คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter : 1 การฟื้นคืนชีพของแวมไพร์หนุ่มในโรงเรียนฮอกวอร์ต
fic แปลHogwarts Twilight : Hellen Lou http://www.fanfiction.net/s/4789773/1/Hogwarts_Twilight
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทนำ
ถ้าคุณเป็นนักเรียนอยู่ที่ฮอกว๊อร์ต คุณควรมั่นใจได้เลยว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน อย่างน้อยๆคุณก็เป็นคนมีอำนาจหรือเวทมนต์ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งของต่างๆได้อย่างที่คุณต้องการ
แต่สำหรับผมมันเป็นอะไรที่มากมายกว่านั้น
อะไรน่ะ ! คุณคิดว่าผมหล่อและป๊อปปูล่าที่สุดในฮอกวอร์ต งั้นเหรอ โอ้ว ขอบคุณนะที่ชม อือ อันนั้นมันก็ใช่ แต่มีอยู่อีกข้อหนึ่งที่ผมค่อนข้างแตกต่างนะ
ผมน่ะเป็นแวมไพร์นะ และนั่นแหละคือข้อแตกต่างจากนักเรียนคนอื่นๆ
ไม่ ไม่นะ นั่งลงก่อน ไม่ต้องกลัวผม ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก อย่างน้อยก็ดูท่าทางว่าคุณสนใจที่อยากจะฟังเรื่องราวของผม
คุณอยากให้ผมเล่าเรื่องของผมตอนไหนดีล่ะ? ขอผมคิดดูก่อนนะ
คงจะไม่ใช่อยู่ในช่วง”การต่อสู้จากศาสตร์มืด”แน่ เรื่องของผมน่ะเริ่มต้นมาจากที่นั่น
เมืองฟ๊อกซ์ ผมเดาได้ว่าคุณคงไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้เท่าไหร่มันก็ไม่แปลกหรอก มีคนไม่มากนักที่จะเคยได้ยินหรือรู้จักเพราะความที่เป็นเมืองที่ผู้คนส่วนใหญ่ค่อนข้างแปลกๆไม่ค่อยปกตินัก จึงเป็นความคิดที่ดีที่ครอบครัวของเราควรจะไปอยู่ร่วมกับคนแปลกๆเหล่านั้นด้วย คุณคงขำสิน่ะ ก็ แหมพวกเราปกติที่ไหนกันเล่า
พวกเราอยู่ร่วมกับคนพวกนั้นมาโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีแวมไพร์อยู่ในเมืองของพวกเขาด้วย ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องที่เราต้องการอยู่แล้ว
และแล้วมันก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่พรากครอบครัวแท้จริงของผมไปและทิ้งผมไว้เพียงลำพังคนเดียว แต่ผมไม่อยากเล่าเรื่องนี้นัก มันเป็นความลับของผม! คุณคงเข้าใจใช่ไหม เอาเป็นว่าผมจะพาพวกคุณไปเจอกับครอบครัวใหม่ของผมกันเลยดีกว่า
นายและนางเอมอสและคาร่า ดิกกอรี่ ใช่แล้วนี่คือครอบครัวใหม่ของผมพวกเขาเป็นห่วงเป็นใยผมเสมอแม้พวกเขาจะไม่ได้ให้กำเนิดผมมาก็ตามที
พวกเราหมายถึงผมและครอบครัวใหม่ย้ายกลับมาที่อังกฤษ และผมก็ได้มาเรียนต่อที่ฮอกวอร์ต ตอนที่ผมอายุ 16ปีตลอดกาลของผม บางคนอาจจะแปลกใจกับคำพูดของผมไม่ต้องแปลกใจอย่างงั้น ก็ตอนที่ผมเป็นแวมไพร์น่ะผมอายุได้ 16 ปีพอดี และคุณก็รู้ว่าแวมไพร์เป็นชีวิตที่อมตะไม่มีวันแก่และตาย พวกคุณคงคิดว่าผมโชคดีเป็นบ้า แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด?
ทำไมล่ะ?
