ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คำสาปเสตาลัญฉน์ ฉบับปี ๒๕๕๖ [จบ]

    ลำดับตอนที่ #4 : ศัตรูที่ปกปิด

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 57


    แคว้นอากัณห์แบ่งการปกครองเป็นเมืองต่างๆ โดยมีกรุงอุษณบุรีเป็นเมืองหลวง
     
    ราชาผู้ปกครองแคว้นองค์ปัจจุบันมีพระนามว่า ราชาภควาน พระชันษาล่วงเลยจากวัยกลางคนเข้าสู่วัยชราแล้ว พระองค์มีลักษณะของผู้นำที่นิ่งขรึม พระพักตร์เอิบอิ่มทว่าไม่ใคร่แย้มสรวล หากแต่ดวงพระเนตรมีแววปรานี
     
    พระองค์ทรงมีโอรสสองพระองค์ องค์แรกคือเจ้าชายนรบดี พระชันษายี่สิบเจ็ดปี นอกจากจะเป็นรัชทายาทแล้ว องค์ราชายังให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระนครด้วย ทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่าเจ้าชายทรงศึกษาด้านการทหารมา
     
    สำหรับเจ้าชายองค์รอง คือเจ้าชายนิรมัน ทรงมีนิสัยรักการเรียนรู้ ทรงรู้กว้าง เนื่องจากพระองค์มักหาความรู้ ไถ่ถามจากผู้เชี่ยวชาญอยู่เสมอ แต่โดยมากพระองค์มักจะพูดคุยกับเหล่าผู้ติดตามของเสนาบดี ทั้งนี้เพราะเจ้าชายทรงทราบว่าเสนาบดีทั้งหลายล้วนมีงานล้นมือ จึงไม่อยากรบกวน นอกจากนี้ยังมักทูลขออนุญาตองค์ราชา เพื่อติดตามคณะทูต หรือคณะพ่อค้าไปยังต่างแดนด้วย
     
    ดังนั้น ในยามเมื่อเสนาบดีฝ่ายการคลังรายงานเรื่องผลผลิตทางการเกษตรในไตรมาสที่ผ่านมา เจ้าชายนิรมันจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ ทรงทราบว่าผลผลิตที่ดี มีปริมาณมาก ย่อมส่งออกได้มาก เงินตราไหลเข้ามามาก นำมาพัฒนาประเทศได้มาก
     
    ส่วนองค์ราชานั้น ท่านประทับนั่งฟังรายงานด้วยอาการสงบ ไม่ว่าเป็นรายงานในด้านดีหรือร้าย พระองค์มักนิ่งฟังด้วยอาการสงบเสมอมา หากนั่นไม่ได้หมายความว่าพระองค์เพียงฟังแล้วเลยผ่านไป พระองค์ย่อมทรงดำริ เพียงแต่ไม่ทรงแสดงออกในสิ่งที่ทรงดำริ ไม่ทรงตรัสออกมาหากยังไม่ถึงเวลา
     
    "การเคลื่อนไหวของพวกเมยาดิคระยะนี้เป็นอย่างไรบ้าง" องค์ราชาเอ่ยออกมาช้าๆ หลังจากการรายงานของเสนาบดีฝ่ายการคลังจบลง และไม่มีวาระใดเพิ่มเติม
     
    คีตาก้าวออกมา ถวายความเคารพ ก่อนเอ่ยขึ้น
     
    "ยังคงมีการโจมตีประปราย ส่วนมากจะเป็นในหมู่บ้านตามแนวชายป่า ล่าสุดก็เมื่อคืนก่อน เกิดนอกกรุงอุษณบุรี ลงไปทางใต้ประมาณหกโยชน์"
     
    "หกโยชน์..." องค์ราชาตรัส "นั่นนับว่าใกล้มาก เจ้าคิดหาทางป้องกันบ้างหรือยัง"
     
