ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพลิงสวาทนางบำเรอ (ภาคต่อรสสวาทเจ้าบ่าวนักรัก)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 824
      1
      1 มิ.ย. 59

    ตอนที่ 1

     

     

              “นังริน! แกจะอ่านไปทำไมนักหนาไอ้พวกหนังสือหนังสือหาเนี่ย” เสียงกราดเกรี้ยวของมารดาทำให้คนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้รีบละวางหนังสือลง ก่อนจะหันไปทางมารดา ที่ได้เห็นสีหน้าของท่านแล้วเธอก็เดาได้ทันทีว่าท่านเล่นไพ่เสียมา

              “แม่กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ”  รินนภัสเอ่ยถามผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มและไม่คิดโกรธเคืองท่านเลยแม้แต่น้อยที่มาถึงก็อาละวาดกับเธอทุกครั้งไป

              “ไม่กลับมา แล้วแกจะเห็นฉันยืนหัวโด่อยู่นี่หรือไงล่ะ แล้วนี่นังรส น้องแกอยู่ไหน” ถามไปแล้วก็กวาดตามองหาลูกสาวสุดที่รักที่ตนอยากจะฝากผีฝากไข้เอาไว้ยามแก่เฒ่า เพราะส่งให้เรียนมหาลัยดีๆ จะได้มีงานทำที่ดีมาเลี้ยงดูตน

              “เอ่อ...”  รินนภัสอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบมารดาอย่างไรดี เพราะตั้งแต่น้องสาวออกไปเรียนจนตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้วก็ยังไม่กลับเข้าบ้าน ที่เธอก็ได้โทรหาน้องสาวแล้วแต่น้องสาวไม่รับโทรศัพท์ เธอเลยไม่รู้ว่าตอนนี้น้องสาวกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน หรือว่ากำลังเดินทางกลับบ้าน

              “แกจะเอออาทำไมนังริน!” ผู้เป็นแม่ตวาดถามด้วยอารมณ์หงุดหงิด

              “น้องยังไม่กลับเข้าบ้านเลยจ้ะแม่”  

              “ก็แล้วทำไมมันยังไม่กลับบ้าน” คนเป็นแม่ย้อนถามไป ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกสาวคนเล็กกว่าจะกลับเข้าบ้านได้ก็เกือบเที่ยงคืนของทุกวัน โดยที่ลูกสาวคนเล็กก็อ้างเสมอว่าต้องไปทำรายงาน ต้องไปติวหนังสือกับเพื่อน แต่ถึงจะรู้สาเหตุที่ทำให้ลูกสาวคนรองกลับบ้านดึกดื่นแทบทุกวัน ทว่าคนเป็นแม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ เลยต้องถามหาทุกครั้งที่กลับเข้าบ้านแล้วไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวคนเล็ก

              “น้องก็คงออกไปติวหนังสือบ้านเพื่อนเหมือนทุกวันแหละจ้ะแม่” รินนภัสเอ่ยตอบไปอย่างที่น้องสาวเคยบอกมารดาทุกครั้งยามที่กลับบ้านดึก แต่ทั้งเธอและมารดาไม่รู้เลยว่าบ้านเพื่อนที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน

              “แต่นี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ทำไมน้องแกมันยังไม่กลับบ้านอีก”

              “รินไม่รู้หรอกจ้ะแม่”

              “แกนี่มันเป็นพี่ประสาอะไร ถามอะไรไปก็ไม่รู้สักอย่าง!

              “ก็ริน...รินไม่รู้จริงๆ นี่จ๊ะแม่ แล้วรินโทรไปหาน้องแล้วด้วยแต่น้องไม่รับสาย” รินนภัสแย้งด้วยเหตุผล แต่ทางมารดาที่ออกไปเล่นไพ่ตั้งแต่บ่ายทำให้หลือเงินมาแค่ค่ารถไม่ฟังเหตุผลของลูกสาวคนโตเลยสักนิด นางยกมือหยาบกร้านจากการทำงานหนักเพื่อเอามาเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสองขึ้นแล้วสะบัดใส่หน้าของรินนภัส ที่มึนงงไปพักใหญ่ เพราะไม่เข้าใจว่ามารดาตบหน้าตนด้วยสาเหตุอะไร

              “แม่...แม่ตบรินทำ...”  รินนภัสทวงถามหาสาเหตุที่โดนตบ ทว่าพูดไม่ทันประโยคเสียงมารดาก็แทรกขึ้น

              “แกรีบออกไปตามน้องกลับบ้านซะนังริน!