โอ้ นั่นคุณคงอยากจะถามต่อละสิ ไม่เอาดีกว่าติดตามเรื่องราวของผมไปเรื่อยๆสิแล้วคุณจะรู้ว่าทำไม
อ้อมีอีกอย่างที่พวกคุณอาจประหลาดใจผมเคยเรียนที่ฮอกวอร์ตมาก่อนเมื่อ 20ปีที่แล้ว ก็ภายในร่างอายุ16ปีของผมเนี่ยล่ะก่อนที่ผมจะย้ายไปฟ๊อกเสียอีก และในตอนนี้ผมจะต้องกลับมาเรียนที่นี่อีกครั้งในร่างกายอายุ 16ปีของผม
ศาสตราจารณ์ดับเบิ้ลดอร์เป็นชายแก่ที่มีความเฉลียวฉลาดที่สุดเท่าที่แวมไพร์อย่างผมเคยเจอะเจอ เขาทำนายผมไว้ด้วยนะว่าหลังจากผมออกจากฮอกวอร์ตไปแล้วหลังจากนั้นอีก20ปีผมจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน
และมันก็เป็นจริง
ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวย ผมแกล้งทำเป็นนักเรียนฮอกวอร์ตทั่วไป ซึ่งศาสตราจารณ์ดับเบิลดอร์และอาจารณ์บางคนก็ต้องคอยปกป้องความลับของผมอยู่
ใช่แล้ว ผมกลับไปที่ฮอกวอร์ตในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนชั้นปีที่5 ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ปีผมก็ค้นพบตัวเองว่า
ไม่ใช่คนที่ห่อเหี่ยวหมดกำลัง แต่..... เป็นสิงโตที่กล้าแกร่ง
**********************************************************
Chapter:1 การฟื้นคืนชีพของแวมไพร์หนุ่มในโรงเรียนฮอกวอร์ต
ตอนเช้าที่อากาศขมุกขมัวในเดือนสิงหาคมของโรงเรียนฮอกวอร์ตกลายแป็นเช้าที่น่าเบื่อของนักเรียนหลายๆคน รวมทั้งตัวของผมเองด้วย การเริ่มต้นของเดือนนี้คือการเริ่มภาคเรียนใหม่ ซึ่งไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเลยสำหรับแวมไพร์อย่างผม
อ้อ แต่มีอย่างหนึ่งบางทีคุณอาจจะคิดว่ามันน่าสนุกเหมือนกับนักเรียนและอาจารณ์อีกหลายๆคนคิด การแข่งขันไตรภาคีที่กำลังจะมาถึงในฮอกวอร์ต คุณคิดว่ามันน่าสนุกไหมล่ะ
ผมอ่านความคิดของนักเรียนหลายๆคนที่เขาเดินผ่านหน้าผมไปมาขณะที่ผมเดินเพียงลำพังเข้าไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อรัปทานอาหารเช้าตามธรรมดาที่คนปกติทั่วไปกินกัน
ภายในห้องโถงใหญ่อัดแน่นไปด้วยเหล่านักเรียนของฮอกวอร์ตและเหล่าคณาจารณ์ที่มารวมตัวกันเพื่อทานอาหารร่วมกันภายในห้องนี้ ผมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากรอบๆตัวเซ็งแซ่ไปหมด เกี่ยวกับเรื่องการแข่งขันไตรค์ภาคีแต่ผมไม่สน ตอนนี้ผมกำลังมุ่งความสนใจกับความคิดของสาวสวยผมยาวดำขลับที่นั่งไกลออกไปอีกสองช่วงโต๊ะ เธอหันมามองผมหลายรอบและยิ้มให้ พอกับสาวๆหลายกลุ่มในห้องนั้น แต่ผมกลับเลือกที่จะสนใจเธอคนนี้มากกว่า ใบหน้าของเธอสวยงามมากจนผมแอบลอบมองอีกหลายครั้ง ผมดำขลับของเธอยิ่งทำให้ดวงตาสีดำของเธอเด่นยิ่งขึ้น ผมพอจะรู้จักเธออยู่บ้างเพราะเธอเป็นดาวเด่นของบ้านเรเวคอล และมีหนุ่มๆหลายคนตามจีบอยู่ในตอนนี้ รวมถึงสก๊อตส์เพื่อนของผมด้วย เธอชื่อ โซ แซง
ผมสนใจเธอ ?เปล่า ก็แค่เธอสวย เหมือนผู้ชายหลายๆคนที่ชอบมองคนสวยๆ หรือคุณ
