ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ป่าปิศาจ
นักรบแห่งกองกำลังเสตาลัญฉน์ควบขับม้าออกจากค่ายฝึกแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าลงสู่ทิศใต้
พวกเขาใช้เวลาวันครึ่งก็บรรลุถึงเมืองซึ่งมีหน่วยย่อยของกองกำลังประจำการอยู่
คีตาสั่งให้ทั้งหมดตั้งค่ายพักแรมอยู่นอกเมือง เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนชาวบ้าน พวกเขาหุงหาอาหาร พักเอาแรงเสียหนึ่งคืน ในเช้ารุ่งขึ้นจึงจัดแบ่งกองกำลังออกเป็นเจ็ดสาย ให้แต่ละสายกระจายกันออกเดินทางต่อไปยังป่าปิศาจ เพื่อสำรวจแนวชายป่าตามจุดที่ได้กำหนดไว้
เขากับพิฆานและนักรบอีกสิบแปดคน ขี่ม้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เส้นทางในระยะนั้นแม้จะอุดมสมบูรณ์ดี หากแต่ยิ่งเข้าใกล้ป่าปิศาจเท่าไร ก็ยิ่งหาบ้านเรือนได้ยากเข้าไปทุกที จนกระทั่งแม้แต่หมู่บ้านเล็กๆ ก็ไม่มีให้เห็นอีก
เดินทางอยู่ค่อนวัน พวกเขาจึงหยุดพัก ตั้งค่ายห่างจากแนวชายป่าออกไปราวครึ่งโยชน์ เป็นการรักษาระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจากการโจมตีของพวกเมยาดิค
คืนนั้น พวกเขาพักที่ค่ายโดยมีการผลัดเปลี่ยนเวรยามทุกๆ สองชั่วโมง หากแต่คีตากลับไม่ได้นอน เขาใช้เวลาตลอดคืนในกระโจมที่พัก ศึกษาภูมิประเทศบริเวณป่าปิศาจจากแผนที่และบันทึกซึ่งได้เตรียมมาก่อนแล้ว
ป่าปิศาจกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ จากชายฝั่งสุดปลายแหลมลึกเข้ามาในแผ่นดินถึงกว่ายี่สิบโยชน์ มีลักษณะเป็นป่ารกชัฏ ค่อนข้างชื้น ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี ชัยภูมิเช่นนี้จึงเหมาะแก่การซ่อนตัวและง่ายต่อการซุ่มโจมตี นี่เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถบุกเข้าป่า กำจัดพวกเมยาดิคให้หมดไปได้
ป่าแห่งนี้ยังมีสภาพคล้ายกับดัก นอกจากสภาพแวดล้อมที่ชวนให้หลงวกวนอยู่ในป่าแล้ว บางแห่งยังมีบ่อโคลนดูด มีดงหนามอันเป็นพิษ และสัตว์ร้ายต่างๆ นอกจากพวกเมยาดิคเอง หากไม่ชำนาญเส้นทางแล้ว ก็ยากยิ่งที่จะเดินทางเข้าออกได้
ทิศตะวันตกของป่าเป็นจุดอันตรายที่สุด เข้าใจว่าฐานที่มั่นสำคัญของพวกเมยาดิคอยู่ในบริเวณนี้ ทั้งนี้ก็เพราะคีตาเคยเข้าไปที่นั่นแล้วครั้งหนึ่ง...
ยี่สิบปีก่อน...ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย
คีตาในวัยเพียงสิบห้าปี กลับหาญกล้าเดินทางเข้าสู่ป่าปิศาจเพียงลำพัง เขาลอบบุกเดี่ยวไปที่นั่นเพื่อตามหา จิณณา ลูกสาวเพียงคนเดียวของจิรภัจ และราดิศ ทายาทคนสุดท้ายแห่งตระกูลเสตาลัญฉน์ ผู้มีเลือดครึ่งหนึ่งเป็นเสตาลัญฉน์ หากแต่อีกครึ่งหนึ่งเป็นเมยาดิค ผู้ซึ่งสามารถเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่า
...ราดิศผู้ซึ่งมีชะตาดั่งคำสาปในตำนาน...คำสาปที่ว่า เขาจะเป็นผู้นำพาชาวเมยาดิค มาทำลายล้างชาวอุตตราศูร!
