คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter : 2 และแล้วสิงโตหนุ่มก็ไล่ตามแกะสาวไป....
ผู้แต่ง: Hellen Lou
ผู้แปล : วุ้นเส้น
เรียบเรียง:nugfat
ตัวอักษรสีน้ำเงินไม่ใช่ความคิดของเซดริกนะค่ะ
Chapter two : And so the lion followed the lamb
Chepter 2 และแล้วสิงโตหนุ่มก็ไล่ตามแกะสาวไป...
หลังจากเกิดเหตุการณ์อาหารระเบิดกลางโต๊ะกริฟฟินดอร์ในห้องโถงใหญ่คราวนั้น โรนัลด์ วิสลี่ส์ ก็ไม่เคยเสกคาถาบุ่มบ่ามแบบนั้นอีกเลย อาจจะเป็นเพราะเด็กสาวเพื่อนรักของเขา ที่คอยส่งสายตาที่ดุดัน หรือตัวของโรนัลส์เองที่เริ่มปลงกับชีวิตที่ทำอะไรไม่ค่อยได้เรื่องนักก็อาจจะเป็นไปได้
แต่ข้อนั้นผมไม่สนหรอก พวกคุณเองก็คงจะรู้นะว่าผมสนอะไร ใช่ความคิดของเฮอร์ไมโอนี่นั่นต่างหาก ผมพยายามเพ่งจิตเพื่ออ่านใจเธอมาหลายครั้งแล้ว
คุณรู้ไหมว่าผลเป็นยังไง ล้มเหลวไม่เป็นท่าเลย จนผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว สก๊อตส์เองก็รู้ใจผมดี ช่วงนี้เลยไม่ค่อยจะมาต่อปากต่อคำกับผมมากนัก
วันนี้ก็เช่นกัน ผมแอบลอบมองเฮอร์ไมโอนี่ และพยายามอ่านใจเธออีกครั้ง เธอกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ไม่ ไม่ใช่ว่าผมอ่านใจเธอออกหรอกนะ ผมแค่ดูจากสีหน้าเธอก็เท่านั้น
ดูเหมือนเธอเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึกเสียด้วยสิ เธอกำลังมองไปรอบๆห้องอาหารอย่างสงสัยและนั่นมันทำให้ผมต้องแกล้งทำเป็นหลบสายตาของเธอหันมาสนใจกับอาหารของมนุษย์ที่น่าสะอิดสะเอียนแทน
ผมยังคงใคร่ครวญสงสัย เกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดเวลา ในขณะที่คนอื่นๆผมพยายามที่จะปิดกั้นความคิดของพวกเขา แต่กับเธอ ผมกลับอยากล่วงรู้ความคิดของเธอ แต่มันกลับสวนทางกับความเป็นจริงในความคิดของผม สก๊อตส์ดูเหมือนพยายามที่จะช่วยเหลือผมแต่ก็จนปัญญาเหมือนกัน เขาจึงได้แต่หวังว่าจะให้ผมหาคำตอบได้โดยเร็ว เพราะการที่ผมหงุดหงิดใส่เขาบ่อยๆย่อมไม่เป็นผลดีกับมนุษย์หมาป่าอย่างเขาแน่นอน
ดูๆไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ เป็นคนที่หาได้ยากมาก สำหรับแวมไพร์อย่างผม ช่วงนี้ผมเลยลองให้สก๊อตส์ช่วยเหลือผม โดยตามดูเธอแทนผมเป็นระยะๆ เพราะคุณก็รู้ผมน่ะดาวเด่นของบ้านนะครับ จะไปเที่ยวแอบมองใครหรือตามใครคงไมดีแน่ อีกอย่างผมเองก็ไม่เก่งหรือถนัดคุยกับคนอื่นๆมากนัก มันไม่ใช่วิสัยแวมไพร์อย่างผม
แต่สก๊อตส์กลับตรงกันข้ามเขาเป็นเด็กหนุ่มที่ช่างพูดช่างคุยและสนุกสนานไปได้เรื่อยๆจนมีเพื่อนๆต่างบ้านมากมาย และหนึ่งนั้นก็มีพวกกริฟฟินดอร์บางคนก็เป็นพื่อนเขาด้วยเช่นกัน
