ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ศัตรูที่เปิดเผย
กว่าห้าศตวรรษแล้วที่คฤหาสน์เสตาลัญฉน์ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงอุษณบุรี อันเป็นราชธานีแห่งแคว้นอากัณห์
คฤหาสน์หลังนี้เป็นอาคารโบราณขนาดใหญ่ สูงสามชั้น หันหน้าไปทางทิศตะวันออก วัสดุที่ใช้ก่อสร้างล้วนเป็นหินแกรนิต จึงมีความคงทน แม้จะผ่านการบูรณะบ้างเป็นครั้งคราว หากแต่ความแข็งแกร่งที่มองเห็นจากภายนอกนั้น สะท้อนถึงความเข้มแข็งองอาจของผู้ซึ่งอาศัยอยู่ภายในได้เป็นอย่างดี
คฤหาสน์แห่งนี้มีผังอาคารที่ค่อนข้างซับซ้อน แบ่งเป็นปีกอาคารทิศต่างๆ ทางเดินภายในก็ค่อนข้างลึกลับวกวน หากไม่อยู่จนคุ้นเคยก็อาจหลงทางได้ง่ายๆ
ความจริง อาคารแห่งนี้มีห้องหับกว่าห้าร้อยห้อง ทว่าที่ใช้งานจริงกลับไม่ถึงหนึ่งในสี่
หลังสิ้นสุดยุคของกาเยน เสตาลัญฉน์ ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่จำนวนหนึ่งได้แยกย้ายออกไป ยิ่งหลังวิกฤตการณ์ราดิศเมื่อยี่สิบปีก่อน คนจำนวนไม่น้อยก็เห็นว่าคฤหาสน์เสตาลัญฉน์ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง จึงแยกย้ายไปเสียเป็นจำนวนมาก
คีตากำลังแต่งตัวอยู่ภายในห้องของตน ซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของปีกอาคารด้านทิศใต้ หนึ่งวันหนึ่งคืนที่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ทำให้อาการปวดแผลทุเลาลงมาก และคาดว่าคงหายสนิทภายในหนึ่งสัปดาห์
...บาดแผลที่เขาได้รับจากการต่อสู้กับชาวเมยาดิค ไม่ว่าจะมีพิษหรือไม่ ล้วนแล้วแต่จะหายสนิทภายในหนึ่งสัปดาห์ทั้งสิ้น
ร่างกายซึ่งฟื้นคืนสภาพได้เร็วเช่นนี้เองที่พิฆานชื่นชมหนักหนา เขาเห็นว่ามันเป็นของขวัญจากเทพเจ้าแห่งแสง เทพเจ้าที่พวกเขา...ชาวอุตตราศูร นับถือบูชาอย่างสูงสุด
คีตาเปิดประตูห้องออกมา ก้าวไปตามทางเดินด้วยฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง ผนังห้องซึ่งกั้นปิดทางเดินทั้งสองด้านนั้นเรียบง่ายตามแบบสถาปัตยกรรมโบราณ ไม่ได้มีการสลักลวดลายอย่างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ทว่าก็ทำให้ทางเดินดูมืดทึบ แม้จะมีคบไฟตามทางเป็นระยะก็ตาม
เสียงรองเท้าหนังสีดำกระทบพื้นหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คีตายังคงอยู่ในชุดสีดำล้วน บนหน้าผากคาดผ้าสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังเสตาลัญฉน์ ที่ผ้าคาดเอวของเขาเสียบอสิกรซึ่งซ่อนคมทั้งสองด้านอยู่ในปลอกหนังสีดำ
ครั้นออกมาถึงลานหน้าคฤหาสน์ เขาก็พบพิฆานรออยู่ที่นั่นพร้อมกับผู้ติดตามอีกสี่ห้าคน ทุกคนคาดดาบยาวที่ผ้าคาดเอว จูงม้าพันธุ์ดีจากคอกเสตาลัญฉน์ คอกม้าซึ่งอยู่ทางด้านหลังของคฤหาสน์
