ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ ๑๐
ตอนที่ ๑๐
วสวัตติ์นั่งนิ่งจนตัวเกร็งอยู่ที่เก้าอี้กลางห้องจิตรกรรม แม้จะรู้สึกอึดอัด แต่เขายังพยายามทนนั่งนิ่ง ไม่ยอมขยับแม้แต่ปลายนิ้ว เขารู้สึกว่า การเป็นแบบวาดภาพ จะต้องทำตัวให้นิ่งที่สุด และอยู่ในท่านั้นนานเป็นชั่วโมงๆ
ทว่าสำหรับรมัณยา...ไม่ใช่อย่างนั้น
หญิงสาวนั่งอยู่ตรงข้ามเขา พร้อมกับดินสอในมือ ด้านหน้าเธอก็มีกระดานรองเขียนหนีบกระดาษสำหรับวาดภาพเตรียมไว้แล้ว ทว่าเกือบยี่สิบนาทีที่ผ่านมา เธอยังไม่ได้จรดดินสอลงบนกระดาษเลย
ในที่สุด...รมัณยาวางดินสอ แล้วเดินมาทางเขา ทำให้ท่าทีของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
"เมื่อยมั้ย" หญิงสาวถามเสียงเรียบ
"นิดหน่อย" เขาตอบ พร้อมกับยิ้มแห้งๆ
"ถ้าอย่างนั้นก็ลุกขึ้นมาขยับบิดไปบิดมาบ้างสิ"
"แต่...เธอยังวาดไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ"
"ยังไม่ได้วาดเลยต่างหาก..."
"หา!" วสวัตติ์อุทานออกมา
"ก็นายนั่งตัวเกร็งขนาดนั้น เราวาดไม่ได้น่ะ"
"เอ้อ..."
"ไม่ต้องเอ้ออ้าหรอก" หญิงสาวบอก พลางจัดการเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋า "วันนี้พอก่อนดีกว่า เดี๋ยวนายก็ต้องไปซ้อมแล้วไม่ใช่เหรอ"
วสวัตติ์นิ่งไป มองเธอเก็บของเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นเหวี่ยงกระเป๋าสะพายบ่า กำลังจะก้าวออกจากห้อง เขาจึงตรงเข้าไปคว้าต้นแขนเธอไว้
"เธอ...เอ่อ...ไม่โกรธใช่มั้ย"
รมัณยาหันกลับมายิ้มอย่างอ่อนหวาน "โกรธอะไร...นายไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ เป็นแบบวาดรูปครั้งแรกก็แบบนี้แหล่ะ เราเคยเจอมาแล้ว"
ดวงตาคมสวยแม้ว่ากำลังจ้องมองวสวัตต์ ทว่าแววตานั้นกลับทอดลอยไปไกลแสนไกล ไปสู่ห้วงของความคิดคำนึง
ในห้วงคำนึงของเธอมีใครอยู่นั้น จะมีใครบ้างที่รู้ จะมีใครบ้างที่สังเกตเห็นความผิดปกติในแววตาของเธอ...
% ###
เสียงผิวปากดังมาแผ่วๆ ฟังดูหงอยเหงา และอ้างว้าง
รมัณยาผิวปากเป็นทำนองเพลงเพียงผูกพันธ์...เพลงที่เธอแต่งขึ้น ด้วยความคิดถึงคนึงหา
หญิงสาวเดินผ่านหน้าชมรมวิทยุกระจายเสียงในเวลาเดียวกับที่รามภณกำลังจะก้าวเข้าห้องชมรมพอดี ชายหนุ่มจึงชะงักเท้า หันมาร้องทักเธออย่างตื่นเต้น เธอก็ยิ้มทักทายตอบอย่างเป็นกันเอง
หากแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดคุยอะไรกัน มายาวดีก็ผลักประตูห้องชมรมออกมา แล้วตรงเข้ากอดแขนรามภณไว้แน่น
"มาแล้วทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะ" มายาวดีบอก ก่อนที่จะเหลียวมองคู่แข่งคนสำคัญ "อ้าว รมัณยาเองเหรอ ขอโทษทีนะ ไม่ทันได้มอง" เธอว่า ยิ่งกอดแขนรามภณแน่นเข้าอีก
"มายาวดี เอ่อ..." ชายหนุ่มพยายามออกแรงดึงแขนตัวเองออกเบาๆ ไม่อยากให้ดูเหมือนเขาแสดงท่าทีรังเกียจ แต่ก็ไม่อยากให้รมัณยาเห็นเขาในสภาพนี้
ทว่าเธอเห็นแล้ว เห็นท่าทีของมายาวดี เห็นไปจนถึงความรู้สึกของหญิงสาวตรงหน้า ดั้งนั้นเธอจึงยิ้ม ขำกับสีหน้ากระอักกระอ่วนของรามภณ
"เราไม่รบกวนล่ะ ไปก่อนดีกว่า" เธอบอก ก่อนจะเดินผ่านพวกเขาไป
เมื่อรมัณยาเดินเลี้ยวหายไปแล้ว มือของมายาวดีก็คลาย รามภณจึงรีบดึงแขนออกจากการยึดกุม ขยับห่างออกจากเธออีกเล็กน้อย
"เธอไม่ควรทำแบบนี้เลย" รามภณขมวดคิ้วบอกเสียงเบา ด้วยไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ
"ทำไม ฉันทำอะไรเหรอ" หญิงสาวลอยหน้าถาม "ฉันก็แค่ทักทายธรรมดา"
"แต่การกระทำของเธอ มันทำให้รมัณยาเข้าใจผิด!" เขาเริ่มเสียงดังขึ้น ทั้งยังจ้องหน้าเธอเขม็งนิ่ง ทำเอามายาวดีอดหวั่นใจไม่ได้... เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ เขาสุภาพ อ่อนโยนเสมอมา ไม่ว่ากับผู้หญิงคนไหน เขาใจดี และนุ่มนวล แต่ครั้งนี้...เพราะรมัณยา
รามภณเห็นหญิงสาวตรงหน้านิ่งไปด้วยความตื่นตกใจเช่นนั้น เขาจึงก้มหน้า ลดเสียงลง
"ขอโทษ" เขาบอก คิดว่าจะเดินหนีไปจากบรรยากาศอึดอันนี้เสีย ทว่าคำเตือนของเพื่อนกลับรั้งเท้าเขาไว้
...เอ็งก็ควรจะทำอะไรให้มันชัดเจน ไม่อย่างนั้น คนที่จะต้องเสียใจ ไม่ได้มีแค่เอ็งกับพวกเธอ...
จริงสิ เขาควรบอกเธอ พูดกับเธอให้รู้ชัดไปเลย
รามภณสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะหันมองใบหน้าหญิงสาวอีกครั้ง ด้วยสีหน้าและแววตาจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
"มายาวดี" เขาพูดขึ้น "ไม่ว่าเธอจะทำยังไง ฉัน...ฉันก็ยังรู้สึกกับเธอมากไปว่านี้ไม่ได้ ฉันไม่เคยคิดจะชอบเธอ"
นี่เป็นคำพูดที่รุนแรงที่สุดที่เขาเคยพูดกับผู้หญิง และเป็นคำพูดที่ทำให้หญิงสาวตรงหน้าตะลึงงันไป...เสียใจ เศร้าใจ นั่นยังไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมดที่มีอยู่ในใจมายาวดี แต่เธอยังรู้สึกเหมือนถูกมือร้อนลวกตบใส่ใบหน้าฉาดใหญ่ ที่แล้วมา เธอทั้งเย่อหยิ่ง ทั้งทะนงรูปสมบัติ และคุณสมบัติที่มีอยู่ในตน หากแต่ครั้งนี้ เธอกลับถูกปฏิเสธราวกับว่า เธอช่างไร้คุณค่า ไม่มีความหมายในสายตาเขาเลย
เธอไม่ได้ร้องไห้ เธอจะร้องไห้ในที่สาธารณะเช่นนี้ไม่ได้ ทว่าแม้ไม่มีน้ำตา แม้ใบหน้าเธอจะฉาบทับด้วยแป้งแต่งหน้า หากแต่เครื่องสำอางค์เหล่านั้น จะอย่างไรก็ไม่สามารถปกปิดความปวดร้าวที่ฉายผ่านแววตาคู่สวยนั้นมาได้
หญิงสาวก้มหน้า หันหลังเดินห่างออกมา เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำหญิง มองตัวเองผ่านกระจกบานโตในห้องน้ำ
เธอไม่สวยหรือ... เธอถามตัวเองในใจ ...เธอมีที่ใดน่ารังเกียจ ทำไมเขาจึงพูดแบบนั้น ทำไมเขาจึงไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของเธอบ้างเลย
หยาดน้ำหยดหนึ่งไหลอาบแก้มที่เป็นสีชมพูระเรื่อด้วยแป้งแต่งหน้า หยดที่สองก็ค่อยๆ ไหลตามลงมา หยดที่สาม และหยดที่สี่ ในที่สุดเธอยกมือปิดปาก เปล่งเสียงสะอื้นออกมาเบาๆ
% ###
จิตใจของผู้หญิงนั้น บอบบาง และละเอียดอ่อน แม้ศาสตราจะไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพวกเธอนัก แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งนี้ ต้องการการทะนุถนอม...
