ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ ๑
บริเวณทางเดินหน้าอาคารกิจกรรมในเวลานั้นมีแต่หนุ่มสาวในชุดนักศึกษาเดินผ่านไปมากันจนขวักไขว่ มองจากบริเวณนั้นข้ามสวนหย่อมมาก็จะเป็นถนนแคบๆ สำหรับคนเดินและรถจักรยานผ่าน ข้างๆ ถนนมีม้านั่งหินอ่อนสำหรับให้นักศึกษานั่งทำกิจกรรมตั้งเรียงรายยาวจนสุดถนน
ที่ม้านั่งตรงข้ามกับประตูห้องชมรมการแสดงพอดิบพอดี ศาสตรากำลังยืนชะเง้อคอยาวมองหาหญิงสาวที่ตัวเขาเองยังไม่รู้จักหน้าค่าตา ไม่รู้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม เขารู้แต่ว่า ในเวลาเลิกเรียนเช่นนี้ เธอต้องเดินเข้าออกห้องชมรมการแสดงแน่นนอน
"เฮ้ยๆ ไอ้ภณ" เขาหันมาสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างแรง เนื่องด้วยสายตาของเขาปะทะเข้ากับหญิงสาวที่เพิ่งเดินออกจากประตูห้องชมรมการแสดง "ใช่คนนี้รึเปล่าวะ" เขาถามโดยไม่ยอมละสายตาจากหญิงสาว
รามภณจำต้องเงยหน้าขึ้นจากกระดาษปึกย่อมๆ ที่กำลังอ่านอยู่ ซึ่งเป็นสคริปต์ที่เขาเตรียมไว้สำหรับออกอากาศในวันนี้ แล้วกวาดสายตามองไปตามทิศทางเดียวกับสายตาของเพื่อน
คำตอบอยู่ในใจเขาแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะตอบคำถามของศาสตรา เสียงทุ้มๆ ของวสวัตติ์ ก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ถามอย่างกับไอ้ภณมันรู้จักนางเอกใหม่ของชมรมการแสดงอะไรนั่นแหละ มันก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่ามันเองก็ไม่เคยเห็น”
"เอาน่า อย่างน้อยมันก็รู้จักคนในชมรมนั้นมากกว่าข้าละวะ" ศาสตราตอบ ดวงตาคู่เรียวของเขาก็ยังไม่ยอมเบือนจากหญิงสาวคนเดิม "ตกลง เอ็งว่าใช่มั้ยวะ ไอ้ภณ"
รามภณยิ้มออกมาน้อยๆ เป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์แบบหนุ่มขี้อาย พลางส่ายหน้า “คงไม่ใช่ว่ะ”
คำตอบของเขากระตุ้นให้เพื่อนร่างสูงใหญ่อย่างนักกีฬา ละสายตาจากหญิงสาว แล้วหันกลับมาถาม
"ทำไมวะ คนนี้ก็ออกจะสวย"
“ก็เอ็งบอกว่านางเอกใหม่คนนั้นเป็นนักศึกษาที่เข้ามาเมื่อกลางเทอมไม่ใช่เหรอ แต่คนนี้น่ะ เป็นนางเอกละครเวทีเมื่อปีที่แล้ว”
"อ้าว...เหรอ...ข้าจำไม่ได้ว่ะ"
"ก็เองไม่เคยสนใจละครเวทีของพวกชมรมการแสดงเลยนี่หว่า"
เสียงของวสวัตติ์ทำให้ศาสตราต้องขมวดคิ้วหันไปมองเพื่อนที่มีร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กัน ทว่ากำลังนั่งท้าวคางปั้นหน้านิ่วอยู่ด้านข้าง
"เฮ้ย...แต่ปีนี้ข้าสนใจจริงๆ นะ'' ศาสตราพูดหน้าตาเฉย "ยิ่งมีข่าวว่านางเอกใหม่สวยนักสวยหนา ข้าก็ยิ่งสนใจ"
“เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสนใจ” วสวัตติ์บอก พลางลุกยืนขึ้น ยื่นหน้าไปใกล้ศาสตรา เส้นผมยาวที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย เป็นหางอยู่ที่กลางหลังจึงห้อยข้ามบ่ามาระอยู่ด้านหน้า “แต่ตอนนี้ข้าไม่สนใจแล้ว ข้าจะไปชมรม”
ทันทีที่วสวัตติ์ดึงตัวกลับ ศาสตราก็คว้า 'หาง' ของเขาไว้
"โอ๊ย! ไอ้บ้าเอ๊ย" วสวัตติ์ร้อง
"อยากไว้ผมยาวให้เป็นจุดอ่อนเองนี่หว่า" ศาสตราฉีกยิ้มกว้างเยาะเย้ย "เอ็งต้องอยู่ช่วยข้าหาก่อนสิวะ ไม่อยากรู้เหรอว่านางเอกที่จิรัชย์หวงนักหวงหนาน่ะ จะสวยซักแค่ไหน"
"ไม่อยาก!" วสวัตติ์กระแทกเสียงดัง "ปล่อยสิวะ"
รามภณหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนลุกขึ้นหยิบปึกกระดาษและกระเป๋าสะพายข้าง จากนั้นจึงหันไปทางวสวัตติ์
“ไปชมรมก่อนนะ” ว่าแล้ว เขาก็ออกเดินพร้อมกับเสียงหัวเราะ ศาสตราจึงคลายมือจาก ‘หาง’ ของวสวัตติ์แล้วตะโกนไล่หลังรามภณ
"ไอ้ภณ จะหนีเหรอวะ"
รามภณโบกมือให้เขา ขณะที่เดินตรงไปยังบริเวณทางเข้าอาคารกิจกรรม โดยไม่ยอมหันกลับมา
วสวัตติ์ได้โอกาสที่เพื่อนสนใจทางอื่น ผละออกมา พร้อมกับคว้ากระเป๋ากีฬาวิ่งออกไปที่ทางเดิน “เอ็งไปเรียกไอ้ภพกับไอ้วินมาเป็นเพื่อนแทนแล้วกัน ข้าไปชมรมล่ะ” เขาหันกลับมาตะโกนบอกเพื่อน ก่อนวิ่งไปตามทางเดิน ซึ่งนำไปสู่ศูนย์กีฬาของมหาวิทยาลัย
"โห...ทำอย่างกับไม่รู้ว่า ไอ้สองคนนั้น เรียกให้ตายก็ไม่มา" เขาบ่นราวกับวสวัตติ์จะอยู่ฟัง "แล้วจะอยู่ต่อทำไมวะ...ข้าก็ต้องไปชมรมเหมือนกัน" ว่าแล้วก็คว้ากระเป๋ากีฬาแบบเดียวกับของวสวัตติ์ เดินเรื่อยไปทางศูนย์กีฬาเช่นกัน
% ###
ภวาภพหลับตาเอนหลังพิงโคนต้นไม้อยู่ในสวนริมทะเล สถานที่ที่เขาคิดว่าเงียบสงบที่สุดในมหาวิทยาลัย ซึ่งโดยปกติแล้วก็มักจะได้ยินแต่เสียงคลื่นซัดเข้ามาที่ชายหาด ธาวินกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเขา หลังจากที่แอบเหลือบมองเพื่อนเกือบสิบรอบ เขาก็ปิดหนังสือ หันมองภวาภพ แล้วถามคำถามที่เขาสงสัยมาหลายนาทีแล้ว
ธาวินปิดหนังสือ หันมองภวาภพ แล้วถามคำถามที่เขาสงสัยมาหลายนาทีแล้ว
"ถามจริงเหอะ เอ็งคิดยังไงถึงโดดชมรมวะ"
"ขี้เกียจ" คำตอบห้วนๆ สั้นๆ ตามแบบภวาภพ
“ปกติก็เห็นเอ็งไม่เคยขาดชมรมเลยนี่หว่า บางทียังโดดเรียนไปชมรมเลย หรือว่า...” ธาวินมองเขาด้วยสายตาฉายแววรู้ทัน แต่ภวาภพก็ยังคงอยู่ในท่าเดิม ไม่พูดไม่ตอบ และไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
"หรือว่าเอ็งงอนที่ต้นกุหลาบของเอ็งจะโดนยึดไปใช้ในละครเวทีใช่มั้ยล่ะ" ธาวินยิ้มๆ เผยให้เห็นเขี้ยวข้างขวาที่ใครๆ ก็ว่า...น่ารัก ทว่าคำพูดของเขาก็กระตุ้นให้ภวาภพหงุดหงิดจนต้องขมวดคิ้วดกหนาจนชิดติดกัน หากเพื่อนก็ยังนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม "ไอ้ภพเอ๊ย...กุหลาบต้นเดียว เอ็งปลูกใหม่ก็ได้นี่หว่า"
ใครว่าต้นเดียว ที่จริงแล้วห้าต้นต่างหาก... ภวาภพนึกในใจอย่างหงุดหงิด
ก็จริงอยู่ เพียงแค่ต้นกุหลาบ เขาอยากจะปลูกใหม่อีกสักกี่ต้นก็ได้ แต่กุหลาบลูกผสมระหว่างคาร์ดินาลซองกับเวเทอแรนส์ออเนอร์* ซึ่งเขาผสมเองกับมือ และตอนนี้มันก็กำลังมีดอกตูมเล็กๆ อย่างไรเสีย เขาก็อยากจะเป็นคนแรกที่ได้เห็นดอกสีแดงสดของมัน
ธาวินยิ้ม ความจริงเขาก็พอจะรู้ใจเพื่อน
"เอาเหอะวะ ถือว่าสงสารจิรัชย์มันก็แล้วกัน ก็แฟนมันดันเปลี่ยนใจมาชอบไอ้ภณซะเฉยๆ เลยนี่หว่า"
เกี่ยวอะไรกันวะ...ภวาภพประท้วงอยู่ในใจอีก
...อันที่จริงมันก็ไม่น่าจะเกี่ยว ถ้าจิรัชย์ไม่โยงมันเข้ามาเกี่ยวกันเพราะความพาลของเขา
"แล้วไง" ภวาภพพูดห้วนๆ
"แล้วไง...ก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้จิรัชย์ไม่ชอบหน้าไอ้ภณน่ะ แล้วไฟมันก็เลยลามมาถึงเอ็ง'' ธาวินว่า พลางทำมือชี้ไปที่เขา
ภวาภพขมวดคิ้วชำเลืองมองเพื่อนแวบหนึ่ง ก่อนบอกออกมา
"เอ็งก็อย่าไปบอกใครแล้วกัน"
"ข้ารู้แล้ว เอ็งกลัวพวกนั้นจะไปหาเรื่องเอากับจิรัชย์ใช่มั้ยล่ะ"
คราวนี้ภวาภพปิดปากเงียบไปอีกแล้ว ธาวินจึงบิดขี้เกียจเต็มแรง แล้วล้มตัวลงไปบนพื้นหญ้านุ่มๆ
"เฮ้อ...ไอ้พวกทำกิจกรรมนี่มันเรื่องเยอะจริงๆ เดี๋ยวก็ซ้อม เดี๋ยวก็นู่น เดี๋ยวก็นี่ ข้าว่าข้าคิดถูกที่ไม่เข้าชมรม''
ถึงธาวินจะไม่ได้ร่วมกิจกรรมชมรม แต่เขาเองก็มักจะไปแช่อยู่ที่เรือนเพาะชำของชมรมไม้ดอกไม้ประดับกับภวาภพ จนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชมรมนั้นไปแล้ว
...บางทีอาจะเป็นเพราะเขาไม่ได้สังกัดชมรมใดจึงมีเวลาว่างพอที่จะป่วนเพื่อนคนอื่นๆ และชมรมไม้ดอกไม่ประดับที่ภวาภพสังกัดอยู่ ก็ไม่ได้กันเขาเป็นผู้ชมอย่างชมรมฟุตบอล หรือไม่ได้มีระเบียบเคร่งครัดห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่มย่าม อย่างชมรมวิทยุกระจายเสียง
% ###
ชมรมวิทยุกระจายเสียง อยู่บนชั้นสามของอาคารอาคารกิจกรรม ซึ่งเป็นอาคารกว้างใหญ่ สีขาว สูงห้าชั้น และเป็นที่ตั้งของชมรมต่างๆ
ทันทีที่มาถึง รามภณทักทายเพื่อนๆ ในชมรม แล้วเข้าห้องกระจายเสียงที่อยู่ลึกเข้าไปในห้องชมรมอีกทีหนึ่ง เขาสวมเฮดโฟน เปิดสวิตช์ ปรับปุ่มต่างๆ บนแผงควบคุมอย่างชำนาญ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เพื่อนที่ควบคุมเสียงอยู่ด้านนอก แล้วกรอกเสียงลงไมโครโฟนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงทุ้ม นุ่มหวาน อันเป็นเอกลักษณ์
เขาเป็นดีเจอยู่ที่ชมรมนี้เอง แถมยังเป็นดีเจเนื้อหอมเสียด้วย ดังนั้น ช่วงเวลาออกอากาศของเขาจึงเป็นเวลาไพรม์ไทม์ คือช่วงเย็นที่มีนักศึกษาอยู่ทำกิจกรรมกันมากที่สุด
เพลงที่เขาเปิด ถ้าไม่ใช่เพลงซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ก็จะเป็นเพลงที่พวกชมรมดนตรีสากลทำกันขึ้นมาเอง
เพลงกำลังบรรเลงอยู่ ทว่าตัวดีเจกลับไม่ได้อยู่ในห้องกระจายเสียง เนื่องจากเขาก็ถูกเพื่อนที่ด้านนอกส่งสัญญาณเรียกให้ออกมาพบใครคนหนึ่ง
หญิงสาวสวย รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนียน ละเอียด ผมยาวดัดเป็นลอนน้อยๆ พรมหน้าตาด้วยเครื่องสำอางค์บางๆ ให้ตัวเองแลดูน่าสนใจ แม้ว่าท่าทางของเธอจะเชิดหยิ่งราวกับนางหงส์ แต่เมื่อเห็นรามภณเดินเข้ามา เธอก็ส่งยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหาราวลูกหมาน้อยๆ เลยทีเดียว
ท่าทีของเธอเช่นนี้ แตกต่างจากเมื่อสี่เดือนก่อนราวฟ้ากับเหว...