    "ข้าเห็นว่าระยะนี้พวกเมยาดิคมีการเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี อาจมีแผนอะไรอยู่ ดังนั้นจึงคิดจะไปสำรวจที่ชายป่าปิศาจ คงพอมีเบาะแสอะไรบ้าง" เขาตอบเรียบๆ หากในใจยังคงลังเลสงสัย ถึงเรื่องพิษที่อาบบนเล็บค้างคาวในคืนนั้น
     
    ราชาภควานพยักพระพักตร์เล็กหน้อยเป็นการยอมรับความคิดนั้น หากเสียงหนึ่งกลับแย้งขึ้น
     
    "พระบิดา เสตาลัญฉน์ทำศึกกับปิศาจเมยาดิคมาช้านาน ยังไม่อาจปราบพวกมันลงได้ ข้าเห็นว่าในเมื่อกองกำลังเสตาลัญฉน์สู้พวกมันไม่ได้ เราควรส่งทหารไปกำจัดพวกมันในป่าปิศาจเสียให้สิ้นซาก"
     
    องค์ราชานิ่งเฉยอยู่ชั่ววินาทีหนึ่ง หากเป็นวินาทีที่ผู้บัญชาการพลราบ และผู้บัญชาการพลเรือต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และหันมองคีตาด้วยอาการเดียวกัน เห็นคีตายืนนิ่งด้วยท่าทีผ่อนคลาย พวกเขาก็เบาใจลง
     
    "อย่าเลย นรบดี" องค์ราชาตรัส "พลราบจากทางเหนือกว่าจะลงไปถึงป่าปิศาจก็ใช้เวลาเป็นวันๆ ทหารจะอ่อนล้าเสียก่อน ส่วนพลเรือก็ไม่ชำนาญการสู้รบในป่า และที่สำคัญที่สุด พวกเมยาดิคให้วิธีสุ้มโจมตี ทหารเราเข้าไปก็มีแต่ตายเท่านั้น เสตาลัญฉน์ต่อสู้กับพวกเมยาดิคมานาน ย่อมรู้ชั้นเชิงของพวกนั้น ย่อมมีวิธีรับมือที่ดี"
     
    "แต่..." องค์ยุพราชทำท่าจะแย้งขึ้นอีก องค์ราชาจึงยกพระหัตถ์ห้ามไว้
     
    "นี่เป็นงานของเสตาลัญฉน์ ...คีตา เจ้าจงทำตามที่ว่ามานั่นเถิด"
     
    ผู้นำกองกำลังเสตาลัญฉน์รับคำเข้มแข็ง ก่อนจะแสดงความเคารพต่อองค์ราชา และก้าวกลับไปยังที่ของตน ในขณะที่องค์ยุพราชกระแทกหลังพิงเก้าอี้อย่างขุ่นเคือง
     
     
    เนินเตี้ยปกคลุมด้วยหญ้าเขียว ที่นอกพระราชฐานทางทิศตะวันตก มีไม้ใหญ่ยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่บนยอดเนินเพียงต้นเดียว
     
    ม้ากำลังดีวิ่งควบขึ้นเนินมาด้วยความเร็วสูงจนเกรงว่าจะหยุดไม่อยู่ หากเมื่อถึงยอดเนินแล้วมันก็ยกชูขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศก่อนจะหยุดยั้งลง แสดงถึงความชำนาญของผู้บังคับ
     
    ม้ายังไม่ทันวางขาหน้าทั้งสอง คนก็กระโดดลงจากหลังม้า ก้าวกระแทกกระทั้นตรงไปยังต้นไม้ใหญ่โดดเดี่ยวบนเนินนั้น เขาหวดแส้ม้าในมือฟาดใส่ลำต้น เตะเท้าใส่ต้นไม้นั่นราวกับมันเป็นศัตรูคู่อาฆาต
     
    เบื้องหลัง ห่างไปอีกเล็กน้อยมีม้าอีกสามสี่ตัวควบติดตามมา ผู้คนบนหลังม้าเมื่อเห็นม้าตัวแรกหยุดอยู่ ก็พากันรั้งบังเหียนหยุดม้าของตนเช่นกัน จากนั้นต่างคนจึงต่างลงจากหลังม้า น้อมกายแสดงความเคารพ
     
    "เอ่อ...เจ้า...เจ้าชาย..." คนหนึ่งรวบรวมความกล้าเรียกขึ้น
     
    "ไป!" เจ้าชายตะคอก
     
    "เอ่อ...แต่..."
     
