คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4 ข้อตกลง
Chapter 4 ข้อตกลง
ความเงียบเกิดขึ้นโดยฉับพลันในห้องนั้น บรรยากาศเสมือนทุกคนกำลังรอคำพิพากษาที่น่ากลัว เดรโกขยับตัวด้วยความอึดอัด เขาหันไปสำรวจทุกคนที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งกำลังตกใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเมื่อกี้
เดรโกไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร แต่จากสีหน้าเขาก็พอจะเดาออก ความเจ็บปวดแล่นผ่านเข้าไปยังเส้นเลือดของทุกคน รวมทั้งตัวเขาด้วย
จินนี่.... วิสลี่ย์ เป็นคนแรกที่ได้สติ ดวงตาของเธอเบิกกว้าง เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เธอได้ยิน
“เฮ้ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่นะ พวกนายคงไม่ได้เรียกเรามา เพื่อมาล้อเล่นใช่ไหม” เธอพูดเสียงแหบแห้ง ภาวนาขอให้เป็นเรื่องตลกที่ร้ายกาจ
“เธอพูดถูกจินนี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และฉันก็พูดเรื่องจริง”น้ำเสียงของเดรโกเรียบเฉยแต่ดูจริงจังจนเธอไม่สามารถที่จะปฎิเสธว่ามันเป็นเรื่องโกหก
“และฉันเองก็เป็นพยานให้เดรโกได้ ว่าเขาพูดเรื่องจริงทั้งหมด เพราะแม่ของฉันเป็นคนรักษาบาดแผลให้กับเกรนเจอร์เอง”
เบลสพูดแทรกขึ้นมาบ้างเพื่อสนับสนุนในคำพูดของเพื่อนรัก
“พระเจ้าช่วย” จินนี่กระซิบ “เฮอร์ไมโอนี่ที่น่าสงสาร เธอเป็นอย่างไรบ้าง” เธอถามอย่างรีบร้อน ความเป็นห่วงอยู่บนใบหน้าอันซีดขาวของเธอ
“เธออยู่ที่นี่ เธอพักผ่อนอยู่ในห้องของเธอ” เบลสบอกกับพวกเขา
ในตอนนี้เบลสเริ่มรู้สึกถึงความร้อนระอุที่แผ่กระจายไปทั่วห้องนั้น ความร้อนอันเกิดจากความ โมโห ความโกรธ และความสิ้นหวัง ที่ถาโถมเข้ามาในใจของแต่ละคนที่อยู่ในห้องนี้
“ใครเป็นคนทำ” รอนพูดขึ้นมาในท้ายที่สุด จมูกของเขาเป็นสีแดงกล่ำ เนื่องจากลมหายใจที่พรั่งพรูออกมาและเสียงคำรามที่ดุดันด้วยความโกรธ หน้าตาของเขาบูดบึ้งด้วยอารมณ์ที่ถึงขีดสุด
“ฉันจะฆ่ามันด้วยฝีมือของฉันเอง” รอนพูดอย่างเอาจริง เขากำหมัดแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น
“รอน” แฮรี่พูดขึ้นพยายามทำเสียงให้มั่นคง ทั้งๆที่จิตใจของเขาร้อนฉ่าพอกันกับรอน
“ใจเย็นก่อนเพื่อน พวกเรายังทำอะไรไม่ได้จนกว่าจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ” แฮร์รี่จ้องมองไปที่อดีตศัตรูเก่าทั้งสองคน ที่นั่งอยู่ห่างเขาเพียงเล็กน้อย เขาไม่ต้องการที่จะแสดงอารมณ์โกรธเหมือนรอนในตอนนี้ให้กับอดีตศัตรูของเขาเห็น ซึ่งนั่นจะเป็นการบ่งบอกได้อย่างชัดแจ้งถึงการขาดสติยั้งคิด
“นั่งลงกันก่อนดีไหม แล้วฉันจะเล่าให้พวกนายฟังอย่างละเอียด” เดรโกบอกในขณะที่รอนนั่งลงกับความโกรธที่กระจายไปทั่ว
“เมื่อคืนที่แล้วฉันกลับจากทำธุระบางอย่าง ในขณะที่ฉันเดินเล่นไปตามถนนของกรุงลอนดอน ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ดร้อง ฉันวิ่งตรงไปตามเสียงนั้น และได้พบกับพวกเขาในซอยแคบๆ ผู้ชายคนนั้นกำลังทำร้ายเธอ ฉันพยายามเข้าไปช่วย และพวกเราได้ต่อสู้กัน ต่อมาเกรนเจอร์ได้สาปเขาเป็นหินในขณะที่ พวกเราสู้กันอยู่ ฉันเดินเข้าไปหาเธอเพื่อดูว่าเธอได้รับบาดเจ็บที่ไหนบ้างและตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอคือเกรนเจอร์ เธอได้รับบาดเจ็บจนสลบไป เลือดเธอเต็มตัวไปหมด ฉันคิดอะไรไม่ออกอย่างแรกที่ฉันคิดได้คือเธอต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ฉันจึงอุ้มเธอมาที่นี่เพื่อให้ครอบครัวซาบินี่ช่วยรักษาเธอ ” เดรโกเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างกระชับและได้ใจความ เมื่อเดรโกเล่าจบ เขาสังเกตุเห็นทั้งสามคนในตอนนี้ใบหน้าเริ่มซีดเผือดมากกว่าแต่ก่อน
