ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ดวงใจแม่
อัยยาก้าวลงจากบันไดกว้าง ที่ทอดสู่โถงกลางของคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ เพื่อต้อนรับเหล่านักรบซึ่งเพิ่งกลับเข้ามาในยามค่ำ หากสิ่งแรกที่สะดุดตานางขณะก้าวลงมานั่นคือ...เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าคีตา
เด็กสาวผู้นี้มีเส้นผมสีทองและดวงตาสีทองสดใส ทว่าหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็รุ่มร่ามไม่พอดีตัว
"มินนรา..." ได้ยินชายหนุ่มก้มลงกล่าวกับเด็กสาวผู้นั้น "นี่อัยยา อาของพิฆาน และเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์หลังนี้"
อัยยาคลี่มุมปาก ยิ้มให้กับเด็กสาว หากร่างน้อยยังคงยืนนิ่งอยู่ มือเกาะท่อนแขนแข็งแรงของคีตาแน่น นางจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้
"เจ้าชื่อมินนราหรือ" นางก้มถามเสียงอ่อนโยน เด็กสาวลังเลนิดหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย
มินนราเป็นคนร่างเล็ก ยังตัวเล็กกว่าอัยยาเสียอีก เมื่อยืนอยู่ข้างคีตาจึงดูราวกับเป็นเด็กเล็กๆ
"อัยยา ข้าคงต้องรบกวนท่าน ช่วยดูแลนางด้วย ให้นางอยู่ทางปีกใต้ก็แล้วกัน" เขาบอก ดวงตาที่จับจ้องหญิงกลางคนมีประกายบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องอาศัยคำพูด อัยยาก็เข้าใจ
คีตายังคงไม่ไว้ใจเด็กคนนี้ แม้จะพากลับมาเสตาลัญฉน์ แต่ก็ยังคงต้องการให้นางอยู่ในสายตา และไม่อยากให้นางเข้าไปใกล้ห้องบวงสรวงอันเป็นความลับของพวกเขามากนัก
อัยยาพยักหน้ารับรู้ รับตัวเด็กสาวมา แล้วจึงเหลียวหน้าหลังมองหาพิฆาน ทว่าเด็กหนุ่มนั่นหายตัวไปแต่แรกแล้ว
นางไม่แปลกใจ...พิฆานมักเป็นเช่นนี้ ทุกครั้งที่เขาต้องออกปฏิบัติภารกิจนอกสถานที่เป็นเวลานานๆ ยามเมื่อกลับมา สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือลงไปยังห้องใต้ดิน ลงไปหาพี่ชายของเขา
ทว่านี่เกินไปเสียแล้ว หากมินนรานึกสงสัยเข้าจะว่าอย่างไร จะบอกกับนางว่าอย่างไร
"พิฆานไปไหนหรือ ข้าไม่เห็นเขาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว" เด็กสาวสงสัยขึ้นมาจริงๆ อัยยาจึงอ้อมแอ้มตอบกลบเกลื่อนไป
"หลานข้าคนนี้อยู่ไม่เป็นสุข มักหายไปที่นั่นที่นี่อยู่เสมอ เจ้าอย่าใส่ใจเลย"
มินนรารับคำ แล้วจึงหันไปทางคีตา เห็นเขายกมือกุมไหล่ขวา แม้พยายามข่มอาการ ไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดทรมาน แต่มือขวาที่กำเข้าหากันจนท่อนแขนเกร็งแน่นนั้น แสดงให้เห็นชัดว่าบาดแผลนั่นยังคงเล่นงานเขาอยู่
"ข้าจำได้ว่าท่านบาดเจ็บ" เด็กสาวกล่าวกับคีตา ไม่บอกว่านางสังเกตเห็นอาการนั้น "ท่านจะไม่ให้หมอดูแผลหน่อยหรือ"
"ไม่ต้องหรอก แผลแค่นี้ ไม่กี่วันก็หาย”
ใช่แล้ว บาดแผลนี้ต้องหายภายในหนึ่งสัปดาห์ ถึงจะยังเจ็บปวดอยู่ แต่มันจะต้องหายไป เช่นเดียวกับแผลอื่นๆ
อัยยาได้ยินเช่นนั้นจึงก้าวมาทางคีตา "ให้ข้าดูแผลสักหน่อย" นางบอก พร้อมกับเอื้อมดึงมือใหญ่ที่กุมไหล่บ่ากว้างนั้น
คีตายอมตามโดยดี เขาค่อยๆ ถอดเสื้อแขนยาวสีดำที่สวมอยู่อย่างระมัดระวัง แล้วเลิกเสื้อตัวในถอนออก ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง แผงอกมีผ้าสีขาวพันไว้อยู่ ผ้านั้นมีรอยเปื้อนดำเป็นด่างดวง
อัยยาปลดผ้าพันแผลออกช้าๆ หากเมื่อเห็นบาดแผลแล้วก็ต้องชะงัก อุทานออกมาเบาๆ "ตายจริง!"