พวกเขาทั้งหมดขึ้นม้า แล้วควบขับออกจากคฤหาสน์ ดำเนินไปตามเส้นทาง มุ่งสู่ค่ายฝึกของกองกำลังเสตาลัญฉน์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในเขตของกองทัพ
กองกำลังเสตาลัญฉน์ ก่อตั้งขึ้นโดย ศิษฎี เสตาลัญฉน์ ตั้งแต่เมื่อสี่ร้อยปีก่อน เชื่อกันว่าเขาได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งแสง พร้อมกับรับประทานอสิกร เพื่อปกป้องชาวอุตตราศูร ต่อต้านการโจมตีอย่างหนักหน่วงของปิศาจเมยาดิคในเวลานั้น
เสตาลัญฉน์เป็นเพียงกองกำลังพิเศษ ซึ่งไม่สังกัดกองทัพ ไม่ขึ้นกับหน่วยงานใด ไม่มีกฎระเบียบอย่างทหาร ไม่มีเครื่องแบบ มีเพียงผ้าคาดหน้าผากสีดำเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ในระยะแรก พวกเขาใช้พื้นที่ว่างในเขตของคฤหาสน์เสตาลัญฉน์เป็นค่ายฝึก หากเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า กองกำลังมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงจำเป็นต้องขยับขยายออกไปใช้พื้นที่ของกองทัพ และหยิบยืมม้ากับอาวุธบางส่วนจากกองทัพด้วย
นอกจากนี้ ในเมืองที่ห่างไกลจากกรุงอุษณบุรีออกไป ยังมีหน่วยย่อยของกองกำลัง ที่จะคอยช่วยเหลือ หรืออพยพชาวบ้านได้ ในยามที่ถูกจู่โจม โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผู้นำอีกด้วย ทั้งยังมีม้าเร็วคอยส่งข่าวรายงานสถานกการณ์เป็นระยะ หากต้องการกำลังเสริมเมื่อใด ก็สามารถส่งไปได้ทันที
แม้กระนั้นกองกำลังเสตาลัญฉน์ก็ยังคงเป็นหน่วยงานอิสระ หากมีความสำคัญถึงขั้นที่ราชาผู้ปกครองแคว้นในสมัยก่อน รับสั่งให้เข้าร่วมในการประชุมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของบ้านเมืองอยู่เสมอ จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้
ในยุคสมัยหนึ่ง ราวสามร้อยปีก่อน ราชาผู้ปกครองแคว้นมีนามว่า อติราช ทรงเห็นความสำคัญของกองกำลังเสตาลัญฉน์ จึงมีดำริจะให้กองกำลังเป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดของกองทัพ ทว่าผู้นำกองกำลังในสมัยนั้นซึ่งเป็นคนตระกูลเสตาลัญฉน์ ทูลแสดงความเห็นว่า พวกเมยาดิคมักทำสงครามแบบกองโจร จึงจำเป็นต้องมีกองกำลังอิสระที่มีความคล่องตัว หากกองกำลังเสตลัญฉน์ไปขึ้นอยู่กับกองทัพก็จะเป็นการรวมศูนย์อำนาจ ทำให้กองกำลังขาดความคล่องตัว ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่สะดวก การช่วยเหลือชาวบ้านก็จะทำได้ไม่รวดเร็ว
ราชาอติราชทรงสดับแล้วก็ทรงเห็นด้วย กองกำลังเสตาลัญฉน์จึงยังคงเป็นหน่วยงานอิสระเรื่อยมา
ทว่าก็มีบางคราวที่เสตาลัญฉน์ดูจะมีความสำคัญมากเกินไป...