หากแต่การทะนุถนอมจะต้องทำอย่างไรนั้น สุดที่เขาจะรู้ได้ เพราะแม้ว่าเขาจะทำอย่างไร อ่อนโยนต่อเธอเพียงไหน เธอก็ยังร้องไห้
ทำไมระยะหลังมานี่ จึงมีเหตุให้เธอร้องไห้เสียทุกครั้งที่พบกัน แม้ว่าเขาจะไม่ล่วงรู้ถึงสาเหตุ แต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ
...หรือจะเป็นเพราะเขา
มือใหญ่ข้างหนึ่งวางลงบนบ่า ศาสตราจึงหันมองเจ้าของมือซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง เยื้องไปทางด้านข้าง
"เอาน่า หมอบอกว่าอีกสองสามอาทิตย์ก็ลงซ้อมได้แล้วนี่" คณินทรบอก พร้อมกับก้าวข้ามม้านั่งสำรองมาทรุดนั่งลงข้างเขา
หลังจากพักฟื้นที่บ้านอยู่เป็นนาน จนอาการดีขึ้นมาก และถอดเฝือกออกแล้ว ศาสตราก็กลับมาเข้าชมรมต่อ หากแต่ยังไม่สามารถลงซ้อมได้ เขาจึงมีแต่ต้องนั่งอยู่ที่ม้านั่งสำรอง มองดูเพื่อนๆ ซ้อมกันเท่านั้น
"เอ็งนี่มันอึดดีจริงๆ" คณินทรพูดกลั้วหัวเราะ "หมอบอกว่าขาเอ็งหายเร็ว มียาอะไรดีรึเปล่าวะ"
ศาสตราไม่ได้ตอบ เพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ
"ส่วนเรื่องคนที่ทำน่ะ ข้ารู้หมดแล้วนะ" คณินทรพูดต่อ หากแต่ประโยคนี้ทำเอาศาสตราต้องหันขวับไปมองประธานชมรมของตน
"แล้ว...ประธานฯ จะทำยังไง" เขาอ้ำอึ้งถาม
"ตอนนี้ยังไม่ทำยังไง รอไว้ให้งานกีฬาผ่านไปก่อนค่อยว่ากัน เอ็งคงไม่คิดว่าข้าเห็นแก่ประโยชน์ของทีมมากเกินไปใช่มั้ย"
ศาสตราสั่นหัวแรงๆ แทนคำตอบ เขาเองยังไม่คิดแม้แต่จะให้คณินทรรู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
"อีกอย่าง" คณินทรพูดขึ้นอีก "ข้าจะยังไม่เปลี่ยนตัวกัปตันทีม จนกว่าจะถึงนาทีสุดท้าย"
"แต่ ประธานฯ ปลายเดือนหน้าก็งานกีฬาแล้ว ผมคงหายไม่ทันแน่ๆ"
"เฮ้ย...เอ็งก็เร่งวันเร่งคืนให้มันหายหน่อยสิวะ" คณินทรพูดติดตลก จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นจริงจังต่อ "ฟุตบอลน่ะ นาทีสุดท้ายยังยิงเข้าได้เลย"
"แต่ว่า..."
"ไม่ต้องแต่เลย ข้าเชื่อว่าอึดๆ อย่างเอ็ง หายทันแน่ๆ" เขาบอกพลางตบบ่าศาสตราอีกสองทีเป็นเชิงให้กำลังใจ จากนั้นจึงลุกเดินไปทางลูกทีมคนอื่นต่อ
หายทัน...เขาต้องหายให้ทัน ในเมื่อคณินทรเชื่อมั่นในตัวเขาถึงขนาดนั้นแล้ว เขาจะไม่พยายามให้สมกับความเชื่อมั่นนั้นได้อย่างไร เขาจะต้องหายทันลงแข่งในงานกีฬามหาวิทยาลัยแน่ๆ แม้ว่าจะต้องรอลุ้นจนถึงนาทีสุดท้ายก็ตาม
% ###
หากแต่สำหรับชมรมยิงธนู ไม่มีปาฏิหาริย์ในนาทีสุดท้าย...
สายธนูถูกน้าวจนตึง ก่อนจะถูกปล่อยให้ดันลูกธนูพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย หากแต่เมื่อลูกธนูปักตรึงอยู่บนเป้าแล้ว คนยิงกลับนิ่วหน้าอย่างหงุดหงิด
วสวัตติ์ยังคงยิงพลาด ออกนอกวงสีเหลืองตรงกลางเป้า ทั้งที่โดยปกติแล้ว เขาแทบจะไม่พลาดเลยในการยิงระยะสิบแปดเมตร
"ประธาน เป็นอะไรรึเปล่า พักก่อนดีกว่ามั้ย" เลขาหนุ่มของชมรมยิงธนู ซึ่งนั่งจดแต้มให้เขาอยู่ เอ่ยถามออกมาอย่างห่วงใย
วสวัตติ์ก้มหน้า สั่นศีรษะเล็กน้อย...เหลือเวลาอีกเดือนเศษๆ ก็จะต้องแข่งแล้ว แต่ฝีมือของเขากลับตกลงอย่างต่อเนื่องแบบนี้ เขายังจะดันทุรังลงแข่งอีกหรือ
ชายหนุ่มเดินก้มหน้ากลับมาทางเลขาชมรม
"ฉันตัดสินใจแล้ว ปีนี้ฉันถอนตัว ให้บดินทร์ลงแทนก็แล้วกัน"
เลขาหนุ่มอ้าปากจะถามอะไรบางอย่าง แต่แล้วกลับยั้งไว้...หากจะถามว่าทำไม ก็คงไม่เป็นเรื่อง เพราะคำตอบก็อยู่ในสมุดจดแต้มในมือของเขานี่เอง
วสวัตติ์เดินกลับเข้ามาในชมรม จัดการเก็บอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วจึงนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิดอยู่ภายในห้องเก็บอุปกรณ์นั้น
เสียดาย... เมื่อปีที่แล้วเขาชนะเลิศจากการแข่งขันยิงธนูในระยะสามสิบเมตร ปีนี้เขาจึงเป็นตัวเก็ง มีโอกาสที่จะได้แข่งในระดับประเทศ แต่กลับต้องตัดสินใจถอนตัว
ความคิดของเขา วกวนอยู่ในเรื่องการแข่งขัน ก่อนจะเลื่อนลอยออกไป สุดท้ายกลับมาวนเวียนอยู่ที่คนคนเดียว...รมัณยา
เธอจะโกรธเขามั้ยนะ ที่ทำให้เธอวาดภาพไม่ได้ แต่เธอก็ไม่พูดอะไรทำนองนั้นนี่ บางทีเธออาจจะไม่พอใจ แต่ไม่ได้แสดงออก แล้วนี่เขาควรจะทำอย่างไรดี เธอยังอยากจะวาดภาพเขาอีกรึเปล่า
ไม่สิ เวลานี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องนี้ เขาเป็นประธานชมรม ต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป แม้จะตัดสินใจไม่แข่งแล้วก็ตาม
ในที่สุด เพื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายทั้งปวงออกจากสมอง เขาจึงกลับออกไปยังสนามฝึกซ้อม เพื่อดูแลการฝึกซ้อมของนักกีฬาคนอื่นๆ ที่น่าจะเป็นความหวังได้มากกว่า
% ###
รามภณนิ่งเงียบมาตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน
หลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นแล้ว มายาวดีก็ไม่ได้กลับเข้ามาที่ชมรมอีกเลย
บางทีเธออาจจะไม่กลับมาเหยียบชมรมนี้อีกแล้ว บางทีเธออาจจะลาออก และไม่มาพบหน้าเขาอีกเลย
เขาเอง เป็นคนพูดกับเธอแบบนั้น เขาเป็นคนทำร้ายจิตใจเธอ ทำให้เธอเจ็บ แต่เขาก็รู้สึกแย่ต่อการกระทำของตัวเองเช่นกัน
เสียใจหรือ...รามภณก็ยังไม่เข้าแน่ใจ อาจจะเป็นความรู้สึกผิดเสียมากกว่า...ผิด ที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเสียใจ
เรื่องของความรัก ช่างหนักหนา ยากเกินกว่าความเข้าใจจริงๆ
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาเพื่อนๆ ผู้โดยสารทั้งสี่คนหันกลับมาสนใจเขาเป็นตาเดียว
"ภณ เป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนคนอกหัก" ศาสตราถามโพล่งออกมา
อกหัก...ไม่ใช่เขาเสียหน่อย
"เปล่า"
"มีเรื่องอะไรก็บอกนะโว้ย เพื่อนมีไว้ปรึกษา" วสวัตติ์เอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย
"ใช่ๆ จะฆ่าตัวตายก็มาปรีกษาข้าก่อนล่ะ จะได้แนะนำวิธีดี..."
ผัวะ!
เสียงฝ่ามือสองประสานของวสวัตติ์กับภวาภพฟาดลงที่ศีรษะของธาวิน ยั้งปากของเขาไว้ก่อนที่เขาจะพูดจบ
"แหะๆ ล้อเล่นน่ะเพื่อน"
"ขอบใจ แต่ไม่มีอะไรจริงๆ" รามภณบอก "มัน...เป็นเรื่องที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะ"
"แก้ไขไม่ได้ แล้วจะกลุ้มใจทำไม" ภวาภพบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
"จริงสินะ" รามภณพูดกับตัวเอง ก่อนจะเบนหัวข้อสนทนาออกจากเรื่องของตัวเอง "เรื่องงานกีฬาน่าสนใจกว่าเยอะ พวกเอ็งซ้อมกันไปถึงไหนแล้วล่ะ เอาข่าววงในมาบอกกันบ้างสิ ข้าจะได้เอาไปออกอากาศ ฮะๆ"
ทว่าหัวข้อสนทนานี้ ทำให้สีหน้าของวสวัตติ์หมองลงไป จนภวาภพสังเกตได้
"ไอ้วัตติ์ ชมรมเอ็งมีอะไรรึเปล่า" ภวาภพถามเสียงนิ่งๆ อีกเช่นเคย
"ข้า...ข้าว่าจะถอนตัว"
"เฮ้ย!" เสียงอุทานของอีกสามหนุ่มที่เหลือดังลั่นรถ จนคนถามและคนตอบต้องเอานิ้วอุดหู
"ล้อเล่นแบบนี้ไม่สนุกนะโว้ย" ศาสตราหันไปตะคอกกลับ สีหน้าจริงจัง
"นั่นสิ ทำไมถึงถอนตัววะ" รามภณส่งเสียงถาม น้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน หากแต่สายตาไม่อาจละจากเส้นทางตรงหน้าได้
"ปีนี้ข้าไม่พร้อมว่ะ มันเนือยๆ บอกไม่ถูก"
"ไม่พร้อมอะไรวะ ข้าไม่พร้อมยิ่งกว่าเอ็งอีก ขาก็เพิ่งถอดเฝือกเนี่ย" ศาสตราว่า แทบจะยกขาก่ายพนักพิงให้เพื่อนดู
วสวัตติ์เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ...ศาสตราแค่ไม่พร้อมทางร่างกาย ทว่าเขา ไม่พร้อมทางด้านจิตใจ
...ไม่ว่ากีฬาประเภทไหน จะทำอะไร จิตใจสำคัญกว่าร่างกายมากนัก
วสวัตติ์มองออกไปยังชายหาดอันมืดมิดนอกหน้าต่างรถ ภาพรมัณยาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในสมอง ไม่อาจสลัดออกจากห้วงคำนึงได้เลย
% ###
"นายลองลุกเดินไปเดินมาสักหน่อยสิ" เสียงรมัณยาเอ่ยขึ้น หลังจากที่เห็นวสัตติ์เตรียมจะลงไปนั่งตัวเกร็งเป็นแบบให้เธอวาดรูปอย่างคราวที่แล้วอีก
วสวัตติ์ทำตามแต่โดยดี เขาลุกจากเก้าอี้กลางห้อง เดินไปทางหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก แล้วสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะหันกลับมาทางหญิงสาวที่กำลังวางกระดานรองเขียนลงบนขาตั้งแบบสามขา
รมัณยา ไม่ว่าเธอจะอยู่ในท่าทางไหน ลักษณะใด จะในชุดนักศึกษาเรียบๆ อย่างในวันนี้ หรือในชุดส่าหรีประยุกต์สีแดงสดอย่างในครั้งแรกที่เขาเห็นเธอบนเวที เธอก็ยังดูสวยคม มีเสน่ห์ ในแบบของเธอเอง
อาจจะเป็นเพราะดวงตาคู่นั้น ที่ไม่ว่าจะมองไปยังผู้ใด ก็คล้ายกับจะจ้องลึกไปในจิตใจของคนผู้นั้นได้เสมอ
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่า เพื่อนเขาก็ชอบเธอ เขาคงจะเปิดเผยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจออกมามากกว่านี้...
