คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : อารยธรรมโรมัน ง่ายๆ
อารยธรรมโรมัน
ชนพื้นเมืองในแหลมอิตาลี
บรรพบุรุษของชาวโรมัน คือ
“ชาวละติน”(ชนพื้นเมืองในแหลมอิตาลี) ตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ําTiber
อาศัยอยู่มาก่อนแล้ว
แต่ต่อมากลับถูก
“พวกอีทรัสกัน Etruscan
รุนราน!!!
เข้ามาในแหลมอิตาลี
พวกอีทรัสกันได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมจากกรีก 2
อักษร เทพเจ้า ประตูโค้งarc
(แม้แต่คําว่า โรม/โรมา
ก็เป็นคําจากอีทรัสกัน)
ระยะแรก...
มีการปกครองแบบ ระบอบกษัตริย์ Imperium
โดยกษัตริย์จะมี
เป็นที่ปรึกษา โดยสมาชิกจะอยู่ ชนชั้นพาทรีเชียน แปลว่า ขุนนาง
แต่ต่อมา...
“พวกพาทรีเชียน
สายละติน” ก็ล้มกษัตริย์อีทรัสกัน
โดยการขับไล่ และ
เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณะรัฐ
จึงเข้าสู่
1.สมัยสาธารณรัฐ
แบ่งคนออกเป็น 2กลุ่ม
1)พาทรีเชียนPatricians
-ผู้ดีมีสกุล
-มีอํานาจการปกครอง
(รักษาอํานาจตนโดย การห้ามปะปนโลหิตกับพวกสามัญ)
2)เพลเบียนPlebeians
-ชนชั้นตำ่ /สามัญ พวกชาวนา พ่อค้า ช่างฝีมือ
-ไม่มีอํานาจ/สิทธิทางการเมืองสังคม
ต่อมาไม่นาน...
พวกเพลเบียน
พยายามจะมีส่วนร่วมการปกครอง
ดังนั้น
สภาซีเนต/ขุนนาง
จึงยอมให้ พวกเขามีสิทธิเลือกผู้ตนเอง
เรียกว่า
“คณะทรีบูนส์"
มีสิทธิ “ยั้งการกระทําที่ อยุติธรรม/กดขี่เพลเบียน
โดยพูดว่า
“วีโต(veto) หมายถึง ห้าม”
..........ประมาณว่า ข้าพเจ้าขอห้าม.........
ยังไม่จบ
พวกพาทรีทริเชียนเนี่ย
ตอนแรกหวงกฎหมายมากไม่ยอมให้พวกเพลเบียนรู้เลย
กลัวรู้แล้วจะรู้ทัน
ทำให้
พวกเพลเบียนไม่มีโอกาสรู้ว่า
กฎหมายที่ใช้มีอยู่อย่างไร อะไรบ้าง??
ทําให้พวกเขาไม่พอใจและขู่ว่าจะออกจากเมือง!!
(ซึ่งหากออกจริงๆจะทําให้การเมืองหยุดชะงักเพราะ เพลเบียนเป็นแรงงาน)
พวกพาทรีเชียน จึงยินยอมการต่อสู้ของ พวกเพลเบียน
โดยการสถาปนา
"กฎหมายสิบสองโต๊ะ" (Law of the Twelve Tables)
ได้ทําการรวบรวมจารีตประเพณี
ที่ใช้เป็นกฎหมายอยู่ในขณะนั้น
บันทึกลงบนแผ่นทองเหลือง 12 แผ่น
ตั้งไว้ในที่สาธารณะใจกลางเมือง
<<<<เพราะความเพี้ยนของภาษา
จาก Tablet=แผ่น
เรียกเป็น Table=โต๊ะ จริงๆน่าจะเรียก กฎหมาย12แผ่น>>
นับเป็นเป็นจุดเริ่มต้นของหลักกฎหมายข้อหนึ่ง
ที่ว่า
“กฎหมายเป็นสิ่งที่เปิดเผย
ให้คนทั่วไปได้รู้ได้เห็นและศึกษาหาเหตุผลได้”
ต่อมา...