              “แต่ว่ารินไม่รู้จะไปตามหาน้องที่ไหนนะจ๊ะแม่”  รินนภัสแย้งเสียงอ่อน แต่ที่เธอแย้งไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากออกไปตามหาน้องสาว ทว่าการที่ออกไปตามหาแบบไร้จุดหมายก็รังแต่จะทำให้เสียเวลา สู้รอให้เธอติดต่อน้องสาวได้และถามว่าอยู่ที่ไหนแล้วค่อยออกไปรับยังดีกว่าการเดินออกไปตามหาแบบไร้จุดหมาย

              “ถึงไม่รู้ แกก็ต้องไป!

              “จ้ะแม่”  รินนภัสรับคำแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง หยิบกระเป๋าสะพายข้างใบเล็ก ก่อนจะเดินออกบ้านไปตามหาน้องสาวในเวลาเกือบเที่ยงคืน ความมืดและเงียบสงัดทำให้เท้าเล็กชะงักอยู่ที่หน้าบ้าน ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ราคาพันกว่าบาทออกมากดโทรหาน้องสาว แต่ก็เหมือนเดิมคือน้องสาวไม่ยอมรับสาย คิ้วเรียวสวยขมวดยุ่ง ไม่ว่าจะต้องไปเริ่มต้นตามหาน้องสาวจากที่ตรงไหนดี

              ลองไปดูที่มหาลัยก่อนก็แล้วกัน คิดได้ดังนั้นสองเท้าก็เริ่มออกเดินทันที เพราะยิ่งช้าก็จะยิ่งดึก ทว่าเธอเดินไปยังไม่ถึงครึ่งซอยก็หยุดตามเสียงขานเรียก

              “รินจะออกไปเนี่ย” คนที่นั่งคร่อมบนรถมอเตอร์ไซค์เอ่ยถามด้วยความสงสัยหลังดับเครื่องยนต์ เพราะเกรงใจบ้านเรือนแถวนั้นที่ตอนนี้ทุกคนพากันเข้านอนไปหมดแล้ว

              “แม่สั่งให้รินไปตามน้องกลับบ้านน่ะ แล้วทัพพ์ล่ะ จะออกไปไหนเหรอ”  รินนภัสถามยิ้มๆ  

              “ไม่ได้จะไปไหนหรอก พอดีทัพพ์เพิ่งกลับจากงานวันเกิดเพื่อน แล้วขี่รถผ่านมาเห็นรินเดินออกจากบ้านพอดี ว่าแต่ทำไมน้าวลัยถึงได้ใช้ให้รินออกไปตามหาน้องดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ล่ะ น้าแกไม่รู้หรือไงว่าในซอยบ้านเรามีพวกวัยรุ่นแปลกหน้าชอบมารวมกลุ่มกันอยู่บ่อยๆ” ทัพพ์ นักศึกษาหนุ่มสู้ชีวิต เพราะต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยและเลี้ยงดูมารดาที่ป่วยออดๆ แอดๆ จนถูกให้ออกจากงานมาขายของเล็กน้อยอยู่กับบ้านเช่าบ่นไปตามเรื่อง เพราะถึงน้าวลัย มารดาของรินนภัสจะรู้ว่ามีคนแปลกหน้าเข้าออกบ่อยแค่ไหน ถึงอย่างไรน้าแกก็ใช้ให้ลูกสาวคนโตออกไปตามลูกสาวคนเล็กอยู่ดี

              “จริงเหรอทัพพ์”  รินนภัสทำหน้าประหลาดใจ เพราะปกติแล้วเธอไม่เคยออกไปไหนมาไหนค่ำมืดจึงไม่ทราบเรื่องนี้ ที่พอมารู้ก็ทำเอาเธอนึกกลัวอยู่เหมือนกัน

              “จริงที่สุดเลยแหละ นี่โชคดีนะที่ทัพพ์กลับมาเห็นรินก่อน มาขึ้นรถเลย เดี๋ยวทัพพ์จะพาไปตามหาน้องเอง” นักศึกษาหนุ่มขันอาสา เพราะเป็นห่วงหญิงสาว

              “เอ่อ...”  รินนภัสอ้ำอึ้ง เนื่องจากเกรงใจอีกฝ่ายที่ยังไม่ทันจะได้เข้าบ้านเลยก็ต้องขี่รถออกไปอีกครั้ง