ราวกับเธอจะรู้ว่าเขามองเธออยู่ หญิงสาวจึงเงยหน้ามองตอบ พร้อมกับรอยยิ้ม
"ดีเลย ยืนตรงนั้นก่อนนะ" เธอร้องสั่ง จากนั้นจึงหันซ้ายหันขวา แล้วก้าวไปหยิบไม้บรรทัดเหล็กอันยาว ที่แขวนไว้อยู่ข้างผนัง มายื่นส่งให้เขา "เอานี่ไปถือไว้แทนคันธนูก่อน แล้วตั้งท่าเหมือนจะยิงธนูนะ"
"หือ" ชายหนุ่มนักธนูเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
"ท่านายตอนยิงธนู ดูมีพลังมากเลย" เธอบอกพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วจึงเดินกลับไปประจำที่ที่หน้ากระดานรองเขียน จากนั้นจึงชี้มือไปที่ผนังด้านข้าง "อ้อ หันไปทางด้านโน้นหน่อยสิ แสงจากข้างนอกจะได้ส่องมาทางนี้พอดี"
วสวัตติ์ทำตามที่เธอบอก แต่กระนั้นไม้บรรทัดเหล็กช่างให้ความรู้สึกแตกต่างจากคันธนูเสียจริง เขาจึงวางไม้บรรทัดเหล็กพิงไว้กับผนังใต้บานหน้าต่างเสีย แล้วจินตนาการเอาว่าตัวเองกำลังถือคันธนูอยู่ในสนาม เล็งเป้าเตรียมยิง
รมัณยายิ้มออกมาอย่างพอใจ แล้วลงมือจรดดินสอ ลากไปมาอย่างชำนาญ เพียงไม่นาน ภาพร่างสัดส่วนคร่าวๆ ของชายหนุ่มครึ่งตัวก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ
"ตายล่ะ เลยเวลาที่นายต้องไปซ้อมแล้วสิ" หญิงสาวร้องออกมา เมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาบนผนัง ซึ่งบอกเวลาบ่ายสี่โมงเศษๆ "ขอโทษๆ เราทำให้นายสายนะเนี่ย"
วสวัตติ์ลดมือลง บิดไปมาเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อย
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้เป็นนักกีฬา ไม่ต้องไปซ้อมก็ได้" เขาบอก แววตาหมองลงนิดหนึ่ง
"เฮ้ๆ แต่นายเป็นประธานชมรมนะ"
ชายหนุ่มยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ
รมัณยาพลิกกระดาษลงมาปิดภาพวาดที่ยังร่างไม่เสร็จ แล้วจึงเก็บอุปกรณ์อื่นๆ ใส่กระเป๋า ก่อนจะโยนมันขึ้นพาดบ่า วสวัตติ์จึงช่วยเธอเก็บกระดานรองเขียน แล้วหิ้วตามเธอไปถึงหน้าห้องจิตรกรรม
"ขอบใจ พรุ่งนี้คงต้องรบกวนอีก แล้วเจอกันนะ" หญิงสาวบอกอย่างร่าเริง ก่อนจะรับกระดานรองเขียนกับขาตั้งที่พับเก็บเรียบร้อยแล้วมาจากมือเขา แล้วเดินออกไปตามทางเดิน
ขณะนั้นเอง ที่บริเวณทางเดินมุมอาคาร สายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาผ่านเลนส์ไร้กรอบ
ความบังเอิญที่นำพาให้จิรัชย์เดินผ่านมาทางนั้น ผ่านมาทันได้เห็นพวกเขาที่หน้าห้องจิตรกรรม และเป็นความบังเอิญที่ทำให้เขาเหยียดยิ้มออกมาอย่างเลศนัย
% ###
สองวันแล้ว ที่มายาวดีไม่ได้ไปที่ชมรมวิทยุกระจายเสียง
สองวันแล้ว ที่เธอถูกปฏิเสธ
...ฉันไม่เคยคิดจะชอบเธอ...
เสียงของรามภณยังดังก้องอยู่ในหัว เสียงที่นุ่มนวล อ่อนโยน ราวกับดอกกุหลาบดอกโต สวยงาม หากแต่กุหลาบยิ่งดอกใหญ่ หนามก็ยิ่งแข็ง ยิ่งแหลมคม เฉกเช่นความหมายในวาจา ที่ทิ่มแทงจนหัวใจอ่อนๆ ของเธอจนพรุนไปหมด
น้ำตา...มันยังไหลอยู่ทุกครั้งที่เธอคิดถึงคำพูดเหล่านี้ เธอไม่ได้เป็นคนอ่อนแอ แต่จะทำอย่างไรมันไม่ยอมหยุดไหลเสียที
ก็เพราะไม่เคยมีใครทำกับเธอแบบนี้ ไม่เคยมีเลย ความเจ็บปวดครั้งแรก ย่อมเจ็บที่สุด ให้จดจำไปนานที่สุด
เสียงเพลงจากโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของสวนริมทะเล ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย มือหนึ่งซับหยดน้ำบนแก้มขาวเนียน อีกมือคว้าเอาโทรศัพท์เครื่องบางในกระเป๋าถือยี่ห้อดังขึ้นมาดูชื่อบนหน้าจอ ก่อนจะกดต่อสัญญาณ
"จิรัชย์ มีอะไร" เธอกรอกเสียงที่ยังไม่ปกตินัก เนื่องจากน้ำมูกยังตันอยู่ในโพรงจมูก
"เสียงไม่ดีเลยนี่ ร้องไห้อยู่หรือไง" อดีตหวานใจตอบกลับมาอย่างไม่เกรงใจต่อความรู้สึกของเธอเลย
...ราวกับจะเย้ยหยัน
"ถ้าไม่มีอะไร ฉันจะวาง" เธอบอกเสียงหงุดหงิด
"อะไรกัน ฟังข่าวดีก่อนสิ"
"ข่าวดีอะไร"
"บอกกันตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ"
"จะโยกโย้อะไรอีกล่ะ ฉันไม่มีอารมณ์คุยเล่นด้วยหรอกนะ"
"อย่าเพิ่งโมโห เอาอย่างนี้ดีกว่า ตอนนี้เธออยู่ไหน"
"สวนริมทะเล"
"รออยู่ตรงนั้นก่อน เดี๋ยวฉันจะไปหา"
หญิงสาวกดตัดสัญญาณแล้ว เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วจึงนั่งรอฟัง 'ข่าวดี' อยู่ที่ม้าหิน
ทว่าคนที่รอฟังกลับไม่ได้มีแต่มายาวดี เพราะที่ตรงนั้นบังเอิญเป็นบริเวณเงียบสงบซึ่งภวาภพมักจะมานอนปล่อยอารมณ์อยู่เป็นประจำ โดยมีธาวินพ่วงมาด้วยเสมอ พวกเขาหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ความจริงก็ไม่ใกล้เท่าใดนัก เพียงแต่ใกล้พอที่จะได้ยินคำพูดของเธอทุกคำ
"ข่าวดีอะไรวะ" ธาวินกระซิบ ทว่าภวาภพไม่ตอบ เพียงยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก เป็นสัญญาณให้เพื่อนเงียบเสีย
พวกเขารอไม่ถึงสิบห้านาที ก็เห็นจิรัชย์เดินลงมายังสวนด้วยสีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงไม่น้อย เขาเดินตรงไปยังม้าหินที่มายาวดีนั่งอยู่ทันที โดยไม่ได้สังเกตว่า ในบริเวณนั้นยังมีใครคนอื่นอีก
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ ซึ่งเวลานี้มาทรุดนั่งลงข้างๆ เธอแล้ว
"มีข่าวดีอะไรก็ว่ามา" เธอบอกเสียงห้วน
"แหม ใจร้อนจริงๆ นะ ขอนั่งพักก่อนสิ" ชายหนุ่มบอก น้ำเสียงทีเล่นทีจริง
"ถ้าไม่มีอะไร ฉันจะกลับบ้านแล้ว" เธอไม่พูดเปล่า แต่ลุกยืนพร้อมกับคว้ากระเป๋า ตั้งท่าจะเดินออกไปจากบริเวณนั้นจริงๆ จิรัชย์จึงลุกขึ้นบ้าง พร้อมกับส่งเสียง
"วันนี้ฉันเห็นรมัณยาที่ห้องจิตรกรรม..."
ชื่อ รมัณยา ทำเอาหญิงสาวต้องชะงักเท้า มือที่ถือกระเป๋าใบสวยอยู่นั้นกำแน่น ทั้งยังสั่นนิดๆ
"ไม่เกี่ยวกับฉัน" มายาวดีแค่นเสียงบอก
"เกี่ยวสิ เพราะฉันไม่ได้เห็นแค่รมัณยา วสวัตติ์ก็อยู่ที่นั่นด้วย"
ชื่อของชายอีกคนหนึ่งสะกิดให้เธอเริ่มสนใจเนื้อสารที่จิรัชย์ต้องการจะสื่อ หากแต่ด้วยความถือตัว เธอจึงยังนิ่งเฉยอยู่
"ไม่เห็นแปลก เขาอาจจะมีธุระก็ได้" หญิงสาวค้านขึ้น หากแต่ความจริง ต้องการจะกระตุ้นให้เขาบอกกล่าวเนื้อความสำคัญออกมาโดยไว
"ร้อยวันพันปี หมอนั่นไม่เคยไปห้องจิตรกรรม แต่วันนี้มันอยู่ที่นั่นกับรมัณยา ท่าทางสองคนนั่นก็สนิทกันน่าดู อีกอย่างฉันรู้ว่าวสวัตติ์ต้องชอบรมัณยาแน่ๆ"
"เธอรู้ได้ยังไง"
"ผู้ชายด้วยกัน ดูกันออกอยู่แล้ว" จิรัชย์ว่า พลางเหยียดยิ้มออกมา "ต่อหน้าคนอื่น หมอนั่นทำเป็นรักเพื่อน ปกป้องเพื่อน ที่ไหนได้ ตัวมันเอง กลับหักหลังเพื่อน!"
ประโยคสุดท้ายของจิรัชย์ ทำเอาภวาภพและธาวินต้องหันมองหน้ากันด้วยความฉงนฉงาย... เป็นไปไม่ได้!