...
เมื่อสี่เดือนที่แล้ว หญิงสาวคนเดียวกันนี้มาที่ชมรมวิทยุกระจายเสียง พร้อมกับกระดาษในมืออีกสามสี่แผ่น มันเป็นเวลาพอดีกับที่รามภณกำลังก้าวเข้ามาในห้องชมรม เขาเห็นเธอยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ จึงเอ่ยปากถามเธอตามประสาเจ้าของสถานที่ที่ดีคนหนึ่ง
"มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ"
เธอหันขวับมามองเขา แล้วยืนนิ่งไป จนเขาต้องถามซ้ำอีกครั้ง เธอจึงดูเหมือนสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย
"เอ่อ...ค่ะ" เธอตอบ "คือ...มีเรื่องอยากให้ช่วยประชาสัมพันธ์น่ะค่ะ"
รามภณยิ้มให้เธอ ยิ้มในแบบที่ใครๆ ก็บอกว่าอบอุ่น และนุ่มนวล จนทำให้เธอดูเหมือนจะเคลิ้มไป
"เรื่องอะไรล่ะครับ ผมกำลังจะออนแอร์อยู่พอดี เดี๋ยวผมประกาศให้"
"ค่ะ" เธอตอบ แล้วยื่นกระดาษในมือส่งให้เขา "นี่ค่ะ"
รามภณรับมาพร้อมรอยยิ้ม เธอจึงอธิบายต่อ
"คือ...รายละเอียดเกี่ยวกับการรับสมัครนักแสดงใหม่ของชมรมการแสดงค่ะ"
"อ๋อ ครับ"
รามภณก้มลงอ่านข้อความในกระดาษ และรอว่าเธอจะพูดอะไรต่อไปหรือไม่ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจึงสบสายตาเธอที่มองมา สายตาของเธอดูเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน...
"อยากลองเข้าไปในห้องออนแอร์ดูมั้ยครับ" รามภณถามเพื่อปลุกเธอจากความฝัน
"หา!...เอ่อ อะไรนะคะ"
รามภณยิ้มออกมาอีก ยิ้มด้วยสายตาที่นุ่มนวล
"อยากลองออนแอร์ดูมั้ยครับ เข้าไปประกาศเองเลย"
"เอ่อ..." เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยึงส่งยิ้มกว้างออกมาอย่างยินดี พร้อมกับคำตอบ "ค่ะ"
รามภณเลื่อนเก้าอี้ที่หน้าแผงควบคุมให้หญิงสาวที่เดินตามเข้ามา แล้วหยิบเฮดโฟนอันใหญ่ที่แขวนอยู่ด้านหน้า สวมครอบหูให้เธอ ปรับให้กระชับพอดีกับศีรษะเธอ เสร็จแล้วก็หยิบเฮดโฟนอีกอันหนึ่ง ครอบหูตัวเองพร้อมกับส่งสัญญาณบอกเพื่อนที่ควบคุมเสียง จากนั้นจึงหมุนปุ่มควบคุมไมโครโฟน แล้วกรองเสียงลงไป
"สวัสดีครับ ช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้ก็เป็นเวลาออกอากาศของผมอีกเช่นเคยนะครับ แล้ววันนี้ผมก็มีแขกรับเชิญ เป็นนางฟ้าสาวสายจากชมรมการแสดง..." เขาหยุด แล้วหันมากระซิบกับหญิงสาว "เธอชื่ออะไรนะ"
"มายาวดี" เธอกระซิบตอบ
คำตอบของเธอทำให้เขารู้สึกแปลกใจ...มายาวดี เธอคือแฟนของจิรัชย์ ประธานชมรมการแสดงนี่
...
หลังจากนั้นมาสี่เดือน มายาวดียืนอยู่ที่นี่ คุยกับเขาเช่นเดียวกับเมื่องสี่เดือนก่อน แต่สถานะและท่าทีของเธอนั้นเปลี่ยนไป ความรู้สึกระหว่างคนทั้งสองก็เปลี่ยนไปด้วย
"ภณ" เธอคว้าแขนเขามาควงแน่น "ไม่ได้เจอตั้งสองวัน คิดถึงจัง"
รามภณรู้สึกอึดอัด เขายิ้มเก้อๆ มองไปรอบข้าง เพื่อนๆ ร่วมชมรมบ้างส่งเสียงแซวเขา บ้างมองเขายิ้มๆ ทำให้เขายิ่งรู้สึกอีดอัด แต่เขาก็ไม่กล้าสลัดจากมือหญิงสาว...
"นี่ วันนี้มีเรื่องมาให้ประกาศอีกแล้วนะ" เธอว่าพลางยื่นกระดาษบรรจุกำหนดการณ์และรายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงละครเวทีของชมรมการแสดงให้ เขาจึงได้โอกาสดึงแขนตัวเองออกจากมือเธอ เพื่อรับเอกสารเหล่านั้น
"อืม...แล้วจะประกาศให้นะ" เขารับแล้วหันหลังเดินกลับเข้า เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
"เดี๋ยวสิ...แค่นี้เองน่ะเหรอ"
"ก็...ต้องกลับไปทำงานต่อน่ะ เพลงที่เปิดไว้จะจบแล้ว" เขาหันกลับมาบอกนิ่งๆ
"ชิ...ไม่ต้องมาอ้างหรอก" เธอออกจะไม่พอใจกับความเมินเฉยของเขาอยู่บ้าง "ฉันบอกแล้วไงว่า ฉันเลิกกับจิรัชย์ก่อนจะมาเจอเธอในวันนั้นน่ะ"
"อืม...ใช่ เธอเคยบอกแล้ว ขอโทษนะ ฉันต้องไปแล้วล่ะ" รามภณไม่รอให้เธอพูดอะไรต่อ ก็ผลักประตูกระจก ก้าวเข้าห้องกระจายเสียง
มายาวดีได้แต่ยืนขมวดคิ้วเรียวสวย ปั้นหน้าบูดบึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาของชาวชมรมวิทยุกระจายเสียงที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอจึงรีบก้าวยาวๆ ออกจากห้องชมรมไป
รามภณมองเห็นเธอผ่านกระจกหน้าต่างของห้องกระจายเสียง เมื่อเธอไปแล้วเขาจึงถอนหายใจยาว เขาไม่ได้ต้องการให้เธอโกรธหรือไม่พอใจ แต่เพราะเขาพอจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเธอ และที่สำคัญ เขารับรู้ความรู้สึกจากใจตัวเองเป็นอย่างดี
% ###
หากจะให้นึกถึงสนามกีฬาขนาดใหญ่แล้วละก็ ภาพแรกที่แล่นเข้ามาในสมองก็คงเป็น...สนามฟุตบอล
สนามฟุตบอลของศูนย์กีฬาในมหาวิทยาลัยเรียกว่าเป็นสนามขนาดมาตรฐานเลยทีเดียว อัฒจันทร์ยังสามารถบรรจุคนได้กว่าครึ่งแสน เพียงแต่ตอนนี้บนอัฒจันทร์ค่อนข้าง...โหรงเหรง
ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในเวลานี้บทอัฒจันทร์จะมีคนดูเพียงไม่กี่คน ก็เพราะในตอนนี้ ที่สนามไม่ได้มีการแข่งขันอะไรเลย จะมีก็แต่การซ้อมของชมรมฟุตบอลเท่านั้น
เวลานี้ ศาสตรายืนขวางประตูตาข่ายอยู่ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง ดวงตาคมเรียวจ้องมองตามลูกฟุตบอลกลมๆ ที่กลิ้งไปมาอยู่ระหว่างเท้าของเพื่อร่วมชมรมไม่กระพริบ เมื่อลูกบอลเคลื่อนเข้ามาใกล้เขามากขึ้น เขาก็อ้าแขนกางมือที่สวมถุงมือหนังไว้ พร้อมขยับเท้าเตรียมเคลื่อนจากจุดที่ยืนอยู่ เพื่อรอคอยรับลูกบอลที่อาจพุ่งเข้ามาได้ทุกเมื่อ
ทันทีที่ลูกฟุตบอลหลุดออกจากปลายเท้าของสิโรตม์ เขาก็พุ่งไปในทิศทางที่ลูกบอลปั่นลอยเข้ามา และตะครุบมันไว้ได้อย่างแม่นยำ
เมื่อรับลูกบอลไว้แล้ว ศาสตราก็เตะส่งคืนให้เพื่อน ลูกบอลลอยจากเขตโทษไปไกลกว่าครึ่งสนาม ถึงเท้าของเพื่อนในตำแหน่งกองหน้าอย่างเหมาะเจาะ จากนั้นเสียงนงหวีดก็ดังขึ้น แล้วประธานชมรมก็เรียกพวกเขาให้ออกมาพักที่ข้างสนาม
บนอัฒจันทร์บริเวณข้างสนามมีคนที่มาดูพวกเขาซ้อมนั่งอยู่เป็นกลุ่ม หญิงสาวสี่ห้าคนลุกออกมาจากที่นั่ง พร้อมกับหยิบผ้าขนหนูหรือขวดน้ำติดมือ ไปยืนเกาะอยู่ที่ขอบสนาม
ศาสตราเดินยิ้มกว้าง ตัวชุ่มเหงื่อไปทางพวกเธอ ทั้งเส้นผมและผิวของเขาถูกเม็ดเหงื่อชโลม สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นจนเห็นเป็นประกาย หยาดเหงื่อค่อยๆ ซึมจากไรผม ลูบผ่านหน้าผากลงมาค้างนิ่งอยู่ที่หัวคิ้ว ก่อนจะตั้งต้นไหลจากหัวคิ้ว ผ่านสันจมูกโด่งลงมาอ้อยอิ่งอยู่ที่ปลายจมูก แต่รอยยิ้มของเขาก็ไม่จางลงไปเลย
"ศาสตรา...ศาสตรา" สาวๆ บนอัฒจันทร์พยายามส่งเสียงเรียก เพื่อให้เขาหันมาสนใจตนเอง พร้อมกับยื่นผ้าขนหนูกับขวดน้ำให้
ชายหนุ่มรับผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อตามตัวอย่างง่ายๆ แล้วส่งคืนให้เจ้าของทีละผืน จากนั้นค่อยรับขวดน้ำมาดื่มขวดละอึกสองอึก และยื่นส่งคืนให้พวกเธอเช่นกัน
"เป็นไง...เหนื่อยมั้ยจ๊ะ" หญิงสาวคนหนึ่งถามเสียงหวาน
"บ้า...ก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้วแหล่ะ ซ้อมบอลนะยะ" หญิงสาวอีกคนชิงตอบ ทำให้คนถามมองค้อนกลับอย่างไม่พอใจ
"ไม่เอาหน่า" ศาสตราบอก "อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวไม่สวยนะ" คำพูดของเขาทำให้เธอยิ้มกว้างออกมาได้