ในไม่ช้าสก๊อตส์ก็มาเล่าให้ผมฟังได้เป็นฉากๆ
แต่สรุปได้เพียงใจความสั้นๆว่า นอกจากชั้นเรียนที่จะพบเธอได้ตลอดเวลาเพราะเธอไม่เคยขาดเรียนสักวันแล้ว นอกนั้นเธอมักใช้เวลาส่วนมากอยู่ในห้องนั่งเล่นรวมของกริฟฟินดอร์ หรือไม่ก็ห้องสมุดซะเป็นส่วนใหญ่ และ ในบางครั้งเวลาที่เธอไม่ได้อยู่ในสถานที่เหล่านั้นเธอก็มักใช้เวลาอยู่กับเพื่อนรักทั้งสองของเธอ ซึ่งก็คือ พอตเตอร์ เด็กชายผู้รอดชีวิต และ วิสลี่ส์ เด็กหนุ่มผมแดง ที่ดูเหมือนชอบทะเลาะกันเป็นประจำเสมอ หรือไม่ก็เพื่อนจากริฟฟินดอร์คนอื่นๆบางคน ซึ่งนั้นก็เป็นส่วนน้อย
แค่ข้อมูลแค่นี้มันเพียงพอที่จะทำให้ผม เข้าถึงตัวเธอได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ดีผมคิดเอาไว้แล้วว่า จะต้องหาช่วงเวลาที่เหมาะสมให้ได้ ในการเข้าไปใกล้ๆเธอ
(ในตอนนี้แวมไพร์หนุ่มหยุดชะงักไปนิดหนึ่งดูเหมือนเขากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง)
เออ....อันที่จริงผมมีบางอย่างที่จะสารภาพกับพวกคุณนะ พวกคุณรู้ไหม ปัญหาจริงๆของผมอยู่ที่ไหน
อะไรนะ! การที่ผมอ่านใจคนอื่นได้แต่อ่านใจเธอไม่ออกงั้นเหรอ
มันก็มีส่วนอยู่นิดหน่อยนะ แต่ปัญหาจริงๆของผมน่ะ มันอยู่ที่นี่
ผมจะเล่าให้คุณฟัง!
เย็นวันหนึ่งหลังจากผมซ้อมควิตดิชพร้อมกับเพื่อนๆเสร็จแล้ว พวกผมเดินกลับเพื่อเข้าไปยังห้องพักนักกีฬาประจำบ้าน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผมเดินผ่านเฮอร์ไมโอนี่ที่ทางเดินเชื่อมตึก เธอกำลังจะเดินออกไปที่สนามควิชดิตซึ่งพวกริฟฟินดอร์มีคิวฝึกซ้อมต่อจากฮัพเพิลพัฟ ขณะที่เธอเดินผ่านผมไปนั้น ผมกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆของเนื้อตัวของเธอ นั่นแหละที่มันกลับรบกวนจิตใจของผม อยู่ตลอดเวลาและนั่นทำให้ผมแก้ปัญหานี้ไม่ตก
ผมตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ รู้สึกถึงประสาทสัมผัสทุกส่วนในร่างกายผมมันลุกฮือขึ้นมาพร้อมๆกัน กิริยาอาการของผมทำให้สก๊อตส์รู้สึกในทันทีเขาเข้ามากระแทกไหล่ผมให้รู้สึกตัว และเมื่อผมหันไปมองรอบๆเธอเดินออกไปจนลับสายตาแล้ว และรอบๆข้างของผมก็เต็มไปด้วยเหล่านักเรียนหญิงของบ้านอื่นๆยืนเป็นกลุ่มชายตามองมาทางผมซึ่งรวมถึงโซ แซง ด้วย ผมได้แต่ยิ้มให้พวกเธอเหล่านั้น และพยายามผ่อนลมหายใจเพื่อให้ทุกอย่างกลับเป็นปกติ
แต่ผมก็ยังดูไม่ปกติเท่าไหร่
เมื่อมีนักเรียนหลายกลุ่มหลายคนไม่ว่าชายหรือหญิง ต่างคอยตามดูผมอยู่ใกล้ๆตลอดเวลามันทำให้ผมเกร็งและทำอะไรไม่ค่อยถูก
ดูเหมือนคุณอยากถามอะไรผมสินะ!