"อะไรที่ฉันรู้มา ฉันก็บอกไปหมดแล้ว" จิรัชย์พูดต่อ "จากนี้ก็แล้วแต่เธอล่ะ ว่าจะทำยังไงต่อไป" ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตาใต้แว่นไร้กรอบที่เหลือบมองหญิงสาวอยู่นั้นมีประกายวาววับ ราวกับพรานป่าที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ กำลังจ้องมองกวางน้อยเดินมาติดกับดักของตัว
% ###
"เป็นไปได้เหรอวะ" ธาวินกระซิบถามขึ้น แม้ว่าจะเห็นมายาวดีกับจิรัชย์เดินออกไปจากบริเวณนั้นไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กล้าส่งเสียงดัง
ภวาภพส่ายหน้า เขาไม่รู้ ไม่เคยสังเกตวสวัตติ์ในเรื่องนี้มาก่อน เมื่อครั้งที่วสวัตติ์อาสาไปดูละครเวทีกับรามภณ เขาก็คิดแต่ว่าวสวัตติ์คงต้องการไปเป็นเพื่อน ไม่มีีเจตนาอื่นแอบแฝง เขารู้ว่าระยะหลังมานี้วสวัตติ์ก็ดูเงียบไป ซึ่งก็อาจะเป็นเพราะปัญหาในชมรม หรืออาจเป็นเพราะเขาต้องถอนตัวจากการแข่งกีฬามหาวิทยาลัยด้วยสาเหตุบางอย่าง
...ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้
...ถ้ารามภณรู้เรื่องเข้า จะเป็นอย่างไรหนอ
"แต่มันอาจจะไม่จริงก็ได้นะ" ธาวินกระซิบขึ้นอีก "แค่ความเห็นของจิรัชย์ มันอาจจะอคติ ทำให้คิดไปแบบนั้น บางทีไอ้วัตติ์อาจจะไม่ได้มีอะไรก็ได้"
ภวาภพนิ่ง ใช้ความคิด เขาเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ สรุปอะไรไม่ได้
"เอ็งว่ามายาวดีรู้แล้ว จะทำยังไงต่อ" ธาวินถามขึ้นอีก
ภวาภพส่ายหน้าอีก เขาจะรู้ได้อย่างไร จิตใจของผู้หญิง บางครั้งก็ดีแสนดี แต่บางทีก็ร้ายเหลือรับ
"ถ้าให้ข้าเดา" ธาวินบอก "จิรัชย์เอาเรื่องนี้มาบอกมายาวดี เพราะรู้อยู่แล้วว่ามายาวดีต้องรีบไปบอกรามภณอีกต่อหนึ่ง แล้วถ้ารามภณรู้..."
ธาวินหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าเพื่อนของเขารู้เรื่องนี้เข้า จะเป็นอย่างไรต่อไป
% ###
รามภณทำหน้าที่ของตนในห้องกระจายเสียงเรียบร้อยแล้ว จึงเดินออกมาที่ด้านนอก สมาชิกคนอื่นๆ ในชมรมต่างก็ขมักเขม้นทำหน้าที่ของตัวเอง จะขาดก็แต่เพียงมายาวดี...
เธอไม่ได้กลับมาที่ชมรมอีก ตั้งแต่ตอนนั้น หลังจากที่เขาพูดกับเธอไปตรงๆ เขาก็ไม่ได้เห็นเธออีกเลย... เหมือนกับจะหลบหน้า
ทำให้คนอื่นเจ็บ ใครว่าตัวเราเองจะไม่เจ็บไปด้วย...
รามภณคิดไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างเดินออกมาหยิบกระเป๋าของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยโทรศัพท์มือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงเกิดสั่นขึ้นมา บอกให้รู้ว่ามีข้อความถึงเขา
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู เห็นข้อความนั้นมาจากมายาวดีก็ไม่รอช้า รีบกดอ่านข้อความทันที
'มีเรื่องจะบอก รออยู่หลังตึกกิจฯ ...มายาวดี'
มีเรื่องจะบอก... เรื่องอะไรนะ
รามภณจัดแจงเก็บปึกสคริปท์เข้ากระเป๋า แล้วหิ้วเดินออกจากห้องชมรม อ้อมไปใช้บันไดทางด้านหลัง เดินลงไปยังหลังอาคารซึ่งเป็นบริเวณที่ระบุมาในข้อความ
มายาวดียืนหันหลัง กอดอกพิงเสาปูนอยู่บริเวณบันไดทางขึ้นอาคาร เมื่อรามภณเห็นแผ่นหลังบาง ซึ่งปกคลุมไปด้วยเส้นผมที่ถูกดัดเป็นลอนนั้น เขาก็เกิดอาการอึดอัดขึ้นมา
...อีดอัดเพราะไม่รู้จะคุยกับเธออย่างไร ...อึดอัดเพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นที่ใดดี
ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังลังเลที่จะก้าวเข้าไปหาเธอนั้น มายาวดีกลับเหลียวหน้ากลับมาเสียก่อน เธอยิ้มที่มุมปากน้อยๆ หากแต่ท่าทีไม่ได้มีความสนิทสนมเช่นกาลก่อน
"ฉันมีอะไรจะบอก" หญิงสาวเริ่มขึ้น
"อะไรเหรอ"
"เรื่องวสวัตติ์กับ...แม่นั่น"
"ไอ้วัตติ์กับใครนะ" ชายหนุ่มถามพลางย่นคิ้ว
"รมัณยา" หญิงสาวเหลือบมองไปทางอื่นในขณะที่เอ่ยชื่อนี้ "มีคนเห็นพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันที่ห้องจิตรกรรม"
"ก็ไม่แปลกนี่" รามภณคลายหัวคิ้วที่ขมวดอยู่เมื่อครู่ พร้อมรอยยิ้ม
"ไม่แปลก!" มายาวดีขึ้นเสียงสูง หันกลับมาจ้องคู่สนทนา "เพื่อนเธอเคยไปห้องจิตรกรรมด้วยเหรอ ถ้าไม่มีรมัณยา เขาจะไปที่นั่นเหรอ"
"เธอมองพวกเขาในแง่ร้ายไปแล้ว" ชายหนุ่มบอกแบบนั้น ทั้งที่ความจริง เขาเห็นว่ามายาวดีตั้งใจให้ร้ายพวกเขามากกว่า แต่การพูดออกไปตรงๆ อาจจะทำร้ายจิตใจเธออีก
"ฉันไม่อยากเห็นเธอถูกเพื่อนของตัวเองหักหลังหรอกนะ ถึงได้บอก"
"ขอบใจที่บอก แต่ไอ้วัตติ์ไม่มีทางทำอย่างนั้นเด็ดขาด เราเป็นเพื่อนกัน มันไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่"
"อยากโง่ก็ตามใจ!" มายาวดีกระแทกเสียง ก่อนสะบัดหน้าจากไปด้วยความหงุดหงิด
รามภณมองตามหลังหญิงสาว ...ไม่มีทาง... เขาบอกกับตัวเอง ...ไอ้วัตติ์ไม่มีทางทำแบบนั้นแน่
% ###
หลังจากเลิกชมรม วสวัตติ์ก็ไปยังสวนริมทะเล ซึ่งเป็นจุดนัดกับเพื่อนๆ ตามปกติ กลับบ้านกับเพื่อนๆ ตามปกติ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ หากแต่วันนี้จะผิดปกติไปบ้าง ก็ตรงที่เขากลายเป็นเป้าสังเกตของเพื่อนอีกสามคน ในจำนวนนี้มีรามภณรวมอยู่ด้วย
สำหรับรามภณ หากจะให้เปรียบเทียบระดับความเชื่อกับไม่เชื่อ ในเรื่องที่มายาวดีบอก ก็คงเป็นยี่สิบกับแปดสิบ แต่่ถึงจะเป็นสิบต่อเก้าสิบ ก็ยังคงมีส่วนที่เชื่ออยู่นั่นเอง
...หากจะให้ไม่เชื่อทั้งร้อย ก็คงต้องได้รับการยืนยันจากเจ้าตัว
"ไอ้วัตติ์" รามภณเอ่ยขึ้น ระหว่างที่พวกเขารอคิวเล่นเกมต่อจากศาสตราและธาวินอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านเช่า "ข้าว่าจะถามหลายครั้งแล้ว ทำไมปีนี้เอ็งไม่ลงแข่งวะ"
ประเด็นที่รามภณเปิด ดึงความสนใจจากทุกคนในห้องให้มารวมกันที่จุดเดียว
หนุ่มผมยาวมองสายตาเพื่อนๆ ที่จ้องมายังเขาอย่างสนใจใคร่รู้ เห็นว่าคงเลี่ยงลำบากแน่แล้ว จึงตอบถ่วงเวลาระหว่างคลำหาเหตุผลในสมอง
"ข้าบอกแล้วไง ปีนี้ข้าไม่พร้อม"
"ไม่พร้อมยังไงวะ เห็นซ้อมที่ชมรมอยู่ประจำ" ศาสตราถามขึ้นบ้าง
"หรือว่าเอ็งไม่ได้ไปชมรม" ภวาภพถามจี้เพื่อยืนยันเรื่องที่ได้ยินมา
"เฮ้ย ไม่ไปชมรมได้ยังไงวะ ข้าเป็นประธานนะโว้ย ต้องอยู่ชมรมสิ"
"ไม่ได้แวะเถลไถลที่ไหนเลยเหรอ" ธาวินถามขึ้นลอยๆ หากแต่จี้ตรงประเด็นที่สุด
"จะแวะอะไรวะ ข้าไม่มีที่ไหนให้แวะสักหน่อย" วสวัตติ์ตอบ "จะบอกให้ก็ได้ ช่วงก่อนหน้านี้ ที่ชมรมข้ามีคนเข้ามาสมัครเยอะ ข้าก็เลยไม่มีเวลาซ้อม เพราะมัวแต่ไปสอนไอ้พวกนี้ ถึงได้บอกว่าไม่พร้อมไง"
...ในที่สุดก็หาข้ออ้างจนได้
"พวกเอ็งมีอะไรจะถามอีกมั้ย ข้าจะไปนอนแล้ว" วสวัตติ์บอก พลางลุกจากโซฟา เมื่อเห็นเพื่อนๆ พากันส่ายหัวเป็นคำตอบ เขาจึงเดินปรี่ขึ้นห้องนอนของตัวเอง
...หรือว่าจะเป็นมายาวดีปั้นเรื่องขึ้นมาปั่นหัวพวกเขาจริงๆ
...หรือว่าจะเป็นจิรัชย์กุเรื่องขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาแตกคอกัน
ทั้งรามภณ ภวาภพ และธาวินต่างคิดกันไปต่างๆ นานา หากแต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่า เพื่อนของเขาจะอำพรางความจริง
% ====================
วสวัตติ์นั่งนิ่งจนตัวเกร็งอยู่ที่เก้าอี้กลางห้องจิตรกรรม แม้จะรู้สึกอึดอัด แต่เขายังพยายามทนนั่งนิ่ง ไม่ยอมขยับแม้แต่ปลายนิ้ว เขารู้สึกว่า การเป็นแบบวาดภาพ จะต้องทำตัวให้นิ่งที่สุด และอยู่ในท่านั้นนานเป็นชั่วโมงๆ
ทว่าสำหรับรมัณยา...ไม่ใช่อย่างนั้น
หญิงสาวนั่งอยู่ตรงข้ามเขา พร้อมกับดินสอในมือ ด้านหน้าเธอก็มีกระดานรองเขียนหนีบกระดาษสำหรับวาดภาพเตรียมไว้แล้ว ทว่าเกือบยี่สิบนาทีที่ผ่านมา เธอยังไม่ได้จรดดินสอลงบนกระดาษเลย
ในที่สุด...รมัณยาวางดินสอ แล้วเดินมาทางเขา ทำให้ท่าทีของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
"เมื่อยมั้ย" หญิงสาวถามเสียงเรียบ
"นิดหน่อย" เขาตอบ พร้อมกับยิ้มแห้งๆ
"ถ้าอย่างนั้นก็ลุกขึ้นมาขยับบิดไปบิดมาบ้างสิ"
"แต่...เธอยังวาดไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ"
"ยังไม่ได้วาดเลยต่างหาก..."