    "บอกว่าให้ไป!" คราวนี้ทรงหันมาตวาดพร้อมหวดแส้ฟาดลงบนพื้นตรงหน้าคราหนึ่ง เหล่าทหารผู้ติดตามจึงได้แต่ขึ้นม้าที่กำลังกระสับกระส่าย ควบกระเจิงไปคนละทิศละทาง
     
    เจ้าชายนรบดีหันกลับมากระแทกส้นเท้าใส่ลำต้นอีกครา สีหน้าเคียดขึ้ง กัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล
     
    การประชุมเมื่อครู่ พระบิดาปฏิเสธข้อเสนอของเขา แต่กลับทรงเห็นด้วยกับข้อเสนอของคีตา พระบิดาเข้าข้างคีตา โดยไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย... ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น!
     
    รอก่อนเถิด รอให้เขาเถลิงราชย์เสียก่อน ถึงเวลานั้นเขาจะยุบกองกำลังเสตาลัญฉน์ ทำในสิ่งที่ราชาอติรัชต์ทำไม่สำเร็จ เขาจะปลดคีตาลงมาเป็นข้ารับใช้ จะทรมานคนโอหังเช่นนั้นเสียให้หนำใจ
     
    คิดเช่นนั้นแล้วจึงฟาดโบยแส้ม้าใส่ลำต้นอีกหลายครั้ง ปรากฏแนวยาวไขว้สลับไปมาในเนื้อไม้
     
    "ต้นไม้ทำอะไรให้พระองค์หรือเจ้าชาย" เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือพระเศียร
     
    องค์ยุพราชพลันรู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก แต่เล็กมาเขาได้รับการปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดีในฐานะเจ้าชายองค์โต ผู้ที่จะเป็นรัชทายาท ผู้ที่จะครองบัลลังก์ เขาย่อมไม่เคยรู้สึกตื่นตระหนกมาก่อน หากนี่...เสียงหนึ่งพูดขึ้นโดยที่เขาไม่เห็นตัว เสียงอยู่ใกล้แค่นี้ ทั้งยังอยู่เหนือศีรษะเพียงนี้
     
    เจ้าชายพลันสะบัดแส้ม้า หวดใส่กิ่งก้านเบื้องบน พลางหมุนตัวออกมาอยู่นอกแนวร่มไม้ ชักดาบจากข้างกายขึ้นคุ้มกันองค์
     
    "ไม่ต้องตกใจไป เจ้าชาย" เสียงนั้นดังขึ้นอีก คนยังอยู่ในต้นไม้ "ข้าไม่ได้จะทำอะไรท่าน แต่ข้ามีข้อเสนอ"
     
    "เสนออะไร เจ้าเป็นใคร ออกมา!" เจ้าชายตวาด สายตาเพ่งมองไปในกิ่งใบของต้นไม้หนาทึบ
     
    ชั่วครู่ ร่างหนึ่งกระโดดตุบลงมาจากต้นไม้ แล้วยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพระองค์ เจ้าชายมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ... เขาเป็นชายลักษณะดี รูปร่างสมส่วน ผมสีเทานั้นทำให้ดูคล้ายคนมีอายุ ทว่าใบหน้ากลับเป็นชายหนุ่ม คะเนอายุยังอาจจะน้อยกว่าพระองค์เสียด้วยซ้ำ ริมฝีปากมีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ดวงตาเรียวสีอำพันก็หลุกหลิก เต็มไปด้วยความกลิ้งกลอก หาความน่าเชื่อถือไม่ได้แม้แต่น้อย
     