หลังจากราชาอติราชสวรรคต ราชาอติรัชต์ขึ้นครองแคว้นสืบต่อ พระองค์มีจิตริษยาตระกูลเสตาลัญฉน์มาแต่แรก จึงทรงมีรับสั่งให้ยุบกองกำลังเสตาลัญฉน์เสีย และให้ตระกูลเสตาลัญฉน์ยุติความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามที่ล่วงล้ำหน้าที่พลเมืองสามัญ ทั้งนี้เพราะองค์ราชาเกรงกลัวว่าเสตาลัญฉน์จะทำรัฐประหาร ยึดอำนาจชิงราชบัลลังก์ของพระองค์
ทว่าเนื่องจากเสตาลัญฉน์มีประชาชนหนุนหลัง การยุบกองกำลังจึงถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจนกลายเป็นเหตุการณ์จราจล ราชาอติรัชต์จึงต้องยกเลิกคำสั่ง และไม่ทรงกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อเสตาลัญฉน์อีก จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่ปีต่อมา
บทเรียนครั้งนั้นทำให้ ไม่มีราชาองค์ใดคิดล้มล้างเสตาลัญฉน์อีกเลย อย่าว่าแต่เสตาลัญฉน์ก็ได้พิสูจน์ความสัตย์ซื่อ ด้วยการทำหน้าที่ปกป้องชาวอุตตราศูรอย่างดีที่สุด
อีกสาเหตุหนึ่งที่เสตาลัญฉน์ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านอย่างมากมาย ก็เพราะนักรบในกองกำลังทั้งชายและหญิง โดยมากเป็นผู้คนที่สูญเสียบ้าน สูญเสียญาติมิตรจากการโจมตีของพวกเมยาดิค บางคนอาสาเข้ามาเอง บางคนได้รับความช่วยเหลือจากเสตาลัญฉน์ พักพิงอาศัยอยู่ใต้ปีกเสตาลัญฉน์ พวกเขาจึงต้องการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อทดแทนบุญคุณอันนี้ และเพื่อความอยู่เป็นสุขของรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่ไม่ว่าจะมีกำลังมากเพียงใด พวกเขาก็ยังไม่อาจกำจัดปิศาจเมยาดิคให้หมดไปได้
ปิศาจเมยาดิค...คำที่ชาวบ้านต่างเรียกขานชนเผ่าพื้นเมืองอันลึกลับและดุร้าย พวกมันไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ทราบแต่ว่าพวกมันเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ได้ เปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายที่มีขนาดใหญ่ พวกมันเข้าทำลายชีวิต ทำลายบ้านเรือน เป็นปิศาจร้ายที่ต้องกำจัด
นับแต่อดีตมา ชาวอุตตราศูรต้องอกสั่นขวัญหายจากการโจมตีของชาวเมยาดิค แม้แต่ในกรุงอุษณบุรีเอง ซึ่งน่าจะเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุด เพราะเป็นเมืองหลวงที่มีทหารคุ้มกันแน่นหนา ก็ยังมีพวกเมยาดิคเล็ดลอดเข้ามาก่อความวุ่นวายให้ชาวเมืองต้องแตกตื่นหลายต่อหลายครั้ง
หลายคนกล่าวว่า แคว้นอากัณห์คงเป็นแคว้นที่สงบมาก หากปราศจากปิศาจเหล่านี้ เนื่องเพราะแคว้นเล็กๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ในทวีปซึ่งเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล มีความอุดมสมบูรณ์ และหาสงครามได้ยาก ด้วยมีปราการทางธรรมชาติกั้นขวางอยู่ทุกทิศทาง คือมีทะเลกว้างใหญ่โอบล้อมตลอดรอบด้าน ส่วนที่ติดกับแผ่นดินคือทิศเหนือ ก็มีเทือกเขาสูงกั้นขวางไว้ เรียกว่าเทือกเขาเสียดฟ้า