"หา!" วสวัตติ์อุทานออกมา
"ก็นายนั่งตัวเกร็งขนาดนั้น เราวาดไม่ได้น่ะ"
"เอ้อ..."
"ไม่ต้องเอ้ออ้าหรอก" หญิงสาวบอก พลางจัดการเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋า "วันนี้พอก่อนดีกว่า เดี๋ยวนายก็ต้องไปซ้อมแล้วไม่ใช่เหรอ"
วสวัตติ์นิ่งไป มองเธอเก็บของเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นเหวี่ยงกระเป๋าสะพายบ่า กำลังจะก้าวออกจากห้อง เขาจึงตรงเข้าไปคว้าต้นแขนเธอไว้
"เธอ...เอ่อ...ไม่โกรธใช่มั้ย"
รมัณยาหันกลับมายิ้มอย่างอ่อนหวาน "โกรธอะไร...นายไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ เป็นแบบวาดรูปครั้งแรกก็แบบนี้แหล่ะ เราเคยเจอมาแล้ว"
ดวงตาคมสวยแม้ว่ากำลังจ้องมองวสวัตต์ ทว่าแววตานั้นกลับทอดลอยไปไกลแสนไกล ไปสู่ห้วงของความคิดคำนึง
ในห้วงคำนึงของเธอมีใครอยู่นั้น จะมีใครบ้างที่รู้ จะมีใครบ้างที่สังเกตเห็นความผิดปกติในแววตาของเธอ...
% ###
เสียงผิวปากดังมาแผ่วๆ ฟังดูหงอยเหงา และอ้างว้าง
รมัณยาผิวปากเป็นทำนองเพลงเพียงผูกพันธ์...เพลงที่เธอแต่งขึ้น ด้วยความคิดถึงคนึงหา
หญิงสาวเดินผ่านหน้าชมรมวิทยุกระจายเสียงในเวลาเดียวกับที่รามภณกำลังจะก้าวเข้าห้องชมรมพอดี ชายหนุ่มจึงชะงักเท้า หันมาร้องทักเธออย่างตื่นเต้น เธอก็ยิ้มทักทายตอบอย่างเป็นกันเอง
หากแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดคุยอะไรกัน มายาวดีก็ผลักประตูห้องชมรมออกมา แล้วตรงเข้ากอดแขนรามภณไว้แน่น
"มาแล้วทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะ" มายาวดีบอก ก่อนที่จะเหลียวมองคู่แข่งคนสำคัญ "อ้าว รมัณยาเองเหรอ ขอโทษทีนะ ไม่ทันได้มอง" เธอว่า ยิ่งกอดแขนรามภณแน่นเข้าอีก
"มายาวดี เอ่อ..." ชายหนุ่มพยายามออกแรงดึงแขนตัวเองออกเบาๆ ไม่อยากให้ดูเหมือนเขาแสดงท่าทีรังเกียจ แต่ก็ไม่อยากให้รมัณยาเห็นเขาในสภาพนี้
ทว่าเธอเห็นแล้ว เห็นท่าทีของมายาวดี เห็นไปจนถึงความรู้สึกของหญิงสาวตรงหน้า ดั้งนั้นเธอจึงยิ้ม ขำกับสีหน้ากระอักกระอ่วนของรามภณ
"เราไม่รบกวนล่ะ ไปก่อนดีกว่า" เธอบอก ก่อนจะเดินผ่านพวกเขาไป
เมื่อรมัณยาเดินเลี้ยวหายไปแล้ว มือของมายาวดีก็คลาย รามภณจึงรีบดึงแขนออกจากการยึดกุม ขยับห่างออกจากเธออีกเล็กน้อย
"เธอไม่ควรทำแบบนี้เลย" รามภณขมวดคิ้วบอกเสียงเบา ด้วยไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ
"ทำไม ฉันทำอะไรเหรอ" หญิงสาวลอยหน้าถาม "ฉันก็แค่ทักทายธรรมดา"
"แต่การกระทำของเธอ มันทำให้รมัณยาเข้าใจผิด!" เขาเริ่มเสียงดังขึ้น ทั้งยังจ้องหน้าเธอเขม็งนิ่ง ทำเอามายาวดีอดหวั่นใจไม่ได้... เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ เขาสุภาพ อ่อนโยนเสมอมา ไม่ว่ากับผู้หญิงคนไหน เขาใจดี และนุ่มนวล แต่ครั้งนี้...เพราะรมัณยา
รามภณเห็นหญิงสาวตรงหน้านิ่งไปด้วยความตื่นตกใจเช่นนั้น เขาจึงก้มหน้า ลดเสียงลง
"ขอโทษ" เขาบอก คิดว่าจะเดินหนีไปจากบรรยากาศอึดอันนี้เสีย ทว่าคำเตือนของเพื่อนกลับรั้งเท้าเขาไว้
...เอ็งก็ควรจะทำอะไรให้มันชัดเจน ไม่อย่างนั้น คนที่จะต้องเสียใจ ไม่ได้มีแค่เอ็งกับพวกเธอ...
จริงสิ เขาควรบอกเธอ พูดกับเธอให้รู้ชัดไปเลย
รามภณสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะหันมองใบหน้าหญิงสาวอีกครั้ง ด้วยสีหน้าและแววตาจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
"มายาวดี" เขาพูดขึ้น "ไม่ว่าเธอจะทำยังไง ฉัน...ฉันก็ยังรู้สึกกับเธอมากไปว่านี้ไม่ได้ ฉันไม่เคยคิดจะชอบเธอ"
นี่เป็นคำพูดที่รุนแรงที่สุดที่เขาเคยพูดกับผู้หญิง และเป็นคำพูดที่ทำให้หญิงสาวตรงหน้าตะลึงงันไป...เสียใจ เศร้าใจ นั่นยังไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมดที่มีอยู่ในใจมายาวดี แต่เธอยังรู้สึกเหมือนถูกมือร้อนลวกตบใส่ใบหน้าฉาดใหญ่ ที่แล้วมา เธอทั้งเย่อหยิ่ง ทั้งทะนงรูปสมบัติ และคุณสมบัติที่มีอยู่ในตน หากแต่ครั้งนี้ เธอกลับถูกปฏิเสธราวกับว่า เธอช่างไร้คุณค่า ไม่มีความหมายในสายตาเขาเลย
เธอไม่ได้ร้องไห้ เธอจะร้องไห้ในที่สาธารณะเช่นนี้ไม่ได้ ทว่าแม้ไม่มีน้ำตา แม้ใบหน้าเธอจะฉาบทับด้วยแป้งแต่งหน้า หากแต่เครื่องสำอางค์เหล่านั้น จะอย่างไรก็ไม่สามารถปกปิดความปวดร้าวที่ฉายผ่านแววตาคู่สวยนั้นมาได้
หญิงสาวก้มหน้า หันหลังเดินห่างออกมา เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำหญิง มองตัวเองผ่านกระจกบานโตในห้องน้ำ
เธอไม่สวยหรือ... เธอถามตัวเองในใจ ...เธอมีที่ใดน่ารังเกียจ ทำไมเขาจึงพูดแบบนั้น ทำไมเขาจึงไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของเธอบ้างเลย
หยาดน้ำหยดหนึ่งไหลอาบแก้มที่เป็นสีชมพูระเรื่อด้วยแป้งแต่งหน้า หยดที่สองก็ค่อยๆ ไหลตามลงมา หยดที่สาม และหยดที่สี่ ในที่สุดเธอยกมือปิดปาก เปล่งเสียงสะอื้นออกมาเบาๆ
% ###
จิตใจของผู้หญิงนั้น บอบบาง และละเอียดอ่อน แม้ศาสตราจะไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพวกเธอนัก แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งนี้ ต้องการการทะนุถนอม...
หากแต่การทะนุถนอมจะต้องทำอย่างไรนั้น สุดที่เขาจะรู้ได้ เพราะแม้ว่าเขาจะทำอย่างไร อ่อนโยนต่อเธอเพียงไหน เธอก็ยังร้องไห้
ทำไมระยะหลังมานี่ จึงมีเหตุให้เธอร้องไห้เสียทุกครั้งที่พบกัน แม้ว่าเขาจะไม่ล่วงรู้ถึงสาเหตุ แต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ
...หรือจะเป็นเพราะเขา
มือใหญ่ข้างหนึ่งวางลงบนบ่า ศาสตราจึงหันมองเจ้าของมือซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง เยื้องไปทางด้านข้าง
"เอาน่า หมอบอกว่าอีกสองสามอาทิตย์ก็ลงซ้อมได้แล้วนี่" คณินทรบอก พร้อมกับก้าวข้ามม้านั่งสำรองมาทรุดนั่งลงข้างเขา
หลังจากพักฟื้นที่บ้านอยู่เป็นนาน จนอาการดีขึ้นมาก และถอดเฝือกออกแล้ว ศาสตราก็กลับมาเข้าชมรมต่อ หากแต่ยังไม่สามารถลงซ้อมได้ เขาจึงมีแต่ต้องนั่งอยู่ที่ม้านั่งสำรอง มองดูเพื่อนๆ ซ้อมกันเท่านั้น
"เอ็งนี่มันอึดดีจริงๆ" คณินทรพูดกลั้วหัวเราะ "หมอบอกว่าขาเอ็งหายเร็ว มียาอะไรดีรึเปล่าวะ"
ศาสตราไม่ได้ตอบ เพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ
"ส่วนเรื่องคนที่ทำน่ะ ข้ารู้หมดแล้วนะ" คณินทรพูดต่อ หากแต่ประโยคนี้ทำเอาศาสตราต้องหันขวับไปมองประธานชมรมของตน
"แล้ว...ประธานฯ จะทำยังไง" เขาอ้ำอึ้งถาม
"ตอนนี้ยังไม่ทำยังไง รอไว้ให้งานกีฬาผ่านไปก่อนค่อยว่ากัน เอ็งคงไม่คิดว่าข้าเห็นแก่ประโยชน์ของทีมมากเกินไปใช่มั้ย"
ศาสตราสั่นหัวแรงๆ แทนคำตอบ เขาเองยังไม่คิดแม้แต่จะให้คณินทรรู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
"อีกอย่าง" คณินทรพูดขึ้นอีก "ข้าจะยังไม่เปลี่ยนตัวกัปตันทีม จนกว่าจะถึงนาทีสุดท้าย"
"แต่ ประธานฯ ปลายเดือนหน้าก็งานกีฬาแล้ว ผมคงหายไม่ทันแน่ๆ"
"เฮ้ย...เอ็งก็เร่งวันเร่งคืนให้มันหายหน่อยสิวะ" คณินทรพูดติดตลก จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นจริงจังต่อ "ฟุตบอลน่ะ นาทีสุดท้ายยังยิงเข้าได้เลย"
"แต่ว่า..."