เรื่องกลิ่นงั้นเหรอ ?
ถ้าพูดถึงกลิ่นตัวที่ผมสัมผัสได้ ส่วนมากแล้วกลิ่นของนักเรียนทั่วไป ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง เพราะกลิ่นที่ปกคลุมร่างกายของคนทั่วไป มันไม่ใช่แค่กลิ่นสบู่หรือน้ำหอมที่บรรดานักเรียนสาวๆแทบจะเทเกือบทั้งตัวมาประชันกันเป็นว่าเล่น หรือน้ำยาหลังโกนหนวดของเหล่าบรรดาหนุ่มๆเจ้าสำอางค์ทั้งหลายเท่านั้น แต่ผมสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่อยู่ภายใต้กลิ่นพวกนั้นซึ่งผมเองทนมันไม่ค่อยได้นักผมมักจะหยุดกลิ่นพวกนั้นโดยการล่าถอยไปอยู่ตามลำพังสักชั่วโมงสองชั่วโมง
เฮอร์ไมโอนี่แตกต่างจากคนส่วนมากทั่วๆไป ผมสัมผัสได้ถึงสบู่ที่เธอใช้นั้นมีส่วนผสมของผงอบเชย วนิลา และไม้จากต้นสน ยิ่งถ้าได้ใกล้เธอเข้าไปอีกก็จะได้กลิ่นผสมกลิ่นดอกไม้อ่อนๆซึ่งมาจากหนังสือที่อยู่ในห้องสมุด ซึ่งผมไม่แปลกใจหรอกเพราะผมรู้ว่าเธอคลุกอยู่แต่กับหนังสือทั้งหลาย แต่มันไม่ใช่แค่นั้น อีกกลิ่นหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือกลิ่นตัวของเนื้อหนังของมนุษย์มันหอมเหมือนกลิ่นตัวเด็กแรกเกิด ซึ่งนั้นทำให้ผมแทบทนไม่ได้ จนผมอยากจะ................. ผมไม่บอกหรอกว่าผมจะทำอะไร คุณคิดเองก็แล้วกัน (ตอนนี้เซดริกยิ้มอย่างเจ้าเล่ย์เล็กน้อย)
อย่างไรก็ดีกลิ่นของมนุษย์ทั่วๆไป มันไม่ได้เหมือนกลิ่นอื่นๆที่ผมเคยสัมผัส มันเป็นพิษต่อผมซึ่งยากจะหลบเลี่ยงได้
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
หลายวันผ่านไป
ในวันหยุดช่วงหน้าเทศกาลต่างๆ ผมมักหลีกตัวเองออกจากผู้คนเสมอ เพราะถึงเวลาช่วงนี้ทีไรสาวๆส่วนมากมักจะชอบคิดถึงแต่ผมเสมอจนผมระอา ทำไมนะเหรอ
“เซดริก มีคนไปฮ๊อกมี๊ดส์กับคุณแล้วหรือยังค่ะ”
“เซดริก วันนี้ฉันว่างคุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม”
“และอื่นๆอีกมากมาย ”
คุณอยากรู้สิว่าผมตอบสาวๆพวกนั้นไปยังไง
“ขอโทษฮะ ผมมีนัดไปฮ๊อกมี๊ดส์กับโซแล้ว”
และ
“ผมอยากจะไปกับคุณนะ แต่โซคงไม่ชอบแน่ถ้าผมไปกับผู้หญิงอื่น”
พวกคุณคงประหลาดใจว่าทำไมผมถึงเอาชื่อโซมาเป็นข้ออ้าง และ โซจะว่าอะไรหรือเปล่า ก็ไม่นี่ฮะ ผมเห็นเธอออกจะยินดีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของผม นอกจากนั้นเธอเองยังรับสมอ้างเสียด้วยซ้ำไป จนตอนนี้ทั่วทั้งฮ๊อกว๊อตต่างก็เอาไปลือกันจนสนุกว่าโซเป็นผู้หญิงที่พิเศษของเซ็ดริกไปแล้ว