คีตาได้ยินเสียงอุทานก็ประหลาดใจ ก้มมองบาดแผลของตน คิ้วดกหนาสีดำสนิทขมวดเข้าหากันจนเป็นปม
บาดแผลนั้นลึกเป็นรูสีดำ รอบๆ ปากแผลเหมือนรอยไหม้ มากกว่าจะเป็นรอยช้ำเลือดอย่างแผลที่ถูกแทง ...คีตาประหวัดนึกไปถึงความฝัน ความปวดแสบปวดร้อนเหมือนไฟลุกไหม้ในฝันนั้น
...หรือฝันนั้นเป็นความจริง!
เป็นไปไม่ได้ ฝันก็คือฝัน จะเป็นความจริงไปได้อย่างไร
อัยยายื่นมือแตะบ่าเขานิดหนึ่ง บอกให้เขาไปพักผ่อนที่ห้องก่อน แล้วจึงร้องสั่งให้คนไปตามหมอ จากนั้นจึงหันมาทางมินนรา ชักชวนเด็กสาวไปกับนาง
—
มินนราเดินตามอัยยามาทางปีกอาคารด้านทิศใต้ ได้ยินอัยยาบอกว่าอาคารทางด้านนี้มีคนอยู่มากกว่าทางทิศอื่น แต่ก็ยังมีห้องว่างหลายห้อง ให้นางเลือกได้ตามสบาย
"ห้องคีตาอยู่ทางด้านนี้ด้วยหรือ" เด็กสาวถามเสียงเจื้อยแจ้ว
"ใช่ เขาอยู่ชั้นบนสุด"
มินนราพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงหมุนตัว เดินเรื่อยไปจนกระทั่งมาหยุดยืนที่หน้าห้องซึ่งอยู่ด้านในสุดของอาคาร เด็กสาวมองประตูห้องที่ปิดสนิทสักครู่ จึงหันมาถามอัยยา
"ห้องนี้ว่างหรือไม่ ข้า...อยู่ห้องนี้ได้หรือเปล่า"
อัยยาได้ยินนางถามเช่นนั้นแล้วก็ถึงกับนิ่งงันไป นางมองดูเด็กสาวตรงหน้าด้วยหัวใจที่วูบไหว มือที่ตกห้อยอยู่ข้างตัวสั่นน้อยๆ ขอบตาร้อนผ่าว
เด็กคนนี่ทำให้นางนึกถึงเหตุวิปโยคในครั้งอดีต เมื่อสิบหกปีก่อน...