หากแม้นเทือกเขาสูงใหญ่ปานนั้น ในอดีตกาลราวหกร้อยปีล่วงมา ก็ยังมีกลุ่มคนบุกฝ่าลงมาได้ บุคคลกลุ่มนี้เรียกตนเองว่า ชาวอุตตราศูร ซึ่งแปลว่านักรบผู้กล้าจากแดนเหนือ พวกเขามีความเข้มแข็ง กล้าหาญ และอดทน ด้วยถูกเคี่ยวกรำจากภูมิประเทศที่เคยอยู่ ซึ่งเป็นดินแดนที่ราบสูงอันกันดารและหนาวเย็น พวกเขาอพยพลงมาทางใต้ ลัดเลาะผ่านเทือกเขาสูงนั้น จนกระทั่งมาพบดินแดนอันอบอุ่นและอุดมสมบูรณ์ที่แหลมแห่งนี้ จึงพากันตั้งบ้านตั้งเมือง จวบจนกลายมาเป็นแคว้นอากัณห์ในปัจจุบัน
ส่วนพวกเมยาดิค ชนเผ่าพื้นเมืองก็ถูกผลักดันให้ถอยร่น จนต้องหลบลี้อยู่ในป่า โดยเฉพาะป่ากว้างใหญ่ที่อยู่ทางทิศใต้ของแคว้น อันเป็นจุดใต้สุดของแหลม เป็นป่าอันดำมืดที่ไม่มีผู้ใดกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้ ผู้คนต่างเรียกป่าแห่งนั้นว่า...ป่าปิศาจ
กองกำลังเสตาลัญฉน์เคยส่งคนไปสำรวจที่ป่าแห่งนั้นหลายครั้ง หากพวกเขาก็ได้แต่สำรวจเพียงแนวชายป่า ไม่สามารถเข้าไปลึกถึงภายในได้ ด้วยถูกดักซุ่มโจมตีจนต้องถอยร่นกลับออกมาเสียทุกครั้ง
มีเพียงคีตาเท่านั้นที่เคยเข้าไปถึงภายใน...มีเพียงคีตาเท่านั้น
ชายหนุ่มตวัดเท้าลงจากหลังม้าหน้าอาคารไม้หลังหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นศูนย์บัญชาการของกองกำลัง แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นม้าสีขาวถูกผูกให้กินหญ้าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าอาคาร หากแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ บางทีอาจเป็นของใครสักคนที่แวะผ่านมา
คีตาส่งสายจูงม้าให้ผู้ติดตาม แล้วจึงก้าวเท้าขึ้นบันไดอาคาร ได้ยินเสียงฝึกซ้อมดังมาจากทางด้านหลัง สุ้มเสียงมีพลังฮึกเหิม แสดงถึงจิตใจองอาจห้าวหาญ พร้อมที่จะต่อสู้กับศัตรูได้ทุกเมื่อ
หากแต่เมื่อก้าวขึ้นไปได้เพียงสองก้าว ชายหนุ่มก็ต้องยั้งเท้าไว้ ทั้งนี้เพราะที่หัวบันได หน้าประตูทางเข้า มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
คีตาถอนเท้า ถอยกลับลงมายืนบนพื้น ยกมือขวากำขึ้นทาบอกซ้าย โค้งกายค้อมลงแล้วนิ่งอยู่ พิฆานกับคนติดตามเห็นเช่นนั้นก็แลมองตาม และต้องกระทำความเคารพเฉกเช่นเดียวกัน
"ข้ารู้ว่าท่านจะต้องมาที่นี่ คีตา" เสียงนุ่มนวลของชายผู้หนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นจึงได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวลงบันไดไม้มา แล้วหยุดอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย "ท่านไม่ต้องนอบน้อมต่อข้าเช่นนี้ก็ได้ ข้าไม่ใช่ท่านพ่อ และไม่ใช่ท่านพี่ ตรงกันข้าม คนที่นอบน้อม ควรเป็นข้า"