จินนี่มองตาของเดรโกเขม็งและนั่นทำให้เขารู้สึกตกใจ “ใครทำเธอ” เธอกล่าวเสียงกร้าว เดรโกถอนหายใจลึกๆ มือของเขากำไม้กายสิทธิ์ไว้แน่นก่อนตอบออกไปเสียงเครียด
“วิกเตอร์ ครัม”
และในแทบจะทันใดมีเสียงเอะอะเกิดขึ้นตามมาทันทีจากพวกกริฟฟินดอร์ทั้งสอง
“ฉันจะฆ่ามัน” รอนร้องอุทาน
“ฉันจะฆ่าอ้ายชาติชั่วนั่น” แฮร์รี่ร่วมผสมโรงและตะโกนไปกับรอนอย่างเดือดดาลใจ
“หยุดนะ” จินนี่ตะโกนออกมาทันที “คุณสองคนได้โปรดเงียบ สงบใจกันหน่อย”
ทุกคนมองไปยังผู้หญิงคนเดียวในห้องนั้น จินนี่ถอนหายใจเงียบๆก่อนพูดออกไปอย่างมีเหตุผล
“พวกเราจะฆ่าวิกเตอร์ครัม ตามอำเภอใจไม่ได้หรอกนะ ทางเดียวที่พวกเราทำได้ในตอนนี้คือบอกกับทางกระทรวงและให้ทางการจับกุมเขาไปดำเนินคดี”
แฮร์รี่เริ่มสงบลงบ้างแล้ว จริงอย่างที่จินนี่พูด พวกเขาเองเป็นมือปราบมารน่าจะรู้ถึงกฎเกณฑ์ข้อนี้ดี แฮรืรี่รู้สึกขอบคุณจินนี่ที่มากับพวกเขาด้วย อย่างน้อยเธอก็เป็นคนหนึ่งที่มีเหตุผลพอที่จะรั้งพวกเขาให้มีสติได้บ้าง
“แต่มันทำกับเฮอร์ไมโอนี่ มันทำกับเพื่อนฉัน” แต่รอนยังคงตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนเขาจะไม่ฟังสิ่งใดๆทั้งสิ้น อย่างเดียวที่เขาต้องการทำในตอนนี้คือหาวิคเตอร์ ครัมให้เจอและสาปมันเสีย หรือ ฆ่ามันให้ตายไป
จินนี่ผวาลุกขึ้น เธอ พยายามที่จะหาเหตุผลเพื่อทำให้รอนสงบลง
“ฉันรู้พี่รอน เราจะไม่อยู่เฉยแน่ แต่เราจะต้องทำตามขั้นตอนนะ”
“ไม่”
มีเสียงกรี๊ดร้องดังมาจากทางข้างหลังประตูพร้อมกับประตูไม้บานใหญ่ ได้ถูกเหวี่ยงออกอย่างแรงและปรากฎร่างของเฮอร์ไมโอนี่ยืนอยู่
“ไม่นะพวกนายจับกุมเขาไม่ได้นะ”
“เฮอร์ไมโอนี่ เธอเป็นยังไงบ้าง พระเจ้าเฮอร์ไมโอนี่ ฉันดีใจที่เห็นเธอยังมีชีวิตอยู่นะ”
จินนี่ถลาตัวเธอไปหาเฮอร์ไมโอนี่ แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับถอยห่าง จินนี่พยายามที่จะเดินเข้าไปหาเธออีกครั้งแต่ทุกครั้งที่เธอพยายามจะเดินเข้าใกล้ เฮอร์ไมโอนี่จะต้องถอยห่างออกไปทุกครั้ง
“ไม่ จินนี่ อย่าถูกตัวฉัน” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างรวดเร็วและกอดตัวของเธอเองไว้แน่นอย่างปวดร้าว ไม่ใช่ เธอไม่ได้นึกรังเกียจจินนี่ แต่เฮอร์ไมโอนี่รังเกียจเนื้อตัวของเธอเองมากกว่า เธอเพียงแต่ไม่ต้องการให้ใครมาถูกเนื้อตัวอันโสมมของเธอในตอนนี้
“โอ้ เบอลิน ฉันเสียใจ” จินนี่กล่าวพร้อมถอนตัวออกห่างเงียบๆเธอคงต้องรอให้เฮอร์ไมโอนี่ทำใจกับเรื่องเลวร้ายที่ผ่านมาให้ได้เสียก่อน จินนี่มองหญิงสาวนิ่งเธอรู้สึกปวดร้าวเหมือนดังมันเกิดขึ้นกับตัวของเธอเอง จินนี่อยากเข้าไปกอดและปลอบเฮอร์ไมโอนี่แต่เธอไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวที่บาดเจ็บทั้งกายและใจคนนี้ได้เลย
เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจลึกๆเพื่อควบคุมตัวเอง แต่มันก็ดูจะไม่เป็นผลนัก ร่างของเธอสั่นกระตุกอย่างบังคับไว้ไม่อยู่ เธอกัดฟันแน่นพยายามพูดเพื่อไม่ให้เสียงสั่นแต่มันก็ยากเต็มทน
“พวกคุณจะจับวิกเตอร์ไม่ได้ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด”
ความโกรธเริ่ม แพร่กระจายมาอีกครั้งในห้องนั้น แต่ครั้งนี้กลับเป็นสองหนุ่มสลิธลีน มากกว่า เบลสและเดรโกลุกขึ้นมาเกือบพร้อมๆกัน