พวกคุณรู้อะไรไหมว่าแผนการทั้งหมดมาจากไหน ก็มาจากโซนั่นแหละครับ ผมลืมเล่าให้คุณฟังไป ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ มีอยู่วันหนึ่งผมมีโอกาสได้พูดคุยกันกับเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักและคุยเก่งแต่นั่นมันไม่ใช่เสปคของผมเธอสวยและฉลาด แต่ค่อนข้างจะหยิ่งในตัวเองพอสมควร เธอมักจะเลือกคบคน โดยเฉพาะคู่ควงที่เป็นผู้ชาย และผมดูเหมือนจะเป็นคนที่เหมาะสมกับเธอที่สุด เธอคิดแบบนั้น มีอยู่ครั้งหรือสองครั้งที่เราไปฮ๊อกมี๊ดส์กัน มันทำให้เธอพอใจผมมากแต่ผมกลับเฉยๆกับเธอ ผมมักจะบ่นให้เธอฟังถึงสาวๆหลายคนที่มากวนใจผมและเธอก็เลยเสนอให้ผมใช้ชื่อเธอในการอ้างถึงได้เสมอ และผมก็เห็นดีด้วยเผื่อสาวๆทั้งหลายจะได้เลิกตามและตอแยกับผมเสียที
ข่าวลือนี้กลับเป็นผลประโยชน์ให้กับโซ แซง ทุกคนคอยจับตาดู ดาวเด่นของบ้านเรเวคอลและดาวเด่นของบ้านฮัพเพิลพัฟ แต่ผมกลับนิ่งเฉย ช่างประไรผมไม่สนหรอก เพราะความเป็นจริงแล้วผมกับโซไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่การที่ผมนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้มันก็กลายเป็นดาบสองคมให้กับตัวผมเองเหมือนกัน คุณลองตามเรื่องผมไปเรื่อยๆสิแล้วคุณจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม
ดูเหมือนแผนการนี้จะสำเร็จไปพักหนึ่ง แต่ตอนนี้มันเริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้วสาวๆเริ่มตามผมแจโดยไม่สนว่าผมมีแฟนแล้วหรือไม่ จนผมเริ่มปลงๆแล้วล่ะ คงมีวิธีเดียวเท่านั้นคือใช้ความว่องไวของการเป็นแวมไพร์ให้เป็นประโยชน์โดยคอยหลบหนีบรรดาหนุ่มๆที่อยากตีซี้เป็นเพื่อนผมและบรรดาสาวๆที่อยากเป็นแฟนกับผม ด้วยความรวดเร็ว
อย่างวันนี้ก็เช่นกันผมใช้ความว่องไวของการเป็นแวมไพร์หลบหนีออกมาเพื่อหาที่สงบๆครุ่นคิด ผมยังมีเรื่องของเฮอร์ไมโอนนี่ ที่ยังคงเคลือบแคลงใจผมอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมกระสับกระส่ายและหงุดหงิดมากกว่าปกติ
มุมสงบของผมถ้าไม่ใช่ที่ป่าต้องห้ามอันน่ากลัวของนักเรียนคนอื่น อีกที่หนึ่งคือที่ๆผมกำลังมุ่งหน้าไปซึ่งมันก็คือห้องสมุด ผมคิดว่าคงจะไม่เจอใครในนั้นมากนักเพราะคนส่วนมากอยู่ในห้องโถงใหญ่ กำลังพูดคุยกันและมีความสุขกับการกินและดื่ม
ผมมุ่งหน้าไปที่ประจำของผมอย่างรวดเร็วพื่อจะหลีกให้พ้นจากความสนใจของมาดามพินซ์และนักเรียนคนอื่นที่ตามหลังผมเข้ามา ซึ่งสิ่งที่ผมแสดงได้ดีก็คือแกล้งทำตัวให้เป็นปกติที่สุด
เมื่อปีที่แล้วผมต้องใช้เวลาหลายเดือนทีเดียวเพื่อที่จะสลัดเพื่อนร่วมห้องของผมเพื่อที่ผมจะได้อยู่ตามลำพังซึ่งผมเองก็พอจะเข้าใจดีว่าผมเป็นที่สนใจมากน้อยแค่ไหนต่อคนปกติ
ในตอนนี้ขณะที่ผมนั่งอยู่ที่มุมโปรดของผม ผมได้ยินเสียงการค้นตว้าของพวกนักเรียนในฮอกวอตส์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเปืดหนังสือ เสียงขีดเขียนลงบนสมุดหนัง และเสียงพูดคุยปรึกษาในเรื่องการค้นคว้า ซึ่งผมก็คาดหวังอย่างงั้นอยู่ก่อนแล้ว