"ข้าอยู่ห้องนี้ได้หรือไม่ อัยยา" ได้ยินมินนราถามย้ำขึ้นอีก หญิงกลางคนจึงค่อยรู้สึกตัว เก็บมือสั่นเทาทั้งสองแอบไว้ทางด้านหลัง
"ได้...ได้สิ" เสียงของนางสั่นเครืออย่างไม่อาจปกปิด "ข้า...ข้าจะไปบอกให้คนมาจัดห้อง เจ้ารอที่นี่ก่อนนะ" ว่าแล้วนางก็รีบหมุนตัวก้าวจากมา ก่อนที่หยาดน้ำในดวงตาจะพาลไหลลงมาหยดหนึ่ง
อัยยาเร่งปาดหยดน้ำนั้นออกจากแก้ม แล้วจึงเลี้ยวออกมาทางห้องคนรับใช้ เรียกคนรับใช้คนหนึ่ง สั่งให้ไปดูแลห้องหับให้มินนรา ในเวลาเดียวกันนั้น คนที่นางให้ไปตามหมอมาจากในเมืองก็กลับมาพอดี นางจึงรีบออกไปต้อนรับหมอที่ห้องโถงกลาง ก่อนจะเดินนำท่านหมอไปยังห้องของคีตาซึ่งอยู่ชั้นบนสุด
"ข้าเองก็มีเรื่องต้องแจ้งให้พวกท่านทราบเช่นกัน" หมอพูดขึ้นในระหว่างก้าวขึ้นบันได
"เรื่องอะไรหรือ ท่านหมอ" อัยยาถาม รู้สึกผ่อนคลายขึ้นนิดหนึ่ง เมื่อมีสิ่งช่วยดึงความคิดของตน กลับมาจดจ่ออยู่กับเวลาปัจจุบัน
"เรื่องพิษในบาดแผลของท่านคีตา"
หญิงกลางคนมีสีหน้าฉงน "ข้าก็กำลังสงสัยเรื่องนี้อยู่ ปกติบาดแผลของคีตาจะหายเร็วมาก แต่นี่ผ่านมาหลายวันแล้ว บาดแผลนั้นก็ยังไม่ทุเลา ดูท่าจะกำเริบขึ้นเสียด้วย"
ท่านหมอถอนหายใจยาว "นี่ละที่ข้าเป็นห่วงอยู่ เกรงว่าจะช่วยอะไรไม่ได้มาก"
นางหยุดฝีเท้า แล้วจึงหันกลับมา หางคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ "ท่านหมายความว่าอย่างไร"
ท่านหมอนิ่งคิดนิดหนึ่ง "ให้ข้าดูบาดแผลนั่นเสียก่อน แล้วจะบอกพวกท่านเสียทีเดียวเลย"
เมื่ออัยยาและท่านหมอเดินมาจนถึงหน้าห้องของคีตา พวกเขาก็เห็นประตูเปิดทิ้งไว้อยู่แล้ว หญิงกลางคนเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะเดินเข้าไป จึงเห็นว่าจิรภัจก็อยู่ในห้องนั้นด้วย กำลังพิจารณาดูบาดแผลของคีตาซึ่งนั่งอยู่บนเตียง
ชายชราเห็นอัยยาพาท่านหมอเข้ามาก็ทักทาย และหลีกทางให้หมอได้เข้ามาตรวจดู อัยยาก็มายืนที่ข้างเตียงด้วย
ท่านหมอเห็นลักษณะบาดแผลแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น เงยขึ้นมองคนไข้ของตน
"ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดหรือไม่"
"ก่อนหน้านี้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน แต่เวลานี้ไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย" คีตาตอบตามความเป็นจริง เมื่อครู่ก่อนจะขึ้นมาบนห้อง เขารู้สึกมีความร้อนวูบแล่นพล่านไปทั่วแขนและหน้าอก หากเวลานี้ไม่รู้สึกใดๆ แม้แต่น้อย ความร้อนหายไปราวกับเป็นเพียงความฝัน
"เอาอย่างนี้ ข้าจะจัดยาสมานแผลให้ท่านไปก่อน สำหรับพิษ..." ท่านหมอกล่าวแล้วนิ่งไป
"พิษ...เป็นอย่างไรหรือ" อัยยาเร่งเร้า
"คราก่อนข้าคิดว่าพิษที่ท่านคีตาได้รับไม่ร้ายแรง เพราะเห็นร่างกายมีอาการตอบสนองไม่รุนแรง หากแต่ความจริงแล้ว..." ท่านหมอหยุดไปอีกครู่หนึ่ง พยายามเรียบเรียงคำพูดแล้วจึงกล่าวต่อ “ความจริง...พิษนี้ไม่ค่อยมีปรากฏ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครถูกพิษชนิดนี้มาก่อน ข้าเคยเห็นคนถูกพิษชนิดนี้เมื่อนานมาแล้ว พวกเขาเป็นคนเสตาลัญฉน์นี่เอง..."