ทว่าสำหรับจิณณานั้น นางเป็นเพียงหญิงสาวผู้หนึ่ง เป็นคนสวยน่ารัก อ่อนโยนและอ่อนหวาน นางมีอายุไล่เลี่ยกับอัยยา เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของอัยยา ทยุต พี่ชายของอัยยาก็เห็นนางเป็นน้องสาว คีตาเองก็รักนางดั่งพี่สาวคนหนึ่งเช่นกัน
นางไม่ใช่นักรบอย่างอัยยา นางบอบบางและอ่อนแอเกินกว่าจะจับอาวุธทำร้ายใครได้ หากเพราะความอ่อนหวานนี้เอง นางจึงเป็นที่รักของคนทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่ราดิศ
เพราะความรักที่มีต่อจิณณา หลังจากเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าครั้งแรก ราดิศก็ลักพาจิณณามายังป่าปิศาจ โดยมีนีซา ผู้ปกครองของชาวเมยาดิคในเวลานั้น อ้าแขนรอต้อนรับพวกเขาอยู่
ตอนนั้นจิรภัจเสียใจมาก เขาเป็นห่วงลูกสาว ความรักความห่วงใยกัดกร่อนจิตใจ ทำให้ร่างกายไม่อาจทนรับได้ ในที่สุดเขาก็ล้มป่วยลง
คีตาไม่อาจอยู่นิ่งเฉย เวลานั้นเขาคิดเพียงว่า จะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อบรรเทาความเศร้าโศกที่บีบเค้นหัวใจของชายผู้ซึ่งเป็นดั่งบิดา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางมายังป่าปิศาจ คิดจะสืบเสาะข่าวคราวของจิณณา เพื่อนำกลับไปบอกกล่าวต่อจิรภัจ ให้ได้คลายทุกข์โศก
ทว่าในป่าหาได้มีเพียงจิณณาและราดิศ...
แม้จะรู้ว่ามีอันตราย แต่คีตาก็ไม่หวั่นไหว สิ่งใดที่เขาเห็นว่าสมควรทำ แม้จะมีอุปสรรคขัดขวางอย่างไร เขาก็ต้องทำให้สำเร็จ แม้อัยยาจะห้ามปรามข่มขู่อย่างไร เขาก็ยังยืนยันที่จะไป
สุดท้าย เมื่ออัยยาเห็นว่าไม่อาจห้ามได้ จึงบอกกล่าวแนะนำเรื่องป่าปิศาจตามที่ทราบมาจากทยุต ซึ่งไปเป็นสายในกลุ่มพวกเมยาดิค เตือนให้เขาระมัดระวัง และอวยพรให้เขาปลอยภัย
คีตายังจำความรู้สึกเมื่อย่างเท้าเข้าเขตป่าเป็นครั้งแรกได้ ความรู้สึกอึดอัดราวกับร่างกายถูกบีบรัดจนหายใจลำบาก ช่างปลุกเร้าความกลัวให้ตื่นขึ้น ความหวาดผวาก็ปลุกปั่นความคิดให้สับสนวุ่นวาย
แต่คีตาไม่กลัว ไม่คิดว่าจะต้องกลัว เขารู้ว่าตนเองต้องทำตามคำแนะนำของอัยยาทุกอย่าง เปิดรับประสาทสัมผัสทุกส่วน สายตาต้องปราดเปรียว หูต้องว่องไว แต่ละก้าวที่เหยียบย่างลงบนพื้นดินซึ่งปกคลุมด้วยหญ้าและเฟิร์นนั้น ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าที่ใดเป็นบ่อโคลน บริเวณใดมีพืชหรือสัตว์พิษแฝงตัวอยู่ ในป่าปิศาจมีแต่อันตราย เขาต้องตื่นตัวตลอดเวลา
ทว่าแม้คีตาจะรอดพ้นจากกับดักทางธรรมชาติมาได้ แต่กลับไม่อาจรอดพ้นจากการซุ่มโจมตีของพวกเมยาดิค...