              “ไม่ต้องเอ่อหรอกริน ขึ้นมาเลย”

              “ก็ได้ แต่รินบอกไว้ก่อนเลยนะว่ารินไม่รู้หรอกว่าจะไปตามหาน้องที่ไหน” เพราะจากที่คิดว่าจะไปตามดูที่มหาวิทยาลัย คงต้องเปลี่ยนแผนแล้ว เพราะเธอนึกได้ว่าวันนี้น้องสาวไม่มีกิจกรรมที่จะต้องทำที่มหาลัย

              “แล้วน้องรินชอบไปที่ไหนบ้างล่ะ แต่ปกติแล้วน้องสาวรินก็จะกลับบ้านใกล้ๆ เที่ยงคืนตลอดไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้น้าวลัยนึกอะไรขึ้นมาถึงได้สั่งให้รินออกไปตามหา” ทัพพ์ถามอย่างสงสัย

              “รินไม่รู้หรอกทัพพ์ เพราะรสไม่เคยพูดไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย แม้แต่แม่ก็ยังไม่รู้จักบ้านของเพื่อนรสสักคน” เธอเองก็เช่นกันที่ไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนของน้องสาวมีใครบ้าง แล้วแต่ละคนมีนิสัยอย่างไร

              “น้องสาวรินนี่แปลกคนจริง ทำไมทำตัวเหมือนคนมีความลับ” พูดจบทัพพ์ก็หันไปหยิบหมวกมาให้อีกคนสวม จนเมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็สตาร์ทขับไปถามถนนพร้อมกับมองหารสรินทร์ไปด้วย แต่คล้อยหลังจากรถมอเตอร์ไซค์ของทัพพ์ขับพ้นซอยเข้าบ้านไปไม่เท่าไหร่ก็มีรถเก๋งสีขาวขับเข้ามาในซอยและมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง

              “นี่บ้านของน้องรสเหรอครับ” นัฐพล หนุ่มหล่อเจ้าของรถถามขึ้น พลางมองเข้าไปในบ้านไม้สองชั้นด้วยสีหน้าใคร่รู้ เพราะก่อนจะมาส่งหญิงสาวที่บ้าน ทางเพื่อนของเจ้าตัวได้แอบบอกเขามาว่าบ้านของรสรินทร์หลังใหญ่โต แต่จากที่เห็นมันไม่ใช่เลย งานนี้เขาเลยไม่เข้าใจว่าเพื่อนของหญิงสาวจะโกรธเขาไปทำไม

              “เอ่อ...เป็นบ้านของเพื่อนค่ะ คุณพลคงไม่โกรธนะคะที่รสไม่ยอมให้ไปส่งที่บ้าน” หญิงสาวฉีกยิ้มหวานเอาใจ เพราะกลัวว่าหนุ่มคนใหม่จะโกรธเคืองที่เธอไม่ยอมให้พาไปส่งที่บ้าน

              “แล้วทำไมผมจะต้องโกรธน้องรสด้วยล่ะครับ” นัฐพลยิ้มไม่ถือสาเรื่องที่เธอไม่ยอมให้ไปส่งที่บ้าน ซึ่งก็ไม่ต่างจากเขานักที่ยังไม่อยากเข้าไปทำความรู้จักกับพ่อแม่ของเธอเช่นกัน เพราะเขาและรสรินทร์เพิ่งจะรู้จักกันได้แค่สัปดาห์เดียว แต่ถึงจะแค่สัปดาห์เดียวก็ทำให้เขาและเธอไปถึงไหนๆ กันแล้ว แถมยังเขาชื่นชอบเธอซะด้วย ที่เห็นเรียบร้อยๆ แต่พออยู่บนเตียงแล้วเก่งกาจไม่เบา

              “ถ้างั้นรสก็สบายใจหน่อย แต่รสสัญญาว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่ของรสยอมให้รสมีแฟนได้เมื่อไหร่ รสจะรีบพาคุณพลไปแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักทันทีเลยนะคะ” รสรินทร์ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มสากเบาๆ อย่างเอาใจ

              “แล้วผมจะรอนะครับ” จากนั้นก็รั้งหญิงสาวเข้ามาจูบอยู่หลายนาทีกว่าจะยอมปล่อยให้หญิงสาวกลับเข้าบ้าน รสรินทร์ยืนรอจนรถของแฟนใหม่ขับห่างออกไปแล้วก็เดินเข้าบ้านไปด้วยท่าทางมีความสุขจนคนเป็นแม่ที่นั่งทานข้าวรอลูกสาวคนเล็กจ้องตาไม่กะพริบ