“เขากำลังยิ้มให้ฉัน “ นั่น เธอกำลังคิด
แต่ก่อนที่ผมจะทำให้หัวใจของโซ แซง ละลายมากไปกว่านี้ เสียงดังแหลมเล็กของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ผมตกใจจนต้องหันกลับไปมอง
“นี่พวกเธอจะคุยอะไรกันหนักหนาเรื่องภาคี ถอยให้ฉันเดินหน่อยสิ ปิดทางไว้หมดแบบนี้แล้วใครจะเดินเข้าไปได้”
เด็กสาวผมสีน้ำตาลหยิกเป็นลอนเล็กๆมีหนังสือเล่มโตแนบอกกำลังตวาดกลุ่มนักเรียนที่คุยกันถึงเรื่องไตรภาคีอย่างเมามันและยืนขวางทางเธอจนเธอไม่สามารถเดินเข้าไปยังโต๊ะอาหารด้านในได้
นอกเหนือจากนักเรียนคนอื่นก็คงจะมีเพียงผมกับเธอคนนี้ละมั้งที่ไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับเรื่องนี้เลย
กลุ่มนักเรียนคนอื่นๆรีบเปิดช่องว่างให้เธอได้เดินหนีเข้าไปยังโต๊ะกลุ่มกริฟฟินดอร์
สำหรับเด็กผู้หญิงคนนี้ ผมไม่ค่อยรู้จักหรือคุ้นเคยด้วยเท่าไหร่ ชื่อของเธอถ้าจำไม่ผิดเธอชื่อ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ผมว่าเธอชื่อนี้นะ ทำไมผมต้องทำความรู้จักกับเธอล่ะบ้านของผมและบ้านของเธอไม่ได้มีเรื่องราวที่จะต้องเกี่ยวข้องกัน ผมรู้แต่ว่าเธอเรียนอยู่ปีสามและเธอเป็นหนึ่งในกลุ่มทรีโอกลุ่มเพื่อนรักสามสหาย ที่โด่งดัง แต่ผมไม่สนใจหรอกเพราะผมไม่ด่อยพบพวกเขาสักเท่าไหร่ อีกอย่างถ้าพูดถึงความสนิทแล้วบ้านเรเวคอลและบ้านฮัพพัฟเพิลจะสนิทกันมากกว่าเพราะเวลาทำกิจกรรมร่วมกันบ้านสองบ้านนี้จะต้องจับคู่กันเสมอซึ่งผมก็พอใจกว่าจะให้ไปคู่กับบ้านสลิธลีนที่ค่อนข้างจะเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและมักจะเป็นคราวเคราะห์ของพวกกริฟฟินดอร์เสมอที่มักจะเข้าคู่กับบ้านนี้ประจำ
ผมมองกลับไปหาโซ แซงและเธอก็มองผมอยู่เช่นกัน ผมยิ้มให้เธออีกครั้งก่อนที่จะเห็นเธอยิ้มอายๆและหันกลับไปสนใจอาหารในจานต่อไปผมรู้ว่าเธอกำลังคิดเรื่องผม ก็ผมอ่านใจคนออกนี่ครับ แต่ผมก็สลัดความคิดของเธออกไปแล้วหันมาสนใจรอบๆข้างของผมกันบ้าง
คนส่วนมากรอบข้างผมกำลังพูดและคิดกันถึงเรื่องการแข่งขันไตรภาคีที่จะมาถึงนี้นักเรียนส่วนมากชอบการจัดงานที่ยิ่งใหญ่และสนุกสนาน แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับพวกเขาผมไม่ชอบปรากฏตัวในสถานที่มีคนเยาะ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร คุณก็รู้นี่ว่าเพราะอะไร ผมต้องพยายามหลบหลีกตัวตนที่แท้จริงของผม หลบหลีกไม่ให้คนรู้ว่าผมเป็นแวมไพร์ และนี่ก็ข้อหนึ่งล่ะที่มันยากที่จะหลบหนีไปได้
เสียงพูดคุยของคนหลายๆคนในห้องตอนนี้ทำให้ผมหงุดหงิดและเวียนหัว ผมพยายามทำใจให้สงบเพื่อปิดเสียงอันวุ่นวายของคนพวกนั้น ผมว่าการปิดเสียงของพวกเขาทำได้ง่ายกว่าการปิดความคิดของพวกเขานะ
คุณรู้อะไรไหมผมว่าความคิดของพวกวัยรุ่นในยุคนี้มันเป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมความคิดของพวกเขารุนแรงมากกว่าวัยรุ่นสมัยเมื่อร้อยปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
