบอีกครั้ง
บรรยากาศชวนอึดอัดวนกลับมาปกคลุมพวกเขาอีกครั้ง ราวกลับระลอกคลื่นม้วนตัวกลับมาสาดกระทบชายหาด รังแต่จะกวาดพาทุกสิ่งลงไปในทะเล
"เอ็ง..." รามภณเอ่ยขึ้นอีก ด้วยเสียงแผ่วเบา "ชอบรมัณยาใช่มั้ย"
ในที่สุดรามภณก็เค้นคำถามนี้ออกมา จะมีใครรู้บ้างไหมว่า คำถามนี้ สำหรับเขามันยากเย็นเพียงใดที่จะเอ่ย
วสวัตติ์ยังคงก้มหน้านิ่งอยู่ แม้คำถามจะเอ่ยยากเพียงใด หากแต่คำตอบกลับพูดออกมายากยิ่งกว่า
รามภณเห็นวสวัตติ์นิ่งเงียบเช่นนั้น ก็ไม่สามารถข่มกลั้นอารมณ์ไว้ได้ ในที่สุดก็ยื่นมืออก คว้าคอเสื้อเพื่อน กระชากเข้ามาหาตัว!
"เอ็งชอบรมัณยาใช่มั้ย ใช่มั้ย!" เขาตะคอกถามย้ำอีก หากแต่ไม่เป็นผล ไม่มีคำตอบใดๆ
เพื่อนๆ อีกสามคนเห็นท่าไม่ดี จึงกรูกันเข้ามาห้ามปราม เสียงเพื่อนๆ เตือนสติให้เขาทำใจเย็นๆ ดังระงม ทว่าเวลานี้เขาจะทำใจเย็นได้อย่างไร
รามภณคำรามกรอด ปล่อยมือจากคอเสื้อเพื่อน ก่อนจะหมุนกายกลับ ทรุดนั่งลงที่โซฟาอีกครั้ง
ผ่านไปอีกอึดใจ เสียงวสวัตติ์ก็ดังขึ้นเบาๆ หากแต่ในความเงียบ เสียงนี้กลับดังชัดเจนในโสตประสาทของทุกคน
"ใช่"
ทั้งศาสตรา ภวาภพ และธาวิน ต่างเบิกตา หันมองเพื่อนตัวโต พร้อมอุทานออกมาเบาๆ โดยพร้อมเพรียง มีเพียงรามภณเท่านั้นที่ยังนั่งก้มหน้านิ่ง ไม่มีใครเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
"ข้าชอบรมัณยา..." วสวัตติ์พูดต่อ "แล้วข้าก็รู้ว่าเอ็งชอบเธอ แต่..." เขาหยุดไปนิดหนึ่ง สูดหายใจลึกๆ แล้วบอกต่อด้วยเสียงดังกว่าเดิม "เอ็งก็เหมือนกันนั่นแหละ เอ็งก็รู้ว่าจิรัชย์ชอบรมัณยา แต่เอ็งก็พยายามแย่งเธอมา"
พลั่ก!
เสียงกำปั้นของรามภณกระแทกเข้าโหนกแก้มวสวัตติ์จังๆ ร่างใหญ่ของเขาเซไปข้างๆ ดีที่ธาวินกับภวาภพช่วยกันประคองไว้ได้ ไม่เช่นนั้นคงล้มลงไปกองกับพื้น
"มันไม่เหมือนกัน! เอ็งเป็นเพื่อนข้า มันไม่เหมือนกัน เข้าใจมั้ย!" เขาตะโกนเสียงดัง ก่อนจะสลัดแขนจากศาสตรา ซึ่งเพิ่งเข้ามายุดเขาไว้ ด้วยเกรงว่าจะเข้าไปทำร้ายเพื่อนซ้ำอีก แล้วจึงเดินขึ้นห้องไปด้วยอาการฉุนเฉียว
"ไอ้วัตติ์ เป็นไงมั่งวะ" เพื่อนๆ เข้ามารุมดูอาการวสวัตติ์ หากแต่คนตัวโตที่ตอนนี้มีเลือดกลบปาก กลับไม่พูดอะไร เพียงผละออกจากกลุ่มเพื่อนช้าๆ แล้วค่อยๆ เดินกลับขึ้นห้องไปเช่นกัน
% ###
"ไอ้วัตติ์ เอ็งจะไปไหนวะ" ศาสตราถามขึ้นเมื่อตามเพื่อนตัวโตขึ้นมาถึงในห้อง แล้วเห็นเขากำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋ากีฬาของตัวเองอยู่
วสวัตติ์เงยหน้าขึ้นมองคนถามนิดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ขยำเสื้ออีกสองตัวใส่กระเป๋า
"ไปชมรม" เขาตอบห้วนๆ
"เฮ้ย เพื่อนกัน คุยกันก่อนดีกว่า ไอ้ภณมันแค่ใจร้อนไปหน่อย"