              “สอบเสร็จแล้วหรือไงนังรส หน้าตาแกถึงได้มีความสุขนัก”

              “อ้าวแม่ยังไม่นอนอีกเหรอ” ตอบจบแล้วก็เดินไปนั่ง พลางจ้องมองดูอาหารที่มารดาทานก็เบ้ปาก เพราะอาหารที่ว่านั่นก็คือน้ำพริกกับปลาทูทอดสองตัว

     

     

    “นังนี่ถามแปลกๆ ถ้าฉันนอนไปแล้ว แกจะเห็นฉันนั่งกินข้าวอยู่นี่หรือไงล่ะ” ต่อว่าแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเอาปลาทูยัดปากลูกสาวคนเล็กที่รีบเอนหน้าถอยหนีไปแบบหวุดหวิด

              “แม่ก็พูดกวนฉันเหมือนกันนั่นแหละน่า ว่าแต่แม่ไม่เบื่อบ้างหรือไงที่กินข้าวกับน้ำพริกแล้วก็ไอ้ปลานี่ได้ทุกวี่ทุกวัน”

              “ไม่กินแบบนี้ แล้วแกจะให้ฉันกินยังไงล่ะนังรส รึแกมีเงินมีทองมากมายจะไปกินอาหารหรูๆ กันล่ะ” วลัยมองค้อนอย่างหมั่นไส้

              “จะไปมีเงินได้ไงล่ะแม่ ฉันเป็นนักศึกษานะแม่ งานการก็ยังไม่มีทำ”

              “แกก็รีบๆ เรียนให้มันจบซะสิ จะได้ไปหางานมีเงินเดือนเยอะๆ ทำ อีกหน่อยจะได้เลี้ยงแม่บ้าง”

              “ฉันก็เรียนอยู่นี่ไงล่ะ ว่าแต่ทำไมวันนี้พี่รินนอนเร็วจังล่ะแม่” รสรินทร์เอ่ยถามไปอย่างนั้น เพราะปกติแล้วพอกลับมาเธอก็จะเห็นพี่สาวนั่งถักไหมพรมเพื่อหารายได้เสริมอีกทาง นอกเหนือจากการไปเป็นสาวโรงงาน แต่ตอนนี้โรงงานที่ว่าก็ปิดตัวลงไปแล้ว เลยยิ่งทำให้ครอบครัวขัดสนเรื่องเงินมากทีเดียว แต่ก็ขัดสนเฉพาะแม่และพี่สาวเท่านั้น เพราะเธอได้เงินจากแฟนคนใหม่ใช้เดือนละหลายพันบาท

              “ไม่อยู่ ออกไปตามหาแกนั่นแหละ” บอกอย่างไม่ใส่ใจ และทั้งที่รู้ว่าตอนนี้ลูกสาวคนเล็กกลับถึงบ้านแล้ว แต่คนเป็นแม่ก็ไม่คิดจะโทรไปบอกลูกสาวคนโต ที่ตอนนี้กำลังนั่งซ้อนท้ายรถของทัพพ์ตระเวนหาผู้เป็นน้องสาวตามสถานบันเทิง เพราะทั้งสองไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน

              “ไปตามหาฉันทำไมล่ะแม่ ฉันก็เคยบอกแล้วว่าฉันจะกลับบ้านใกล้เที่ยงคืน”

              “ก็เห็นหน้าพี่แกแล้ว ฉันหงุดหงิดไง เลยไล่ไปให้พ้นๆ หน้า”

              “แม่เล่นไพ่เสียมาละสิ ถึงไปหลงกับพี่ริน ระวังเถอะแม่ ให้พี่รินออกไปดึกๆ แบบนี้ เดี๋ยวได้โดนคนลวงไปฆ่าข่มขืน แล้วคราวนี้ จะเป็นแม่นั่นแหละที่ต้องเสียใจไม่มีใครช่วยแม่ทำงานหาเงิน” ใช่ว่ารสรินทร์จะไม่ห่วงชีวิตพี่สาว ทว่าเธอห่วงกลัวไม่มีคนหาเงินส่งเธอเรียนเสียมากกว่าเลยต้องพูดให้มารดาได้คิด

              “แกพูดมามันก็ถูก” คนเป็นแม่เห็นคล้อยตามคำพูดของลูกสาวคนเล็ก

              “งั้นแม่ก็รีบโทรบอกพี่รินสิว่าฉันกลับมาแล้ว”

              “ก็แล้วทำไมแกไม่โทรบอกเองล่ะนังรส!