“เธอพูดอะไรน่ะ เฮอร์ไมโอนี่” เบลสถามเกือบเป็นตะโกนในขณะที่เดรโกเริ่มรู้สึกตัวว่าควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่อยู่แล้วกับความงี่เง่า และดื้อรั้นของหญิงสาวตรงหน้า
“เธอเสียสติไปแล้วเหรอ” เดรโกตะคอกถามเขาเกือบกระโจนเข้าไปหาเธอและเขย่าร่างให้เธอได้รู้สึกตัว ถ้าไม่มีมือที่แข็งแรงของเบลสยึดตัวเขาไว้เสียก่อน “เธอเสียสติไปแล้วแน่ๆ ฉันเห็นมัน เกรนเจอร์ ฉันเห็นเขาทำร้ายเธอด้วยตาทั้งสองของฉัน เอง”
เฮอร์ไมโอนี่ถอยหลังออกห่างจากพวกเขาทุกคนและมองดูไปรอบๆ เธอพยายามจะอธิบายอะไรบางอย่าง “เขาไม่ได้ทำผิดอะไร” เธอพูดซ้ำ “เขามีสิทธิในตัวของฉัน พวกเราเป็น....”เหมือนมีก้อนหินแข็งๆมาจุกที่ลำคอของเธอ เธอพยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนพูดบางอย่างที่ทำให้ทุกคนในห้องตื่นตะลึง
เกิดความเงียบไปรอบๆ ห้องนั้นอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนดูเหมือนจะพร้อมใจกันนิ่งเงียบและมองหน้ากันไปมา เหมือนทำอะไรไม่ถูก แต่ต่อมาก็มีเสียงตะโกนอย่างไม่พอใจจากปากของ เดรโก มัลฟอย
“พวกคุณเป็นอะไรกันนะ” เขาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ เดรโกเดินตรงมาที่เธอโดยไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งนั้น มือของเดรโกจับแขนของเฮอร์ไมโอนี่ได้ทันก่อนที่เธอจะถอยหลังหรือเดินหนีจากเขาไป
“ว่าไง เกรนเจอร์ เมื่อกี้บอกว่าอะไร เธอกับครัมเป็นอะไรกัน”
เฮอร์ไมโอนี่หน้าซีดเผือด เธอรู้สึกว่าตัวเธอเริ่มสั่นและคล้ายจะเป็นลมเข่าของเธอเริ่มอ่อนจนเกือบทรุด แต่เดรโกก็จับเธอยืนขึ้นด้วยมือที่แข็งแรงของเขา ดูเหมือนเดรโกจะไม่ใจอ่อนกับเธอเหมือนคนอื่นๆ ดวงตาสีเทาที่ดูเย็นชาของเขาปะทะกับดวงตากลมโตที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าของเธอ เฮอร์ไมโอนี่หลุบตาลงต่ำแล้วตัดสินใจพูดออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“ใช่ พวกเราเป็นคู่หมั้นกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึน มันเป็นเพียงแต่ความขัดแย้งของพวกเรา และเขาเพียงแค่มีความต้องการ ขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น” เธอกล่าวเบาๆ และเริ่มใจเย็นกว่าเดิม
เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นภายในห้องหลังจากนิ่งเงียบกันไปได้สักพัก รอนทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาและยังคงทำเสียงฮึดฮัดในลำคอเบาๆในขณะที่แฮร์รี่และจินนี่มองไปที่เพื่อนสาวอย่างเห็นใจ เดรโกปล่อยมือจากเฮอร์ไมโอนี่แล้ว เขาเดินกลับมานั่งที่โซฟาอย่างเหนื่อยใจ
เบลสถอนหายใจลึกๆ เขาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด “เฮอร์ไมโอนี่ ผมรู้ว่าคุณพยายามแก้ตัวให้เขา ผมเห็นเลือดและบาดแผลที่ศรีษะของคุณ แม่ของผมเป็นคนทำความสะอาดให้คุณเองนะอย่าลืมสิ พวกเราทั้งหมดรู้ว่าคุณไม่เต็มใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ อย่างแน่นอน”
เฮอร์ไมโอนี่หลบตาเบลสที่จ้องมองเธอเขม็ง เขารู้และทุกคนก็รู้
“แต่ฉัน.....”
“ฉันสาบานได้ ถ้าเธอบอกกับฉันอีกแค่ครั้งเดียว ว่าเธอรักเขา ฉันจะไปกระโดดตึกตายตอนนี้เลย”
เดรโกกล่าวขัดขึ้นเหมือนรู้ว่าหญิงสาวจะพูดอะไรออกมา น้ำเสียงเขาเริ่มแข็งกระด้างเมื่อพูดกับเธอ
“ฉันเห็นว่าเกิดอะรขึ้น เกรนเจอร์ ฉันรู้ว่าอะไรที่เขาทำ เขาพยายามที่จะ.......”