"นี่ แล้วเธอจะไม่เล่นเป็นกองหน้าอีกแล้วเหรอ" หญิงสาวกระโปรงสั้นอีกคนหนึ่งถามขึ้น
"อืม ก็ไม่แน่หรอก แล้วแต่ประธานจะจัดน่ะ แต่ตอนนี้เป็นโกลก็ดีนะ อยากเป็นแบบโอลิเวอร์ คาห์น" เขาว่า พลางหัวเราะ
"ใครน่ะ โอลิเวอร์ คาห์น" หญิงสาวคนเดิมถามขึ้นอีก แต่ผู้ที่ตอบกลับเป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
"ตายแล้ว! นี่เธอไม่รู้จักเหรอ ผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมันน่ะ"
“เชอะ...ฉันไม่ได้ชอบทีมชาติเยอรมันนี่ ฉันชอบโกลทีมมหาลัยเราต่างหาก” เธอว่าพลางส่งยิ้มหวานให้ศาสตรา
ทว่าการสนทนาระหว่างพวกเธอและเขาอยู่ในสายตาของคนกลุ่มหนึ่ง เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ระคนอิจฉาเสียด้วย
"น่าหมั่นไส้ชะมัด!" สิโรตม์กระซิบบ่นอย่างหงุดหงิด
"นั่นสิ ถือว่าตัวเองเป็นโกลสารพัดประโยชน์ ก็เลยทำอวดสาวๆ" วสุพลอยบ่นไปด้วย
“ยัง ยังไม่ถือว่าสารพัดประโยชน์หรอก” ปฤษฎ์แย้ง “เมื่อปีที่แล้ว หมอนั่นลงตำแหน่งกองหน้า ปีนี้เป็นผู้รักษาประตู สรุปว่าเคยลงเล่นแค่สองตำหน่ง ยังไม่ถือว่าสารพัดประโยชน์หรอก”
"เล่นได้สองตำแหน่งอย่างนี้แล้วยังไม่เรียกว่าสารพัดประโยชน์อีกเหรอวะ"
"เฮ้ย!" สิโรตม์ส่งเสียงปราม แล้วหันไปถามปฤษฎ์ "นี่ใช่ที่เอ็งไปเอามาจากสมุดบันทึกของประธานรึเปล่าวะ" เขาถาม พร้อมกับชี้ไปยังสมุดบันทึกที่เพื่อนถืออยู่
ปฏษฎ์พยักหน้าตอบ ข้อมูลพวกนี้เขาพยายามแอบจดมาจากสมุดบันทึกของคณินทร ประธานชมรม ซึ่งควบตำแหน่งผู้จัดการทีม เพื่อจะได้คาดเดาการตัดสินใจวางตัวผู้เล่นในตำแหน่งต่างๆ
"แล้วมันจดอะไรเกี่ยวกับการเลือกกัปตันทีมบ้างรึเปล่า อ่านให้ฟังหน่อย"
ปฤษฎ์เปิดสมุดในมือ ก้มลงกวาดสายตาไปตามหน้ากระดาษแต่ละแผ่นที่จดไว้ พลิกไปพลิกมาอีกหลายตลบ แล้วจึงบอกสิโรตม์
"ไม่มีว่ะ มีแต่เรื่องสถิติ"
"สถิติเหรอ" สิโรตม์ทำท่าครุ่นคิด "เออ อันนั้นก็ได้"
"สถิติของเอ็งนะ..." ปฤษฎ์เริ่ม "เล่นในตำแหน่งกองหน้ามาสิบสองนัด เคยโดนใบเหลืองเจ็ดใบ เหลืองแดงสองใบ ใบแดงอีกสองใบ..."
"พอ...พอเลย ไอ้บ้า! สถิติใบเหลืองใบแดงข้าไม่อยากรู้โว้ย ข้าอยากรู้อันที่มันดีๆ ...ดีๆ น่ะ เข้าใจมั้ยวะ"
"เออ งั้น ผลงานนะ ของเอ็งแข่งสิบสองนัด ทำประตูทั้งหมดสิบเอ็ดประตู เป็นการยิงลูกโทษสองประตู ฟรีคิกค์สาม"
สิโรตม์ฟังแล้วก็ยิ้ม ผลงานของเขาเป็นที่น่าพอใจ หรืออาจเรียกได้ว่าดีเลยทีเดียว
"อ่านต่อไปซิ" เขาสั่ง
"ข้อมูลเพิ่มเติม" ปฤษฎ์ก้มลงอ่านต่อ "การยิงลูกค่อนข้างเฉียบคม และแม่นยำ เทคนิคเฉพาะตัวค่อนข้างดี มีความคล่องตัวสูง..." เขาหยุดอ่าน แล้วเงยหน้าขึ้นมองสิโรตม์ที่กำลังฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม
"หยุดทำไมวะ อ่านต่อไปสิ"
"เอ่อ..." ปฤษฎ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงก้มลงอ่านต่อ "แต่ค่อนข้างใจร้อน วู่วาม ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อย..."
"พอได้แล้วโว้ย!" สิโรตม์มองหน้าลิ่วล้ออย่างขัดใจ "เอาสถิติของไอ้ศาสตรามั่งซิ"
"ผลงานของศาสตรา เล่นในตำแหน่งกองหน้าเมื่อปีที่แล้ว ลงแปดนัด เคยโดนใบเหลืองสองใบ ทำประตูทั้งหมดหกประตู เป็นลูกโทษสาม ฟรีคิกส์หนึ่ง ส่งให้คนอื่นทำอีกเจ็ด"
"ชิ...ส่งให้คนอื่นทำประตูทำไมต้องจดด้วยวะ" สิโรตม์บ่น "แล้วตอนที่มันเป็นโกลล่ะ"
"อืม...ลงเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูสิบเอ็ดนัด เคยเสียหกประตู เป็นลูกโทษสี่ ทำซุปเปอร์เซฟห้าครั้ง ยิงลูกโทษเองอีกสอง"
"อ้าว หมดแล้วเหรอ ข้อมูลเพิ่มเติมล่ะ" วสุทวง
"ข้อมูลเพิ่มเติม...มีความคล่องตัวสูง ปฏิกิริยาว่องไวดี การยิงลูกค่อนข้างรุนแรงดุดัน และแม่นยำใช้ได้ มีน้ำใจ..."
"เฮ้ยๆๆ อะไรวะ มีแต่ชม ไม่มีด่ามั่งเลยเหรอ" สิโรตม์โพล่งขึ้นมาอย่าไม่พอใจ
"ก็มีนะ" ปฤษฎ์ว่า "นี่ไง บ้าพลัง ประมาท ชอบลากบอลออกจากเขตโทษด้วยตัวเอง"
"เออว่ะ" วสุหัวเราะ "มันชอบออกมาเล่นบอลเองนี่หว่า"
"อวดหญิงล่ะไม่ว่า" สิโรตม์บอกอย่างหงุดหงิด "นี่ถ้าจิรัชย์เป็นประธานชมรมฟุตบอลแทนคณินทรละก็ ข้าก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องคัดเลือกกัปตันทีมหรอก"
"แล้วทำไมเอ็งไม่ไปบอกให้จิรัชย์ช่วยล่ะ" วสุเสนอ "จิรัชย์กับประธานรู้จักกันไม่ใช่เหรอ น่าจะพอพูดกันได้บ้างล่ะน่า"
"บอกไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่เห็นจะทำอะไร" สิโรตม์บอก "อีกอย่าง คณินทรก็ตรงอย่างกับอะไร ข้าก็เลยไม่อยากหวังมาก"
“หวังอะไรงั้นเหรอ” เสียงทุ้มห้าวของศาสตราดังใกล้เข้ามา พร้อมกับรอยยิ้มกว้างตามแบบฉบับของเขา พลางยื่นหน้าเข้ามามองสมุดบันทึกในมือปฤษฎ์แล้วอุทานออกมา “โอ้โฮเฮะ! นี่มันผลงานข้าทั้งนั้นเลยนี่หว่า ขนาดข้ายังจำไม่ได้เลยนะเนี่ย พวกเอ็งสนใจข้าขนาดนี้เลยเหรอ” เขาว่าพลางยิ้มกว้างให้สิโรตม์
"ข้าไม่ได้พิศวาสเอ็งนักหรอก" สิโรตม์ตอบ "กลับโว้ย!... รำคาญว่ะ" แล้วพวกเขาก็ลุกเดินไปตามทางเดิน ตรงไปยังห้องแต่งตัว
ศาสตรามองตามพวกเขา รอยยิ้มเริ่มคลายลง
"ไอ้พวกนี้มันคิดอะไรของมันวะ น่าสงสัยแฮะ" เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะคิดถึงเพื่อนอีกคนหนึ่ง "ไอ้วัตติ์เลิกชมรมรึยังนะ"
% ###
ชมรมยิงธนูยังไม่เลิก แต่ก็ใกล้แล้ว...
เพราะตอนนี้วสวัตติ์เรียกระดมนักกีฬาคนอื่นๆ ในชมรมมารวมตัวกันในบริเวณที่นั่งพัก ซึ่งอยู่ภายในสนามยิงธนูแล้ว
"ผมเคยพูดหลายครั้งแล้ว กีฬายิงธนูสำคัญอยู่ที่สมาธิ" เขายืนอบรมอยู่ที่หน้ากลุ่มนักกีฬา จากนั้นจึงบอกให้ทุกคนหลับตาเพื่อทำสมาธิ เขาเองก็นั่งลงกับพื้นแล้วหลับตาทำสมาธิด้วยเช่นกัน
มันเป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบ...เงียบจริงๆ...
จนเมื่อผู้จัดการชมรมสะกิดบอกเวลาเขา เขาจึงลืมตาขึ้น พร้อมกับบอกให้คนอื่นๆ ออกจากสมาธิ จากนั้นจึงสั่งให้แยกย้ายกันไปเก็บของ
ศาสตรายืนรอเขาอยู่ที่ประตูทางเข้าสนาม เมื่อเห็นเขากำลังหิ้วกระเป๋าเดินออกมา จึงพูดแซวยิ้มๆ
"ไง โรบิน ฮู้ด...เฮี้ยบเหมือนเดิมเลยนะเอ็ง"
วสวัตติ์ยักไหล่พลางบอกอย่างไม่สะทกสะท้าน "ประธานชมรมนี่หว่า"
"ไม่เกี่ยวม้าง...'' ศาสตราลากเสียงยาว "ประธานก็ไม่เห็นต้องดุขนาดนี้เลยนี่หว่า ดูอย่างชมรมข้าสิ ประธานใจดีจะแย่"
"มิน่า ถึงปล่อยให้เอ็งอู้ ไปเตร็ดเตร่อยู่แถวชมรมการแสดงก่อนซ้อม"
"ไม่ได้อู้โว้ย แค่ไปดูของสวยๆ งามๆ"
"เอาเหอะ ข้าขี้เกียจเถียงกับเอ็ง รีบไปหาไอ้พวกนั้นดีกว่า" วสวัตติว่าแล้วก็รีบจ้ำนำหน้าเขาไป
"ยกนี้ถือว่าเอ็งแพ้นะ" ศาสตราพูดกลั้วหัวเราะ แล้วพากันวิ่งแข่งกับวสวัตติ์ไปยังจุดนัดของพวกเขา
% ###
เสียงจากชมรมวิทยุกระจายเสียงเงียบลงไปแล้ว
ดีเจหนุ่มเดินออกจากชมรม ลงมาตามบันได แล้วแล้วอ้อมไปใช้ทางเดินด้านหลังอาคารกิจกรรม เพื่อไปยังสวนริมทะเล ซึ่งเขานัดกับเพื่อนๆ ไว้
โดยปกติแล้ว ทางเดินบริเวณนั้นค่อนข้างเปลี่ยว ไม่จอแจ ไม่ค่อยมีคนใช้สัญจร ยิ่งในเวลาค่ำเช่นนี้ ยิ่งดูเหมือนจะเหลือเขาเดินอยู่ในบริเวณนั้นเพียงคนเดียว...