              “ฉันเริ่มง่วงแล้ว แม่นั่นแหละต้องโทรไปบอก แต่รีบๆ โทรด้วยไปด้วยล่ะ เพราะถ้ามัวชักช้าเดี๋ยวตัวช่วยหาเงินเข้าบ้านของแม่จะโดนลวงไปฆ่าซะก่อน” พูดจบรสรินทร์ก็เดินตัวปลิวเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำเข้านอน ส่วนคนเป็นแม่ก็มองตามหลังพร้อมกับส่ายหน้าไปมา ก่อนจะลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ตแบตเอาไว้มาโทรบอกลูกสาวคนโตว่าให้รีบกลับเข้าบ้าน ซึ่งกว่าที่รินนภัสจะกลับมาบ้านก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง ก่อนที่เธอจะรีบอาบน้ำเข้านอน เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องรีบไปสมัครงาน ที่บังเอิญเห็นป้ายติดรับสมัครงานติดเอาไว้ว่ารับแม่บ้านด่วน

      

            เช้าวันถัดมา รินนภัสตื่นแต่เช้าตรู่ทั้งที่เพิ่งเข้านอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง หญิงสาวรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปรอขึ้นรถไปยังโรงแรมแห่งหนึ่งที่ติดป้ายประกาศรับแม่บ้านเอาไว้ ที่งานนี้เธอก็หวังว่าจะได้เข้าทำงานที่นี่เพื่อจะได้มีเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว เพราะลำพังแค่เงินค่าจ้างรายวันของมารดาไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพถึงสามชีวิต เธอรีบจัดการตัวเองให้พร้อมและเดินออกจากบ้านในเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้า โดยมีทัพพ์นั่งคร่อมรถมอเตอร์ไซค์รออยู่ที่หน้าบ้าน

              “ทัพพ์ มาแต่เช้าเลย มีอะไรหรือเปล่า” คนรีบเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มสดใส

              “มารอรินไง ขึ้นรถสิ เดี๋ยวทัพพ์พาไปสมัครงาน” ชายหนุ่มพยักหน้าเชิญชวน แต่คนที่ขี้เกรงใจอย่างรินนภัสไม่ได้ขึ้นรถในทันที เพราะเธอไม่อยากให้เพื่อนต้องไปเสียเวลานั่งรอเธอสมัครงาน

              “รินว่ารินไป...”

              “ขึ้นรถเถอะริน ไหนว่าจะรีบไปแต่เช้าไง” เพราะเมื่อคืนเขาจำได้ว่าเธอบอกว่าจะรีบไปเขียนสมัครก่อนใครเพื่อน

              “วันนี้ทัพพ์ไม่มีธุระที่ไหนใช่ไหม”

              “ไม่มีหรอก ขึ้นมาเถอะ วันนี้ทัพพ์จะพารินไปสมัครทั้งวันเลย”

              “ขอบใจมากนะทัพพ์”  รินนภัสยิ้มขอบคุณ ก่อนจะขึ้นรถไปกับเพื่อน กระทั่งมาถึงโรงแรมแต่เช้า แต่ถึงจะมาเช้าแล้วก็ยังมีคนมารอก่อนหน้าเธอสามสี่คน ใบหน้าสวยดูเครียดและกังวลไม่น้อย เพราะกลัวจะไม่ได้งานนี้

              “อย่าทำหน้าเครียดสิริน ยิ้มสู้เข้าไว้ แล้วถึงรินจะไม่ได้งานที่นี้ ยังไงทัพพ์ก็คิดว่ารินต้องได้งานทำแน่นอน” คนมาส่งยิ้มให้กำลังใจ และอยู่รอจนรินนภัสเขียนใบสมัครเรียบร้อยและทางฝ่ายบุคคลจะนัดสัมภาษณ์งานอีกที รินนภัสจึงได้แต่เดินกลับออกมาหาเพื่อนอย่างเหม่อๆ จนทำให้ไม่ทันระวังรถที่ตีวงเลี้ยวเข้ามา

              “เดินประสาอะไรเนี่ย ไม่เห็นรถหรือไงนะ” สาวสวยที่นั่งคู่มากับคนขับพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ที่ทำให้เธอหน้าเกือบคะมำ