“หยุดนะ” เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนแทรกขึ้นมาทันควัน “ไม่ พอแล้วไม่ค้องพูดอีกแล้ว” เธอกรีดร้อง ก่อนที่จะวิ่งออกไปจากห้อง เธอเอามือปิดหูทั้งสองข้าง เสมือนไม่ต้องการให้เสียงใดๆ ลอดผ่านเข้าไปยังสมองของเธอ
“บ้าเอ๋ย” เดรโกกุมขมับด้วยมือทั้งสองของเขาและถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“มันคือความรักอย่างงั้นเหรอ ความรักบ้าบอนะซิ ตอนที่ฉันพาเธอมาน่ะ เธอเลือดออกเต็มตัวไปหมด แล้วยังงี้เธอเองยังบอกว่าเป็นความรักอย่างงั้นเหรอ ” เขาพูดพึมพำ สำหรับคนอื่นๆก็มีความคิดไม่ต่างกันกับเดรโกเท่าไหร่
“ทำไมมันเป็นแบบนี้”รอนพูดเบาๆในขณะที่ตัวเขาเองยังปักหลักอยู่ที่โซฟาตัวเดิมดูเหมือนรอนจะมึนงงและสับสนในสิ่งที่เกิดขี้นอย่างเห็นได้ชัด
“มัลฟอย” แฮร์รี่กล่าวขึ้นมาบ้าง “นี่มันนรกอะไรกัน” แฮร์รี่จ้องมองเดรโกที่ยังคงกุมขมับอยู่บนโซฟานิ่ง เดรโกไม่ตอบคำถามใดๆของแฮร์รี่เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบอะไร ให้ดีไปกว่านี้
“ฟังฉันนะ”เบลสกล่าวออกมาในที่สุด” สิ่งที่เดรโกพูด มันเป็นเรื่องจริง เธอถูกข่มขืน แต่ฉันได้คุยกับเธอเมื่อเช้าแล้วดูเหมือนเธอยังคงคิดว่า ครัมยังคงรักเธออยู่ และเธอเองก็ยังคงรักเขาอยู่เช่นกัน แต่ฉันรู้ว่าเธอพยายามหลอกตัวเอง ดังนั้นเราจะต้องทำให้เธอยอมรับด้วยตัวเธอเองว่า เขาทำร้ายเธอจริงๆ ซึ่งมันต้องใช้เวลา พวกเราจะต้องให้เธออยู่ที่นี่ก่อน”
“ใช่ฉันเห็นด้วยกับเบลส เกรนเจอร์ควรอยู่ที่นี่และอยู่ให้พ้นจากไอ้สวะนั้นด้วย” เดรโกออกความเห็นเขาเพ่งตามองดูพวกแฮร์รี่อย่างเป็นมิตร
“พวกเราไม่สามารถจับมันได้เลยหรือไงแฮร์รี่” รอนบอกทั้งๆที่เขาต้องการจะทำมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ แฮร์รี่คิดเป็นเวลานานก่อนจะตอบรอนที่นั่งหน้าไม่สบอารมณ์อยู่บนโซฟา “ไม่ได้ พวกเราไม่มีเหตุผลที่จะจับเขาถ้าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ยินยอม เขาจะต้องถูกปล่อยตัวและนั่นก็ไม่ใช่โอกาสที่เราจะช่วยเฮอร์ไมโอนี่ได้ “แฮร์รี่หยุดพูดและมองไปที่เดรโกและเบลส
” ฉันไม่เคยคิดว่าจะพูดคำนี้เลย แต่พวกนายพูดถูก เฮอร์ไมโอนี่จะต้องอยู่ที่นี่เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเธอ”
จินนี่ยืนขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าดูเหมือนเธอจะไม่เห็นด้วยกับความคิดในครั้งนี้
“เฮอร์ไมโอนี่จะต้องไม่อยู่ที่นี่” จินนี่กล่าวกับแฮร์รี่ เธอหันไปมองเดรโกและเบลสด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
”ฉันบอกพวกคุณตรงๆเลยก็ได้ ว่าฉันไม่ไว้ใจพวกคุณ” จินนี่บอกพวกเขาเสียงกร้าว
เดรโกและเบลสมองหน้ากันและกัน
“เธอมีเหตุผลอะไรที่ไม่ไว้ใจพวกเรา” เบลสถามทั้งๆที่เขารู้เหตุผลอยู่แล้วว่าทำไม
“ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกนายเคยทำความเจ็บปวดไว้ให้กับพวกเราเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ที่ฮอกวอตส์ยังไงล่ะ” รอนกล่าวแทรกขึ้นมาและเขาอยากจะพูดอะไรที่มากไปกว่านั้นถ้าไม่มีเสียงกังวานของสุภาพสตรีวัยกลางคนที่พูดขึ้นมาขณะที่เดินมาทางพวกเขา
“พวกเขาในอดีตอาจจะเป็นเด็กที่ไม่ดีสักเท่าไหร่นัก แต่พวกเธอคงไม่มีเหตุผลอะไรในการไม่ไว้ใจฉันหรอกนะ ”นางซาบินี่ หรือ มาเรียขยับตัวเข้าใกล้พวกเขา นางดูเหมือนกังวลใจและเหน็ดเหนื่อยอยู่ในแววตานั่น
“เฮอร์ไมโอนี่ ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่ามันจะมาจากพวกเราหรือว่าคนอื่นก็ตาม มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรีบเร่งจัดการ เธอสูญเสียความมั่นใจต่อทุกๆคนเพราะคนสารเลวคนหนึ่งที่ทำไว้กับเธอ พวกเธอก็คงจะเห็นกันแล้ว”