รามภณเดินผ่านด้านหลังของห้องชมรมต่างๆ จนมาถึงชมรมการแสดง เขามองไปที่หน้าต่างบานเกล็ด ซึ่งปิดม่านทึบสีฟ้าไว้อีกชึ้นหนึ่ง แสงไฟลอดผ่านม่านและบานหน้าต่างออกมา แสดงว่ายังคงมีคนอยู่ในห้อง
...บางทีอาจจะกำลังซ้อมละครกันอยู่ ซึ่งนั่นแปลว่า จิรัชย์เองก็น่าจะยังไม่กลับ
...ชมรมการแสดง ทั้งที่ความจริง ก่อนหน้านั้น รามภณไม่เคยเหยียบเข้าชมรมนี้เลย คนในชมรมนี้เขาก็แทบจะไม่รู้จัก จิรัชย์...อย่างมากก็เคยคุยกันไม่กี่คำ เวลาที่ต้องทำงานร่วมกัน ส่วนมายาวดี...เคยได้ยินแต่ชื่อ ทว่าตอนนี้ล่ะ...
รามภณถอนหายใจเล็กน้อย ถอดความคิดเหล่านั้นออกจากสมอง แล้วขยับเท้าจะก้าวต่อ แต่ยังไม่ทันที่ตัวเขาจะขยับตามเท้าไป ริบบิ้นสีขาวครีมก็ลอยละล่องลงมา กระทบหัวไหล่เขาแผ่วเขา แล้วโรยปลายลงไปตามแขนของเขา
ชายหนุ่มงอแขนรับมันไว้ได้อย่านุ่มนวล ก่อนที่มันจะลื่นตลลงไปบนพื้น..
เขาก้มมองริบบิ้นในมือ แล้วเงยหน้ามองหาที่มาของมัน มองเลยขึ้นไปถึงระเบียงดาดฟ้าของอาคาร...
ที่ริมกำแพงคอนกรีตของชั้นดาดฟ้า เงาของหญิงสาวคนหนึ่ง ทาบทับไปกับความมืดของท้องฟ้า เส้นผมของเธอปลิวสยายอยู่ในสายลม เธอยืนเกาะอยู่ที่ขอบกำแพง กำลังชะโงมองลงมาเช่นกัน
รามภณมองไม่เห็นใบหน้าเธอ เขาเห็นเพียงเงาของเธอ เงาบอบบางที่ดูเหมือนจะถูกลมพัดปลิวตกลงมาได้ทุกขณะ
"คุณ!...รอก่อนนะ ผมจะเอาริบบิ้นไปคืนให้" เขาตะโกนบอกเธอ กำริบบิ้นไว้แน่น แล้วก้าวยาวๆ กึ่งวิ่งเข้าตัวอาคารไป
เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบกับพื้นที่ขัดของอาคารดังตุบตับๆ เสียงหัวใจของเขาก็ดูเหมือนจะเต้นดังออกมาเป็นเสียงเดียวกัน อีกทั้งยังแทบจะเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
หัวใจของเขา...เต้นแรง...จะเพราะเขาเหนื่อยจากการวิ่งขึ้นบันไดมา หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่นกันแน่ เขาเองก็ไม่เข้าใจ และไม่คิดจะไปหาคำตอบเอาในเวลานี้ด้วย
เมื่อมาถึงประตูเหล็กที่เชื่อมระหว่างโถงบันไดกับลานกว้างของชั้นดาดฟ้า หัวใจของชายหนุ่มยังคงเต้นแรง เหงื่อก็เริ่มซึม เขายื่นมือผลักบานประตูออก ก้าวผ่านกรอบประตูไปยืนอยู่ในลานกว้าง
ลานกว้างโล่งแจ้ง ไม่มีสิ่งใดกั้นขวางสายตา และ...ไม่เห็นเธอ
เขาเดินไปรอบๆ มองหาเธอ แต่ก็ไม่เห็นร่างบางนั้น
ในที่สุด เขายืนไปหยุดท้าวแขนอยู่ที่ริมระเบียง ในบริเวณที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่ แล้วมองออกไป
เนื่องจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ริมทะเล ดังนั้นเมื่อมองออกไปนอกเขตมหาวิทยาลัยจึงควรจะเห็นหาดทรายสีขาวสะอาดทอดยาวเป็นทาง ถัดไปจึงเป็นทะเลสีน้ำเงินครามเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา เพียงแต่เวลานี้มืดแล้ว น้ำทะเลจึงดูเป็นสีดำ ลึกลับ น่าหวาดกลัว
รามภณยืนอยู่ที่นั่น ปล่อยให้ลมทะเลพัดมาสัมผัสใบหน้าที่ยังมีเหงื่อซึม ทำให้ใบหน้าเขารู้สึกเย็นเฉียบ
...เธอไปแล้วหรือ แล้วความรู้สึก...ผิดหวัง...นี่มันอะไรกัน
รามภณมองริบบิ้นในมืออีกครั้ง ริบบิ้นนั้นยับยู่ยี่อยู่ในมือเขา ชายหนุ่มจึงยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายหน้าช้าๆ
...นี่ถ้าเธอยังรออยู่ เขาจะยื่นริบบิ้นให้เธอแบบนี้หรือ
ริบบิ้นสีขาวครีม ไม่มีลวดลายให้เป็นที่สะดุดตา มีเพียงกลิ่นหอมจางๆ ที่ยังติดอยู่ รามภณดึงมันขึ้นมาสัมผัสปลายจมูกอย่างแผ่วเบา
...กลิ่นหอมแบบนี้ ไม่เหมือนกลิ่นจากเครื่องสำอางค์หรือน้ำหอมของหญิงสาวคนอื่นที่เขาเคยพบมา กลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ เป็นธรรมชาติ คล้ายกับกลิ่นหอมจากดอกไม้...ชักอยากเห็นเจ้าของมันเสียแล้วสิ
เขายิ้มน้อยๆ ให้กับริบบิ้น...ถ้ามีคนมาเห็นในตอนนี้คงคิดว่าเขาบ้า แต่โชคดีที่ตอนนี้ เขาอยู่เพียงลำพัง ชายหนุ่มพับริ้บบิ้นเก็บใส่กระเป๋าเสื้ออย่างเรียบร้อย
...หวังว่าจะได้พบเธออีก เขาจะคืนริบบิ้นนี้ให้เธอ...ด้วยมือตัวเอง
% ###
"ไอ้ภณมันยังไม่โผล่มาอีกเหรอเนี่ย ไปอู้ถึงไหนวะ" เสียงโวยวายของศาสตราทำลายบรรยากาศความเงียบของสวนริมทะเลเสียหมดสิ้น
"เอ็งซ้อมบอลมาไม่เหนื่อยเหรอวะ" ธาวินถามยิ้มๆ เผยให้เห็นเขี้ยวข้างขวา
"เหนื่อยสิ เหนื่อยมากด้วย ถึงอยากกลับบ้านนอนเร็วๆ ไง" ศาสตรายังคงส่งเสียงในระดับความดังเท่าเดิม
"แต่ข้าว่า ยิ่งโวยวายมันยิ่งเหนื่อยนะ" เพื่อนคนเดิมยังสำทับต่อ ทำให้ศาสตราหรี่ตาขวาง มองคนพูดพร้อมกระชากเสียง
"เออ เรื่องของข้า!"
ธาวินหัวเราะร่วน เขาเป็นคนร่างเล็ก แถมยังผอมจนบอบบาง หากมีอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเพื่อนจะมีท่าทีต่อเขาอย่างไร เขาก็ยิ้มได้ตลอด ราวกับทุกเรื่องเป็นเรื่องเล่นไปได้เสียหมด
"เอ็งก็เอาแรงอย่างไอ้ภพบ้างสิวะ" วสวัตติ์เสนอ
ศาสตรามองไปยังภวาภพ ซึ่งนอนหนุนแขนตัวเองอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ ใบหน้าคมเข้มที่มักจะนิ่งสนิทจนน่าค้นหานั้น ยามหลับตาเฉยเช่นนี้ยิ่งดูน่าพิศวง
"เอาอย่างมันน่ะเหรอ" ศาสตราว่า "ข้าไม่ใช่ตอไม้นี่หว่า"
ภวาภพพยายามทำหูทวนลม ไม่ฟังเสียงพวกเขา แต่ก็อดรู้สึกรำคาญจนต้องขมวดคิ้วไม่ได้
"เฮ้!..." รามภณส่งเสียงทักทายเพื่อน พร้อมกับเดินตัดผ่านพุ่มไม้เข้ามา "โทษที พอดีมีธุระนิดหน่อย"
"ธุระอะไรวะ ให้รอตั้งนาน" ศาสตราเบนสายตาไปทางผู้มาใหม่พลางบ่นอุบ "บอกมาเลย ไปโอ้เอ้ที่ไหนมา"
"ไม่บอกดีกว่าว่ะ" รามภณตอบเสียงกลั้วหัวเราะ "เดี๋ยวเอ็งจะอิจฉา"
"ไอ้..." ศาสตราตั้งท่าเตรียมจะสวดและสอบสวนเขาต่อ ทว่าภวาภพกลับลุกขึ้นและเริ่มเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อไปยังลานจอดรถเสียแล้ว ธาวินกับวสวัตติ์จึงตรงเข้ากอดคอพวกเขา แล้วลากเดินตามภวาภพไป
% ###
รถยนต์อเนกประสงค์สีฟ้าเมททาลิกแล่นออกจากประตูมหาวิทยาลัยไปตามถนนเลียบชายหาด ศาสตรานั่งในที่นั่งข้างคนขับ โดยมีรามภณคุมพวงมาลัยอยู่
"รถไอ้ภณนี่ดีแฮะ มีเพลงให้ฟังเพียบ" ศาสตราว่า ระหว่างกำลังเลือกซีดีเพื่อเปิดฟังในรถ
"ก็เอาเครื่องเสียงห้อยท้ายมอเตอร์ไซค์เอ็งไว้สิ จะได้ขี่ไปฟังเพลงไป" วสวัตติ์ส่งเสียงมาจากทางเบาะหลัง
"เงียบไปเลย ไอ้วัตติ์"
ธาวินซึ่งนั่งอยู่กลางเบาะหลังยื่นหน้ามาดูซีดีที่กองอยู่บนตักศาสตรา แล้วเขาก็ต้องสะดุดกับซีดีแผ่นใหม่เอี่ยมที่ยังไม่ได้แกะซองพลาสติกออก
"นี่เพลงใหม่ของชมรมดนตรีสากลรึเปล่าวะ ไอ้ภณ" เขาถามพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาจากกอง
รามภณเหลือบมองปกซีดีในมือเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“อืม ประชาสัมพันธ์เขาเอามาให้เปิดออนแอร์น่ะ กะว่าจะเอามาฟังดูก่อน แล้วค่อยเลือกไปเพลงไปเปิดพรุ่งนี้”
"งั้นเปิดเลย" ธาวินแกะซองพลาสติกออกแล้วยื่นส่งให้ศาสตรา
"อยู่ชมรมวิทยุนี่ดีแฮะ มีอะไรใหม่ๆ ก็ได้รู้ก่อนตลอด" ศาสตรว่าพลางหยิบแผ่นซีดีออกจากกล่อง สอดเข้าไปในช่องรับของเครื่องเสียง แล้วหมุนปุ่มเร่งเสียงให้ดังขึ้น
"จริงด้วย เห็นตอนออนแอร์ เอ็งบอกว่าชมรมการแสดงจะมีละครเวทีแล้วนี่...วันไหนนะ" ธาวินถาม
"เดือนหน้า" รามภณตอบ "ทำไม เอ็งอยาดูเหรอ"
ธาวินหันไปมองภวาภพที่นั่งเงียบมาตลอดทาง...เวลาที่เพื่อนจะต้องพรากจากกุหลาบดอกสวยกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
"เปล่า ถามให้คนบางคนน่ะ" เขาโยนไปทางศาสตรา ซึ่งเจ้าตัวเองก็อยากรู้อยู่แล้ว จึงฉีกยิ้มกว้าง ยิงคำถามต่อไปอีก
"แล้วมันวันไหนล่ะ เปิดให้จองบัตรรึยัง"
"โอ้โห สงสัยช่วงนี้อากาศคงแปรปรวนใหญ่ ศาสตราจะดูละครเวที" วสวัตติ์ประชด จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ในรถ จะเว้นก็แต่เพียงภวาภพ
% ====================
ที่ม้านั่งตรงข้ามกับประตูห้องชมรมการแสดงพอดิบพอดี ศาสตรากำลังยืนชะเง้อคอยาวมองหาหญิงสาวที่ตัวเขาเองยังไม่รู้จักหน้าค่าตา ไม่รู้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม เขารู้แต่ว่า ในเวลาเลิกเรียนเช่นนี้ เธอต้องเดินเข้าออกห้องชมรมการแสดงแน่นนอน
"เฮ้ยๆ ไอ้ภณ" เขาหันมาสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างแรง เนื่องด้วยสายตาของเขาปะทะเข้ากับหญิงสาวที่เพิ่งเดินออกจากประตูห้องชมรมการแสดง "ใช่คนนี้รึเปล่าวะ" เขาถามโดยไม่ยอมละสายตาจากหญิงสาว