คีตายืดกายขึ้น พร้อมกับลดแขนลง เบื้องหน้าของเขาเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน ยามต้องแสงอาทิตย์ดูคล้ายมีประกายสีทอง ดวงตาของเขาก็เป็นสีเดียวกัน ทั้งยังมีแววอ่อนโยนและเป็นกันเอง ริมฝีปากบางที่แฝงรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานั้น ดูช่างเจรจา ลักษณะโดยรวมคล้ายนักการทูตมากกว่าเป็นนักรบ
การแต่งกายของเขาก็ไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบทหารของกองทัพใด หากแต่เป็นชุดสีเหลืองอ่อนที่ดูเรียบง่าย และมีผ้าคลุมยาวสีเข้มกว่าเล็กน้อย ที่ผ้าคลุมกลัดด้วยเข็มสีทองซึ่งสลักเป็นรูปดวงอาทิตย์แปดแฉก อันเป็นเครื่องหมายของราชตระกูล
"เจ้าชายนิรมัน ท่านต้องการพบข้า ไฉนไม่ให้คนมาตาม ไยจึงต้องเสด็จมาด้วยองค์เอง"
"ข้าอยากมาเอง" เจ้าชายแย้มสรวล "อยากมาดูอาการท่าน เห็นว่าบาดเจ็บ เป็นอย่างไรบ้าง"
"ดีขึ้นมากแล้ว ฝ่าบาท" คีตาตอบ พลางก้าวถอยหลังเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เกิดการเปรียบเทียบกับเจ้าชาย แม้พระองค์จะไม่ใช่คนร่างเล็ก แต่ในเวลาที่ประทับยืนอยู่บนบันไดขั้นแรก ก็ยังสูงไม่เท่าเขา
เจ้าชายทรงโบกหัตถ์ห้ามปราม "ไม่ต้องฝ่าบ่งฝ่าบาทหรอกคีตา ข้าบอกหลายครั้งแล้ว ท่านเป็นเหมือนพี่ชายของข้า อย่าพิธีรีตรองเลย"
ชายหนุ่มรับคำ เขาจำได้ ครั้งแรกที่พบกับเจ้าชายนิรมันในพระราชฐาน คือวันที่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้นำกองกำลัง เวลานั้นเจ้าชายมีพระชันษาเพียงสิบปี ซุกซน ช่างซักช่างถาม และไม่ถือองค์เลย แม้แต่กับมหาดเล็กรับใช้ ก็ทรงเห็นว่าเป็นผู้ที่คอยให้ความสะดวกมากกว่า ดังนั้น สิ่งใดที่ทรงทำเองได้ก็จะทรงทำเอง และบ่อยครั้งที่ไม่ทรงโปรดให้มีผู้ติดตาม
...วันเวลาผ่านไป จากเจ้าชายน้อยที่ช่างสงสัยใคร่รู้ เจริญวัยเป็นเจ้าชายหนุ่มผู้งามสง่า ช่างคิดและช่างเจรจา
เจ้าชายเห็นเขานิ่งเงียบไป จึงหันไปทางเด็กหนุ่มที่ด้านข้างบ้าง
"พิฆาน วันก่อนเจ้าก็ไปกับคีตาด้วยไม่ใช่หรือ ได้ยินว่าสู้กับหมาป่ายักษ์ด้วยนี่" เจ้าชายตรัสพลางกอดอก แลมองด้วยสายตาชื่นชม พระองค์ไม่ใช่นักรบ แทบไม่มีทักษะในการใช้อาวุธเลย
คนถูกถามยิ้มออกมาเมื่อเห็นสายตาเช่นนั้น หากแล้วยิ้มนั้นกลับเจื่อนลง
"แต่ที่คีตาบาดเจ็บ ก็เพราะช่วยข้าไว้" เขาทูลตอบ
เจ้าชายยิ้มนิดหนึ่ง แล้วจึงก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย ตรงมาทางเด็กหนุ่ม
อันที่จริงเขารู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว รู้เหตุการณ์ทั้งหมดจากคำบอกเล่าของทหารหลวง ที่ส่งมาจับตาดูคนในกองกำลัง
...องค์ยุพราชไม่เคยไว้ใจเสตาลัญฉน์!