              “อย่าซีเรียสไปเลยนีร่า” หนุ่มหล่อปราม เพราะเขาเองก็ผิดที่เลี้ยวรถเข้ามาโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว

              “คุณรอนีร่าสักครู่นะคะ นีร่าจะลงไปจัดการนังนั่นก่อน” สาวสวยเปิดประตูรถออกไปโดยไม่ฟังคำทัดทานจากหนุ่มหล่อ ที่ไม่ได้อยากเอาความอะไร ขณะที่นีร่าเมื่อเดินออกมาแล้วก็ตรงปรี่เข้าไปหาคนที่ล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

              “นี่หล่อนเดินยังไงของหล่อนฮะ!

              “ฉัน...เอ่อ...ฉัน...โอ๊ย!”  รินนภัสพยายามพยุงตัวให้ลุกขึ้น แต่เป็นเพราะเธอเสียหลักขณะหลบรถทำให้ล้มจนสะโพกกระแทกพื้นคอนกรีตเข้าอย่างจัง ทำให้ปวดแปลบตั้งแต่สะโพกลงมายังข้อเท้า เธอจึงลุกไม่ขึ้น ขณะนีร่า สาวสวยเจ้าของร้านเครื่องเพชรก็ยืนด่าทออีกฝ่ายไม่หยุด

              “สำออยจริงนะหล่อน หรือไอ้ที่มายืนเกะกะให้รถชน เพราะอยากได้เงินหรือไง”

              “ฉันเปล่านะคะคุณ แล้วฉันก็ขอโทษด้วยที่เดินไม่ดูรถ” รินนภัสเอ่ยขอโทษทั้งที่ยังคงพยุงตัวเองลุกไม่ขึ้น โดยมีพนักงานประชาสัมพันธ์เดินออกมาเมียงมอง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามา เมื่อจำได้ดีว่าหญิงสาวสวยๆ คนนั้นคือคู่ควงคนล่าสุดของท่านประธานหนุ่ม

              “หล่อนไม่ต้องมาปฏิเสธหรอก เพราะสารรูปอย่างหล่อนนี่ ถ้าไม่ต้องการเงินก็คงไม่เดินเซ่อซ่าเข้าหารถหรอก” นีร่าเปิดกระเป๋าถือแบรนด์หรูของตัวเองแล้วหยิบแบงก์สีเทาออกมาหนึ่งใบ โยนใส่หน้าคนที่นั่งเหยเกอยู่

              “คุณคะ ฉันไม่ได้ต้องการ...”  รินนภัสจะทักท้วงว่าไม่ต้องการเงิน แต่พูดไม่ทันจบประโยคเสียงแหลมสูงของสาวสวยก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

              “พันเดียวไม่พอหรือไง” นีร่าเปิดกระเป๋าออกแล้วหยิบธนบัตรสีม่วงออกมาอีกสามใบแล้วปาใส่หน้าอีกคน เป็นจังหวะเดียวกับที่ประชาสัมพันธ์สาวหน้าตาดีก็เดินมาถึง เจ้าตัวยกมือไหว้ทักทายคู่ควงของท่านประธานหนุ่ม ก่อนจะเข้าไปช่วยพยุงคนเจ็บให้ลุกขึ้นและนั่นทำให้คนที่นั่งอยู่ในรถได้เห็นโฉมหน้าชัดๆ ของหญิงสาวที่เขาเกือบจะขับรถชน

              อินทัช โตณณาการ ประธานหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของพนักงานในโรงแรมขยับยิ้มมุมปากพึงพอใจ ขณะที่สายตาของเขาจดจ้องไปที่ร่างบอบบางของหญิงสาวที่กำลังถูกนีร่าเล่นงาน

              “เธอรีบพาแม่นี่ออกไปให้พ้นหน้าโรงแรมคุณอิน ก่อนที่คุณอินจะลงจากรถมาไล่เธอออกไปอีกคน โทษฐานที่ปล่อยให้พวกไร้สมองมาเดินเพ่นพ่านขวางทางรถ” นีร่าออกคำสั่งกับประชาสัมพันธ์ ที่ก็ทำได้แค่ยิ้มน้อมรับคำสั่ง แต่ขณะที่กำลังจะพาสาวโชคร้ายที่ต้องมาเจ็บตัวซ้ำยังโดนด่าว่าเข้าไปนั่งริมถนน ก่อนจะถามไถ่อาการ แล้วหากเป็นมากตนก็จะเรียกให้ยามออกไปเรียกรถแท็กซี่มารับหญิงสาวโชคร้ายไปส่งโรงพยาบาล แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่ สาวโชคร้ายก็กัดฟันทนกับความเจ็บแปลบหันมายื่นเงินคืนให้กับสาวสวย