รามภณจำต้องเงยหน้าขึ้นจากกระดาษปึกย่อมๆ ที่กำลังอ่านอยู่ ซึ่งเป็นสคริปต์ที่เขาเตรียมไว้สำหรับออกอากาศในวันนี้ แล้วกวาดสายตามองไปตามทิศทางเดียวกับสายตาของเพื่อน
คำตอบอยู่ในใจเขาแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะตอบคำถามของศาสตรา เสียงทุ้มๆ ของวสวัตติ์ ก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ถามอย่างกับไอ้ภณมันรู้จักนางเอกใหม่ของชมรมการแสดงอะไรนั่นแหละ มันก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่ามันเองก็ไม่เคยเห็น”
"เอาน่า อย่างน้อยมันก็รู้จักคนในชมรมนั้นมากกว่าข้าละวะ" ศาสตราตอบ ดวงตาคู่เรียวของเขาก็ยังไม่ยอมเบือนจากหญิงสาวคนเดิม "ตกลง เอ็งว่าใช่มั้ยวะ ไอ้ภณ"
รามภณยิ้มออกมาน้อยๆ เป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์แบบหนุ่มขี้อาย พลางส่ายหน้า “คงไม่ใช่ว่ะ”
คำตอบของเขากระตุ้นให้เพื่อนร่างสูงใหญ่อย่างนักกีฬา ละสายตาจากหญิงสาว แล้วหันกลับมาถาม
"ทำไมวะ คนนี้ก็ออกจะสวย"
“ก็เอ็งบอกว่านางเอกใหม่คนนั้นเป็นนักศึกษาที่เข้ามาเมื่อกลางเทอมไม่ใช่เหรอ แต่คนนี้น่ะ เป็นนางเอกละครเวทีเมื่อปีที่แล้ว”
"อ้าว...เหรอ...ข้าจำไม่ได้ว่ะ"
"ก็เองไม่เคยสนใจละครเวทีของพวกชมรมการแสดงเลยนี่หว่า"
เสียงของวสวัตติ์ทำให้ศาสตราต้องขมวดคิ้วหันไปมองเพื่อนที่มีร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กัน ทว่ากำลังนั่งท้าวคางปั้นหน้านิ่วอยู่ด้านข้าง
"เฮ้ย...แต่ปีนี้ข้าสนใจจริงๆ นะ'' ศาสตราพูดหน้าตาเฉย "ยิ่งมีข่าวว่านางเอกใหม่สวยนักสวยหนา ข้าก็ยิ่งสนใจ"
“เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสนใจ” วสวัตติ์บอก พลางลุกยืนขึ้น ยื่นหน้าไปใกล้ศาสตรา เส้นผมยาวที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย เป็นหางอยู่ที่กลางหลังจึงห้อยข้ามบ่ามาระอยู่ด้านหน้า “แต่ตอนนี้ข้าไม่สนใจแล้ว ข้าจะไปชมรม”
ทันทีที่วสวัตติ์ดึงตัวกลับ ศาสตราก็คว้า 'หาง' ของเขาไว้
"โอ๊ย! ไอ้บ้าเอ๊ย" วสวัตติ์ร้อง
"อยากไว้ผมยาวให้เป็นจุดอ่อนเองนี่หว่า" ศาสตราฉีกยิ้มกว้างเยาะเย้ย "เอ็งต้องอยู่ช่วยข้าหาก่อนสิวะ ไม่อยากรู้เหรอว่านางเอกที่จิรัชย์หวงนักหวงหนาน่ะ จะสวยซักแค่ไหน"
"ไม่อยาก!" วสวัตติ์กระแทกเสียงดัง "ปล่อยสิวะ"
รามภณหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนลุกขึ้นหยิบปึกกระดาษและกระเป๋าสะพายข้าง จากนั้นจึงหันไปทางวสวัตติ์
“ไปชมรมก่อนนะ” ว่าแล้ว เขาก็ออกเดินพร้อมกับเสียงหัวเราะ ศาสตราจึงคลายมือจาก ‘หาง’ ของวสวัตติ์แล้วตะโกนไล่หลังรามภณ
"ไอ้ภณ จะหนีเหรอวะ"
รามภณโบกมือให้เขา ขณะที่เดินตรงไปยังบริเวณทางเข้าอาคารกิจกรรม โดยไม่ยอมหันกลับมา
วสวัตติ์ได้โอกาสที่เพื่อนสนใจทางอื่น ผละออกมา พร้อมกับคว้ากระเป๋ากีฬาวิ่งออกไปที่ทางเดิน “เอ็งไปเรียกไอ้ภพกับไอ้วินมาเป็นเพื่อนแทนแล้วกัน ข้าไปชมรมล่ะ” เขาหันกลับมาตะโกนบอกเพื่อน ก่อนวิ่งไปตามทางเดิน ซึ่งนำไปสู่ศูนย์กีฬาของมหาวิทยาลัย
"โห...ทำอย่างกับไม่รู้ว่า ไอ้สองคนนั้น เรียกให้ตายก็ไม่มา" เขาบ่นราวกับวสวัตติ์จะอยู่ฟัง "แล้วจะอยู่ต่อทำไมวะ...ข้าก็ต้องไปชมรมเหมือนกัน" ว่าแล้วก็คว้ากระเป๋ากีฬาแบบเดียวกับของวสวัตติ์ เดินเรื่อยไปทางศูนย์กีฬาเช่นกัน
% ###
ภวาภพหลับตาเอนหลังพิงโคนต้นไม้อยู่ในสวนริมทะเล สถานที่ที่เขาคิดว่าเงียบสงบที่สุดในมหาวิทยาลัย ซึ่งโดยปกติแล้วก็มักจะได้ยินแต่เสียงคลื่นซัดเข้ามาที่ชายหาด ธาวินกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเขา หลังจากที่แอบเหลือบมองเพื่อนเกือบสิบรอบ เขาก็ปิดหนังสือ หันมองภวาภพ แล้วถามคำถามที่เขาสงสัยมาหลายนาทีแล้ว
ธาวินปิดหนังสือ หันมองภวาภพ แล้วถามคำถามที่เขาสงสัยมาหลายนาทีแล้ว
"ถามจริงเหอะ เอ็งคิดยังไงถึงโดดชมรมวะ"
"ขี้เกียจ" คำตอบห้วนๆ สั้นๆ ตามแบบภวาภพ
“ปกติก็เห็นเอ็งไม่เคยขาดชมรมเลยนี่หว่า บางทียังโดดเรียนไปชมรมเลย หรือว่า...” ธาวินมองเขาด้วยสายตาฉายแววรู้ทัน แต่ภวาภพก็ยังคงอยู่ในท่าเดิม ไม่พูดไม่ตอบ และไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
"หรือว่าเอ็งงอนที่ต้นกุหลาบของเอ็งจะโดนยึดไปใช้ในละครเวทีใช่มั้ยล่ะ" ธาวินยิ้มๆ เผยให้เห็นเขี้ยวข้างขวาที่ใครๆ ก็ว่า...น่ารัก ทว่าคำพูดของเขาก็กระตุ้นให้ภวาภพหงุดหงิดจนต้องขมวดคิ้วดกหนาจนชิดติดกัน หากเพื่อนก็ยังนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม "ไอ้ภพเอ๊ย...กุหลาบต้นเดียว เอ็งปลูกใหม่ก็ได้นี่หว่า"
ใครว่าต้นเดียว ที่จริงแล้วห้าต้นต่างหาก... ภวาภพนึกในใจอย่างหงุดหงิด
ก็จริงอยู่ เพียงแค่ต้นกุหลาบ เขาอยากจะปลูกใหม่อีกสักกี่ต้นก็ได้ แต่กุหลาบลูกผสมระหว่างคาร์ดินาลซองกับเวเทอแรนส์ออเนอร์* ซึ่งเขาผสมเองกับมือ และตอนนี้มันก็กำลังมีดอกตูมเล็กๆ อย่างไรเสีย เขาก็อยากจะเป็นคนแรกที่ได้เห็นดอกสีแดงสดของมัน
ธาวินยิ้ม ความจริงเขาก็พอจะรู้ใจเพื่อน
"เอาเหอะวะ ถือว่าสงสารจิรัชย์มันก็แล้วกัน ก็แฟนมันดันเปลี่ยนใจมาชอบไอ้ภณซะเฉยๆ เลยนี่หว่า"
เกี่ยวอะไรกันวะ...ภวาภพประท้วงอยู่ในใจอีก
...อันที่จริงมันก็ไม่น่าจะเกี่ยว ถ้าจิรัชย์ไม่โยงมันเข้ามาเกี่ยวกันเพราะความพาลของเขา
"แล้วไง" ภวาภพพูดห้วนๆ
"แล้วไง...ก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้จิรัชย์ไม่ชอบหน้าไอ้ภณน่ะ แล้วไฟมันก็เลยลามมาถึงเอ็ง'' ธาวินว่า พลางทำมือชี้ไปที่เขา
ภวาภพขมวดคิ้วชำเลืองมองเพื่อนแวบหนึ่ง ก่อนบอกออกมา
"เอ็งก็อย่าไปบอกใครแล้วกัน"
"ข้ารู้แล้ว เอ็งกลัวพวกนั้นจะไปหาเรื่องเอากับจิรัชย์ใช่มั้ยล่ะ"
คราวนี้ภวาภพปิดปากเงียบไปอีกแล้ว ธาวินจึงบิดขี้เกียจเต็มแรง แล้วล้มตัวลงไปบนพื้นหญ้านุ่มๆ
"เฮ้อ...ไอ้พวกทำกิจกรรมนี่มันเรื่องเยอะจริงๆ เดี๋ยวก็ซ้อม เดี๋ยวก็นู่น เดี๋ยวก็นี่ ข้าว่าข้าคิดถูกที่ไม่เข้าชมรม''
ถึงธาวินจะไม่ได้ร่วมกิจกรรมชมรม แต่เขาเองก็มักจะไปแช่อยู่ที่เรือนเพาะชำของชมรมไม้ดอกไม้ประดับกับภวาภพ จนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชมรมนั้นไปแล้ว
...บางทีอาจะเป็นเพราะเขาไม่ได้สังกัดชมรมใดจึงมีเวลาว่างพอที่จะป่วนเพื่อนคนอื่นๆ และชมรมไม้ดอกไม่ประดับที่ภวาภพสังกัดอยู่ ก็ไม่ได้กันเขาเป็นผู้ชมอย่างชมรมฟุตบอล หรือไม่ได้มีระเบียบเคร่งครัดห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่มย่าม อย่างชมรมวิทยุกระจายเสียง
% ###
ชมรมวิทยุกระจายเสียง อยู่บนชั้นสามของอาคารอาคารกิจกรรม ซึ่งเป็นอาคารกว้างใหญ่ สีขาว สูงห้าชั้น และเป็นที่ตั้งของชมรมต่างๆ
ทันทีที่มาถึง รามภณทักทายเพื่อนๆ ในชมรม แล้วเข้าห้องกระจายเสียงที่อยู่ลึกเข้าไปในห้องชมรมอีกทีหนึ่ง เขาสวมเฮดโฟน เปิดสวิตช์ ปรับปุ่มต่างๆ บนแผงควบคุมอย่างชำนาญ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เพื่อนที่ควบคุมเสียงอยู่ด้านนอก แล้วกรอกเสียงลงไมโครโฟนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงทุ้ม นุ่มหวาน อันเป็นเอกลักษณ์
เขาเป็นดีเจอยู่ที่ชมรมนี้เอง แถมยังเป็นดีเจเนื้อหอมเสียด้วย ดังนั้น ช่วงเวลาออกอากาศของเขาจึงเป็นเวลาไพรม์ไทม์ คือช่วงเย็นที่มีนักศึกษาอยู่ทำกิจกรรมกันมากที่สุด
เพลงที่เขาเปิด ถ้าไม่ใช่เพลงซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ก็จะเป็นเพลงที่พวกชมรมดนตรีสากลทำกันขึ้นมาเอง
เพลงกำลังบรรเลงอยู่ ทว่าตัวดีเจกลับไม่ได้อยู่ในห้องกระจายเสียง เนื่องจากเขาก็ถูกเพื่อนที่ด้านนอกส่งสัญญาณเรียกให้ออกมาพบใครคนหนึ่ง
หญิงสาวสวย รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนียน ละเอียด ผมยาวดัดเป็นลอนน้อยๆ พรมหน้าตาด้วยเครื่องสำอางค์บางๆ ให้ตัวเองแลดูน่าสนใจ แม้ว่าท่าทางของเธอจะเชิดหยิ่งราวกับนางหงส์ แต่เมื่อเห็นรามภณเดินเข้ามา เธอก็ส่งยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหาราวลูกหมาน้อยๆ เลยทีเดียว
ท่าทีของเธอเช่นนี้ แตกต่างจากเมื่อสี่เดือนก่อนราวฟ้ากับเหว...