หลังจากก้าวเข้าในป่าเป็นระยะทางไกลพอสมควร เขาก็ถูกแมงมุมร่างยักษ์สามตัวจู่โจม แม้คีตาจะสามารถหลบหลีกคมเขี้ยวของพวกมันได้ และกวัดแกว่งดาบยาวที่เป็นอาวุธประจำกายในเวลานั้น ฆ่าฟันมันไปได้สองตัว แต่ก็ยังไม่อาจหลบหลีกใยเหนียวที่พวกมันถักทอไว้อยู่ทั่วบริเวณ
จะเป็นเพราะความโชคดีของเขาหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ขณะที่แมงมุมตัวที่เหลืออยู่จะฝังเขี้ยวฉีดพิษลงในร่างเขานั้น ทยุตก็เข้ามายับยั้งมันไว้ เขาเจรจากับแมงมุมยักษ์ บอกว่าคีตาเป็นผู้ที่มาจากเสตาลัญฉน์ เป็นผู้ที่จิณณารักดั่งน้องชาย หากเขาเป็นอันตราย จิณณาจะไม่พอใจมาก อีกอย่างหนึ่ง การที่คีตาบุกฝ่าเข้ามาเช่นนี้ ก็อาจมีข่าวคราวจากจิรภัจ บิดาของจิณณาด้วย
เหตุผลเหล่านี้ทำให้แมงมุมยักษ์นั้นไม่กล้าทำร้ายคีตา แต่ปั่นใยห่อร่างเขาไว้ราวกับดักแด้ ทั้งยังพันปิดตาเขาไม่ให้มองเห็นอะไร จะรู้สึกก็เพียงแสงสว่างที่ส่องผ่านเส้นใยละเอียด เข้ามากระทบหนังตาของเขาเท่านั้น
คีตารู้สึกว่าตนเองถูกแบก ไม่ทราบว่าแบกไปยังสถานที่ใด บางครั้งได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกัน ครั้งหนึ่งเขาได้ยินใครคนหนึ่งห้ามทยุตไว้ ไม่ให้เข้าไป ส่วนตัวเขายังคงถูกแบกต่อไป เข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง มืดมิดและอับชื้น เขาถูกโยนลงบนพื้นดินเฉอะแฉะ จากนั้นจึงได้ยินเสียงไม้ขัดกัน เสียงโซ่ขยับ และเสียงฝีเท้าก้าวจากไป
เขานอนจมพื้นดินเปียกชื้นนั้นเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ ทราบแต่ว่านาน อาจเป็นวัน ในที่สุดจึงมีคนมาแบกเขาออกไป คราวนี้นำไปโยนลงบนพื้นหินแข็ง เมื่อแรกที่ถูกโยนลงไปนั้นไม่รู้สึกเจ็บเท่าใดนัก แต่แรกกระแทกก็ทำให้ระบมไปทั่วตัวในเวลาต่อมา
ได้ยินเสียงลึกต่ำของชายผู้หนึ่งสั่งให้ปล่อยเขา เมื่อดวงตาถูกเปิดและปรับรับกับแสงได้แล้ว เขาก็มองไปทั่วบริเวณ จึงเห็นว่า ที่นั่นเป็นห้อง มีแสงสลัวราวกับอยู่ในถ้ำ แต่พื้นดินถูกเกลี่ยจนเรียบเสมอกัน
รอบตัวเขามีคนยืนล้อมอยู่ ในจำนวนนั้นบางคนมีสีผิวประหลาด แต่บางคนก็มีลักษณะไม่ต่างจากชาวอุตตราศูร หากคนเหล่านี้จะปะปนเข้ามาในกลุ่มชาวอุตตราศูร หรือแม้แต่ออกมาเดินจ่ายตลาดกลางกรุง พวกเขาก็จะไม่เป็นที่สะดุดตาแต่อย่างใด
นีซา ผู้ปกครองชาวเมยาดิคนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ บนแท่นหินหน้าคีตาซึ่งสูงจากพื้นขั้นหนึ่ง เขาเป็นชายชราผมขาวโพลง เค้าหน้าดูขึงขัง การแต่งกายภูมิฐาน ต่างจากชาวเมยาดิคคนอื่นในที่นั้น เขาสวมเสื้อยาวสีขาวทับกางเกง และสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลทับอีกชั้นหนึ่ง ตามชายเสื้อคลุมและขอบแขนเสื้อขลิบด้วยด้ายสีทอง
ลักษณะโดยทั่วไปของเขาก็ดูไม่ต่างจากชายชราชาวอุตตราศูร เว้นแต่สีผิวที่ซีดขาว เล็บมือทั้งสิบก็เป็นสีขาว ทว่าสายตาเดียจฉันท์ที่มองคีตานั้น ดูราวจะเปล่งแสงสีแดงเรือง
ข้างนีซามีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ ดูจากหน้าตาคาดว่าอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี นางมีเส้นผมและดวงตาสีดำ ริมฝีปากก็เป็นสีคล้ำจนเกือบดำ ทว่าผิวของนางเป็นสีเทาซีด จนคล้ายผิวคนตาย...