โรมันได้ทํา “สงครามพิวนิก” The Punic War กับพวกคาร์เทจ
(Punic มาจากคำว่า Punicus พูนิคอุส ในภาษาละติน ซึ่งเป็นคำเรียกพวกฟินิเชียหรือคาร์เธจ)
3ครั้ง
และ ชนะในครั้งที่3
จึงทําลายอารยธรรมคาเทจได้
โรมจึงขยายอํานาจ
ผูกขาดการค้าทะเลเมดิเตอร์เรนียน
จนรวย!!
กลายเป็นรัฐที่มีอํานาจสูงสุดในขณะนั้น
อีกทั้งรับอารยธรรมเฮเลนิสติกไว้อีก
ขอกล่าวมาถึงช่วงหลังจากที่
“จูเลียส ซีซาร์ Julius
Caesar” ผู้นําเผด็จการทหารของสาธารณรัฐโรมัน
ถูกสังหารโดย
“กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาโรมัน Roman Senate/สภาซีเนต”
ในช่วงนั้นเอง
“มาร์ค แอนโธนี่” Mark Antony
ขุนศึกคู่ใจคนสําคัญของซีซ่าร์
และ
"ออคเตเวียน"Octavian
บุตรบุญธรรมของซีซ่าร์
รวมถึงกลุ่มทหารในกองทัพโรมันส่วนที่ยังจงรักภักดีต่อซีซาร์
ได้ร่วมมือกันปราบปรามและ
สังหารกลุ่มกบฎและผู้ลอบทําร้ายซีซ่าร์ทั้งหมด
หลังจากนั้น
ออคเตเวียน + มาร์ค แอนโทนี + มาร์คัส อมีเลียส เลฟิดัส
(ต่างคนก็คุมกองทัพใหญ่ในดินแดนต่างๆของอาณาจักรโรมัน)
หันมาร่วมมือกันก่อตั้ง
"คณะผู้สําเร็จราชการชุดที่2"
จับมือกันปกครองดินแดนของโรมันด้วยระบอบ
"เผด็จการทางทหาร"
อยู่หลายปีทีเดียว
แต่กาลเวลาต่อมา.....
คณะผู้สําเร็จราชการชุดนี้ก็ล่มสลายลง
ทั้งยังเกิดความแตกแยกขัดแย้งกันเอง
ต่างคนต้องการจะเป็นใหญ่ โดยในตอนนั้น
“ออคตาเวียน" ดูจะอ่อนแอที่สุดใน3คนเพราะยังอายุน้อยและมีกองทัพในมือน้อยกว่า
แต่เขากลับ
ฉลาดหลักแหลมและ
รู้จักเลือกใช้คนมีฝีมือมากกว่าแม่ทัพทั้งสอง
ทําให้ต่อมาเมื่อ
"มาร์ค แอนโธนี่"
ถูกมอบหมายให้จัดการกับคลีโอพัตรา แต่กลับต้องมาติดกับของคลีโอพัตรา
ออคเตเวียนจึงเริ่มถือโอกาส การสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเอง!!
เช่น
-ซื้อตัวบรรดานักการเมืองในสภาไว้เป็นพวกตน
-พยายามรวบรวมแม่ทัพนายกองที่มีความสามารถให้มาเข้ากับตน
จนกระทั่งในที่สุด
"มาร์คัส อมีเลียส เลพิดัส"
ที่คิดจะคานอํานาจกับคนทั้งสอง
จึงต้องพ่ายแพแก่ออคเตเวียน
และโดนเนรเทศออกจากจักรวรรดิโรมัน
ทําให้ตอนนี้
“ออคเตเวียน" มีอํานาจควบคุมกองทัพและภาคตะวันตกของโรมัน
ส่วน "มาร์ค แอนโธนี่" ยังมีฐานอํานาจในภาคตะวันออกอยู่
แต่ขณะนั้นเองก็โดน...