...
เมื่อสี่เดือนที่แล้ว หญิงสาวคนเดียวกันนี้มาที่ชมรมวิทยุกระจายเสียง พร้อมกับกระดาษในมืออีกสามสี่แผ่น มันเป็นเวลาพอดีกับที่รามภณกำลังก้าวเข้ามาในห้องชมรม เขาเห็นเธอยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ จึงเอ่ยปากถามเธอตามประสาเจ้าของสถานที่ที่ดีคนหนึ่ง
"มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ"
เธอหันขวับมามองเขา แล้วยืนนิ่งไป จนเขาต้องถามซ้ำอีกครั้ง เธอจึงดูเหมือนสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย
"เอ่อ...ค่ะ" เธอตอบ "คือ...มีเรื่องอยากให้ช่วยประชาสัมพันธ์น่ะค่ะ"
รามภณยิ้มให้เธอ ยิ้มในแบบที่ใครๆ ก็บอกว่าอบอุ่น และนุ่มนวล จนทำให้เธอดูเหมือนจะเคลิ้มไป
"เรื่องอะไรล่ะครับ ผมกำลังจะออนแอร์อยู่พอดี เดี๋ยวผมประกาศให้"
"ค่ะ" เธอตอบ แล้วยื่นกระดาษในมือส่งให้เขา "นี่ค่ะ"
รามภณรับมาพร้อมรอยยิ้ม เธอจึงอธิบายต่อ
"คือ...รายละเอียดเกี่ยวกับการรับสมัครนักแสดงใหม่ของชมรมการแสดงค่ะ"
"อ๋อ ครับ"
รามภณก้มลงอ่านข้อความในกระดาษ และรอว่าเธอจะพูดอะไรต่อไปหรือไม่ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจึงสบสายตาเธอที่มองมา สายตาของเธอดูเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน...
"อยากลองเข้าไปในห้องออนแอร์ดูมั้ยครับ" รามภณถามเพื่อปลุกเธอจากความฝัน
"หา!...เอ่อ อะไรนะคะ"
รามภณยิ้มออกมาอีก ยิ้มด้วยสายตาที่นุ่มนวล
"อยากลองออนแอร์ดูมั้ยครับ เข้าไปประกาศเองเลย"
"เอ่อ..." เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยึงส่งยิ้มกว้างออกมาอย่างยินดี พร้อมกับคำตอบ "ค่ะ"
รามภณเลื่อนเก้าอี้ที่หน้าแผงควบคุมให้หญิงสาวที่เดินตามเข้ามา แล้วหยิบเฮดโฟนอันใหญ่ที่แขวนอยู่ด้านหน้า สวมครอบหูให้เธอ ปรับให้กระชับพอดีกับศีรษะเธอ เสร็จแล้วก็หยิบเฮดโฟนอีกอันหนึ่ง ครอบหูตัวเองพร้อมกับส่งสัญญาณบอกเพื่อนที่ควบคุมเสียง จากนั้นจึงหมุนปุ่มควบคุมไมโครโฟน แล้วกรองเสียงลงไป
"สวัสดีครับ ช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้ก็เป็นเวลาออกอากาศของผมอีกเช่นเคยนะครับ แล้ววันนี้ผมก็มีแขกรับเชิญ เป็นนางฟ้าสาวสายจากชมรมการแสดง..." เขาหยุด แล้วหันมากระซิบกับหญิงสาว "เธอชื่ออะไรนะ"
"มายาวดี" เธอกระซิบตอบ
คำตอบของเธอทำให้เขารู้สึกแปลกใจ...มายาวดี เธอคือแฟนของจิรัชย์ ประธานชมรมการแสดงนี่
...
หลังจากนั้นมาสี่เดือน มายาวดียืนอยู่ที่นี่ คุยกับเขาเช่นเดียวกับเมื่องสี่เดือนก่อน แต่สถานะและท่าทีของเธอนั้นเปลี่ยนไป ความรู้สึกระหว่างคนทั้งสองก็เปลี่ยนไปด้วย
"ภณ" เธอคว้าแขนเขามาควงแน่น "ไม่ได้เจอตั้งสองวัน คิดถึงจัง"
รามภณรู้สึกอึดอัด เขายิ้มเก้อๆ มองไปรอบข้าง เพื่อนๆ ร่วมชมรมบ้างส่งเสียงแซวเขา บ้างมองเขายิ้มๆ ทำให้เขายิ่งรู้สึกอีดอัด แต่เขาก็ไม่กล้าสลัดจากมือหญิงสาว...
"นี่ วันนี้มีเรื่องมาให้ประกาศอีกแล้วนะ" เธอว่าพลางยื่นกระดาษบรรจุกำหนดการณ์และรายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงละครเวทีของชมรมการแสดงให้ เขาจึงได้โอกาสดึงแขนตัวเองออกจากมือเธอ เพื่อรับเอกสารเหล่านั้น
"อืม...แล้วจะประกาศให้นะ" เขารับแล้วหันหลังเดินกลับเข้า เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
"เดี๋ยวสิ...แค่นี้เองน่ะเหรอ"
"ก็...ต้องกลับไปทำงานต่อน่ะ เพลงที่เปิดไว้จะจบแล้ว" เขาหันกลับมาบอกนิ่งๆ
"ชิ...ไม่ต้องมาอ้างหรอก" เธอออกจะไม่พอใจกับความเมินเฉยของเขาอยู่บ้าง "ฉันบอกแล้วไงว่า ฉันเลิกกับจิรัชย์ก่อนจะมาเจอเธอในวันนั้นน่ะ"
"อืม...ใช่ เธอเคยบอกแล้ว ขอโทษนะ ฉันต้องไปแล้วล่ะ" รามภณไม่รอให้เธอพูดอะไรต่อ ก็ผลักประตูกระจก ก้าวเข้าห้องกระจายเสียง
มายาวดีได้แต่ยืนขมวดคิ้วเรียวสวย ปั้นหน้าบูดบึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาของชาวชมรมวิทยุกระจายเสียงที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอจึงรีบก้าวยาวๆ ออกจากห้องชมรมไป
รามภณมองเห็นเธอผ่านกระจกหน้าต่างของห้องกระจายเสียง เมื่อเธอไปแล้วเขาจึงถอนหายใจยาว เขาไม่ได้ต้องการให้เธอโกรธหรือไม่พอใจ แต่เพราะเขาพอจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเธอ และที่สำคัญ เขารับรู้ความรู้สึกจากใจตัวเองเป็นอย่างดี
% ###
หากจะให้นึกถึงสนามกีฬาขนาดใหญ่แล้วละก็ ภาพแรกที่แล่นเข้ามาในสมองก็คงเป็น...สนามฟุตบอล
สนามฟุตบอลของศูนย์กีฬาในมหาวิทยาลัยเรียกว่าเป็นสนามขนาดมาตรฐานเลยทีเดียว อัฒจันทร์ยังสามารถบรรจุคนได้กว่าครึ่งแสน เพียงแต่ตอนนี้บนอัฒจันทร์ค่อนข้าง...โหรงเหรง
ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในเวลานี้บทอัฒจันทร์จะมีคนดูเพียงไม่กี่คน ก็เพราะในตอนนี้ ที่สนามไม่ได้มีการแข่งขันอะไรเลย จะมีก็แต่การซ้อมของชมรมฟุตบอลเท่านั้น
เวลานี้ ศาสตรายืนขวางประตูตาข่ายอยู่ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง ดวงตาคมเรียวจ้องมองตามลูกฟุตบอลกลมๆ ที่กลิ้งไปมาอยู่ระหว่างเท้าของเพื่อร่วมชมรมไม่กระพริบ เมื่อลูกบอลเคลื่อนเข้ามาใกล้เขามากขึ้น เขาก็อ้าแขนกางมือที่สวมถุงมือหนังไว้ พร้อมขยับเท้าเตรียมเคลื่อนจากจุดที่ยืนอยู่ เพื่อรอคอยรับลูกบอลที่อาจพุ่งเข้ามาได้ทุกเมื่อ
ทันทีที่ลูกฟุตบอลหลุดออกจากปลายเท้าของสิโรตม์ เขาก็พุ่งไปในทิศทางที่ลูกบอลปั่นลอยเข้ามา และตะครุบมันไว้ได้อย่างแม่นยำ
เมื่อรับลูกบอลไว้แล้ว ศาสตราก็เตะส่งคืนให้เพื่อน ลูกบอลลอยจากเขตโทษไปไกลกว่าครึ่งสนาม ถึงเท้าของเพื่อนในตำแหน่งกองหน้าอย่างเหมาะเจาะ จากนั้นเสียงนงหวีดก็ดังขึ้น แล้วประธานชมรมก็เรียกพวกเขาให้ออกมาพักที่ข้างสนาม
บนอัฒจันทร์บริเวณข้างสนามมีคนที่มาดูพวกเขาซ้อมนั่งอยู่เป็นกลุ่ม หญิงสาวสี่ห้าคนลุกออกมาจากที่นั่ง พร้อมกับหยิบผ้าขนหนูหรือขวดน้ำติดมือ ไปยืนเกาะอยู่ที่ขอบสนาม
ศาสตราเดินยิ้มกว้าง ตัวชุ่มเหงื่อไปทางพวกเธอ ทั้งเส้นผมและผิวของเขาถูกเม็ดเหงื่อชโลม สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นจนเห็นเป็นประกาย หยาดเหงื่อค่อยๆ ซึมจากไรผม ลูบผ่านหน้าผากลงมาค้างนิ่งอยู่ที่หัวคิ้ว ก่อนจะตั้งต้นไหลจากหัวคิ้ว ผ่านสันจมูกโด่งลงมาอ้อยอิ่งอยู่ที่ปลายจมูก แต่รอยยิ้มของเขาก็ไม่จางลงไปเลย
"ศาสตรา...ศาสตรา" สาวๆ บนอัฒจันทร์พยายามส่งเสียงเรียก เพื่อให้เขาหันมาสนใจตนเอง พร้อมกับยื่นผ้าขนหนูกับขวดน้ำให้
ชายหนุ่มรับผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อตามตัวอย่างง่ายๆ แล้วส่งคืนให้เจ้าของทีละผืน จากนั้นค่อยรับขวดน้ำมาดื่มขวดละอึกสองอึก และยื่นส่งคืนให้พวกเธอเช่นกัน
"เป็นไง...เหนื่อยมั้ยจ๊ะ" หญิงสาวคนหนึ่งถามเสียงหวาน
"บ้า...ก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้วแหล่ะ ซ้อมบอลนะยะ" หญิงสาวอีกคนชิงตอบ ทำให้คนถามมองค้อนกลับอย่างไม่พอใจ
"ไม่เอาหน่า" ศาสตราบอก "อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวไม่สวยนะ" คำพูดของเขาทำให้เธอยิ้มกว้างออกมาได้