              “เอาเงินของคุณคืนไปเถอะค่ะ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรียกร้องจะเอาเงินจากใคร”  รินนภัสบอกเสียงราบเรียบ

              “หล่อนไม่พอใจเงินที่ฉันให้ใช่ไหม!” นีร่าตวาดถามอย่างโมโห ก่อนจะรับเงินนั่นมาแล้วเหยียดปากยิ้มนิดๆ ก่อนจะปาเงินนั่นใส่หน้ารินนภัสอีกเป็นครั้งที่สาม เป็นจังหวะเดียวกับที่อินทัชเปิดประตูรถลงมาพอดี เพราะเขาเบื่อที่จะนั่งรอแล้ว เลยคิดว่าจะมาแยกนีร่าออกจากสาวโชคร้ายที่หน้าตาสะสวยใช้ได้ โดยเฉพาะริมฝีปากนุ่มนิ่มน่าจูบนั่น

              “นีร่า กลับขึ้นรถเถอะ” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้น ทำให้สาวสวยเจ้าของร้านเพชรหมุนตัวเดินจากมาทั้งที่อยากจะตบหน้าคนเซ่อซ่าให้หายเจ็บใจซะก่อน เพราะมันทำให้เธอเสียหน้าไม่น้อยที่เธออุตส่าห์มีน้ำใจให้เงิน แต่มันกลับไม่รับ

              “ไปกันเถอะค่ะคุณอิน นีร่าร้อนจะตายอยู่แล้วนะคะ” เสียงหวานอย่างมีจริตเอ่ยขึ้นเมื่อเธอเดินเข้ามาคล้องแขนได้ครู่หนึ่งแล้วแต่ท่านประธานหนุ่มกลับไม่ยอมพาไปขึ้นรถเสียที หญิงสาวลอบมองสายตาของท่านประธานหนุ่มที่กำลังมองไปที่ประชาสัมพันธ์สาวกับนังผู้หญิงหยิ่งจองหอง  

              “ท่าทางผู้หญิงคนนี้จะเจ็บตัวหนักนะ” ประธานหนุ่มพูดขึ้นก่อนจะปลดมือของนีร่าออก ก่อนจะหยิบเงินปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเงินมายัดใส่มือของสาวโชคร้ายที่เจ็บตัวเพราะรถของเขา รินนภัสมองเงินในมือด้วยความตกใจ เพราะมันน่าเกินสองหมื่นแน่นอน ทว่าเธอยังไม่ทันได้ทักท้วงอะไร เจ้าของเงินก็เดินไปโอบเอวสาวสวยขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งพอดีกับที่ทัพพ์ที่ออกไปซื้อน้ำมาให้รินนภัสก็วิ่งเข้ามาพอดี

              “ริน! เป็นอะไรไป” ทัพพ์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เขาย่อตัวลงนั่งข้างๆ เธอ ก่อนจะมองหันมองหญิงสาวอีกคนด้วยสีหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม

              “รินเดินไม่ดูรถน่ะทัพพ์ เลยหกล้มก้นกระแทกพื้น ว่าแต่ฉันฝากเงินนี่ไปคืนคุณคนนั้นด้วยนะคะ” บอกกล่าวเพื่อนสนิทจบแล้ว รินนภัสก็หันมายื่นเงินปึกใหญ่นั่นให้กับประชาสัมพันธ์สาว

              “รับไปเถอะค่ะ ดูท่าทางคุณเจ็บหนักอย่างที่ท่านประธานบอกจริงๆ นั่นแหละ ฉันว่าคุณเอาเงินนี่ไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลเถอะ เพราะไหนๆ คุณก็เจ็บตัวเพราะรถของท่านประธานอยู่แล้ว” พูดจบประชาสัมพันธ์สาวก็เดินจากไป เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนมาดูแลต่อแล้ว

              “เงินอะไรเหรอริน”