"เจ้าทำดีแล้ว ขาดแต่เพียงประสบการณ์" เจ้าชายปลอบ พลางเอื้อมหัตถ์วางลงบนบ่าของพิฆาน "ศึกษาจากคีตาให้มากไว้สิ" ตรัสแล้วจึงเดินไปปลดม้าสีขาวที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
"อีกสักครู่ท่านพ่อจะเรียกประชุมเสนาธิการ คงอยากรู้เรื่องเมื่อคืนก่อน" ในที่สุด เจ้าชายก็บอกจุดประสงค์ของการมา แล้วจึงหยุดนิดหนึ่ง หันกลับไปทางคีตา "ข้าเองก็อยากรู้ เหตุใดพวกเมยาดิคจึงต้องโจมตีเราอยู่เป็นนิจ เราสูญเสีย พวกมันก็สูญเสีย แล้วจะทำเพื่ออะไร"
คีตาไม่ทราบคำตอบ จึงนิ่งเสีย เจ้าชายเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ
"เรารีบไปกันเถอะ" เจ้าชายตรัส คีตารับคำแล้วจึงหันไปบอกกล่าวผู้ติดตาม ให้อยู่ควบคุมการฝึกซ้อมแทน ส่วนเขากับพิฆานพากันขึ้นม้าควบขับตามเจ้าชายไป
—
พระราชวังแห่งแคว้นอากัณฑ์ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของกรุงอุษณบุรี มีลักษณะเป็นปราสาทหินทรายที่มีการสลักตกแต่งผนังอาคารอย่างสวยงาม อันเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ทั้งนี้เพราะพระราชวังเดิมถูกไฟไหม้ในการจราจลครั้งใหญ่ จึงต้องมีการสร้างใหม่เมื่อราวสามร้อยปีก่อน
บริเวณทางเดินสู่ห้องท้องพระโรงค่อนข้างโปร่ง ด้วยมีช่องหน้าต่างสูงจากเอวจรดเพดาน เรียงรายติดกันเป็นพรืด ...พิฆานเห็นเช่นนี้แล้วมักนึกขึ้นในใจ ไฉนไม่ทำเป็นทางเดินนอกอาคารเสียเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาก่อหินให้เป็นช่อง
เขาเดินตามเจ้าชายนิรมันและคีตามาตามทาง เมื่อถึงมุมอาคาร ก่อนเลี้ยวไปยังหน้าท้องพระโรง เจ้าชายนิรมันก็หยุดยั้งรั้งอยู่ ปล่อยให้เขาและคีตาเดินไปก่อน เพราะเมื่อถึงด้านหน้าประตูแล้ว มหาดเล็กจะต้องประกาศพระนาม ซึ่งไม่เป็นอันควรหากจะมีผู้อื่น ที่ไม่ใช่ทหารหลวงหรือมหาดเล็กประจำพระองค์ติดตามเข้าไปในเวลานั้น
เมื่อก้าวผ่านประตูท้องพระโรงเข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่เห็นเด่นอยู่ตรงกลางห้องด้านในสุดคือแท่นยกสูงสองระดับ ทำเป็นขันบันได บนแท่นนั้นมีเก้าอี้ตั้วใหญ่ สลักจากหินอ่อนทั้งก้อน ตามพนัก ที่ท้าวแขน และขาเก้าอี้มีลวดลายสลักสวยงาม ประดับด้วยอัญมณีหลากชนิด บนเก้าอี้มีเบากำมะหยี่สีแดงวางอยู่สำหรับนั่งและพิง
สิ่งนี่เองที่เรียกว่าบัลลังก์...บัลลังก์ก็คือเก้าอี้หรูหราตัวหนึ่งเท่านั้น
ถัดจากบัลลังก์ลงมาระดับหนึ่งก็มีเก้าอี้ที่มีการประดับตกแต่งน้อยกว่าอีกสองตัว วางอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของบัลลังก์ เป็นที่ประทับสำหรับเจ้าชายทั้งสองพระองค์ และถัดลงมาจากแท่นนั้นก็มีเก้าอี้วางเรียงรายอยู่สองฟากข้าง หันหน้าเข้าหาด้านใน เป็นที่นั่งประจำตำแหน่งของเสนาบดีและข้าราชการอื่นๆ ลดหลั่นกันลงมาตามตำแหน่งหน้าที่