"นี่ แล้วเธอจะไม่เล่นเป็นกองหน้าอีกแล้วเหรอ" หญิงสาวกระโปรงสั้นอีกคนหนึ่งถามขึ้น
"อืม ก็ไม่แน่หรอก แล้วแต่ประธานจะจัดน่ะ แต่ตอนนี้เป็นโกลก็ดีนะ อยากเป็นแบบโอลิเวอร์ คาห์น" เขาว่า พลางหัวเราะ
"ใครน่ะ โอลิเวอร์ คาห์น" หญิงสาวคนเดิมถามขึ้นอีก แต่ผู้ที่ตอบกลับเป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
"ตายแล้ว! นี่เธอไม่รู้จักเหรอ ผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมันน่ะ"
“เชอะ...ฉันไม่ได้ชอบทีมชาติเยอรมันนี่ ฉันชอบโกลทีมมหาลัยเราต่างหาก” เธอว่าพลางส่งยิ้มหวานให้ศาสตรา
ทว่าการสนทนาระหว่างพวกเธอและเขาอยู่ในสายตาของคนกลุ่มหนึ่ง เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ระคนอิจฉาเสียด้วย
"น่าหมั่นไส้ชะมัด!" สิโรตม์กระซิบบ่นอย่างหงุดหงิด
"นั่นสิ ถือว่าตัวเองเป็นโกลสารพัดประโยชน์ ก็เลยทำอวดสาวๆ" วสุพลอยบ่นไปด้วย
“ยัง ยังไม่ถือว่าสารพัดประโยชน์หรอก” ปฤษฎ์แย้ง “เมื่อปีที่แล้ว หมอนั่นลงตำแหน่งกองหน้า ปีนี้เป็นผู้รักษาประตู สรุปว่าเคยลงเล่นแค่สองตำหน่ง ยังไม่ถือว่าสารพัดประโยชน์หรอก”
"เล่นได้สองตำแหน่งอย่างนี้แล้วยังไม่เรียกว่าสารพัดประโยชน์อีกเหรอวะ"
"เฮ้ย!" สิโรตม์ส่งเสียงปราม แล้วหันไปถามปฤษฎ์ "นี่ใช่ที่เอ็งไปเอามาจากสมุดบันทึกของประธานรึเปล่าวะ" เขาถาม พร้อมกับชี้ไปยังสมุดบันทึกที่เพื่อนถืออยู่
ปฏษฎ์พยักหน้าตอบ ข้อมูลพวกนี้เขาพยายามแอบจดมาจากสมุดบันทึกของคณินทร ประธานชมรม ซึ่งควบตำแหน่งผู้จัดการทีม เพื่อจะได้คาดเดาการตัดสินใจวางตัวผู้เล่นในตำแหน่งต่างๆ
"แล้วมันจดอะไรเกี่ยวกับการเลือกกัปตันทีมบ้างรึเปล่า อ่านให้ฟังหน่อย"
ปฤษฎ์เปิดสมุดในมือ ก้มลงกวาดสายตาไปตามหน้ากระดาษแต่ละแผ่นที่จดไว้ พลิกไปพลิกมาอีกหลายตลบ แล้วจึงบอกสิโรตม์
"ไม่มีว่ะ มีแต่เรื่องสถิติ"
"สถิติเหรอ" สิโรตม์ทำท่าครุ่นคิด "เออ อันนั้นก็ได้"
"สถิติของเอ็งนะ..." ปฤษฎ์เริ่ม "เล่นในตำแหน่งกองหน้ามาสิบสองนัด เคยโดนใบเหลืองเจ็ดใบ เหลืองแดงสองใบ ใบแดงอีกสองใบ..."
"พอ...พอเลย ไอ้บ้า! สถิติใบเหลืองใบแดงข้าไม่อยากรู้โว้ย ข้าอยากรู้อันที่มันดีๆ ...ดีๆ น่ะ เข้าใจมั้ยวะ"
"เออ งั้น ผลงานนะ ของเอ็งแข่งสิบสองนัด ทำประตูทั้งหมดสิบเอ็ดประตู เป็นการยิงลูกโทษสองประตู ฟรีคิกค์สาม"
สิโรตม์ฟังแล้วก็ยิ้ม ผลงานของเขาเป็นที่น่าพอใจ หรืออาจเรียกได้ว่าดีเลยทีเดียว
"อ่านต่อไปซิ" เขาสั่ง
"ข้อมูลเพิ่มเติม" ปฤษฎ์ก้มลงอ่านต่อ "การยิงลูกค่อนข้างเฉียบคม และแม่นยำ เทคนิคเฉพาะตัวค่อนข้างดี มีความคล่องตัวสูง..." เขาหยุดอ่าน แล้วเงยหน้าขึ้นมองสิโรตม์ที่กำลังฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม
"หยุดทำไมวะ อ่านต่อไปสิ"
"เอ่อ..." ปฤษฎ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงก้มลงอ่านต่อ "แต่ค่อนข้างใจร้อน วู่วาม ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อย..."
"พอได้แล้วโว้ย!" สิโรตม์มองหน้าลิ่วล้ออย่างขัดใจ "เอาสถิติของไอ้ศาสตรามั่งซิ"
"ผลงานของศาสตรา เล่นในตำแหน่งกองหน้าเมื่อปีที่แล้ว ลงแปดนัด เคยโดนใบเหลืองสองใบ ทำประตูทั้งหมดหกประตู เป็นลูกโทษสาม ฟรีคิกส์หนึ่ง ส่งให้คนอื่นทำอีกเจ็ด"
"ชิ...ส่งให้คนอื่นทำประตูทำไมต้องจดด้วยวะ" สิโรตม์บ่น "แล้วตอนที่มันเป็นโกลล่ะ"
"อืม...ลงเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูสิบเอ็ดนัด เคยเสียหกประตู เป็นลูกโทษสี่ ทำซุปเปอร์เซฟห้าครั้ง ยิงลูกโทษเองอีกสอง"
"อ้าว หมดแล้วเหรอ ข้อมูลเพิ่มเติมล่ะ" วสุทวง
"ข้อมูลเพิ่มเติม...มีความคล่องตัวสูง ปฏิกิริยาว่องไวดี การยิงลูกค่อนข้างรุนแรงดุดัน และแม่นยำใช้ได้ มีน้ำใจ..."
"เฮ้ยๆๆ อะไรวะ มีแต่ชม ไม่มีด่ามั่งเลยเหรอ" สิโรตม์โพล่งขึ้นมาอย่าไม่พอใจ
"ก็มีนะ" ปฤษฎ์ว่า "นี่ไง บ้าพลัง ประมาท ชอบลากบอลออกจากเขตโทษด้วยตัวเอง"
"เออว่ะ" วสุหัวเราะ "มันชอบออกมาเล่นบอลเองนี่หว่า"
"อวดหญิงล่ะไม่ว่า" สิโรตม์บอกอย่างหงุดหงิด "นี่ถ้าจิรัชย์เป็นประธานชมรมฟุตบอลแทนคณินทรละก็ ข้าก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องคัดเลือกกัปตันทีมหรอก"
"แล้วทำไมเอ็งไม่ไปบอกให้จิรัชย์ช่วยล่ะ" วสุเสนอ "จิรัชย์กับประธานรู้จักกันไม่ใช่เหรอ น่าจะพอพูดกันได้บ้างล่ะน่า"
"บอกไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่เห็นจะทำอะไร" สิโรตม์บอก "อีกอย่าง คณินทรก็ตรงอย่างกับอะไร ข้าก็เลยไม่อยากหวังมาก"
“หวังอะไรงั้นเหรอ” เสียงทุ้มห้าวของศาสตราดังใกล้เข้ามา พร้อมกับรอยยิ้มกว้างตามแบบฉบับของเขา พลางยื่นหน้าเข้ามามองสมุดบันทึกในมือปฤษฎ์แล้วอุทานออกมา “โอ้โฮเฮะ! นี่มันผลงานข้าทั้งนั้นเลยนี่หว่า ขนาดข้ายังจำไม่ได้เลยนะเนี่ย พวกเอ็งสนใจข้าขนาดนี้เลยเหรอ” เขาว่าพลางยิ้มกว้างให้สิโรตม์
"ข้าไม่ได้พิศวาสเอ็งนักหรอก" สิโรตม์ตอบ "กลับโว้ย!... รำคาญว่ะ" แล้วพวกเขาก็ลุกเดินไปตามทางเดิน ตรงไปยังห้องแต่งตัว
ศาสตรามองตามพวกเขา รอยยิ้มเริ่มคลายลง
"ไอ้พวกนี้มันคิดอะไรของมันวะ น่าสงสัยแฮะ" เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะคิดถึงเพื่อนอีกคนหนึ่ง "ไอ้วัตติ์เลิกชมรมรึยังนะ"
% ###
ชมรมยิงธนูยังไม่เลิก แต่ก็ใกล้แล้ว...
เพราะตอนนี้วสวัตติ์เรียกระดมนักกีฬาคนอื่นๆ ในชมรมมารวมตัวกันในบริเวณที่นั่งพัก ซึ่งอยู่ภายในสนามยิงธนูแล้ว
"ผมเคยพูดหลายครั้งแล้ว กีฬายิงธนูสำคัญอยู่ที่สมาธิ" เขายืนอบรมอยู่ที่หน้ากลุ่มนักกีฬา จากนั้นจึงบอกให้ทุกคนหลับตาเพื่อทำสมาธิ เขาเองก็นั่งลงกับพื้นแล้วหลับตาทำสมาธิด้วยเช่นกัน
มันเป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบ...เงียบจริงๆ...
จนเมื่อผู้จัดการชมรมสะกิดบอกเวลาเขา เขาจึงลืมตาขึ้น พร้อมกับบอกให้คนอื่นๆ ออกจากสมาธิ จากนั้นจึงสั่งให้แยกย้ายกันไปเก็บของ
ศาสตรายืนรอเขาอยู่ที่ประตูทางเข้าสนาม เมื่อเห็นเขากำลังหิ้วกระเป๋าเดินออกมา จึงพูดแซวยิ้มๆ
"ไง โรบิน ฮู้ด...เฮี้ยบเหมือนเดิมเลยนะเอ็ง"
วสวัตติ์ยักไหล่พลางบอกอย่างไม่สะทกสะท้าน "ประธานชมรมนี่หว่า"
"ไม่เกี่ยวม้าง...'' ศาสตราลากเสียงยาว "ประธานก็ไม่เห็นต้องดุขนาดนี้เลยนี่หว่า ดูอย่างชมรมข้าสิ ประธานใจดีจะแย่"
"มิน่า ถึงปล่อยให้เอ็งอู้ ไปเตร็ดเตร่อยู่แถวชมรมการแสดงก่อนซ้อม"
"ไม่ได้อู้โว้ย แค่ไปดูของสวยๆ งามๆ"
"เอาเหอะ ข้าขี้เกียจเถียงกับเอ็ง รีบไปหาไอ้พวกนั้นดีกว่า" วสวัตติว่าแล้วก็รีบจ้ำนำหน้าเขาไป
"ยกนี้ถือว่าเอ็งแพ้นะ" ศาสตราพูดกลั้วหัวเราะ แล้วพากันวิ่งแข่งกับวสวัตติ์ไปยังจุดนัดของพวกเขา
% ###
เสียงจากชมรมวิทยุกระจายเสียงเงียบลงไปแล้ว
ดีเจหนุ่มเดินออกจากชมรม ลงมาตามบันได แล้วแล้วอ้อมไปใช้ทางเดินด้านหลังอาคารกิจกรรม เพื่อไปยังสวนริมทะเล ซึ่งเขานัดกับเพื่อนๆ ไว้
โดยปกติแล้ว ทางเดินบริเวณนั้นค่อนข้างเปลี่ยว ไม่จอแจ ไม่ค่อยมีคนใช้สัญจร ยิ่งในเวลาค่ำเช่นนี้ ยิ่งดูเหมือนจะเหลือเขาเดินอยู่ในบริเวณนั้นเพียงคนเดียว...