    "เจ้าชาย" คนผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้ พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
     
    "หยุด! ถอยออกไป!" องค์ยุพราชตวาดสั่ง ยังคงขวางดาบอยู่ตรงหน้า
     
    ชายผมเทายกมือทั้งสองข้างขึ้นในท่ายอมแพ้ และเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้พกพาอาวุธแต่อย่างใด เจ้าชายจึงค่อยๆ ลดดาบลง แต่ยังไม่ยอมเก็บคืนฝัก
     
    "ข้าชื่อ อารัญ" ชายผมเทาแนะนำตนเอง "ข้ารู้ว่าเหตุใดพระองค์จึงโกรธแค้นเช่นนี้"
     
    "ข้าโกรธแค้น..." เจ้าชายทวนคำอย่างไม่ไว้ใจ จ้องมองคนตรงหน้า ตาไม่กะพริบ
     
    "ใช่ ท่านโกรธแค้น... ท่านโกรธแค้นคีตาแห่งเสตาลัญฉน์"
     
    เขาพูดตรงจุด เจ้าชายโกรธแค้นคีตาจริง มิใช่เพียงโกรธแค้น ยังรังเกียจอย่างที่สุด... ไฉนผู้นำกองกำลังเล็กๆ จึงได้เข้าร่วมประชุมเสนาธิการทุกครั้งไป ไฉนคนที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดในราชการจึงได้รับการยอมรับถึงเพียงนั้น
     
    "ท่านต้องการกำจัดคีตาไม่ใช่หรือฝ่าบาท" อารัญกล่าวต่อ "ข้าสามารถช่วยท่านได้นะ"
     
    "เจ้าจะช่วยข้า...เหตุใดจึงจะช่วยข้า คีตาทำอะไรให้เจ้า" องค์ยุพราชตรัสถาม
     
    "เขาไม่ได้ทำอะไร ข้าเพียงแต่ต้องการ..." หยุดนิดหนึ่ง พลางจ้องมองเจ้าชาย ยิ้มในดวงตา "ต้องการตำแหน่งหน้าที่อันมั่นคงเท่านั้น"
     
    ตำแหน่งหน้าที่อันมั่นคง...เจ้าชายคิด ที่แท้คนผู้นี้มีความละโมบ ต้องการยศฐาบรรดาศักดิ์นั่นเอง
     
    เขาชำเลืองมองอีกฝ่าย เห็นอารัญยังคงยิ้ม ดวงตาพราวไปด้วยประกายแห่งเล่ห์เพทุบาย
     
    "เจ้าจะช่วยข้าอย่างไร"
     
    อารัญยิ้มกว้างขึ้น "ท่านคิดว่าจะเป็นอย่างไร หากในเสตาลัญฉน์ มีชาวเมยาดิคแฝงตัวอยู่"
     
    องค์ยุพราชนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า และสุดท้ายกลายเป็นหัวเราะ... หากพบหนอนแมลงในอาหาร คนกินย่อมต้องโยนอาหารจานนั้นทิ้ง หากแม้ในเสตาลัญฉน์มีพวกเมยาดิค ความน่าเชื่อถือจะอยู่ที่ใด
     
    เจ้าชายเหลือบมองอารัญอีกครั้ง คนผู้นี้แม้จะไว้ใจไม่ได้ แต่คงมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่ากระนั้นเลย กองทหารทั้งกอง พระองค์ยังควบคุมได้ จะนับอะไรกับคนโลภเพียงคนเดียว
     
    "เอาเถิด อารัญ" เจ้าชายตรัส "ข้าจะให้โอกาสเจ้าพิสูจน์ หากเจ้าสามารถทำให้เสตาลัญฉน์หมดความหมาย ทำให้คีตากระเด็นออกจากกรุงอุษณบุรี หรือถูกอัปเปหิออกนอกแคว้นไปได้ ข้ามีตำแหน่งให้เจ้าแน่" ตรัสแล้วก็ทรงพระสรวล หัวเราะด้วยความสมใจยิ่งนัก
     