คีตาจำได้ ทยุตบอกว่านางผู้นี้คือ นาอิน หลานสาวของนีซา
นางไม่ได้มองคีตา หากแต่เชิดมองไปทางอื่น ไม่เหลือบแล ราวกับเขาไม่มีคุณค่าให้นางสนใจแม้แต่น้อย
ถัดจากแท่นหินลงมา เขาเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ ชายผู้นี้มีผมสีดำ นัยน์ตาสีดำสนิท อันเป็นลักษณะของคนเสตาลัญฉน์ ชายผู้นั้นคือราดิศเอง เขาสวมเสื้อผ่าหน้าปักลาย ทับเสื้อแขนยาวสีขาว และสวมกางเกงรัดข้อเท้า ซึ่งเป็นการแต่งกายอย่างชายชาวเมยาดิค
"พาจิณณาเข้ามา" ราดิศหันไปสั่งหญิงสาวอีกผู้หนึ่งที่ด้านข้าง นางออกไปสักครู่ ก็กลับเข้ามาพร้อมกับคนที่คีตาต้องการพบ
จิณณาอยู่ในชุดเสื้อผ่าหน้าไม่มีแขน ปักลายสวยงาม เสื้อตัวในเป็นสีขาวแขนยาวโปร่ง สวมกระโปรงยาวกรอมเท้าเข้ารูปอย่างชาวเมยาดิค
ครั้นเห็นคีตาเท่านั้น นางก็ถลาเข้ามา ใบหน้าสวยงามน่ารักอาบนองไปด้วยน้ำตา
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง คีตา เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ท่านพ่อเล่า ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง" คำถามพร่างพรูออกจากปากเรียวสวย พร้อมกับน้ำตาพราวอาบสองข้างแก้ม
เขาบอกนางไปตามความจริง บอกว่าจิรภัจล้มป่วยเพราะกังวลคิดถึงนาง บอกว่านางควรกลับไปหาพ่อ ทว่านางกลับสั่นศีรษะ
"ข้าไปไหนไม่ได้ ข้าต้องอยู่ที่นี่..." ว่าแล้วก็ยิ่งสะอื้นหนัก เงยหน้ามองไปทางราดิศ จากนั้นจึงหันกลับมากระซิบ "ข้าต้องอยู่กับเขา เพื่อเป็นประกันว่าเขาจะไม่นำคนไปทำร้ายชาวอุตตราศูรอีก"
เมื่อทราบเช่นนี้แล้วคีตาจึงไม่คะยั้นคะยอให้นางกลับ เขารู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่นางต้องเลือก...เลือกเพื่อชาวอุตตราศูร แม้ส่วนหนึ่งในใจนั้น นางเองก็รักราดิศเช่นกัน
หลังจากนั้นราดิศจึงให้คนนำเขามาส่งที่ชายป่า มาอย่างไรก็กลับออกไปอย่างนั้น ดีที่เมื่อกลับออกจากป่าแล้ว พวกคนที่แบกเขามาช่วยตัดใยแมงมุมที่ห่อตัวออกให้ เขาจึงไม่ถึงกับต้องคลานไปอย่างหนอน
ทว่าหลังจากวันนั้น สิ่งที่ไม่คาดหมายก็เกิดขึ้น เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง...
—
"กรี๊ด!"
เสียงกรีดร้องฉุดดึงคีตากลับมาในเวลาปัจจุบัน เขารีบลุกพรวดออกจากกระโจม รุดไปถามนักรบซึ่งทำหน้าที่เป็นยามว่าเกิดอะไรขึ้น
"มีเสียงผู้หญิงร้อง คาดว่าจะมาจากทางทิศตะวันตก" นักรบผู้นั้นตอบ คีตาจึงสั่งเรียกระดมกำลัง ระหว่างนั้นพิฆานก็ออกจากกระโจมมาสมทบด้วย เขาให้นักรบสี่คนเฝ้าอยู่ที่ค่าย ส่วนที่เหลือพากันขึ้นม้า ควบขับออกไปในความมืดแห่งรัตติกาล
###
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น