รามภณเดินผ่านด้านหลังของห้องชมรมต่างๆ จนมาถึงชมรมการแสดง เขามองไปที่หน้าต่างบานเกล็ด ซึ่งปิดม่านทึบสีฟ้าไว้อีกชึ้นหนึ่ง แสงไฟลอดผ่านม่านและบานหน้าต่างออกมา แสดงว่ายังคงมีคนอยู่ในห้อง
...บางทีอาจจะกำลังซ้อมละครกันอยู่ ซึ่งนั่นแปลว่า จิรัชย์เองก็น่าจะยังไม่กลับ
...ชมรมการแสดง ทั้งที่ความจริง ก่อนหน้านั้น รามภณไม่เคยเหยียบเข้าชมรมนี้เลย คนในชมรมนี้เขาก็แทบจะไม่รู้จัก จิรัชย์...อย่างมากก็เคยคุยกันไม่กี่คำ เวลาที่ต้องทำงานร่วมกัน ส่วนมายาวดี...เคยได้ยินแต่ชื่อ ทว่าตอนนี้ล่ะ...
รามภณถอนหายใจเล็กน้อย ถอดความคิดเหล่านั้นออกจากสมอง แล้วขยับเท้าจะก้าวต่อ แต่ยังไม่ทันที่ตัวเขาจะขยับตามเท้าไป ริบบิ้นสีขาวครีมก็ลอยละล่องลงมา กระทบหัวไหล่เขาแผ่วเขา แล้วโรยปลายลงไปตามแขนของเขา
ชายหนุ่มงอแขนรับมันไว้ได้อย่านุ่มนวล ก่อนที่มันจะลื่นตลลงไปบนพื้น..
เขาก้มมองริบบิ้นในมือ แล้วเงยหน้ามองหาที่มาของมัน มองเลยขึ้นไปถึงระเบียงดาดฟ้าของอาคาร...
ที่ริมกำแพงคอนกรีตของชั้นดาดฟ้า เงาของหญิงสาวคนหนึ่ง ทาบทับไปกับความมืดของท้องฟ้า เส้นผมของเธอปลิวสยายอยู่ในสายลม เธอยืนเกาะอยู่ที่ขอบกำแพง กำลังชะโงมองลงมาเช่นกัน
รามภณมองไม่เห็นใบหน้าเธอ เขาเห็นเพียงเงาของเธอ เงาบอบบางที่ดูเหมือนจะถูกลมพัดปลิวตกลงมาได้ทุกขณะ
"คุณ!...รอก่อนนะ ผมจะเอาริบบิ้นไปคืนให้" เขาตะโกนบอกเธอ กำริบบิ้นไว้แน่น แล้วก้าวยาวๆ กึ่งวิ่งเข้าตัวอาคารไป
เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบกับพื้นที่ขัดของอาคารดังตุบตับๆ เสียงหัวใจของเขาก็ดูเหมือนจะเต้นดังออกมาเป็นเสียงเดียวกัน อีกทั้งยังแทบจะเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
หัวใจของเขา...เต้นแรง...จะเพราะเขาเหนื่อยจากการวิ่งขึ้นบันไดมา หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่นกันแน่ เขาเองก็ไม่เข้าใจ และไม่คิดจะไปหาคำตอบเอาในเวลานี้ด้วย
เมื่อมาถึงประตูเหล็กที่เชื่อมระหว่างโถงบันไดกับลานกว้างของชั้นดาดฟ้า หัวใจของชายหนุ่มยังคงเต้นแรง เหงื่อก็เริ่มซึม เขายื่นมือผลักบานประตูออก ก้าวผ่านกรอบประตูไปยืนอยู่ในลานกว้าง
ลานกว้างโล่งแจ้ง ไม่มีสิ่งใดกั้นขวางสายตา และ...ไม่เห็นเธอ
เขาเดินไปรอบๆ มองหาเธอ แต่ก็ไม่เห็นร่างบางนั้น
ในที่สุด เขายืนไปหยุดท้าวแขนอยู่ที่ริมระเบียง ในบริเวณที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่ แล้วมองออกไป
เนื่องจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ริมทะเล ดังนั้นเมื่อมองออกไปนอกเขตมหาวิทยาลัยจึงควรจะเห็นหาดทรายสีขาวสะอาดทอดยาวเป็นทาง ถัดไปจึงเป็นทะเลสีน้ำเงินครามเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา เพียงแต่เวลานี้มืดแล้ว น้ำทะเลจึงดูเป็นสีดำ ลึกลับ น่าหวาดกลัว
รามภณยืนอยู่ที่นั่น ปล่อยให้ลมทะเลพัดมาสัมผัสใบหน้าที่ยังมีเหงื่อซึม ทำให้ใบหน้าเขารู้สึกเย็นเฉียบ
...เธอไปแล้วหรือ แล้วความรู้สึก...ผิดหวัง...นี่มันอะไรกัน
รามภณมองริบบิ้นในมืออีกครั้ง ริบบิ้นนั้นยับยู่ยี่อยู่ในมือเขา ชายหนุ่มจึงยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายหน้าช้าๆ
...นี่ถ้าเธอยังรออยู่ เขาจะยื่นริบบิ้นให้เธอแบบนี้หรือ
ริบบิ้นสีขาวครีม ไม่มีลวดลายให้เป็นที่สะดุดตา มีเพียงกลิ่นหอมจางๆ ที่ยังติดอยู่ รามภณดึงมันขึ้นมาสัมผัสปลายจมูกอย่างแผ่วเบา
...กลิ่นหอมแบบนี้ ไม่เหมือนกลิ่นจากเครื่องสำอางค์หรือน้ำหอมของหญิงสาวคนอื่นที่เขาเคยพบมา กลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ เป็นธรรมชาติ คล้ายกับกลิ่นหอมจากดอกไม้...ชักอยากเห็นเจ้าของมันเสียแล้วสิ
เขายิ้มน้อยๆ ให้กับริบบิ้น...ถ้ามีคนมาเห็นในตอนนี้คงคิดว่าเขาบ้า แต่โชคดีที่ตอนนี้ เขาอยู่เพียงลำพัง ชายหนุ่มพับริ้บบิ้นเก็บใส่กระเป๋าเสื้ออย่างเรียบร้อย
...หวังว่าจะได้พบเธออีก เขาจะคืนริบบิ้นนี้ให้เธอ...ด้วยมือตัวเอง
% ###
"ไอ้ภณมันยังไม่โผล่มาอีกเหรอเนี่ย ไปอู้ถึงไหนวะ" เสียงโวยวายของศาสตราทำลายบรรยากาศความเงียบของสวนริมทะเลเสียหมดสิ้น
"เอ็งซ้อมบอลมาไม่เหนื่อยเหรอวะ" ธาวินถามยิ้มๆ เผยให้เห็นเขี้ยวข้างขวา
"เหนื่อยสิ เหนื่อยมากด้วย ถึงอยากกลับบ้านนอนเร็วๆ ไง" ศาสตรายังคงส่งเสียงในระดับความดังเท่าเดิม
"แต่ข้าว่า ยิ่งโวยวายมันยิ่งเหนื่อยนะ" เพื่อนคนเดิมยังสำทับต่อ ทำให้ศาสตราหรี่ตาขวาง มองคนพูดพร้อมกระชากเสียง
"เออ เรื่องของข้า!"
ธาวินหัวเราะร่วน เขาเป็นคนร่างเล็ก แถมยังผอมจนบอบบาง หากมีอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเพื่อนจะมีท่าทีต่อเขาอย่างไร เขาก็ยิ้มได้ตลอด ราวกับทุกเรื่องเป็นเรื่องเล่นไปได้เสียหมด
"เอ็งก็เอาแรงอย่างไอ้ภพบ้างสิวะ" วสวัตติ์เสนอ
ศาสตรามองไปยังภวาภพ ซึ่งนอนหนุนแขนตัวเองอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ ใบหน้าคมเข้มที่มักจะนิ่งสนิทจนน่าค้นหานั้น ยามหลับตาเฉยเช่นนี้ยิ่งดูน่าพิศวง
"เอาอย่างมันน่ะเหรอ" ศาสตราว่า "ข้าไม่ใช่ตอไม้นี่หว่า"
ภวาภพพยายามทำหูทวนลม ไม่ฟังเสียงพวกเขา แต่ก็อดรู้สึกรำคาญจนต้องขมวดคิ้วไม่ได้
"เฮ้!..." รามภณส่งเสียงทักทายเพื่อน พร้อมกับเดินตัดผ่านพุ่มไม้เข้ามา "โทษที พอดีมีธุระนิดหน่อย"
"ธุระอะไรวะ ให้รอตั้งนาน" ศาสตราเบนสายตาไปทางผู้มาใหม่พลางบ่นอุบ "บอกมาเลย ไปโอ้เอ้ที่ไหนมา"
"ไม่บอกดีกว่าว่ะ" รามภณตอบเสียงกลั้วหัวเราะ "เดี๋ยวเอ็งจะอิจฉา"
"ไอ้..." ศาสตราตั้งท่าเตรียมจะสวดและสอบสวนเขาต่อ ทว่าภวาภพกลับลุกขึ้นและเริ่มเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อไปยังลานจอดรถเสียแล้ว ธาวินกับวสวัตติ์จึงตรงเข้ากอดคอพวกเขา แล้วลากเดินตามภวาภพไป
% ###
รถยนต์อเนกประสงค์สีฟ้าเมททาลิกแล่นออกจากประตูมหาวิทยาลัยไปตามถนนเลียบชายหาด ศาสตรานั่งในที่นั่งข้างคนขับ โดยมีรามภณคุมพวงมาลัยอยู่
"รถไอ้ภณนี่ดีแฮะ มีเพลงให้ฟังเพียบ" ศาสตราว่า ระหว่างกำลังเลือกซีดีเพื่อเปิดฟังในรถ
"ก็เอาเครื่องเสียงห้อยท้ายมอเตอร์ไซค์เอ็งไว้สิ จะได้ขี่ไปฟังเพลงไป" วสวัตติ์ส่งเสียงมาจากทางเบาะหลัง
"เงียบไปเลย ไอ้วัตติ์"
ธาวินซึ่งนั่งอยู่กลางเบาะหลังยื่นหน้ามาดูซีดีที่กองอยู่บนตักศาสตรา แล้วเขาก็ต้องสะดุดกับซีดีแผ่นใหม่เอี่ยมที่ยังไม่ได้แกะซองพลาสติกออก
"นี่เพลงใหม่ของชมรมดนตรีสากลรึเปล่าวะ ไอ้ภณ" เขาถามพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาจากกอง
รามภณเหลือบมองปกซีดีในมือเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“อืม ประชาสัมพันธ์เขาเอามาให้เปิดออนแอร์น่ะ กะว่าจะเอามาฟังดูก่อน แล้วค่อยเลือกไปเพลงไปเปิดพรุ่งนี้”
"งั้นเปิดเลย" ธาวินแกะซองพลาสติกออกแล้วยื่นส่งให้ศาสตรา
"อยู่ชมรมวิทยุนี่ดีแฮะ มีอะไรใหม่ๆ ก็ได้รู้ก่อนตลอด" ศาสตรว่าพลางหยิบแผ่นซีดีออกจากกล่อง สอดเข้าไปในช่องรับของเครื่องเสียง แล้วหมุนปุ่มเร่งเสียงให้ดังขึ้น
"จริงด้วย เห็นตอนออนแอร์ เอ็งบอกว่าชมรมการแสดงจะมีละครเวทีแล้วนี่...วันไหนนะ" ธาวินถาม
"เดือนหน้า" รามภณตอบ "ทำไม เอ็งอยาดูเหรอ"
ธาวินหันไปมองภวาภพที่นั่งเงียบมาตลอดทาง...เวลาที่เพื่อนจะต้องพรากจากกุหลาบดอกสวยกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
"เปล่า ถามให้คนบางคนน่ะ" เขาโยนไปทางศาสตรา ซึ่งเจ้าตัวเองก็อยากรู้อยู่แล้ว จึงฉีกยิ้มกว้าง ยิงคำถามต่อไปอีก
"แล้วมันวันไหนล่ะ เปิดให้จองบัตรรึยัง"
"โอ้โห สงสัยช่วงนี้อากาศคงแปรปรวนใหญ่ ศาสตราจะดูละครเวที" วสวัตติ์ประชด จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ในรถ จะเว้นก็แต่เพียงภวาภพ
% ====================
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น