ท่านหมอหยุดไปอีก กวาดมองคนทั้งสาม แล้วจึงหยุดนิ่งที่อัยยา ก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกไป
"คนที่เคยได้รับพิษนี้ คือสามีและพี่สะใภ้ของท่าน!"
อัยยารู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง ภาพความทรงจำเมื่อสิบหกปีก่อนย้อนกลับเข้ามาในสมองราวกับคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำชายฝั่งยามพายุคลั่ง ความรุนแรงของคลื่นนั้นโถมทลายจิตใจของนางจนร่างซวนเซ คีตาจึงต้องลุกขึ้นประคองรับนางไว้
ไม่นานนัก หยาดน้ำที่พยายามกักขังไว้แต่แรกก็ท่วมท้นล้นออกจากดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม
—
จิรภัจพาท่านหมอออกไปแล้ว หากอัยยายังคงนั่งอยู่ที่เตียง ภายในห้องของคีตา
นางร้องไห้อยู่ ร้องจนตาบวมแดง ทว่าคีตากลับไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากลูบไหล่ปลอบเบาๆ
การตายของสามี และพี่สะใภ้ของอัยยา เป็นแผลบาดลึกที่ถูกกลบฝังไว้ภายในจิตใจ นอกจากจะสูญเสียบุคคลทั้งสองแล้ว นางยังต้องสูญเสียลูกสาว ซึ่งเพิ่งให้กำเนิดไปในเวลาเดียวกันด้วย
โศกนาฏกรรมเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเหตุการ์ที่คีตาเองก็ไม่อาจะลืมเลือน...
วันนั้นเป็นวันที่อัยยาเจ็บท้องใกล้คลอดเต็มที คีตาซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่ม อายุเพียงสิบเก้าปี ยืนกอดอกพิงผนังทางเดินหน้าห้องคลอด มองว่าที่บิดาเดินวนไปมาราวหนูติดจั่น
สามีของอัยยาก็เป็นนักรบเสตาลัญฉน์ แต่ยามนั้นกลับไม่มีเค้านักรบผู้กล้าหาญ มีเพียงความกลัดกลุ้มกังวลของผู้เป็นพ่อและสามี ที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาสีเขียว ผมสีทองนั้นก็ยุ่งเหยิงเพราะถูกเจ้าตัวขยี้ด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านใจ
จวบจนเห็นพิสนี พี่สะใภัของอัยยากำลังยกน้ำร้อนเข้าไปในห้องคลอด สามีของอัยยาก็รั้งนางไว้
"หมอมารึยัง" เขาถาม น้ำเสียงร้อนรน
"ยัง อีกสักพักคงมา" หญิงสาวตอบแล้วก็รีบยกน้ำร้อนเข้าไปในห้อง
ตอนนั้นพิสนีเป็นคนจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นต่างๆ ให้อัยยา ทั้งยังเป็นคนเตรียมห้องชั้นล่างทางปีกอาคารด้านทิศใต้ให้เป็นห้องคลอดด้วย นางว่าอัยยาท้องแก่ ไม่ควรเดินขึ้นลงบันไดมากนัก นางมีประสบการณ์มาแล้วกับการคลอดพิฆาน ดังนั้นทุกคนจึงไว้ใจให้นางดูแลทั้งหมด