10นาทีผ่านไป ผมไม่ต้องการให้เป็นที่สงสัยของใคร โดยเฉพาะตอนนี้บรรณารักษ์ผู้เคร่งเครียด กำลังมองตรงมาที่ผม ผมจึงต้องหาอะไรทำอย่างรวดเร็ว ผมกางหนังสือออกและเขียนลงไปบนกระดาษหนังซึ่งการบ้านที่ผมทำไม่ได้ยากสำหรับผมเลย และมันทำให้ผมรู้สึกดีเวลาที่เสนปไม่สามารถหาข้อผิดพลาดในการบ้านของผมได้ เพื่อเป็นข้ออ้างในการต้องถูกทำโทษหรือดุด่าเล่นแม้จะเพียงเล็กๆน้อยๆก็ตาม
ศาสตราจารย์สเนปไม่พอใจนักที่มีผมร่วมเรียนอยู่ในชั้นเรียนของเขาด้วย ผมอ่านใจเขาออก ไม่ว่าอาจารย์จะพยายามจะซ่อนความคิดของตัวเองเพื่อไม่ให้ผมอ่านใจเขาได้ก็ตาม
แต่ผมไม่สนใจศาสตราจารย์สเนปหรอก เพราะดับเบิลดอร์ได้สัญญากับผมไว้แล้วว่าตราบใดที่ผมอยู่ในฮอกวอตส์จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอนซึ่งผมก็ควรจะเชื่อในอาจารย์ใหญ่ของผม
คุณว่าถูกไหม!
ท่ามกลางความคิดเหล่านั้น
ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนกำลังแบกอะไรหนักๆ เพราะเสียงก้าวเดินนั้นช้าและเป็นจังหวะค่อนข้างระมัดระวัง
ผมขยับศรีษะไปอีกด้านหนึ่งเพื่อฟังให้ถนัดยิ่งขึ้น สิ่งซึ่งผมได้ยินคือความคิดของมาดามพินส์เรื่องที่นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ให้ความเคารพต่อหนังสือพวกนี้
ผมยืนขึ้นและขยับตัวอย่างเงียบเชียบแต่รวดเร็ว ผมยิ้มเยาะในเสี้ยววินาทีหนึ่งและคิดว่าพ่อแม่บุญธรรมของผมจะมีปฎิกิริยาอย่างไรกับการที่ผมทำเหมือนจะล่าบุคคลนิรนามนี้
ผมไม่เคยแตะมนุษย์...ซึ่งผมกลายเป็นที่น่าชื่นชมของพ่อและแม่บุญธรรมเป็นอย่างมากในหลายปีมานี่ผมไม่เคยดื่มเลือดจากมนุษย์เป็นๆเลย จะมีบ้างที่ผมจะออกล่าผู้คนเพียงเพื่อ ที่จะบรรเทาด้านที่เลวร้ายของผมเท่านั้น
ผมตัวแข็งในทันที เมื่อสิ่งที่ผมเห็นว่า ใครคือผู้ที่ถูกล่า ดวงตาสีเทาของผมมองตามเฮอร์ไมโอนี่ไปทันทีที่เธอเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมใบหน้าที่มุ่งมั่นของเธอ ผมเดินถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่ออยู่ในมุมมืดเพื่อกอดอกมองดูเธออยู่เงียบๆ ผมยอมรับว่ากลิ่นหอมจากตัวเธอ มันอยู่เหนือการควบคุมของผม ผมพยายามจะทำความเข้าใจว่าทำไมกลิ่นของเธอจึงแตกต่างจากของคนอื่นๆ ที่ผมเคยสัมผัส นั่นทำให้ผมต้องข่มความกระหายภายในใจเอาไว้