“คุณพูดมาก็มีเหตุผล”จินนี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุภาพขึ้น”ฉันหมายถึงฉันเองยังไม่สามารถกอดเธอได้เลย เธอกำลังตกใจและเสียขวัญ เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉันอยากจะเข้าไปกอดเธอและปลอบใจเธอแต่ดูเหมือนเธอยังคงควบคุมความหวาดกลัวของตัวเองยังไม่ได้”ทุกๆคนอยู่ในความเงียบ แฮร์รี่พยายามเปล่งเสียงในลำคอที่แหบแห้งนั้น ออกมาจนได้
“ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ถ้ามันจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ พวกเราจะยอมรับมัน”เขากล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว มีเสียงผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลายจากมาเรีย และเธอก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด
“ฉันดีใจที่พวกเธอยอมรับในสิ่งที่ฉันพูด”มาเรียกล่าวกับพวกของแฮร์รี่ และยิ้มให้อย่างผ่อนคลาย
“ฉ้นจะไปบอกเฮอร์ไมโอนี่ก่อนและทำให้แน่ใจว่าเธอจะยอมอยู่ที่นี้กับพวกเรา” เธอกล่าวอย่างชาญฉลาด พร้อมๆกับที่เธอเคลื่อนตัวออกไปอย่างเงียบๆปล่อยให้พวกเขาพูดคุยกันอีกสักพัก
มาเรียร้องเรียกหาเอลฟ์ประจำบ้าน มีเสียงดังป๊อปเกิดขึ้นเล็กน้อยแล้วมีเอลฟ์ปรากฏตัวขึ้นพวกมันโค้งคำนับนายหญิงของบ้านอย่างต่ำสุดด้วยความนอบน้อม
“เอาล่ะ ในตอนนี้ ฉันอยากให้พวกเธอช่วยหาคุณเกรนเจอร์ให้หน่อย”
เอลฟ์ประจำบ้านตัวเล็กโค้งคำนับอีกครั้งก่อนหายตัวไปและกลับมาอีกครั้งในเวลาต่อมากับข่าวที่เอลฟ์พบเฮอร์ไมโอนี่อยู่ในสวนและกำลังร้องไห้อยู่ข้างทะเลสาบหลังบ้าน
มาเรียหายตัวไปยังสระน้ำและเฝ้ามองเฮอร์ไมโอนี่เงียบๆด้วยความเศร้าที่เกาะติดอยู่ในใจของเธอ
เฮอร์ไมโอนี่ยังคงก้มหน้าร้องไห้ สะอึกสะอื้นอยู่บนฝ่ามือของตัวเองอย่างหนัก มาเรียก้าวย่างเบาๆเข้าไปใกล้เธอ เธอพยายามไม่ให้เกิดเสียงดังเพราะไม่อยากให้เฮอร์ไมโอนี่ตื่นตกใจ แต่ดูเหมือนเฮอร์ไมโอนี่จะตื่นตัวอยู่ก่อนแล้ว เธอสะดุ้งและหันหลังมามองมาเรียในทันที หญิงสาวเช็ดน้ำตาที่แสดงความอ่อนแอและโหดร้ายจากตาของเธออย่างรวดเร็วเมื่อมาเรียเดินเข้ามาใกล้เธอ
“ไม่จำเป็นต้องเช็ดน้ำตาออกหรอกที่รัก ที่นี้ไม่มีใคร มีแค่พวกเราเท่านั้น” เธอพูดกระซิบน้ำเสียงของเธอดูอ่อนโยนราวกับมารดาที่กำลังปลอบบุตรสาวที่งอแง เฮอร์ไมโอนี่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง และครั้งนี้มาเรียได้ดึงร่างของหญิงสาวเข้ามาแนบอกของเธอ มาเรียมองข้ามไปที่ทะเลสาบที่กว้างใหญ่นั้น อย่างเหม่อลอย เธอกำลังคิดคำพูดปลอบใจ ที่เธอควรจะมีให้กับหญิงสาว
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ เธอเองก็รู้”มาเรียกล่าวเบาๆ ตัวเธอเองนั่งลงเคียงข้างกันกับเฮอร์ไมโอนี่
“ฉันเป็นคนผิดเอง”
มาเรียถอนหายใจ”สิ่งที่เขาทำไว้กับเธอ มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยกโทษให้ได้ เธอไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ในเรื่องนี้เธอไม่มีทางเป็นคนผิดอย่างแน่นอน”
เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้กล่าวอะไรในขณะนั้นเธอเพียงแต่รับฟังในสิ่งที่มาเรียพูดดูเหมือนเฮอร์ไมโอนี่กำลังใช้ความคิดในเรื่องนี้อยู่ พวกเขานั่งอยู่เงียบๆสักพักใหญ่จนกระทั่งมาเรียลุกขึ้นเพื่อปล่อยให้เฮอร์ไมโอนี่อยู่ตามลำพัง
ในตอนที่มาเรียกำลังจะเดินห่างเธอไป มาเรียได้ยินเฮอร์ไมโอนี่พูดบางอย่างที่ทำให้เธอถึงกับก้าวขาไม่ออก
“มันไม่ใช่...แรกที่เกิดเหตุ....นี้ขึ้น”เฮอร์ไมโอนี่กล่าวเสียงเบา เสียงของเธอ ถึงแม้จะขาดๆหายๆแต่มาเรียก็ยังคงพอสรุปได้ถึงประโยคนั้นอยู่
มาเรียหันมาช้าๆจ้องมองหญิงสาวที่อ่อนวัยผู้ที่นั่งอยู่ข้างทะเลสาปเขม็ง
“เขาทำร้ายเธอมาก่อนหน้านื้งั้นเหรอ” มาเรียถามแววตาทอแสงด้วยความโกรธ