หมอตำแยที่มาในวันนั้นก็เป็นคนเดียวกับที่เคยทำคลอดพิฆาน หมอตำแยเป็นหญิงนั้นไม่แปลก หากในวันนั้น กลับมีชายหนุ่มผมสีเงิน อายุไม่เกินสามสิบปีติดตามมาด้วย
เมื่อทั้งคู่ถาม หมอตำแยซึ่งเป็นหญิงชราก็ละล่ำละลัก แนะนำว่าเป็นผู้ช่วยของตน นางอ้างว่าตัวนางเองแก่มากแล้ว เรี่ยวแรงถดถอย ดังนั้นจึงต้องมีผู้ช่วย
คราแรกพวกเขาไม่เชื่อ และจะไม่ให้ชายหนุ่มผมสีเงินนั้นเข้าไปในห้องคลอด หากแต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของอัยยากลับทำให้พวกเขาต้องรีบปล่อยหมอกับผู้ช่วยเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ระหว่างที่หมอตำแยเข้าไปทำคลอดอยู่นั้น พวเขาได้ยินเสียงอัยยาดังลอดออกมาเป็นระยะ ผ่านไปร่วมครึ่งชั่วยามจึงได้ยินเสียงเด็กร้อง ผู้เป็นพ่อยินดีได้ไม่ถึงชั่วอึดใจ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องตามมา!
ชายหนุ่มทั้งสองสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน รีบกระแทกประตูเปิดผางออก ภาพที่พวกเขาเห็นทำให้หัวใจของผู้เป็นพ่อแทบแตกสลาย...
ทารกน้อยร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมแขนของชายผมเงิน ในขณะที่อัยยาตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นข้างเตียง ยื่นมือออกพยายามไขว่คว้า หากเพราะเพิ่งสูญสิ้นเรี่ยวแรงจากการคลอดลูก จึงไม่อาจเคลื่อนไหวได้มากไปกว่านี้
ได้กลิ่นราวเนื้อไหม้เหม็นตลบไปทั่ว คีตาเห็นหมอตำแยนั่งขดตัวสั่นงันงกอยู่มุมห้องด้านหนึ่ง ส่วนพิสนีล้มกองอยู่บนพื้นไม่ห่างไปเท่าใดนัก นางนอนคว่ำอยู่จึงไม่เห็นใบหน้า ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย ทว่ามือของนางที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมานั้นซีดจนเขียว
ผู้เป็นพ่อพุ่งตัวไปยังชายผมเงินทันทีโดยไม่ต้องคิด ลูกของเขาสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ทว่ายังไม่ทันถึงตัว ผีเสื้อสีดำขนาดเท่าฝ่ามือก็บินฉวัดเฉวียนเข้ามาขวางไว้
ผีเสื้อนั้นมีหางเป็นติ่งยาว มันบินอยู่ในห้องแต่แรก แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ตอนนั้นเอง พวกเขาเห็นรูปร่างมันบิดเบียวเปลี่ยนแปลง ในที่สุดกลายเป็นหญิงสาวผมดำ นัยน์ตาสีดำ ผิวสีเทาซีดราวคนตาย
คีตาเห็นหญิงนั้นก็จำได้ทันที เขาเคยเห็นนางยืนอยู่ข้างกายนีซา ในวันที่เข้าป่าปิศาจเพื่อพบจิณณาและราดิศ
ผ่านไปสี่ปี นางแทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คีตาจดจำได้ดี...นางคือ นาอิน!