    อารัญยกมือทาบอกซ้าย ค้อมหลังแสดงความเคารพอย่างสูงพร้อมกับรอยยิ้ม หากดวงตากลับมีเพียงแววหยามหยัน หาความนอบน้อมจริงใจไม่ได้แม้แต่น้อย
     
     
    คีตาควบม้าเหยาะย่างมาตามถนนสายหลักของเมืองหลวง ถนนซึ่งจะพาเขามุ่งตรงจากพระราชวัง ไปยังจตุรัสกลางเมือง
     
    เมื่อครู่หลังจากการประชุม เขาก็ให้พิฆานกลับไปยังค่ายฝึกก่อน ส่วนตนเองขี่ม้าตรงมาทางนี้ ความรู้สึกไม่สบายใจนำพาเขามาทางนี้
     
    ในที่ประชุม รับสั่งขององค์ราชาทำให้เจ้าชายนรบดีเสียหน้าไม่น้อย ไม่ต้องส่งสัยเลย เจ้าชายคงโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาอย่างแน่นอน
     
    ...แต่เขาทำตามหน้าที่ รับผิดชอบตามหน้าที่อย่างดีที่สุดก็ควรจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ
     
    ในเวลาบ่ายเช่นนี้ ท้องถนนยังคงพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ชายหนุ่มหยุดม้าเมื่อถึงที่หมาย เขาลงจากหลังม้าแล้วจึงจูงมันก้าวผ่านซุ้มประตูเข้าไปในบริเวณสวนกว้าง ผูกม้าไว้ที่เพิงข้างกำแพงหินแกรนิต จากนั้นจึงค่อยเดินไปตามทาง ผ่านสนามหญ้าและสระน้ำกว้างขวาง ตรงไปยังอาคารหลังใหญ่โตซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางสวน เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูไม้ พลางป้องตามองขึ้นไปตามความสูงของอาคาร เห็นยอดแหลมที่มีวัตถุกลมทำจากโลหะ สะท้อนแสงอาทิตย์ บังเกิดเป็นรัศมีจ้าสว่างไสว
     
    ที่นี่คือวิหารแห่งแสง...วิหารศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตั้งอยู่ ณ จตุรัสกลางกรุง
     
    ความจริงวิหารแห่งแสงมีอยู่ทั่วไปตามเมืองใหญ่น้อย ทว่าวิหารแห่งแสงในกรุงอุษณบุรีนี้เป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งประวัติศาสตร์ของแคว้นนับแต่เมื่อครั้งชาวอุตตราศูรอพยพลงมาตั้งถิ่นฐาน ครั้งสงครามกับพวกเมยาดิค มีรายพระนามของราชาตั้งแต่ปฐมราชาจนถึงรัชกาลก่อนหน้าองค์ปัจจุบัน รวมถึงพงศาวดาร ตำนาน และความเชื่อต่างๆ ที่เกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งแสง
     
    วิหารแห่งนี้มีขนาดใหญ่โต สร้างจากหินแกรนิต สถาปัตยกรรมอยู่ในยุคสมัยไล่เลี่ยกับคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ อาจจะเก่ากว่าเล็กน้อย ประตูทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออก อันเป็นทิศรับแสงแรกแห่งวัน
     
    ความเชื่อในการสร้างบานประตูทางทิศตะวันออกนี้มีมาแต่โบราณแล้ว เชื่อว่าเทพเจ้าแห่งแสงจะเดินทางจากทิศตะวันออก เข้าสู่บ้านเรือนในยามเช้า อวยพรให้คนในบ้านทำการงานราบรื่น ประสบแต่สิ่งดีๆ ตลอดวัน ดังนั้นแทบทุกบ้าน แม้แต่พระราชวังก็สร้างบานประตูทางทิศตะวันออก
     