เฮอร์ไมโอนี่สั่นหัวของเธอ”ไม่ใช่ เขาเคยลวนลามฉันมาก่อน อีกหลายครั้ง แต่ฉันก็รอดมาได้ทุกครั้ง ฉันไม่เคยยอมเขาเลย จนมาถึงครั้งล่าสุด เราไปงานเลี้ยงด้วยกัน และครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาข่มขืนฉัน และฉันก็ได้ทำร้ายเขา มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก” มาเรียคุกเข่าลงข้างๆเด็กสาว เธอฉวยมือของเฮอร์ไมโอนี่และบีบมือเธอเบาๆเหมือนให้กำลังใจ
“เล่าให้ฉันฟังได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” มาเรียเริ่มรุก เพราะเป็นครั้งแรกที่เด็กสาวยอมพูดสิ่งที่เกิดขึ้นออกมา เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้า เด็กสาวก้มหน้านิ่งก่อนจะยอมเปิดปาก
“ทั้งหมดที่ฉันจำได้มันเป็นงานเลี้ยงเต้นรำที่บ้านของท่านฑูตบัลแกเลี่ยนในกรุงลอนดอน ที่นั่นวิกเตอร์ดื่มเหล้าค่อนข้างมาก มันมากจนฉันเริ่มกังวล ฉันพยายามปลีกตัวเพื่อกลับมาก่อน แต่วิกเตอร์เดินตามฉันมาติดๆ เขาดึงฉันเข้ามายังตรอกแคบๆที่อยู่ใกล้ๆกัน เขาพยายามลวนลามฉันเขาบอกว่าเขารักฉัน และให้ฉันยอมเขา เขาบอกว่าเขายอมทนจนถึงวันแต่งของเราไม่ไหว ฉันพยายามดึงตัวเขาออกห่างจากฉัน แต่แรงของวิกเตอร์เยอะมาก เขาฉีกเสื้อผ้าฉันจนขาดและนั่นมันทำให้เขาขาดสติ เขาข่มขืนฉัน ทำร้ายฉันและด่าทอฉัน จนกระทั่งเดรโกได้มาพบกับเหตุการณ์นั่นและได้ช่วยฉันเอาไว้”
เฮอร์ไมโอนี่กล่าวและพยายามไม่ให้มีเสียงร้องไห้
“เขาพูดว่า เขาแน่ใจว่าเขารักฉัน แต่ความเป็นจริงสิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นเพราะเขาเมามากกว่า มันไม่ใช่เรื่องจริง เขาไม่ได้รักฉัน”ทั้งๆที่เธอพยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้แต่อาการบาดเจ็บที่จิตใจมันรุนแรงเกินกว่าที่เธอจะห้ามน้ำตาให้มันหยุดไหลได้
“ตอนนี้ ฉันไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่มีอะไรเลย”เฮอร์ไมโอนี่คร่ำครวญ
“อย่าพูดอย่างนั้น”มาเรียพูดในทันทีโดยที่เธอยังคุกเข่าอยู่ข้างหน้าของเด็กสาว แขนของมาเรีย โอบไปรอบๆตัวเธอเพื่อปกป้อง
“เธอไม่ใช่ไม่มีอะไร เธอมีความสามารถ และงดงามมากเลยรู้ไหมจ๊ะ เธอจำได้ไหมที่ฮอกวอตส์ เธอสามารถทำให้เดรโกพูดจาโวยวายใส่เธอได้ทุกๆเทอมโดยที่ไม่มีใครทำได้เหมือนอย่างเธอ” มาเรียหัวเราะเสียงกังวาลเหมือนดนตรี “รู้อะไรไหมสาวน้อย เดรโกน่ะเขาอิจฉาเธอตลอดเวลาเลยนะในความเก่งกล้า สามารถของเธอน่ะ แต่เขาพูดกับใครไม่ได้หรอกเขามันพวกคนปากแข็งและหยิ่งในสายเลือด ”
มาเรียเปิดเผยสิ่งที่เธอรับรู้ให้เฮอร์ไมโอนี่ฟังเพื่อให้เธอรับรู้ว่าเธอเป็นคนมีค่าแค่ไหนด้วยเหตุนี้เฮอร์ไมโอนี่จึงอมยิ้มเล็กน้อย
“เฮอร์ไมโอนี่ เธอมีค่าเกินกว่าที่ใครๆจะรู้ เพราะไม่ยังงั้นวิคเตอร์ ครัม คงไม่ทำลายเธอคงไม่ใช้ความเป็นพรหมจารีย์ของเธอ เพื่อมาเป็นเครื่องต่อรอง หรือต่อต้านเธอเองหรอกอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เขาได้รับแรงกดดันมาจากที่อื่น หรือ มาจากเธอที่ไม่ยอมลงให้เขา ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆทั่วๆไปที่เขาเคยเจอ ซึ่งนั่นมันก็บอกให้รู้ได้แล้วว่าเธอมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรีแค่ไหน มันหาได้ยากในผู้หญิงสมัยนี้”
“นั่นเป็นเพราะว่าฉันค่อนข้างถือตัวเล็กน้อย ”เธอพูดด้วยความลำบากใจ
“ไม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น เธอมีศักดิ์ศรีนั่นเป็นสิ่งที่พิเศษ เฮอร์ไมโอนี่เธอพิเศษ ฉันรู้ว่ามีบางคนที่เชื่อมั่นในตัวเธอเหมือนๆฉัน”
มาเรียหยุดพูด และปล่อยให้คำพูดของเธอหายไป จากรอยยิ้มเล็กๆของเด็กสาวตรงหน้ามันช่างสวยงามและอ่อนหวานนัก
“เธออย่ากลับไปที่นั่นอีกเลย อย่ากลับไปหาเขา ได้โปรดเฮอร์ไมโอนี่ บอกสิว่าเธอจะอยู่ที่นี่และรายงานเรื่องของเขาให้กระทรวงรับรู้” มาเรียอ้อนวอน โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจนัก เฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบ เธอคิดอยู่หลายนาทีและในที่สุด