เขาพอทราบข่าวของนาอินมาบ้าง ทราบว่าหลังจากราดิศตาย นีซาก็ล้มป่วย นาอินจึงต้องรับภาระทั้งหมดแทน แม้จะไม่ได้เป็นผู้ปกครองชาวเมยาดิคอย่างเป็นทางการ หากนางก็ถือเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
ตอนนั้นคีตายังไม่ได้เป็นผู้นำกองกำลังเสตาลัญฉน์ แต่เขาก็รู้ว่าการต่อสู้กับนาอินนั้นเป็นเรื่องยาก ชนชั้นผู้นำของชาวเมยาดิคมีความแปลกประหลาดต่างจากพวกอื่น กล่าวคือ พวกเขาไม่ได้มีอีกร่างเป็นสัตว์ป่าขนาดเท่าตนเองในยามปกติ หากแต่เป็นผีเสื้อขนาดเพียงฝ่ามือ จึงทำให้ยากที่จะจู่โจม
แม้คีตาจะรู้ว่าโอกาสชนะนั้นน้อยนิด แต่เขาก็ยังหาญเข้าปะทะ ฉวยจังหวะที่นาอินอยู่ในร่างมนุษย์ ลงมือทำลายเลือดเนื้อนั่นเสียก่อน
เวลานั้นอาวุธที่คีตาพกติดตัวอยู่คือดาบยาว เขาดึงดาบจากฝักที่เสียบอยู่ข้างเอว ฟาดฟันใส่นาอินไม่ยั้ง
นางหมุนตัวหลบเลี่ยง จากนั้นเบี่ยงมาทางด้านข้าง ตวัดแขนขึ้น กางกรงเล็บ
เล็บแหลมยาวของนาอินก็เป็นสีดำ...ดำราวกับความตาย
คีตาเห็นกรงเล็บนั้นตะปบเข้ามา เขาก็ยกดาบขึ้นกัน ได้ยินเสียงฉ่า ดาบโลหะคล้ายถูกกรดกัดกร่อนจนบิ่นไป
อารามตกใจ เขาไม่ทันได้ตั้งตัว กรงเล็บอีกข้างก็ตวัดเข้ามา เขาจึงได้แต่หันหลบ ขณะที่กรงเล็บนั้นกำลังจะข่วนถูกใบหน้าเขานั่นเอง มือข้างหนึ่งก็ยื่นมาคว้าแขนของนางไว้
สามีของอัยยาคว้าแขนข้างนั้นจากทางด้านหลัง แล้วจับบิด ทว่าเขากลับลืมเลือนไปว่านาอินมีอีกร่างเป็นผีเสื้อดำ ร่างกายของนางพลันหดยู่จนกลายเป็นผีเสื้อ บินวกไปทางด้านหลัง แล้วขยายคืนเป็นร่างมนุษย์อีก พร้อมกับเกร็งเล็บแทงใส่เป้าหมาย
ได้กลิ่นราวเนื้อไหม้ สามีของอัยยาถูกกรงเล็บนั้นเสียบทะลุกลางหลัง จากนั้นผิวหนังตลอดร่างก็พลันเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ได้ยินเสียงอัยยากรีดร้องคราหนึ่ง ครั้นคีตาหันกลับมาเพียงได้เห็นดวงตาสีเขียวเบิกค้าง ก่อนจะค่อยๆ ปิดลง พร้อมกับร่างที่ล้มฟุบลงกับพื้น
คีตานิ่งงัน...ตัวชา...สามีของอัยยาช่วยเขาไว้ แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้เลย
วูบนั้นเอง สัมปชัญญะของเขาพลันจางไป จำเหตุการณ์ได้เพียงเลือนราง
เขารู้ว่าตนเองโยนดาบในมือทิ้ง เกร็งมือเปล่าพุ่งใส่นาอินราวกับคนบ้า หาได้เกรงกลัวต่อกรงเล็บที่เต็มไปด้วยพิษร้ายของนางแม้แต่น้อย
นาอินสะดุ้ง ทั้งตระหนก ทั้งประหลาดใจ นางหมุนตัวหลบมือเปล่าที่ไขว่คว้ามา นิ้วมือของคีตาจึงจิกใส่ผนังหินจนเป็นรู เขาดึงนิ้วมืออาบเลือดออกจากผนัง ยังคงพยายามใช้มือเปล่าคว้าร่างนาง
ชั่วขณะนั้น ที่หน้าประตู จิรภัจก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับนักรบแห่งเสตาลัญฉน์คนอื่นๆ พวกเขาล้วนชักอาวุธเตรียมเข้าต่อสู้ หากแต่หยุดยั้งอยู่เพียงนั้น