    คีตาค่อยๆ ผลักประตูไม้ ซึ่งทั้งสูงทั้งหนาทั้งหนักออกช้าๆ บานพังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดชวนวังเวง แม้ภายนอกจะดูเก่า แต่ภายในได้รับการปรับปรุงตกแต่งใหม่อยู่เสมอ ดังนั้นจึงไม่ดูโบราณมากนัก
     
    โถงใหญ่ของวิหารหินนั้นสูงและกว้างขวางราวกับจะสร้างขึ้นเพื่อจุคนทั้งเมือง รอบด้านทำเป็นสามชั้น แบ่งเป็นห้องจำนวนมาก สำหรับให้ชาวเมืองมาทำพิธีกรรมอันเป็นส่วนของครอบครัว ตามผนังของชั้นที่สองและสามยังตกแต่งด้วยภาพเขียนสี บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานต่างๆ ริมผนังหรือมุมห้องซึ่งเป็นที่ว่าง ก็ยังมีตู้แสดงสิ่งของและอาวุธโบราณ คล้ายพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมเลยทีเดียว
     
    เลยไปทางด้านหลังของโถงใหญ่ก็ยังมีห้องอีก เอาไว้สำหรับรับรองแขกสำคัญที่มาร่วมงานพิธีใหญ่ๆ ซึ่งมักจะจัดที่ห้องโถง ลึกเข้าไปตามทางเดินอันซับซ้อนเป็นส่วนของห้องตำรา สำหรับเก็บตำราประวัติศาสตร์และตำนานต่างๆ ที่มีจำนวนมากมาย และส่วนมากจะอยู่ในรูปของใบลานจารอักษร ผูกติดกัน แล้วพับเข้าเป็นเล่ม บางส่วนก็เป็นแผ่นหนังเขียนด้วยหมึก เคลือบทับด้วยน้ำยา ทว่าห้องเก็บตำราเหล่านั้นกลับไม่ค่อยมีคนสนใจเหลียวแล ปล่อยให้รกร้างเต็มไปด้วยฝุ่นผงจับหนา
     
    สำหรับโถงใหญ่นั้น มีเพดานสูง จึงให้ความรู้สึกโปร่ง ด้านในมีแท่นพิธี เหนือแท่นพิธีมีดวงอาทิตย์จำลองดวงโต ทำจากโลหะสำริด ประกอบด้วยรัศมีสีทอง ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมใดก็เห็นเป็นแปดแฉก เพดานเหนือดวงอาทิตย์จำลองนั้นเป็นกระจกใส เพื่อปล่อยให้แสงอาทิตย์จากดวงจริงสาดส่องเข้ามาในยามกลางวัน ให้แสงจันทร์แสงดาวลอดผ่านเข้ามาในยามกลางคืน
     
    คีตาก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าแท่นพิธี เขาชอบมองดวงอาทิตย์จำลอง อันเป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้าแห่งแสง ยามมองดวงอาทิตย์นั้นแล้ว จิตใจของเขาก็แจ่มใสขึ้น ราวกับต้นไม้ได้อาบแสงตะวัน
     
    ที่นี่...นอกจากเป็นแหล่งรวมจิตใจของชาวอุตตราศูรแล้ว ยังเป็นแหล่งพักพิงใจของคีตาด้วย
     
    เขาก้าวจากบริเวณหน้าแท่นพิธี กลับมายังเสาต้นที่สามทางด้านขวาของแท่นพิธีนั้น...ที่นั่นมีหุ่นสำริดตัวหนึ่ง
     
    ความจริงแล้วในโถงใหญ่นี้มีหุ่นสำริดขนาดเท่าคนจริงหลายตัว อยู่ในอากัปกิริยาแตกต่างกัน ที่ฐานหุ่นจะมีแผ่นโลหะสลักชื่อของหุ่นนั้นๆ ไว้ บ้างเป็นบุพราชาแห่งแคว้น ซึ่งมักจะตั้งอยู่บนแท่นสูงอีกชั้นหนึ่ง บ้างก็เป็นบุคคลสำคัญผู้ทำคุณประโยชน์
     