คุณอย่ารู้เลยว่าพวกเขาคิดอะไรกันมันนอกประเด็นที่ผมจะพาคุณมาดู
การที่ผมต้องนั่งอยู่ท่ามกลางพวก ฮัพเพิลพัฟ และคนจำนวนมากๆอย่างนี้ทุกๆวัน มันทำให้ผม อยากที่จะฝังเขี้ยวของผมลงไปที่คนพวกนั้นแม้ความคิดนี้มันจะฝังอยู่ในหัวของผมตลอดเวลาก็ตาม แต่ผมก็ทำอย่างที่คิดไว้ไม่ได้หรอก เพราะผมรู้สึกตลอดเวลาว่ามีคนจ้องมองผมอยู่ จะใครเสียอีกล่ะครับ คนที่ฉลาดที่สุดในฮอกวอร์ตและคนที่นำผมกลับมาเรียนไงครับ คุณเก่งนี้! ใช่แล้วเขาคือ ศาสตราจารณ์ดับเบิ้ลดอร์นั่นเอง ถึงแม้เขาจะไว้ใจให้ผมมาเรียนที่นี่แต่เขาก็ยังคงจับตาดูผมอยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกได้ดีเวลาที่เขาจ้องมอง ผมล่ะเกลียดความรู้สึกแบบนี้จัง
“นายอยากจะลองบ้างไหม”
สก๊อตถามผมพร้อมโยกจานเบคอนมาอยู่ตรงหน้าผม แต่ผม ยักไหล่ ระหว่างผลักอาหารเขาไปไกลๆ ไม่ใช่ว่ามันไม่น่าพิสมัย หรือมากไปสำหรับผมหรอก แต่ข้อเท็จจริงที่ง่ายๆก็คือ ผมไม่เคยกิน ตราบใดที่เป็นอาหารสำหรับมนุษย์
“ฉันไม่เข้าใจเลยทำไมพวกเขาต้องคอยจับตาดูพวกเราด้วยนะ” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ซึ่งทุกๆคนไม่ได้สังเกตเห็น แต่สก๊อตนั้นสัมผัสได้ถึงโทนเสียงนั้น
“ไม่แปลก เพราะพวกเราไม่ใช่คนปกติธรรมดานะสิ”สก๊อตส์กดเสียงพูดของเขาให้ต่ำเพื่อได้ยินกันสองคน
“แล้วทำไม ต้องเอาข้อเท็จจริงที่ว่าฉันไม่ใช่คนปกติขึ้นมาอ้างด้วยล่ะ”ผมคำรามเล็กน้อยแต่โชตดีของผมที่มีเสียงนักเรียนที่พูดคุยกันจนกลบเสียงของผมจนหมด สก๊อตต้องหันหน้ามามองผมเพื่อปรามให้ผมสงบลง สก๊อตส์เข้าใจผมดีพอๆกับที่ผมก็เข้าใจเขาเช่นกัน เพราะการที่ตัวของเขาเองก็เป็นครึ่งมนุษย์หมาป่าเขาจะต้องปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับทั้งของเขาและของผมด้วย
“มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายไม่ใช่เหรอ เอาน่าทนๆเอาหน่อย ว่าแต่นายจะลงแข่งขันด้วยไหม ทุกคนฝากความหวังไว้ที่นายนะ” สก๊อตส์พยายามเปลี่ยนเรื่องพูดซึ่งก็ได้ผล มันทำให้ผมไม่อยากคุยเรื่องอะไรอีกเลย
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วย” ผมพูดพึมพำเบาๆแต่สก๊อตส์กลับได้ยิน ผมลืมไปว่าผมอยู่ร่วมกับสุนัขหมาป่านี่นาหูของเขาว่องไวพอๆกับผมอยู่แล้ว
“ก็เพราะว่านายเป็นนักเรียนดีและยอดเยี่ยมทุกอย่างเพราะฉะนั้นเขาจะเลือกใครได้ล่ะ”สก๊อตย้อนถามกลับไปยังผม ผมกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วถอดถอนหายใจ สก๊อตยิ้มเยาะผมนิดหนึ่ง และคิดว่าเขาชนะในการโต้เถียงกับผมในครั้งนี้
“แล้วทำไมนายไม่ลองดูบ้างล่ะ” ผมถามสก๊อตในขณะที่เขามองผมและส่ายหัวไปมา
”นายจะให้ฉันกลายเป็นสัตว์เลี้ยงขนปุกปุย เมื่อกิจกรรมจัดขึ้นตอนพระจันทร์เต็มดวงน่ะเหรอ ดิกกอรี่ ฉันนึกว่านายอ่านใจฉันออกเสียอีก”