"ไม่ต้องแต่เลย ข้าเชื่อว่าอึดๆ อย่างเอ็ง หายทันแน่ๆ" เขาบอกพลางตบบ่าศาสตราอีกสองทีเป็นเชิงให้กำลังใจ จากนั้นจึงลุกเดินไปทางลูกทีมคนอื่นต่อ
หายทัน...เขาต้องหายให้ทัน ในเมื่อคณินทรเชื่อมั่นในตัวเขาถึงขนาดนั้นแล้ว เขาจะไม่พยายามให้สมกับความเชื่อมั่นนั้นได้อย่างไร เขาจะต้องหายทันลงแข่งในงานกีฬามหาวิทยาลัยแน่ๆ แม้ว่าจะต้องรอลุ้นจนถึงนาทีสุดท้ายก็ตาม
% ###
หากแต่สำหรับชมรมยิงธนู ไม่มีปาฏิหาริย์ในนาทีสุดท้าย...
สายธนูถูกน้าวจนตึง ก่อนจะถูกปล่อยให้ดันลูกธนูพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย หากแต่เมื่อลูกธนูปักตรึงอยู่บนเป้าแล้ว คนยิงกลับนิ่วหน้าอย่างหงุดหงิด
วสวัตติ์ยังคงยิงพลาด ออกนอกวงสีเหลืองตรงกลางเป้า ทั้งที่โดยปกติแล้ว เขาแทบจะไม่พลาดเลยในการยิงระยะสิบแปดเมตร
"ประธาน เป็นอะไรรึเปล่า พักก่อนดีกว่ามั้ย" เลขาหนุ่มของชมรมยิงธนู ซึ่งนั่งจดแต้มให้เขาอยู่ เอ่ยถามออกมาอย่างห่วงใย
วสวัตติ์ก้มหน้า สั่นศีรษะเล็กน้อย...เหลือเวลาอีกเดือนเศษๆ ก็จะต้องแข่งแล้ว แต่ฝีมือของเขากลับตกลงอย่างต่อเนื่องแบบนี้ เขายังจะดันทุรังลงแข่งอีกหรือ
ชายหนุ่มเดินก้มหน้ากลับมาทางเลขาชมรม
"ฉันตัดสินใจแล้ว ปีนี้ฉันถอนตัว ให้บดินทร์ลงแทนก็แล้วกัน"
เลขาหนุ่มอ้าปากจะถามอะไรบางอย่าง แต่แล้วกลับยั้งไว้...หากจะถามว่าทำไม ก็คงไม่เป็นเรื่อง เพราะคำตอบก็อยู่ในสมุดจดแต้มในมือของเขานี่เอง
วสวัตติ์เดินกลับเข้ามาในชมรม จัดการเก็บอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วจึงนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิดอยู่ภายในห้องเก็บอุปกรณ์นั้น
เสียดาย... เมื่อปีที่แล้วเขาชนะเลิศจากการแข่งขันยิงธนูในระยะสามสิบเมตร ปีนี้เขาจึงเป็นตัวเก็ง มีโอกาสที่จะได้แข่งในระดับประเทศ แต่กลับต้องตัดสินใจถอนตัว
ความคิดของเขา วกวนอยู่ในเรื่องการแข่งขัน ก่อนจะเลื่อนลอยออกไป สุดท้ายกลับมาวนเวียนอยู่ที่คนคนเดียว...รมัณยา
เธอจะโกรธเขามั้ยนะ ที่ทำให้เธอวาดภาพไม่ได้ แต่เธอก็ไม่พูดอะไรทำนองนั้นนี่ บางทีเธออาจจะไม่พอใจ แต่ไม่ได้แสดงออก แล้วนี่เขาควรจะทำอย่างไรดี เธอยังอยากจะวาดภาพเขาอีกรึเปล่า
ไม่สิ เวลานี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องนี้ เขาเป็นประธานชมรม ต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป แม้จะตัดสินใจไม่แข่งแล้วก็ตาม
ในที่สุด เพื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายทั้งปวงออกจากสมอง เขาจึงกลับออกไปยังสนามฝึกซ้อม เพื่อดูแลการฝึกซ้อมของนักกีฬาคนอื่นๆ ที่น่าจะเป็นความหวังได้มากกว่า
% ###
รามภณนิ่งเงียบมาตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน
หลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นแล้ว มายาวดีก็ไม่ได้กลับเข้ามาที่ชมรมอีกเลย
บางทีเธออาจจะไม่กลับมาเหยียบชมรมนี้อีกแล้ว บางทีเธออาจจะลาออก และไม่มาพบหน้าเขาอีกเลย
เขาเอง เป็นคนพูดกับเธอแบบนั้น เขาเป็นคนทำร้ายจิตใจเธอ ทำให้เธอเจ็บ แต่เขาก็รู้สึกแย่ต่อการกระทำของตัวเองเช่นกัน
เสียใจหรือ...รามภณก็ยังไม่เข้าแน่ใจ อาจจะเป็นความรู้สึกผิดเสียมากกว่า...ผิด ที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเสียใจ
เรื่องของความรัก ช่างหนักหนา ยากเกินกว่าความเข้าใจจริงๆ
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาเพื่อนๆ ผู้โดยสารทั้งสี่คนหันกลับมาสนใจเขาเป็นตาเดียว
"ภณ เป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนคนอกหัก" ศาสตราถามโพล่งออกมา
อกหัก...ไม่ใช่เขาเสียหน่อย
"เปล่า"
"มีเรื่องอะไรก็บอกนะโว้ย เพื่อนมีไว้ปรึกษา" วสวัตติ์เอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย
"ใช่ๆ จะฆ่าตัวตายก็มาปรีกษาข้าก่อนล่ะ จะได้แนะนำวิธีดี..."
ผัวะ!
เสียงฝ่ามือสองประสานของวสวัตติ์กับภวาภพฟาดลงที่ศีรษะของธาวิน ยั้งปากของเขาไว้ก่อนที่เขาจะพูดจบ
"แหะๆ ล้อเล่นน่ะเพื่อน"
"ขอบใจ แต่ไม่มีอะไรจริงๆ" รามภณบอก "มัน...เป็นเรื่องที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะ"
"แก้ไขไม่ได้ แล้วจะกลุ้มใจทำไม" ภวาภพบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
"จริงสินะ" รามภณพูดกับตัวเอง ก่อนจะเบนหัวข้อสนทนาออกจากเรื่องของตัวเอง "เรื่องงานกีฬาน่าสนใจกว่าเยอะ พวกเอ็งซ้อมกันไปถึงไหนแล้วล่ะ เอาข่าววงในมาบอกกันบ้างสิ ข้าจะได้เอาไปออกอากาศ ฮะๆ"
ทว่าหัวข้อสนทนานี้ ทำให้สีหน้าของวสวัตติ์หมองลงไป จนภวาภพสังเกตได้
"ไอ้วัตติ์ ชมรมเอ็งมีอะไรรึเปล่า" ภวาภพถามเสียงนิ่งๆ อีกเช่นเคย
"ข้า...ข้าว่าจะถอนตัว"
"เฮ้ย!" เสียงอุทานของอีกสามหนุ่มที่เหลือดังลั่นรถ จนคนถามและคนตอบต้องเอานิ้วอุดหู
"ล้อเล่นแบบนี้ไม่สนุกนะโว้ย" ศาสตราหันไปตะคอกกลับ สีหน้าจริงจัง
"นั่นสิ ทำไมถึงถอนตัววะ" รามภณส่งเสียงถาม น้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน หากแต่สายตาไม่อาจละจากเส้นทางตรงหน้าได้
"ปีนี้ข้าไม่พร้อมว่ะ มันเนือยๆ บอกไม่ถูก"
"ไม่พร้อมอะไรวะ ข้าไม่พร้อมยิ่งกว่าเอ็งอีก ขาก็เพิ่งถอดเฝือกเนี่ย" ศาสตราว่า แทบจะยกขาก่ายพนักพิงให้เพื่อนดู
วสวัตติ์เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ...ศาสตราแค่ไม่พร้อมทางร่างกาย ทว่าเขา ไม่พร้อมทางด้านจิตใจ
...ไม่ว่ากีฬาประเภทไหน จะทำอะไร จิตใจสำคัญกว่าร่างกายมากนัก
วสวัตติ์มองออกไปยังชายหาดอันมืดมิดนอกหน้าต่างรถ ภาพรมัณยาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในสมอง ไม่อาจสลัดออกจากห้วงคำนึงได้เลย
% ###
"นายลองลุกเดินไปเดินมาสักหน่อยสิ" เสียงรมัณยาเอ่ยขึ้น หลังจากที่เห็นวสัตติ์เตรียมจะลงไปนั่งตัวเกร็งเป็นแบบให้เธอวาดรูปอย่างคราวที่แล้วอีก
วสวัตติ์ทำตามแต่โดยดี เขาลุกจากเก้าอี้กลางห้อง เดินไปทางหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก แล้วสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะหันกลับมาทางหญิงสาวที่กำลังวางกระดานรองเขียนลงบนขาตั้งแบบสามขา
รมัณยา ไม่ว่าเธอจะอยู่ในท่าทางไหน ลักษณะใด จะในชุดนักศึกษาเรียบๆ อย่างในวันนี้ หรือในชุดส่าหรีประยุกต์สีแดงสดอย่างในครั้งแรกที่เขาเห็นเธอบนเวที เธอก็ยังดูสวยคม มีเสน่ห์ ในแบบของเธอเอง
อาจจะเป็นเพราะดวงตาคู่นั้น ที่ไม่ว่าจะมองไปยังผู้ใด ก็คล้ายกับจะจ้องลึกไปในจิตใจของคนผู้นั้นได้เสมอ
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่า เพื่อนเขาก็ชอบเธอ เขาคงจะเปิดเผยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจออกมามากกว่านี้...