“ฉันจะอยู่ที่นี่ แต่ฉันจะไม่รายงานเรื่องของเขา ฉัน เพียงแต่ไม่สามารถทำอย่างงั้นได้”
เธอมองไปที่มาเรียด้วยดวงตาสีน้ำตาลที่มืดมน ” พ่อแม่ของวิกเตอร์ดีกับฉันมาก ฉันไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องพวกนี้ อีกอย่างถึงแม้ฉันจะรู้ว่าวิกเตอร์ไม่ได้รักฉัน แต่ฉัน ยังคง ฉันยังคงรักเขา มันคงต้องใช้เวลาที่จะให้ฉันลืมเขา” เฮอร์ไมโอนี่ยอมรับและหันหน้าหนี มาเรียยึดเธอไว้แน่นแล้วดึงเธอให้ยืนขึ้นอีกครั้งเขาดึงเฮอร์ไมโอนี่ให้มากับเธอ
“มานี่เถอะ เธอดูเคร่งเครียดมากเลยเธอต้องได้รับการบำบัดบ้างแล้ว” มาเรียยิ้มกว้างไปที่เฮอร์ไมโอนี่เป็นผลทำให้อารมณ์หดหู่ของเธอลดลงบ้างเล็กน้อย
มาเรียเริ่มมีชีวิตชีวาเมื่อเธอบอกถึงสถานที่ที่จะพาเฮอร์ไมโอนี่ไปเพื่อเลือกซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่และจัดหาบางอย่างและก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะรู้ตัวเธอก็ออกมาอยุ่ที่ศูนย์การค้าของมักเกิ้ลกับ ถุงและถุงและอีกหลายๆถุง ซึ่งมีแต่ของใหม่ๆที่มาเรียซื้อหาให้กับเด็กสาว
และในเย็นวันนั้น หลังจากมาเรียพาเฮอร์ไมโอนี่เดินช๊อปปิ้งมานานแล้ว พวกเธอจึงกลับมายังที่พัก เมื่อพวกเธอกลับเข้ามายังห้องนั่งเล่น พวกเธอได้พบกับ เดรโกและเบลส พวกเขาสองคนกำลังนั่งเล่นหมากรุกพ่อมดอยู่ ดูจากกระดานแล้วเบลสค่อนข้างได้เปรียบเดรโกอย่างเห็นได้ชัด
“หนุ่มๆ พวกเรากลับมากันแล้วจ๊า” มาเรียฮัมเพลง อย่างมีความสุข และทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา เฮอร์ไมโอนี่เดินเข้ามาอยู่ข้างหลังมาเรียอย่างสงบแล้วนั่งถัดจากมาเรียพร้อมรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าของเธอ เธอกำลังคิดถึงตอนที่มาเรียเล่าให้เธอฟังอย่างสนุกสนานถึง เรื่องเกี่ยวกับลูกชายของเธอและเดรโกรวมทั้งนิสัยของพวกเขาทั้งสอง
เฮอร์ไมโอนี่พยายามทำหน้าตาย แต่ก็เผลอตัวหัวเราะออกมาเล็กน้อย เมื่อเบลสยืนขึ้นเพื่อกล่าวต้อนรับพวกเธออย่างเป็นทางการ ตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตื่นตัวเมื่อเบลสผุดลุกขึ้นมันทำให้เธอถอยหลัง และแอบอยู่ข้างหลังมาเรียอย่างตกใจ แต่แล้วเธอก็ยิ้มออกมาได้ เมื่อมีมือของมาเรียจับมือของเด็กสาวไว้แน่น เพื่อสร้างความอุ่นใจ เสมือนเธอเป็นบุตรของนางเอง
“แม่ซื้ออะไรมาให้ผมบ้างล่ะ” เบลสยิ้มจนเห็นฟันสีขาวเรียงตัวกันอย่างสวยงาม
มาเรียยิ้มให้บุตรชายอย่างรักใคร่
“พวกเราซื้อของมาให้พวกเธอด้วย”มาเรียบอกอย่างเจ่าเล่ร์เล็กน้อย ”แต่เธอคงต้องหามันเองแล้วล่ะ ”
“แหม แม่ก็ ผมรู้หรอกฮ่ะว่าแม่คงไม่ใจร้ายขนาดนั้น ว่าแต่อยู่ไหนล่ะฮะ”เบลสแกล้งขอร้องและทำสายตาละห้อยมาที่เฮอร์ไมโอนี่จนเด็กสาวอดยิ้มให้ไม่ได้กับแม่ลูกคู่นี้
“พวกเธอเนี่ยนิสัยไม่ดีเอาเสียเลยนะ” มาเรียต่อว่าเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะดึงถุงจากร้านฮันนี่ดุ๊กออกจากกระเป๋าตัวเองและโยนมันไปให้เบลสที่รอรับอยู่ก่อนแล้ว และดึงอีกถุงให้เดรโก มาเรียโยนไปให้เดรโก ที่กำลังเดินหมากรุกอย่างตั้งใจ เพื่ออุดรอยโหว่ของเกมที่เล่น
“นี่อะไรฮะ” เดรโกถาม พร้อมทั้งถูศีรษะไปมาเมื่อขนมถูกโยนมาเกือบโดนหัวเขา เดรโกเลือกและมองดูขนมหวานอย่างชอบใจ
“ขนมจากร้านฮันนี่ดุ๊กนี่ฮะ คุณนี่เป็นผู้หญิงที่แสนดีจริงๆ มาเรีย ขอบคุณฮะ”เดรโกยิ้มและมองดูมาเรียที่หัวเราะเบาๆมาทางเขา
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกประหลาดใจถึงวิธีที่พวกเขาหาความสุข เธอไม่เคยเห็นความเป็นอยู่หรือความสุขเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จากเลือดบริสุทธิ์อย่างเดรโกหรือเบลส เท่าที่ผ่านมาเธอคิดเสมอว่าคนพวกนี้ พวกที่หยิ่งในสายเลือด มีภาระที่ค้ำคอของวงค์ตระกูลพวกเขาจะมีความสุขแบบไหนกัน แต่เมื่อวันนี้สิ่งที่เธอเห็นมันแปลกออกไป ความสุขที่พวกเขามีไม่ได้แตกต่างจากพวกเธอเลยสักนิดเดียว ความรัก และความเข้าใจมันเป็นตัวหลักที่ทำให้ทุกคนมีความสุข สิ่งนี้ละมั่งที่ทุกคนต่างโหยหา รวมทั้งตัวเธอด้วย