    คีตาไล่ดูหุ่นเหล่านั้น ตั้งแต่องค์ปฐมราชา หุ่นราชาอติราช ราชารัชต์ ซึ่งเขาคิดว่ามีเค้าลักษณะคล้ายเจ้าชายนรบดีอยู่บ้าง ผ่านหุ่นราชาองค์อื่นๆ บุคคลสำคัญคนอื่นๆ จนกระทั่งมาหยุดยืนตรงหน้าหุ่นตัวหนึ่ง
     
    หุ่นตัวนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ เค้าโครงใบหน้าเคร่งขรึม ผมยาว สวมเสื้อผ้ารัดกุม อยู่ในท่ายืนเข้มแข็งองอาจ มือซ้ายกำไว้ข้างลำตัว มือขวาถืออาวุธ ยกขึ้นมาขวางไว้ระดับอก อาวุธที่ถือนั้นมีลักษณะเป็นดาบสองด้าน ใบมีดยาวโค้งเป็นหยัก มีด้ามจับตรงกลาง...ลักษณะคล้ายอสิกร
     
    ที่ฐานของหุ่นนั้นก็สลักชื่อซึ่งคีตาคุ้นเคย...ศิษฎี เสตาลัญฉน์ วีรบุรุษในดวงใจของคีตา ผู้ที่เขาเทิดทูนบูชาเหนือกว่าผู้ใด
     
    แต่เนื่องจากหุ่นสำริดไม่มีการลงสีแต่งลาย จึงขาดรายละเอียดบางอย่างไป คีตาได้แต่มองหุ่นตรงหน้า จินตนาการลักษณะของศิษฎีตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา ...หากศิษฎีตัวจริงยืนอยู่ตรงหน้าเขา ก็คงเป็นชายร่างสูงใหญ่ มีเส้นผมสีดำ และนัยน์ตาสีดำ อันเป็นลักษณะเด่นของคนตระกูลเสตาลัญฉน์
     
    หากแต่ใช่ว่าเฉพาะตระกูลเสตาลัญฉน์เท่านั้นจึงจะมีลักษณะเด่นเช่นนี้ ตระกูลอะคีราของเขาก็มีลักษณะเด่นแบบเดียวกัน คนในตระกูลอะคีราล้วนแล้วแต่มีเส้นผมสีดำ และนัยน์ตาสีดำด้วยกันทั้งนั้น
     
    เพียงแต่เวลานี้ ตระกูลอะคีรา เหลือเขาเพียงคนเดียว...เขาเป็นสายเลือดอะคีราเพียงคนเดียว
     
    คิดถึงตรงนี้แล้ว คีตาก็ได้แต่ลดสายตาลงด้วยความสลดหดหู่...เสตาลัญฉน์กับอะคีรา ความจริงก็มีชะตากรรมแทบไม่ต่างกัน ตระกูลเสตาลัญฉน์จบสิ้นลงเมื่อยี่สิบปีก่อน พร้อมกับคำสาป และความตายของ ราดิศ เสตาลัญฉน์ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูล
     
    เวลานี้ตระกูลอะคีราก็เหลือเพียงเขา ซึ่งทั้งชีวิตมีแต่การต่อสู้ ไม่รู้ว่าจะพลาดพลั้งถูกฆ่าสังหารลงเมื่อใด
     
    ความรู้สึกปวดปลาบขึ้นนิดหนึ่งที่บาดแผลตรงอกขวา ...ครั้งนี้เขาพลาด ดีว่ายังไม่ถึงกับตาย หากครั้งหน้าพลาดอีก จะเป็นเวลาตายของเขาหรือไม่
     
    คีตาถอนหายใจยาว ...พรุ่งนี้เขาต้องออกเดินทาง ไปสำรวจแนวชายป่าปิศาจ บางทีเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีกก็เป็นได้
     
    ###
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×