              “เงินเจ้าของรถน่ะ แต่รินว่ามันเยอะไปนะ ทัพพ์ดูสิ”  รินนภัสมีสีหน้าลำบากใจไม่น้อยที่ต้องรับเงินปึกนี้ไว้ แม้ว่าตอนนี้ครอบครัวของเธอจะต้องการเงินมาใช้จ่ายก็เถอะ แต่จำนวนเงินกับอาการบาดเจ็บที่ตอนนี้ทุเลาลงไปมากแล้ว มันยังเยอะเกินไปสำหรับเธอ ที่ตอนนี้ก็ดูแย่มากๆ ในสายตาของสาวสวยคนนั้นแล้ว เพราะฝ่ายนั้นคิดว่าเธอตั้งใจเดินออกมาให้รถชนเพื่อเรียกร้องเอาเงิน

              “สองหมื่นห้า!” ทัพพ์นับเงินแล้วก็อุทานออกมาด้วยสีหน้าตกใจไม่น้อย

              “เอาเงินไปคืนเจ้าของตอนนี้เลยดีไหมทัพพ์ เพราะถ้าให้รินรับมาหมดนั่น รินก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่” แล้วที่สำคัญเธอไม่อยากถูกมองว่าเป็นพวกหน้าเงิน

              “แล้วรินจะเอาไปคืนยังไงล่ะ รู้เหรอว่าเจ้าของรถอยู่ที่ไหน” ทัพพ์ออกความเห็น และตอนนี้เขาก็เห็นด้วยกับประชาสัมพันธ์สาวที่บอกให้รินนภัสเอาเงินไปจ่ายค่ารักษา

              “รินไม่รู้หรอก แต่ประชาสัมพันธ์คนนั้นเรียกเจ้าของรถว่าท่านประธาน รินว่าเขาจะต้องเป็นเจ้าของโรงแรมนี่แน่เลย”

              “เป็นท่านประธานนี่เอง ถึงว่าถึงได้ให้เงินเยอะ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้รินไปหาหมอก่อนดีกว่า จะได้รู้ๆ กันไปเลยว่ารินบาดเจ็บมากหรือเปล่า แล้วถ้ารินไม่สบายใจที่จะรับเงินเอาไว้ทั้งหมด รินก็ค่อยเอามาฝากคนที่นี่ไปคืนเจ้าของเงิน ดีไหม”

              ทัพพ์เสนอแนะ ขณะที่รินนภัสก็เห็นด้วยความคำเสนอแนะนั่น ก่อนทั้งสองจะพากันไปโรงพยาบาล ที่พอได้ให้คุณหมอตรวจแล้วหมอก็ให้ยาแก้ปวดและยานวดมาและให้หยุดเดินเยอะๆ สักวันก็จะหายเป็นปกติ ค่ารักษาจึงจ่ายไปแค่เก้าร้อยกว่าบาทเท่านั้น เธอจึงให้เพื่อนชายที่สนิทพากลับมาที่โรงแรม เพื่อเอาเงินส่วนที่เหลือคืนให้กับเจ้าของรถหรู โดยฝากไว้กับประชาสัมพันธ์ที่ก็นำขึ้นไปคืนให้กับท่านประธานหนุ่มด้วยตัวเอง อินทัชประหลาดใจระคนขำสาวผู้โชคร้ายไม่น้อยที่เอาเงินมาคืนเขา ทั้งๆ ที่เขาให้ด้วยความเต็มใจ

              “เดี๋ยวคุณไปตามฝ่ายบุคคลให้เอาใบสมัครงานของวันนี้ทั้งหมดเอามาให้ผมด้วย” สิ้นคำสั่งของท่านประธานหนุ่ม คนรับคำสั่งก็ขานรับแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานเจ้านายหนุ่มด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ เพราะยังอยากอยู่ให้สองต่อสองกับท่านประธานหนุ่ม

              อีกไม่นานเราคงได้เห็นหน้ากัน ประธานหนุ่มครุ่นคิดในใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานตรงไปยังพักที่ถูกแบ่งแยกเอาไว้เพื่อหาความสุขที่ตอนนี้นีร่าก็นั่งรอจนหงุดหงิดใจแล้ว แต่ท่านประธานหนุ่มก็ยังไม่มาเสียที กระทั่งความอดทนของเธอใกล้สิ้นสุดประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาพอดี ทำให้ความหงุดหงิดของเธอมลายหายไปจนหมดสิ้นเมื่อท่านประธานหนุ่มคว้าตัวเธอเข้าไปกอดจูบราวกับอดอยากเรื่องบนเตียง

     

     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ขอบคุณที่ติดตามผลงานนะคะ

     

    รัก........มนสิวรรณ/หงสรถ/ธิชาร์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×