“พวกเจ้ากล้าหรือ!" นาอิตตวาดอย่างท้าทาย ในขณะที่เล็บมือสีดำจ่อลำคอทารกน้อย ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของชายผมเงิน
ทั้งหมดลดอาวุธลง พวกเขาไม่กล้าเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของทารก แม้แต่คีตายังต้องยืนนิ่ง หอบหายใจถี่เร็ว
นาอินมองไปรอบห้อง ยิ้มอย่างมีชัย ทว่าเมื่อสายตากวาดมายังคีตา ความหวาดระแวงก็ปรากฏในดวงตานั้น จากนั้นร่างของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นผีเสื้อดำ โบยบินออกไปทางหน้าต่าง
ส่วนชายผมเงินนั้น คาบผ้าที่ห่มตัวเด็กทารกไว้ในปาก แล้วเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าสีเงินตัวใหญ่ ก่อนจะกระโดดตามออกไป
—
คีตามาทราบจากหมอตำแยในภายหลังว่าลูกของอัยยาเป็นหญิง หากนางยังมีชีวิตอยู่ ก็คงมีอายุเท่ามินนรานี่เอง
มินนรา...เพราะมินนรา จึงสะกิดให้นางนึกถึงเรื่องเก่าๆ ทั้งยังพิษในบาดแผลของเขาอีก พิษแบบเดียวกับที่คร่าชีวิตสามีและพี่สะใภ้ของนาง
แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็ง หากแต่ในหัวใจของอัยยา ยังคงถูกเหตุการณ์วันนั้นกัดกร่อนมาจนทุกวันนี้
การสูญเสียทั้งสามีและลูกอันเป็นดวงใจ หญิงใดเล่าจะทนรับได้ แต่อัยยาก็ยังฝืนความเศร้าเสียใจ ยังคงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อมา นางยังมีหลานชายอีกสองคน...
เมื่อไม่มีพิสนี ภาระเลี้ยงดูเวคินและพิฆานจึงตกอยู่ที่นาง อัยยาทุ่มเทความรักให้กับหลานชายทั้งสอง ดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่เช่นเดียวกับลูกของนางเอง แม้คนหนึ่งจะต้องอยู่ในห้องใต้ดิน ไม่ทราบว่าชาตินี้จะได้เห็นแสงตะวันหรือไม่
"วันนั้นข้าได้เห็นใบหน้านาง" อัยยาพูดขึ้นราวกับเพ้อ เงยหน้าช้อนดวงตาชุ่มน้ำขึ้นมองเขา "ข้ายังจำใบหน้าของนางได้ นางเหมือนพ่อมาก ทั้งจมูก ปาก คิ้ว คาง ผมของนางก็เป็นสีทองเช่นเดียวกับพ่อ" ว่าแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ยิ้มที่เปี่ยมแววโศกเศร้าคะนึงหา "เสียดาย ตอนนั้นดวงตานางปิดอยู่ ข้าจึงไม่เห็นว่านางมีนัยน์ตาสีเขียวแบบพ่อด้วยหรือไม่"
"ถึงนางจะเหมือนพ่อ แต่ข้าเชื่อว่า นางต้องเข้มแข็งเหมือนท่าน" ในที่สุด คีตาก็หาคำพูดของตัวเองเจอ
อัยยาหันมา พยายามฝืนยิ้ม "ข้าคงต้องลงไปดูมินนราสักหน่อย เด็กนั่นมอมแมมเหลือเกิน คงต้องขัดสีฉวีวรรณกันยกใหญ่" ว่าแล้วก็ลุกเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
###
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น