ผมยังพยายามที่จะเข้าถึงความคิดของเธอขอแค่เพียงได้ยินความคิดเดียวเท่านั้น......แต่ผมก็ค้นพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะจนถึงกระทั่งเวลานี้ ไม่เคยมีใครอย่างน้อยก็พวกมนุษย์เป็นๆ ที่จะสามารถซ่อนความคิดอ่านไปจากผมได้ ไม่แม้กระทั้งดับเบิลดอร์ ซึ่งการที่ดับเบิลดอร์ ให้ผมอ่านความคิดของเขาได้นั้น เพราะผมได้หลั่งเลือดสาบานเอาไว้ว่าจะไม่ใช้พลังของผมทำร้ายใคร หรือทำให้ใครได้รับความอับอาย ทำความเสื่อมเสีย หรือเป็นอันตรายไม่ว่าจะต่อนักเรียนหรืออาจารย์ในฮอกวอตส์ก็ตาม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมได้สาบานเอาไว้
ผมไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อที่จะรู้ถึงความคิดเธอได้ โดยการที่ไม่ต้องเสี่ยงที่จะต้องฝังเขี้ยวลงไปที่ต้นคอขาวๆของเธอ เพื่อดูดเลือด ผมจึงตัดสินใจเฝ้ามองเธอและสำรวจเธออย่างเงียบๆ
เธอไม่สวยมากนักเมื่อเทียบกับพวกแวมไพร์สาวๆ แต่เธอก็มีความงามที่ซ่อนอยู่ภายใน เวลาที่ดวงตาของเธอสั่นระริกไปมา ด้วยความชื่นชอบและมุ่งมั่นและวิธีที่ริมฝีปากของเธอ เม้มอย่างอดกลั้นเวลาที่เธอกำลังใช้ความคิด
ถ้าเทียบกับมาตรฐานของผมแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเตี้ย สำหรับอายุของเธอแล้วเมื่อเทียบกับผู้ชายทั่วๆไปความสูงเธอปกติ ผมเธอไม่ตรงมากมันค่อนข้างหยิกเหมือนกับที่เขาพูดกันเมื่อตอนที่เธอเข้าฮอร์กวอร์ตใหม่ๆ
ผมกัดริมฝีปากอย่างแรงโดยไม่ได้ตั้งใจทันที เมื่อเห็นเธอกระโดดขึ้นเพื่อที่จะคว้าหนังสือเล่มหนึ่งแต่หนังสือไม่ได้ตกลงมาตามมือของเธอแต่ตัวเธอกลับกระเด็นออกมาจากชั้นหนังสือ
และหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ล้มลงและหนังสืออีกสองสามเล่มก็ตกตามลงมา
ผมพ่นลมออกทางจมูกเล็กน้อยอย่างหงุดหงิดที่ทำอะไรมากไม่ได้ เมื่อผมเห็นเธอตัวแข็งและสีหน้าของเธอที่แสดงถึงความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด สักครู่ก็เกิดเสียงดังครืนแล้วหนังสือเล่มโตอีกสองสามเล่ม ก็ตกตามลงมาใส่ตรงตำแหน่งที่เธอนั่งอยู่
ด้วยความลืมตัว
ผมใช้ความเป็นแวมไพร์วิ่งไปอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะคว้าหนังสือพวกนั้นก่อนที่มันจะตกลงมาใส่เฮอร์ไมโอนี่
ผมว่านะ แม้กระทั่งซีกเกอร์ที่ว่าเก่งที่สุดในโลกก็ไม่อาจเทียบความไวกับผมได้ ผมคิดว่างั้น
ความตกใจบนหน้าเธอเปลี่ยนเป็นความมึนงง เมื่อเธอหันกลับมามองที่ผม แล้วย้อนกลับไปมองที่หนังสือบนมือของผมและเธอยังคงมองไปที่หนังสือนั้นเฉยอยู่เหมือนคนครุ่นคิด
“นายทำยังไง” เฮอร์ไมโอนี่ครางเมื่อเห็นผมวางหนังสือลงข้างๆตัว
ในตอนนี้ เมื่อผมได้มองเธอใกล้ๆเท่าไหร่ผมก็ยิ่งเห็นความงดงามของเธอ ยิ่งตอนนี้ผมเธอบางส่วนนั้นหล่นลงมาจากที่มัดผมแล้ว ทำให้เธอดูเซ็กซี่มากขึ้นกว่าเดิม
แก้มเธอเป็นสีจางๆออกชมพู แต่ใบหน้าของเธอนั้นค่อนข้างซีดขาวด้วยความตกใจที่ยังหลงเหลืออยู่ และผมสังเกตเห็นว่าเธอแสดงอาการเจ็บปวดจากการที่เธอล้มนั้นโดยการจับที่ข้อขาของตัวเองและนวดมันเบาๆ