สก๊อตพูดด้วยน้ำเสียงคำรามต่ำๆในลำคอซึ่งทำให้พวกที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างผมต้องเบือนหน้าหนีไปและขำกับท่าทีของสก๊อตในเวลาต่อมา
ก่อนที่ใครสักคนจะกวนอารมณ์ให้ขุ่น ก็เกิดบางสิ่งระเบิดขึ้นมาจากโต๊ะกริฟฟินดอร์
“โรนัลด์ วิสลี่ย์ นายนี่มันเหลือทนจริงๆ”
เฮอร์ไมโอนี่และคนอื่นๆกระโดดตัวลอยออกมาจากที่นั่งของตัวเอง โดยไม่สนใจแววตาของบรรดาอาจารณ์และเหล่าบรรดานักเรียนทั้งหลายที่อยู่บนโต๊ะประจำบ้านอื่นๆ และ ทันใดนั้นความเงียบก็ครอบงำบรรดานักเรียนที่อยู่ในห้องเกือบทั้งหมดรวมถึงตัวผมด้วย
“เฮอร์ไมโอนี่ ฉันไม่ได้ผิดปกติทางจิต นะฉันไม่ได้เจตนาให้มันระเบิดนี่นา แค่เสกคาถาผิดนิดเดียวเอง ทำไมมันระเบิดได้ล่ะ” รอนพูดออกไปเสียงอ่อยๆเพราะรู้ว่าตัวเองผิดพร้อมๆกับมองอาหารที่กระจายเกลื่อนเต็มโต๊ะอย่างเสียดาย
เฮอร์ไมโอนี่คำรามอย่างหัวเสียไปที่รอน
“เฮอร์ไมโอนี่” จินนี่ วิสลี่ย์พยายามที่จะพูดด้วยเหตุผลเพื่อให้เพื่อนรุ่นพี่สงบใจลงแต่เฮอร์ไมโอนี่ดูเหมือนจะสนใจแต่เพื่อนผมแดงที่เธอเรียกว่าเพื่อนรัก
”ถ้าเธอเสกคาถาเล่นกลางโต๊ะอาหารแบบนี้อีกล่ะก็ รอน วิสลี่ร์ ฉันจะร่ายเวทมนต์ใส่เธอ เธอจะได้ไม่ต้องเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น” เฮอร์ไมโอนี่กระแทกปิดหนังสือก่อนที่เธอจะหอบหนังสือเล่มใหญ่และย่ำเท้าออกไปจากห้องโถงใหญ่ ทุกสายตากลับมาจ้องมองอยู่ที่พวกวิสลี่ร์ทันที
แต่สายตาสีเทาของผมกลับจับจ้องอยู่ที่ทางออกที่เฮอร์ไมโอนี่เดินออกไปด้วยความโมโห
“น่าขันจริงๆพวกนี้”สก๊อตส์พูดพร้อมกับหัวเราะเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องน่าขันก่อนที่เขาจะเอื้อมไปหยิบเบคอนโดยที่ไม่ได้สังเกตว่าผมยังไม่ได้ละสายตาไปจากประตูที่เด็กผู้หญิงที่ผมไม่เคยสนใจในตัวเธอมาก่อนเลยเดินออกไป
“นาย
หลายปีแล้วที่ผมใช้เวลาอยู่กับมนุษย์เพื่อที่จะเรียนรู้การได้ยินความคิดและสัมผัสกลิ่นของพวกเขา
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะโดนใครบางคนโค่นความสามารถของผมลงอย่างท้าทาย
“ดิกกอรี่” สก๊อตยังคงเรียกผมอยู่แบบนั้น
“ฉันไม่ได้ยินความคิดของเธอ” ผมกระซิบเสียงแผ่ว สก๊อต หรี่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มและมองตามไปยังประตูที่ผมมองอยู่
“นายไม่ได้ยินความคิดของเฮอร์ไมโอนี่ ตราบใดที่นายยังคงปิดกั้นมันนะสิใช่ไหม”สก๊อต พยายามถามในขณะที่ผมย่นหน้าผาก เพื่อที่จะพยายามทำความเข้าใจ
“ฉันไม่ได้ปิดกั้น....ฉันเปล่า..เออ..ฉันไม่ได้ยินความคิดของเธอจริงๆ”ผม ชี้แจงในขณะที่สก๊อตตกใจ
ผมรู้แต่ว่าตอนนี้ผมเริ่มสนใจเด็กสาวคนนั้น เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ขึ้นมาเสียแล้ว อะไรที่ทำให้ผมไม่ได้ยินความคิดของเธอเหมือนคนอื่นๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆสำหรับแวมไพร์อายุร้อยปีแบบผม เสียแล้ว
to be con.......
ความคิดเห็น