ตำแหน่งของคีตาอยู่เกือบท้ายแถวทางฝั่งขวาของบัลลังก์ ทั้งนี้เพราะเขาเป็นเพียงผู้นำกองกำลังที่ได้รับบัญชาให้มาเข้าร่วมการประชุมเท่านั้น หาได้มีตำแหน่งทางราชการไม่ ทว่าเขากลับได้รับความสนใจจากผู้หลักผู้ใหญ่อย่างมากมาย
คีตากล่าวทักทายเสนาบดีอาวุโส ผู้บัญชาการกองพลราบ ผู้บัญชาการกองพลเรือ และข้าราชการท่านอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็ทักทายตอบ ชวนกันพูดคุยเรื่องต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับเรื่องราชการงานเมือง เรื่องการวางแผนต่อสู้กับพวกเมยาดิค รวมทั้งเรื่องอาการบาดเจ็บของคีตา
สำหรับพิฆาน เวลานี้คือการเรียนรู้งาน เรียนรู้ว่าคีตาพูดอะไรบ้าง ความลับใดที่เขาเก็บไว้ ความจริงใดที่เขาเปิดเผย แม้แต่สีหน้าท่าทาง อาการที่ควรแสดงออกต่อหน้าผู้อื่น พิฆานก็สังเกตทั้งหมด
คีตาเคยบอกเขาว่า กับคนบางคน เรารู้ว่าเป็นมิตรแท้และเชื่อถือได้ ส่วนคนบางคนที่แสดงออกว่าเป็นศัตรู นี่ก็เชื่อได้สนิทใจเช่นกัน เชื่อว่าคนผู้นั้นจะปองร้ายแน่ๆ หากแต่คนบางคน เราไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู แม้ฉากหน้าจะเป็นมิตร แต่ฉากหลังอาจกำลังหาทางเล่นงานเราอยู่ก็ได้ ดังนั้นจึงอย่าได้วางใจ
คีตายังเคยบอกอีกว่า แม้จะรู้ว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู ก็อย่าได้แสดงออกมากนัก ความลับบางอย่างควรเก็บงำไว้ แม้แต่กับมิตร เพราะบางครั้ง มิตรก็อาจคิดต่างกับเรา หรือเผลอเปิดเผยความลับของเราต่อศัตรูเช่นกัน
พิฆานเคยทบทวนคำพูดนี้หลายครั้ง แม้คีตาไม่ได้บอกว่ามิตรอาจทรยศกลับกลาย แต่เขาทราบดีว่าความหมายเป็นเช่นนั้น
เขายืนมองคีตาพูดคุยกับผู้บัญชาการกองพลราบที่อยู่ในเครื่องแบบสีน้ำตาล และผู้บัญชาการกองพลม้าในชุดสีแดงดำ คนเหล่านั้นมีเรื่องคุยกันมาก เพราะโดยปกติผู้บัญชาการทหารทั้งหลายจะอยู่หัวเมืองชายแดน สักเดือนหรือสองเดือนจึงเข้าร่วมประชุมเสียทีหนึ่ง
เด็กหนุ่มฟังพวกเขาคุยกันอีกสักครู่ใหญ่ ก็ได้ยินเสียงประกาศพระนามเจ้าชายนิรมัน เจ้าชายทรงก้าวเข้ามาในท้องพระโรง รับการคำนับทักทายจากเหล่าข้าราชการแล้วก็ทรงก้าวไปประทับที่เก้าอี้ทางด้านซ้ายของบัลลังก์
พิฆานเห็นแล้วอดรู้สึกนิยมในพระองค์ไม่ได้ แม้จะทรงเป็นกันเองกับผู้คนทั่วไป แต่ก็ยังทรงไว้องค์ตามฐานะได้อย่างเหมาะสม แตกต่างจากพระเชษฐาลิบลับ
ความคิดของพิฆานยังไม่ทันเลยไปไหน เสียงประกาศพระนามก็ทำให้เขาแทบสะดุ้ง