“แล้วเธอล่ะเกรนเจอร์ ซื้ออะไรมาบ้าง” เดรโกหันมาถามเธอพร้อมทั้งเปิดขวดน้ำอัดลมเพื่อดื่ม เด็กสาวมองไปที่ถุงอย่างเอียงอาย
”ก็มากอยู่ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ๆน่ะ”
มาเรียหัวเราะเสียงใสพร้อมจาระนัยในสิ่งที่พวกเธอทำมาตลอดทั้งวัน
“พวกเราได้เสื้อ กระโปรงที่ เป็นคอลเล็คชั่นใหม่ล่าสุดแล้วก็สิ่งของจำเป็นบางอย่าง อ้อ แล้วก็ทำผมแต่งหน้ามาด้วยนะ หนุ่มๆพวกเธอน่าจะได้เห็นรองเท้าที่พวกเราใส่กันนะแล้วก็มีเครื่องเพชรบางชิ้นด้วย ฉันจะเล่าให้ฟังเฮอร์ไมโอนี่เก็บมันไว้ที่เดิมทันทีที่เธอลองใส่มันแล้ว พอเธอเดินออกมาจากร้าน ฉันก็หวนกลับไปหาพวกเขาอีกรอบเพื่อซื้อมันมาให้เธอ”มาเรียหัวเราะเสียงดังกังวานอย่างชอบใจ เธอดึงตัวเฮอร์ไมโอนี่เข้ามากอดอย่างรักใคร่
“อย่าแปลกใจไปล่ะ เฮอร์ไมโอนี่ นั่นแหละแม่ฉันล่ะ เมื่อแม่ฉันซื้อของให้กับคุณ นั่นแสดงว่าของชิ้นนั้นมันเหมาะกับคุณอย่างไม่ต้องสงสัย” เบลสบอกกล่าวประสบการณ์ที่เขาเคยได้รับมาก่อนหน้านั้นให้เฮอร์ไมโอนี่ฟัง
“แต่มีอีกอย่างที่พวกเธอน่าจะได้เห็นสาวน้อยคนนี้นะ เด็กๆ เฮอร์ไมโอนี่เธอมีรูปร่างที่ดีมากตอนที่เธอลองใส่ชุดราตรีสีเขียวเธอสวยราวกับนางฟ้าเลยล่ะ คนที่นั่นมองกันตาค้างเลยนะ”มาเรียกล่าวอย่างตื่นเต้น เฮอร์ไมโอนี่มีใบหน้าที่แดงระเรื่อกับคำชมที่เธอคิดว่ามันเกินไป รวมทั้งความรู้สึกที่แปลกๆที่เกิดขึ้น เมื่อเธอทันได้เห็นเดรโกชำเลืองมามองเธออย่างแปลกใจ
” เธอค่อนข้างขี้อายกว่าเธอจะออกมาจากห้องลองชุดให้ฉันดูได้เกือบๆยี่สิบนาที หลังจากนั้นเราก็ออกมาซื้อของกันต่อที่แผนกชุดชั้นในสตรี”
มาเรียยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ แต่เธอรู้สึกได้ว่าทุกคนนิ่งเงียบจนผิดสังเกตุ เธอหยุดและมองไปที่เฮอร์ไมโอนี่ที่นั่งหน้าแดงกว่าเดิม ส่วนเด็กชายทั้งสองเองก็ดูเหมือนอึดอัดใจเมื่อได้ยินเสียงของมาเรียพูดถึงการซื้อชุดชั้นในกับคู่ปรับในอดีตของพวกเขา เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์
“ฉันคงจะพูดผิดไป”นางยักไหล่และหัวเราะเสียงใสกับความไร้เดียงสาของเด็กเหล่านั้น “เอาล่ะ ตอนนี้มันคงจะสายมากแล้วฉันคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาอาหารค่ำแล้ว มานี่เถอะเด็กๆ เฮอร์ไมโอนี่ฉันแน่ใจว่าอาหารค่ำกำลังรอเราอยู่”เธอเดินนำพวกเขาออกจากห้องด้วยใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข ไปยังห้องรัปทานอาหาร
ถึงแม้วันนี้รอยยิ้มที่เธอเห็นจากเด็กสาวจะเป็นรอยยิ้มที่ยังเปิดเผยไม่เต็มที่นัก แต่เธอก็ยังสามารถทำให้เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มได้บ้าง แค่นี้มาเรียก็คิดว่ามันดีมากแล้วสำหรับเธอ เธอคงต้องรอสักระยะเพื่อรักษาบาดแผลในใจของเด็กสาวให้เป็นปกติได้ และมาเรียเองก็มั่นใจในตัวเธอและตัวของเฮอร์ไมโอนี่ด้วย เธอจะก้าวไปพร้อมกับเด็กสาวคนนี้ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม
To be con>>>>>
Chapter Five shall we dance
“คงจะเป็นญาติสิน่ะ”เฮเลนน่าถามกลับด้วยความไม่พอใจ เธอมองสำรวจเฮอร์ไมโอนี่ด้วยหางตาเล็กน้อย
“เธอไม่ใช่ญาติของพวกเรา เธอเป็นเพื่อน พวกเราคิดว่าเธออาจจะเป็นคู่เต้นรำให้พวกเราคนใดคนหนึ่งในขณะที่คุณเต้นกับคนอื่นหรือถ้าจะให้ดีก็ผลัดกัน”เดรโกตัดบทอ
ย่างนึกเบื่อหน่ายกับท่าทีเหมือนดั่งนางพญาของเฮเลนน่า
“ก็ได้ แต่เธอคงไม่เต้นในขณะที่ใส่กางเกงยีนหรอกนะ ฉันคงไม่อนุญาตแน่”เธอพูดแล้วส่งสายตาไปที่กางเกงยีนส์ของเฮอร์ไมโอนี่อย่างไม่พอใจ”ไปเปลี่ยนมันถ้าเธออยากจะอยู่ในห้องนี้รวมกันกับพวกเรา”เธอออกคำสั่ง
ความคิดเห็น