ราวกับเธอจะรู้ว่าเขามองเธออยู่ หญิงสาวจึงเงยหน้ามองตอบ พร้อมกับรอยยิ้ม
"ดีเลย ยืนตรงนั้นก่อนนะ" เธอร้องสั่ง จากนั้นจึงหันซ้ายหันขวา แล้วก้าวไปหยิบไม้บรรทัดเหล็กอันยาว ที่แขวนไว้อยู่ข้างผนัง มายื่นส่งให้เขา "เอานี่ไปถือไว้แทนคันธนูก่อน แล้วตั้งท่าเหมือนจะยิงธนูนะ"
"หือ" ชายหนุ่มนักธนูเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
"ท่านายตอนยิงธนู ดูมีพลังมากเลย" เธอบอกพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วจึงเดินกลับไปประจำที่ที่หน้ากระดานรองเขียน จากนั้นจึงชี้มือไปที่ผนังด้านข้าง "อ้อ หันไปทางด้านโน้นหน่อยสิ แสงจากข้างนอกจะได้ส่องมาทางนี้พอดี"
วสวัตติ์ทำตามที่เธอบอก แต่กระนั้นไม้บรรทัดเหล็กช่างให้ความรู้สึกแตกต่างจากคันธนูเสียจริง เขาจึงวางไม้บรรทัดเหล็กพิงไว้กับผนังใต้บานหน้าต่างเสีย แล้วจินตนาการเอาว่าตัวเองกำลังถือคันธนูอยู่ในสนาม เล็งเป้าเตรียมยิง
รมัณยายิ้มออกมาอย่างพอใจ แล้วลงมือจรดดินสอ ลากไปมาอย่างชำนาญ เพียงไม่นาน ภาพร่างสัดส่วนคร่าวๆ ของชายหนุ่มครึ่งตัวก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ
"ตายล่ะ เลยเวลาที่นายต้องไปซ้อมแล้วสิ" หญิงสาวร้องออกมา เมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาบนผนัง ซึ่งบอกเวลาบ่ายสี่โมงเศษๆ "ขอโทษๆ เราทำให้นายสายนะเนี่ย"
วสวัตติ์ลดมือลง บิดไปมาเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อย
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้เป็นนักกีฬา ไม่ต้องไปซ้อมก็ได้" เขาบอก แววตาหมองลงนิดหนึ่ง
"เฮ้ๆ แต่นายเป็นประธานชมรมนะ"
ชายหนุ่มยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ
รมัณยาพลิกกระดาษลงมาปิดภาพวาดที่ยังร่างไม่เสร็จ แล้วจึงเก็บอุปกรณ์อื่นๆ ใส่กระเป๋า ก่อนจะโยนมันขึ้นพาดบ่า วสวัตติ์จึงช่วยเธอเก็บกระดานรองเขียน แล้วหิ้วตามเธอไปถึงหน้าห้องจิตรกรรม
"ขอบใจ พรุ่งนี้คงต้องรบกวนอีก แล้วเจอกันนะ" หญิงสาวบอกอย่างร่าเริง ก่อนจะรับกระดานรองเขียนกับขาตั้งที่พับเก็บเรียบร้อยแล้วมาจากมือเขา แล้วเดินออกไปตามทางเดิน
ขณะนั้นเอง ที่บริเวณทางเดินมุมอาคาร สายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาผ่านเลนส์ไร้กรอบ
ความบังเอิญที่นำพาให้จิรัชย์เดินผ่านมาทางนั้น ผ่านมาทันได้เห็นพวกเขาที่หน้าห้องจิตรกรรม และเป็นความบังเอิญที่ทำให้เขาเหยียดยิ้มออกมาอย่างเลศนัย
% ###
สองวันแล้ว ที่มายาวดีไม่ได้ไปที่ชมรมวิทยุกระจายเสียง
สองวันแล้ว ที่เธอถูกปฏิเสธ
...ฉันไม่เคยคิดจะชอบเธอ...
เสียงของรามภณยังดังก้องอยู่ในหัว เสียงที่นุ่มนวล อ่อนโยน ราวกับดอกกุหลาบดอกโต สวยงาม หากแต่กุหลาบยิ่งดอกใหญ่ หนามก็ยิ่งแข็ง ยิ่งแหลมคม เฉกเช่นความหมายในวาจา ที่ทิ่มแทงจนหัวใจอ่อนๆ ของเธอจนพรุนไปหมด
น้ำตา...มันยังไหลอยู่ทุกครั้งที่เธอคิดถึงคำพูดเหล่านี้ เธอไม่ได้เป็นคนอ่อนแอ แต่จะทำอย่างไรมันไม่ยอมหยุดไหลเสียที
ก็เพราะไม่เคยมีใครทำกับเธอแบบนี้ ไม่เคยมีเลย ความเจ็บปวดครั้งแรก ย่อมเจ็บที่สุด ให้จดจำไปนานที่สุด
เสียงเพลงจากโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของสวนริมทะเล ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย มือหนึ่งซับหยดน้ำบนแก้มขาวเนียน อีกมือคว้าเอาโทรศัพท์เครื่องบางในกระเป๋าถือยี่ห้อดังขึ้นมาดูชื่อบนหน้าจอ ก่อนจะกดต่อสัญญาณ
"จิรัชย์ มีอะไร" เธอกรอกเสียงที่ยังไม่ปกตินัก เนื่องจากน้ำมูกยังตันอยู่ในโพรงจมูก
"เสียงไม่ดีเลยนี่ ร้องไห้อยู่หรือไง" อดีตหวานใจตอบกลับมาอย่างไม่เกรงใจต่อความรู้สึกของเธอเลย
...ราวกับจะเย้ยหยัน
"ถ้าไม่มีอะไร ฉันจะวาง" เธอบอกเสียงหงุดหงิด
"อะไรกัน ฟังข่าวดีก่อนสิ"
"ข่าวดีอะไร"
"บอกกันตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ"
"จะโยกโย้อะไรอีกล่ะ ฉันไม่มีอารมณ์คุยเล่นด้วยหรอกนะ"
"อย่าเพิ่งโมโห เอาอย่างนี้ดีกว่า ตอนนี้เธออยู่ไหน"
"สวนริมทะเล"
"รออยู่ตรงนั้นก่อน เดี๋ยวฉันจะไปหา"
หญิงสาวกดตัดสัญญาณแล้ว เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วจึงนั่งรอฟัง 'ข่าวดี' อยู่ที่ม้าหิน
ทว่าคนที่รอฟังกลับไม่ได้มีแต่มายาวดี เพราะที่ตรงนั้นบังเอิญเป็นบริเวณเงียบสงบซึ่งภวาภพมักจะมานอนปล่อยอารมณ์อยู่เป็นประจำ โดยมีธาวินพ่วงมาด้วยเสมอ พวกเขาหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ความจริงก็ไม่ใกล้เท่าใดนัก เพียงแต่ใกล้พอที่จะได้ยินคำพูดของเธอทุกคำ
"ข่าวดีอะไรวะ" ธาวินกระซิบ ทว่าภวาภพไม่ตอบ เพียงยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก เป็นสัญญาณให้เพื่อนเงียบเสีย
พวกเขารอไม่ถึงสิบห้านาที ก็เห็นจิรัชย์เดินลงมายังสวนด้วยสีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงไม่น้อย เขาเดินตรงไปยังม้าหินที่มายาวดีนั่งอยู่ทันที โดยไม่ได้สังเกตว่า ในบริเวณนั้นยังมีใครคนอื่นอีก
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ ซึ่งเวลานี้มาทรุดนั่งลงข้างๆ เธอแล้ว
"มีข่าวดีอะไรก็ว่ามา" เธอบอกเสียงห้วน
"แหม ใจร้อนจริงๆ นะ ขอนั่งพักก่อนสิ" ชายหนุ่มบอก น้ำเสียงทีเล่นทีจริง
"ถ้าไม่มีอะไร ฉันจะกลับบ้านแล้ว" เธอไม่พูดเปล่า แต่ลุกยืนพร้อมกับคว้ากระเป๋า ตั้งท่าจะเดินออกไปจากบริเวณนั้นจริงๆ จิรัชย์จึงลุกขึ้นบ้าง พร้อมกับส่งเสียง
"วันนี้ฉันเห็นรมัณยาที่ห้องจิตรกรรม..."
ชื่อ รมัณยา ทำเอาหญิงสาวต้องชะงักเท้า มือที่ถือกระเป๋าใบสวยอยู่นั้นกำแน่น ทั้งยังสั่นนิดๆ
"ไม่เกี่ยวกับฉัน" มายาวดีแค่นเสียงบอก
"เกี่ยวสิ เพราะฉันไม่ได้เห็นแค่รมัณยา วสวัตติ์ก็อยู่ที่นั่นด้วย"
ชื่อของชายอีกคนหนึ่งสะกิดให้เธอเริ่มสนใจเนื้อสารที่จิรัชย์ต้องการจะสื่อ หากแต่ด้วยความถือตัว เธอจึงยังนิ่งเฉยอยู่
"ไม่เห็นแปลก เขาอาจจะมีธุระก็ได้" หญิงสาวค้านขึ้น หากแต่ความจริง ต้องการจะกระตุ้นให้เขาบอกกล่าวเนื้อความสำคัญออกมาโดยไว
"ร้อยวันพันปี หมอนั่นไม่เคยไปห้องจิตรกรรม แต่วันนี้มันอยู่ที่นั่นกับรมัณยา ท่าทางสองคนนั่นก็สนิทกันน่าดู อีกอย่างฉันรู้ว่าวสวัตติ์ต้องชอบรมัณยาแน่ๆ"
"เธอรู้ได้ยังไง"
"ผู้ชายด้วยกัน ดูกันออกอยู่แล้ว" จิรัชย์ว่า พลางเหยียดยิ้มออกมา "ต่อหน้าคนอื่น หมอนั่นทำเป็นรักเพื่อน ปกป้องเพื่อน ที่ไหนได้ ตัวมันเอง กลับหักหลังเพื่อน!"
ประโยคสุดท้ายของจิรัชย์ ทำเอาภวาภพและธาวินต้องหันมองหน้ากันด้วยความฉงนฉงาย... เป็นไปไม่ได้!