เจ้าชายนรบดี องค์ยุพราชแห่งแคว้นอากัณห์ เดินลิ่วเข้ามาภายในห้องท้องพระโรงจนผ้าคลุมปลิว
พระองค์มีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาละม้ายคล้ายเจ้าชายนิรมัน กล่าวคือมีผมสีน้ำตาลอ่อนประกายทอง แม้ดวงตาเรียวเล็กกว่า แต่นัยน์ตาก็เป็นสีน้ำตาลอ่อนเช่นเดียวกัน ทว่าแววตานั้นต่างกันอย่างยิ่ง ทรงมีแววตาอย่างคนเย่อหยิ่งถือตัว มักมองเลยผ่านศีรษะไปเสียทุกคน
เจ้าชายนรบดีอยู่ในชุดสีน้ำเงิน อันเป็นเครื่องแบบของกองทหารรักษาพระนคร หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าทหารหลวง ผ้าคลุมกำมะหยี่ยาวก็เป็นสีน้ำเงิน มีลายเดินทองตามชายผ้าคลุม กลัดเข็มแสดงฐานะราชตระกูล และเหรียญตราแสดงฐานะผู้นำกองทหารรักษาพระนคร พร้อมทั้งคาดดาบประดับอัญมณีไว้ที่เอว
พิฆานเห็นผ้าคลุมของเจ้าชายนรบดีครั้งใดก็ให้อดนึกขำไม่ได้ ...เหตุใดจึงเอาผ้าม่านมาทำเป็นผ้าคลุม
ความจริงตอนที่ทรงพระดำเนินลิ่วเข้ามาพร้อมกับทหารในสังกัดนั้น องค์ยุพราชไม่ได้ทรงเหลือบพระเนตรแลใคร ไม่สนพระทัยทักทายใคร สายพระเนตรของพระองค์นิ่งตรง หากเพียงเมื่อทรงก้าวผ่านคีตาเท่านั้น ก็ทรงชำเลืองหางพระเนตรมองมา สายตาไม่ได้เป็นมิตรแม้แต่น้อย
...นี่เอง ศัตรูที่ประกาศตนเป็นศัตรู
เจ้าชายก้าวขึ้นไปบนแท่นสูง ประทับนั่งลงที่เก้าอี้ทางด้านขวาของบัลลังก์ พิฆานมองตาม จากนั้นสายตาจึงกวาดไปที่บัลลังก์อีกครั้ง ...ต่อไปภายหน้า เจ้าชายนรบดีจะเป็นผู้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์นี้... คิดแล้วก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้
เขาเคยถามคีตาว่า ถ้าเจ้าชายนรบดีขึ้นเป็นราชาแล้วคีตาจะทำอย่างไร ทว่าคีตาเพียงหันมายิ้มแล้วตอบสั้นๆ ...ทำตามหน้าที่
เพราะทำตามหน้าที่นี้เอง องค์ยุพราชจึงไม่สามารทำอะไรคีตาได้ แม้จะไม่ทรงโปรดที่ผู้นำกองกำลังเล็กๆ กลับมีสิทธิ์เข้าประชุมร่วมกับเสนาธิการ แต่เพราะคีตาทำตามหน้าที่ ทำตามพระบัญชาขององค์ราชา เจ้าชายนรบดีจึงไม่อาจโต้แย้งใด
พิฆานคิดถึงตรงนี้แล้วลอบยิ้มออกมานิดหนึ่ง ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าชายนรบดีทรงเอาแต่พระทัย เย่อหยิ่ง ขี้อิจฉา เมื่อเห็นคีตาได้รับความไว้วางใจจากองค์ราชา เหล่าเสนาบดีและข้าราชการทั้งหลายก็ให้ความสำคัญกับเขา ผู้คนก็นับถือชื่นชมเขา เจ้าชายเองย่อมไม่พอพระทัย
...คงเป็นเช่นเดียวกับราชาอติรัชต์ในสมัยก่อนกระมัง
ได้ยินมหาดเล็กประกาศพระนามอีกครั้ง ครานี้เป็นพระนามที่ทุกผู้คนต้องยืนขึ้น กำมือขวาขึ้นทาบอกซ้าย และค้อมกายแสดงความเคารพอย่างสูงสุด
"พระราชาภควานเสด็จ!"
###
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น