“อู๊ย” เธอเผลอครางออกมาด้วยความเจ็บทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วง
“เธอเจ็บนี่”เสียงของผมบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแทนเธอมากกว่าที่จะเป็นคำถาม ผมดูกังวลเมื่อมองสีหน้าเธอที่ดูเจ็บปวด
“มันไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกมันแค่พลิกเท่านั้น” เฮอร์ไมโอนี่นั้นต้องยอมรับความจริงเพราะสายตาสีเทาของผมที่จ้องมองเธอเพื่อที่จะค้นหาความจริง
“ยืนไหวไหม หรือจะให้อุ้ม ” ผมถามทีเล่นทีจริง ในขณะที่สังเกตเห็นว่าหน้าเธอแดงกว่าเก่า เธอตาโดมองผม ซึ่งในตอนนี้มือของผมข้างหนึ่งจับแขนของเธอไว้หลวมๆ ผมมองหน้าเธอตอบ และ ผมยังไม่ละความพยายามที่จะอ่านใจเธอ
เธอส่ายหน้าเล็กน้อยและพยายามยืนขึ้น แต่ผมก็ช่วยเธอโดยใช้มืออีกข้างหนึ่ง มาโอบที่เอวของเธอ เพื่อช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น จนกลายเป็นว่าผมกำลังโอบหรือกอดเธออยู่ เธออ้าปากค้างด้วยความตกใจและผงะออกดวงตาของเธอประสานสายตาสีเทาของผม แต่ผมก็ยังคงไม่ถอยห่างออกจากเธอ
ผมกำลังดื่มด่ำอยู่กับกลิ่นกายที่หอมละมุนของเธออยู่ ผมคงไม่โง่พอที่จะปล่อยโอกาสที่หาได้ยากนี้หลุดลอยไปแน่
และมันช่างเป็นเรื่องที่โชคดีของทั้งผมและเธอที่ชั้นหนังสือตรงบริเวณนั้นไม่มีนักเรียนฮ๊อกว๊อตส์คนใดอยู่ตรงนั้นเลย ยกเว้นเธอและผมเท่านั้น
ด้วยความสับสนเล็กน้อย เธอจับมือของผมที่โอบรอบเอวของเธอ เพื่อพยุงตัวเธอขึ้น เมื่อเธอยืนขึ้นได้แล้วตัวเธอเซเข้ามาหาอ้อมอกของผม แต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการอึดอัดใดๆทั้งสิ้น จะมีก็แต่เธอ ที่ขืนตัวให้ออกห่างจากผมที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ผมคิดว่าเธอได้สัมผัสถึงลมหายใจของผมและมือของเธอที่สัมผัสถูกมือเย็นๆของผม ซึ่งมันไม่ใช่แค่เย็นธรรมดาแต่มือของผมมันเย็นเหมือนน้ำแข็ง
ผมเห็นเธอสะดุ้งและชักมือเธอกลับอย่างรวดเร็ว เธอพยายามดันตัวเธอออกห่างจากผมแต่ผมกลัวว่าเธออาจจะล้มเสียก่อน ผมเลยยิ่งกระชับวงแขนของผมและดึงตัวเธอเข้าหา
“อย่าดิ้นสิ เกรนเจอร์ เธอจะพาพลอยให้ฉันล้มลงไปด้วย”
ผมแกล้งดุใส่เธอ พร้อมกับพยุงตัวเธอพาไปนั่งที่โต๊ะตัวที่อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นอย่างระมัดระวังโดยไม่ปล่อยโอกาสไว้ให้เธอทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับความว่องไวเกินมนุษย์ของผม เธอเงยหน้าขึ้นมองผมก็พบว่าผมเองก็จ้องมองเธออยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน
“เธอทำได้ยังไง”เฮอร์ไมโอนี่ถามซ้ำอีกครั้ง คำถามนี้ไม่ใช่เป็นเพราะว่าผมดูมีเสน่ห์ จนเธอต้องหาเรื่องขึ้นมาคุยกับผมแน่ๆ แต่เธอพยายามจะทำความเข้าใจว่าคนธรรมดาจะเคลื่อนไหวได้เร็วอย่างนั้นได้อย่างไรมากกว่า และนั่นคือสิ่งที่ผม กลัว
“ฉันแค่หยุดหนังสือพวกนั้นไว้ไม่ให้หล่นมาใส่เธอเท่านั้นเอง”ผมตอบเพื่อที่จะบ่ายเบี่ยงความสนใจของเธอในเรื่องความเร็วที่ผิดธรรมดาของผม
“แต่...แต่ เธอขยับตัวฉันเห็นนะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด
“เธออย่าเพิ่งถามอะไรมากเลย เธอกำลังเจ็บอยู่” ผมพูดบ่ายเบี่ยงซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปผมเองก็คงอ่านความคิดพวกนั้นออกและรู้ว่าควรรับมือกับมันอย่างไร แต่กับเฮอร์ไมโอนี่ ผมมองไม่เห็นทางออก
เฮอณ์ไมโอนี่ไม่ยอมรับฟังคำพูดของผมดูท่าทางของเธอต้องการคำตอบมากกว่าอย่างอื่น
“แต่เธอรับหนังสือนั้นไว้ได้ เพียง เสี้ยว วินาที...และเมื่อเธอ”
ดวงตาของเธอเบิกกว้างเพราะความสงสัยใหม่ของเธอ ผมจ้องมองเธอที่ดวงตา อย่างแปลกใจ เธอกำลังสงสัยอะไรผม เธอคงจะไม่ฉลาดพอหรอกนะว่าผมเป็นอะไร ไม่ ต้องไม่ใช่อย่างงั้น ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดและพะวง กับท่าทีของเธอ
แต่การเข้ามาของคนสองคนทำให้ตัวของผมเริ่มเกร็ง พวกเขาอยู่ไกลพอที่จะทำให้ผมพอมีเวลาที่จะอธิบายเพื่อทำให้เธอลืมสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของผมและความดื้อรั้นมากมายของธอทำให้ผมต้องล่าถอยออกมาในที่สุด
“ขอร้องล่ะอย่าพูดอะไรอีก” ผมก้มลงกระซิบที่ริมหูของเธออย่างแผ่วเบาก่อนจำเป็นต้องล่าถอยออกมา
เฮอร์ไมโอนี่พยุงตัวเองขึ้นยืนข้างๆโต๊ะ แต่ดวงตาของเธอที่มองเขาก็ละหันไปมองที่เสียงกระหืดกระหอบของเพื่อนทั้งสองชั่วครู่ หลังจากนั้นเธอมองกลับมาทีเขายืนอยู่ แต่เขาได้หายไปเสียแล้วเธอนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความมืนงง ไม่ว่าจะเพราะข้อเท้าที่เจ็บหรือสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ตาม
“เฮอร์ไมโอนี่ เราตามหาเธอแทบตาย”รอนกล่าวเมื่อเขาและแฮร์รี่มาถึงที่โต๊ะ แต่เฮอร์ไมโอนี่มองดูพวกเขาด้วยความมึนงง
“เฮอร์ไมโอนี่เธอเป็นอะไรหรือเปล่า...เธอดูเหมือน” แฮร์รี่โบกมือไปมาต่อหน้าเธอ เธอส่ายหัวและจับไปที่ข้อเท้าที่เจ็บ
“ฉันล้ม....ฉันคิดว่าข้อเท้าฉันแพลง” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาช่วยพยุงตัวเธอซึ่งการเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นเฮอร์ไมโอนี่คิดว่า ช้ากว่าเซดริกเสียอีก
และนั่นทำให้เธอสงสัยอะไรในตัวของเขาบางอย่าง บางอย่างที่เธอจะต้องสืบรู้ให้ได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็ตาม
ความคิดเห็น