วสวัตติ์ผละจากการเก็บเสื้อผ้า หันมามองศาสตราซึ่งเวลานี้เดินมานั่งลงที่เก้าอี้อ่านหนังสือข้างเตียง
"เอ็งเคยเห็นไอ้ภณเป็นแบบนี้เหรอ"
คำถามนี้ทำให้ศาสตราถึงกับอึ้งไป เพราะความจริงแล้วเขาไม่เคยเห็นรามภณแสดงอาการฉุนเฉียวขนาดนี้มาก่อน นอกจากตอนที่เขาถูกพวกสิโรตม์ทำร้าย นี่คงเป็นเรื่องร้ายแรงเกินกว่าที่รามภณจะคุมสติอยู่ได้ ใช่สิ...รู้ว่าเพื่อนชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ทั้งยังปกปิด ไม่พูดความจริงอีก ถ้าเป็นเขาก็คงเหมือนระเบิดปรมณูทิ้งลงกลางศีรษะ
แต่จะว่าไป วสวัตติ์อาจจะผิดที่ปิดบังความจริง หากแต่เขาไม่ผิด ที่จะชอบรมัณยา เรื่องของหัวใจ บังคับกันไม่ได้ แม้แต่ตัวเองเขายังบังคับไม่ได้ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรไปบอกให้คนอื่นบังคับหัวใจตัวเอง
"ถ้าอย่างนั้น ข้าไปด้วย" ศาสตราบอก พลางดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้
"อย่าเลย พวกเอ็งอยู่เป็นเพื่อนไอ้ภณมันเถอะ"
"ไอ้ภณมันมีไอ้ภพกับไอ้วินเป็นเพื่อนแล้ว ไม่ต้องห่วงมันหรอก"
วสวัตติ์ยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อย ริมฝีปากยังมีเลือดซึมอยู่นิดๆ
"ขอบใจ"
% ###
เสียงเคาะประตูห้องดังอยู่นานแล้ว แต่คนในห้องยังคงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาเปิดประตูแต่ประการใด
"ปล่อยมันไปก่อนดีกว่ามั้ง" เสียงธาวินกระซิบกับเพื่อนอีกคนอย่างแผ่วเบา หากแต่ดังพอที่คนในห้องจะได้ยิน ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงฝีเท้าของคนทั้งสอง ก้าวออกจากบริเวณหน้าห้อง เดินลงบันไดไป
รามภณซุกหน้าลงกับหมอน มือทั้งสองข้างวางอยู่ข้างลำตัว มันค่อยๆ ขยับกำเข้าหากันแน่น
เมื่อครู่เขาชกวสวัตติ์ หมัดของเขาโดนหน้าเพื่อนอย่างจัง แม้แต่เวลานี้ ข้อนิ้วก็ยังเป็นรอยแดงอยู่
มือของเขาเจ็บ แต่หัวใจเจ็บยิ่งกว่า...
ทำร้ายเพื่อนที่คบกันมานาน ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวด หากแต่คนถูกทำร้ายจะรู้ไหมหนอ ว่าเขาเจ็บปานใด
แล้วใครกันเล่าที่ผิด ใครกันเล่าที่ปิดบังความจริง...
รามภณค่อยๆ ยันตัวขึ้น พลิกกลับขึ้นมานั่ง
หากวสวัตติ์บอกความจริงกับเขาแต่แรก เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้... ใช่แล้ว เรื่องมันต้องไม่เป็นแบบนี้ แต่จะเป็นอย่างไรกัน หากวสวัตติ์บอกกับเขาตามตรง เขาจะยอมรับได้หรือ...
ที่เขาชกวสวัตติ์ เป็นเพราะวสวัตติ์ปิดบังเขา หรือเพราะเขายอมรับไม่ได้ว่าเพื่อนก็ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน
รามภณเงยหน้ามองเพดานแล้วถอนหายใจยาว
ไอ้วัตติ์...ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย
% ====================
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น