พระนางคลีโอพัตราเป่าหูต่างๆ
จึงทําให้คิดจะปราบ "ออคเตเวียน" และอยากขึ้นปกครองจักรวรรดิโรมันเอง
ส่วน “ออคเตเวียน"เองก็คิดหาทางจะกําจัดเขาเช่นกัน
ทั้งสองจึงห้ำหั่นฟันกันเอง
เป็นสงครามกลางเมืองที่นองเลือดที่สุดครั้งหนึ่ง
แต่ทว่า "มาร์ค แอนโธนี่" กลับเสียเปรียบ
ตรงที่ว่าตัวเขาอยู่อียิปต์ ซึ่งไกลจากกองทหารที่จงรักภักดีในภาคตะวันออก
ทําให้ขณะนั้น"ออคเตเวียน"
ถือโอกาสใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ด้วยการลอบไปซื้อตัวแม่ทัพบางส่วนของ"มาร์ค แอนโธนี่" ไว้
หรือไม่ก็จัดการสังหารแม่ทัพที่จงรักภักดีต่อ "มาร์ค แอนโธนี่"
และแย่งชิงกองทัพต่างๆมาเอง
ทําให้ในที่สุดกองทัพผสมระหว่างอียิปต์และโรมของ
"มาร์ค แอนโธนี่" เรียก
"สงครามครั้งสุดท้ายของสาธารณรัฐโรมัน"Final War of the Roman Republic
หรือ"สงครามกลางเมืองของแอนโทนี
หรือ "สงครามระหว่างแอนโทนีกับออกเตเวียน"
จึงพ่ายแพ้ต่อกองทัพอันเข้มแข็งของออคเตเวียนที่
"ยุทธการอัคติอุม"
จน "มารค์แอนโธนี่" ตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ทําให้
“ออคเตเวียน" กลายเป็นผู้มีอํานาจสูงสุด หนึ่งเดียวในโรมจน
เขาสามารถตั้งตนเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งโรมันในนาม
"จูเลียส ออกัสตัส
ซีซาร์"
ได้ในที่สุด
**เพ่ิมเติม
-"สงครามครั้งสุดท้ายของสาธารณรัฐโรมัน"
Final War of the Roman Republic
หรือ"สงครามกลางเมืองของแอนโทนี
หรือ "สงครามระหว่างแอนโทนีกับออกเตเวียน"-
สงครามกลางเมืองโรมันครั้งสุดท้ายในสมัยสาธารณรัฐโรมัน
เป็นสงครามระหว่าง คลีโอพัตรา (มีมาร์ค แอนโทนีสนับสนุน) VS ออคตาเวียน
หลังจากวุฒิสภาโรมันประกาศสงครามต่อราชินีคลีโอพัตรา แอนโทนีเป็นทั้งคนรักและพันธมิตรนาง ทรยศต่อโรมและร่วมสงครามโดยถือฝ่ายคลีโอพัตรา
หลังจากชัยชนะอย่างเด็ดขาดของออกเตเวียนใน"ยุทธการที่แอคติอุม"
คลีโอพัตราและแอนโทนีถอยทัพไปอเล็กซานเดรีย ที่ซึ่งออกเตเวียนล้อมเมืองไว้จนศัตรูทั้งสองกระทำอัตวินิบาตกรรม(ฆ่าตัวตาย)
โรมันเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบระบอบจักวรรดิ
จึงเข้าสู่
2.สมัยจักวรรดิ
ออคตาเวียนได้สมญานาม
"เอากุสตุส/ออกัสตัส"
และสภาโรมันยกย่องให้เขาเป็น
จักรพรรดิ/ซีซาร์ แรกของจักวรรดิโรมัน
"จักรพรรดิเอากุสตุส/ออกัสตัส"
IMPERATOR CAESAR DIVI FILIVS AVGVSTVS
*** หลังจากนี้ไปจักรพรรดิโรมันทุกพระองค์จะถูกเรียกขานว่า
"ซีซ่าร์" เพราะ “ออคเตเวียน" ต้องการให้ทุกคนรําลึกถึงความยิ่งใหญ่ของ
"จูเลียส ซีซาร์" พ่อบุญธรรมของตนนั่นเอง
โรมันที่เรียกได้ว่าชาตินักรบ
รุ่งเรืองมาเรื่อยๆ และอารยธรรมของโรมัน(ที่รับมาจากกรีก)
ก็แพร่ไปทั้ง ยุโรป แอฟริกา เอเชีย
เป็นสมัยของความสันติสุขอันยืนยาวโดยแทบจะไม่มีการขยายตัวทางทหาร
เรียกว่า "สันติภาพโรมัน" (ละติน: Pax
Romana, อังกฤษ: Roman
peace)
จนสามารถสร้าง 'สังคมนานาชาติ'
คือ -ชาวโรมันพูดภาษาเดียวกันคือ ภาษาละติน
-อยู่ใต้ กฎหมายและจักพรรดิเดียวกัน
-สตรีชั้นสูง สืบมรดก ทำธุรกิจได้
ระหว่างนั้นก็มี...
มีปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม,พวกอารยชน(เผ่าโกท/เยอรมัน)รุกราน,
รวมทั้งการแย่งอำนาจระหว่าง แม่ทัพนายกองvsราชวงศ์,ฝูงชนก่อความวุ่นวาย(mob)
มาเรื่อยๆ
จนมาถึงสมัย
"จักรพรรดิคอนสตันไทน์มหาราช"
หรือที่รู้จักกันว่า “คอนสตันไทน์ที่ 1”
ในบรรดาผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก หรือ “คอนสตันไทน์มหาราช”
หรือ “นักบุญคอนสตันไทน์”
พระราชกรณียกิจสำคัญที่สุดคือ
การประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมัน
ในเวลาต่อมา
ทรงสร้าง
"กรุงคอนสแตนติโนเปิล"Constantinople เป็น เมืองหลวงอีกแห่ง
(เพื่อแบ่งเบาภาระโรมและป้องกันพวกอารยชน)
ต่อมาเรียกว่า
"จักรวรรดิไบแซนไทน์ / จักรวรรดิโรมันตะวันออก / จักรวรรดิไบแซนทิอุม"
(ปัจจุบันคือ นครอิสตันบูล ใน ตุรกี)
ในสมัยปลายจักวรรดิ
โรมันต้องเจอกับปัญหาภายในมากมายทั้ง
ความอ่อนแอของจักรพรรดิ,ทหาร,เศรษฐกิจ
ความเสื่อมศีลธรรมของชาวโรมันเอง และอื่นๆ
จนเมื่อ ค.ศ.476
จักวรรดิโรมันตะวันตก
ถูกอารยชนปล้นสะดมและขับออกจากบัลลังค์
ทำให้จักวรรดิโรมันตะวันตก ล่มสลายลง
ส่วน จักรวรรดิโรมันตะวันออก/ไบเซนไทน์
ยังปกครองดีอยู่จนถึง ค.ศ.1453 ถูกพวกเติร์กปิดล้อใ
และยึดครองรวมเข้ากับ จักวรรดิออตโตมัน
มรดก
โรมันประสบความสำเร็จด้าน
การจัดระบบการปกครองจักวรรดิ
และ
นักปฏิบัติสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อประชาชน คือ
** สถาปัตยกรรม **
เน้นความใหญ่โต แข็งแรงทนทาน
พัฒนาเทคนิคการก่อสร้างของกรีกเป็นประตูโค้ง(arch)
เปลี่ยนหลังคาจากจั่วเป็นโดม และสร้างอาคารต่าง ๆ เพื่อสนองความต้องการของรัฐและสาธาณชน เช่น
-โคลอสเซียม
สนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม
-สถานที่อาบน้ำสาธารณะ
-วิหารแพนธีออน (Pantheon)
มาจาก กรีก Πάνθεον ที่แปลว่า “พระเจ้าทั้งหมด”
เป็นเทวสถาน (Roman temple) สำหรับเทพต่างๆ
ของโรมันโบราณ
** ประติมากรรม **
สะท้อนบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างสมจริงตามธรรมชาติ
มีสัดส่วนงดงามเหมือนกรีก
แต่โรมันจะเน้นพัฒนาศิลปะด้านการแกะสลักรูปเหมือนบุคคลสำคัญๆ เช่น จักรพรรดิ
นักการเมือง
แกะสลักภาพนูนต่ำ เพื่อบันทึกเรื่องรามทางประวัติศาสตร์
และสดุดีวีรกรรมของนักรบ
การสร้างถนนคอนกรีต โดยถนนทั้ง 2 ข้างจะมีท่อระบายน้ำ
และมีหลักบอกระยะทาง
สภาพถนนภายในกรุงโรมที่อดีตมีมากจนมีคำกล่าวว่า
“ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม”
นอกจากนี้ยังมีการสร้าง
สะพานส่งน้ำ (aqueduct)
ขนาดสูงใหญ่จำนวนมากเพื่อนำน้ำวันละ 300 ล้านแกลลอนหรือประมาณ 8,505 ล้านลิตร จากภูเขาไปยังเมืองเพื่อให้ชาวเมืองได้ใช้
ความคิดเห็น