"อะไรที่ฉันรู้มา ฉันก็บอกไปหมดแล้ว" จิรัชย์พูดต่อ "จากนี้ก็แล้วแต่เธอล่ะ ว่าจะทำยังไงต่อไป" ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตาใต้แว่นไร้กรอบที่เหลือบมองหญิงสาวอยู่นั้นมีประกายวาววับ ราวกับพรานป่าที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ กำลังจ้องมองกวางน้อยเดินมาติดกับดักของตัว
% ###
"เป็นไปได้เหรอวะ" ธาวินกระซิบถามขึ้น แม้ว่าจะเห็นมายาวดีกับจิรัชย์เดินออกไปจากบริเวณนั้นไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กล้าส่งเสียงดัง
ภวาภพส่ายหน้า เขาไม่รู้ ไม่เคยสังเกตวสวัตติ์ในเรื่องนี้มาก่อน เมื่อครั้งที่วสวัตติ์อาสาไปดูละครเวทีกับรามภณ เขาก็คิดแต่ว่าวสวัตติ์คงต้องการไปเป็นเพื่อน ไม่มีีเจตนาอื่นแอบแฝง เขารู้ว่าระยะหลังมานี้วสวัตติ์ก็ดูเงียบไป ซึ่งก็อาจะเป็นเพราะปัญหาในชมรม หรืออาจเป็นเพราะเขาต้องถอนตัวจากการแข่งกีฬามหาวิทยาลัยด้วยสาเหตุบางอย่าง
...ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้
...ถ้ารามภณรู้เรื่องเข้า จะเป็นอย่างไรหนอ
"แต่มันอาจจะไม่จริงก็ได้นะ" ธาวินกระซิบขึ้นอีก "แค่ความเห็นของจิรัชย์ มันอาจจะอคติ ทำให้คิดไปแบบนั้น บางทีไอ้วัตติ์อาจจะไม่ได้มีอะไรก็ได้"
ภวาภพนิ่ง ใช้ความคิด เขาเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ สรุปอะไรไม่ได้
"เอ็งว่ามายาวดีรู้แล้ว จะทำยังไงต่อ" ธาวินถามขึ้นอีก
ภวาภพส่ายหน้าอีก เขาจะรู้ได้อย่างไร จิตใจของผู้หญิง บางครั้งก็ดีแสนดี แต่บางทีก็ร้ายเหลือรับ
"ถ้าให้ข้าเดา" ธาวินบอก "จิรัชย์เอาเรื่องนี้มาบอกมายาวดี เพราะรู้อยู่แล้วว่ามายาวดีต้องรีบไปบอกรามภณอีกต่อหนึ่ง แล้วถ้ารามภณรู้..."
ธาวินหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าเพื่อนของเขารู้เรื่องนี้เข้า จะเป็นอย่างไรต่อไป
% ###
รามภณทำหน้าที่ของตนในห้องกระจายเสียงเรียบร้อยแล้ว จึงเดินออกมาที่ด้านนอก สมาชิกคนอื่นๆ ในชมรมต่างก็ขมักเขม้นทำหน้าที่ของตัวเอง จะขาดก็แต่เพียงมายาวดี...
เธอไม่ได้กลับมาที่ชมรมอีก ตั้งแต่ตอนนั้น หลังจากที่เขาพูดกับเธอไปตรงๆ เขาก็ไม่ได้เห็นเธออีกเลย... เหมือนกับจะหลบหน้า
ทำให้คนอื่นเจ็บ ใครว่าตัวเราเองจะไม่เจ็บไปด้วย...
รามภณคิดไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างเดินออกมาหยิบกระเป๋าของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยโทรศัพท์มือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงเกิดสั่นขึ้นมา บอกให้รู้ว่ามีข้อความถึงเขา
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู เห็นข้อความนั้นมาจากมายาวดีก็ไม่รอช้า รีบกดอ่านข้อความทันที
'มีเรื่องจะบอก รออยู่หลังตึกกิจฯ ...มายาวดี'
มีเรื่องจะบอก... เรื่องอะไรนะ
รามภณจัดแจงเก็บปึกสคริปท์เข้ากระเป๋า แล้วหิ้วเดินออกจากห้องชมรม อ้อมไปใช้บันไดทางด้านหลัง เดินลงไปยังหลังอาคารซึ่งเป็นบริเวณที่ระบุมาในข้อความ
มายาวดียืนหันหลัง กอดอกพิงเสาปูนอยู่บริเวณบันไดทางขึ้นอาคาร เมื่อรามภณเห็นแผ่นหลังบาง ซึ่งปกคลุมไปด้วยเส้นผมที่ถูกดัดเป็นลอนนั้น เขาก็เกิดอาการอึดอัดขึ้นมา
...อีดอัดเพราะไม่รู้จะคุยกับเธออย่างไร ...อึดอัดเพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นที่ใดดี
ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังลังเลที่จะก้าวเข้าไปหาเธอนั้น มายาวดีกลับเหลียวหน้ากลับมาเสียก่อน เธอยิ้มที่มุมปากน้อยๆ หากแต่ท่าทีไม่ได้มีความสนิทสนมเช่นกาลก่อน
"ฉันมีอะไรจะบอก" หญิงสาวเริ่มขึ้น
"อะไรเหรอ"
"เรื่องวสวัตติ์กับ...แม่นั่น"
"ไอ้วัตติ์กับใครนะ" ชายหนุ่มถามพลางย่นคิ้ว
"รมัณยา" หญิงสาวเหลือบมองไปทางอื่นในขณะที่เอ่ยชื่อนี้ "มีคนเห็นพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันที่ห้องจิตรกรรม"
"ก็ไม่แปลกนี่" รามภณคลายหัวคิ้วที่ขมวดอยู่เมื่อครู่ พร้อมรอยยิ้ม
"ไม่แปลก!" มายาวดีขึ้นเสียงสูง หันกลับมาจ้องคู่สนทนา "เพื่อนเธอเคยไปห้องจิตรกรรมด้วยเหรอ ถ้าไม่มีรมัณยา เขาจะไปที่นั่นเหรอ"
"เธอมองพวกเขาในแง่ร้ายไปแล้ว" ชายหนุ่มบอกแบบนั้น ทั้งที่ความจริง เขาเห็นว่ามายาวดีตั้งใจให้ร้ายพวกเขามากกว่า แต่การพูดออกไปตรงๆ อาจจะทำร้ายจิตใจเธออีก
"ฉันไม่อยากเห็นเธอถูกเพื่อนของตัวเองหักหลังหรอกนะ ถึงได้บอก"
"ขอบใจที่บอก แต่ไอ้วัตติ์ไม่มีทางทำอย่างนั้นเด็ดขาด เราเป็นเพื่อนกัน มันไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่"
"อยากโง่ก็ตามใจ!" มายาวดีกระแทกเสียง ก่อนสะบัดหน้าจากไปด้วยความหงุดหงิด
รามภณมองตามหลังหญิงสาว ...ไม่มีทาง... เขาบอกกับตัวเอง ...ไอ้วัตติ์ไม่มีทางทำแบบนั้นแน่
% ###
หลังจากเลิกชมรม วสวัตติ์ก็ไปยังสวนริมทะเล ซึ่งเป็นจุดนัดกับเพื่อนๆ ตามปกติ กลับบ้านกับเพื่อนๆ ตามปกติ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ หากแต่วันนี้จะผิดปกติไปบ้าง ก็ตรงที่เขากลายเป็นเป้าสังเกตของเพื่อนอีกสามคน ในจำนวนนี้มีรามภณรวมอยู่ด้วย
สำหรับรามภณ หากจะให้เปรียบเทียบระดับความเชื่อกับไม่เชื่อ ในเรื่องที่มายาวดีบอก ก็คงเป็นยี่สิบกับแปดสิบ แต่่ถึงจะเป็นสิบต่อเก้าสิบ ก็ยังคงมีส่วนที่เชื่ออยู่นั่นเอง
...หากจะให้ไม่เชื่อทั้งร้อย ก็คงต้องได้รับการยืนยันจากเจ้าตัว
"ไอ้วัตติ์" รามภณเอ่ยขึ้น ระหว่างที่พวกเขารอคิวเล่นเกมต่อจากศาสตราและธาวินอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านเช่า "ข้าว่าจะถามหลายครั้งแล้ว ทำไมปีนี้เอ็งไม่ลงแข่งวะ"
ประเด็นที่รามภณเปิด ดึงความสนใจจากทุกคนในห้องให้มารวมกันที่จุดเดียว
หนุ่มผมยาวมองสายตาเพื่อนๆ ที่จ้องมายังเขาอย่างสนใจใคร่รู้ เห็นว่าคงเลี่ยงลำบากแน่แล้ว จึงตอบถ่วงเวลาระหว่างคลำหาเหตุผลในสมอง
"ข้าบอกแล้วไง ปีนี้ข้าไม่พร้อม"
"ไม่พร้อมยังไงวะ เห็นซ้อมที่ชมรมอยู่ประจำ" ศาสตราถามขึ้นบ้าง
"หรือว่าเอ็งไม่ได้ไปชมรม" ภวาภพถามจี้เพื่อยืนยันเรื่องที่ได้ยินมา
"เฮ้ย ไม่ไปชมรมได้ยังไงวะ ข้าเป็นประธานนะโว้ย ต้องอยู่ชมรมสิ"
"ไม่ได้แวะเถลไถลที่ไหนเลยเหรอ" ธาวินถามขึ้นลอยๆ หากแต่จี้ตรงประเด็นที่สุด
"จะแวะอะไรวะ ข้าไม่มีที่ไหนให้แวะสักหน่อย" วสวัตติ์ตอบ "จะบอกให้ก็ได้ ช่วงก่อนหน้านี้ ที่ชมรมข้ามีคนเข้ามาสมัครเยอะ ข้าก็เลยไม่มีเวลาซ้อม เพราะมัวแต่ไปสอนไอ้พวกนี้ ถึงได้บอกว่าไม่พร้อมไง"
...ในที่สุดก็หาข้ออ้างจนได้
"พวกเอ็งมีอะไรจะถามอีกมั้ย ข้าจะไปนอนแล้ว" วสวัตติ์บอก พลางลุกจากโซฟา เมื่อเห็นเพื่อนๆ พากันส่ายหัวเป็นคำตอบ เขาจึงเดินปรี่ขึ้นห้องนอนของตัวเอง
...หรือว่าจะเป็นมายาวดีปั้นเรื่องขึ้นมาปั่นหัวพวกเขาจริงๆ
...หรือว่าจะเป็นจิรัชย์กุเรื่องขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาแตกคอกัน
ทั้งรามภณ ภวาภพ และธาวินต่างคิดกันไปต่างๆ นานา หากแต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่า เพื่อนของเขาจะอำพรางความจริง
% ====================
ความคิดเห็น