ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Devil's Fang - กลางคมเขี้ยวปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1: สอบปากคำในห้องเย็น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 24
      2
      27 มี.ค. 57

                    “........”

    เสียงแห่งความเยือกเย็นที่เงียบสงัด ไหลผ่านทะลุหูซ้ายของผม ไปออกหูขวาที่ซุกอยู่ใต้ผ้าพันคอเผือนหนา เบืองหน้าผมคือเด็กหนุ่มร่างสูง ผมดำฟูฟ้องไม่เป็นทรง มองตอบสายตามาจากกระจกสะท้อนบานใหญ่ตรงฝาพนัง

    ผมมองไปรอบห้องอีกเป็นรอบที่ 3

    ห้องสีขาวสะอาดแต่แฝงไปด้วยความทะมึนอันตรึงเครียด มีเพียงประตูเหล็กเย็นๆ โต๊ะเหล็กเก้าอี้พับสามตัว ที่ผมนั่งอยู่ตัวหนึ่ง และ กระจกบานใหญ่ตรงหน้า

    ผมกุมมืออยู่ระหว่างเข่าด้วยความกังวล สับสน   ไม่มีสิ่งใดทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ขยับเขยื่อนมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเข้ามานั่งในห้องเย็นๆนี้  ผมรอมาโดยไม่ขยับร่างกาย มีเพียงจิตใจที่กำลังดิ้นรนอย่างสับสน

    ”(เสียงประตูเปิดออก)”

    เสียงที่ทำลายความเงียบสงัดของห้อง ได้กระชากจิตใจของผมกลับสู่ความมีสติ

    ผมกระพิบตาถี่ๆนับหลายรอบต้อนรับสติของตนเองคืนสู่ที่อยู่

    ภาพที่รออยู่ตรงหน้า หาใช้เงาสะท้อนของเด็กหนุ่มหัวฟูคนเดิมไม่ แต่เป็นภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบสีกากีสองนาย นั่งลงบนเก้าอี้พับเหล็กสองตัวที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเหล็กอันเย็นเชียบ

    “โคโยอิ นัดสุสินะ” นายตำรวจคนแรกเอ่ยปากถามด้วยเสียงอันแหบต่ำ

    ระหว่างนั้น นายตำรวจคนที่สองนำสมุดจดออกมากาง ปากกาจ่อเตรียมพร้อม ราวกับจะจดบันทึกทุกๆเสียงในห้องห้องนี้

    “โคโยอิ นัดสุ จากเขตเหนือสินะ” นายตำรวจคนแรกถามซ้ำ

    ผมสูดลมเข้า ราวกับการรวบรวมความกล้า

    “จับผมมาทำไม....?” เสียงสั่นๆของผมเปล่งออกไป ด้วยความกล้าเคล้ากลัว

    “เธอไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลย” เจ้าหน้าที่พูดอย่างใจเย็น ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกคน จดลงสมุดมือเป็นระวิง “ฉันถามว่า เธอคือ โคโยอิ นัดสุใช่ไหม?...” เขาถามเป็นทั้งที่ 3 น้ำเสียงแลดูแข็งกร้าวขึ้น

    “ครับ......” ผมกล่าวออกไปอย่างแผ่วเบา

    “เธอรู้หรือเปล่า ว่าทำไมเธอถึงต้องมาอยู่ที่นี้? โดนสักถามแบบนี้?” เจ้าหน้าที่พูดขณะโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ราวกับต้องการจะมองหาวิญญานในดวงตาของผม

    “ก็ผมถามอยู่เนีย...” ผมพยายามทากเก่ง เพื่อสงบจิตใจตนเอง ที่กำลังสั่นอย่างเสียขวัญ

    “เธอไม่ได้กำลังตอบคำถามของฉันอีกแล้ว.....” เจ้าหน้าที่พูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา แต่ชัดเจนแบบที่ทำให้เส้นประสาทผมเย็นยะเยือกราวกับมีคนนำมีดน้ำแข็งมาแทงเขากลางไขสันหลัง “ฉันถามว่า เธอรู้ไหม ว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี้?....”

    ผมนั่งตัวแข็งด้วยความกลัว ตรงหน้าผม ควรจะเป็นแค่นายตำรวจธรรมดาคนหนึ่ง แต่ออร์ร่าแรงกดดันอันเย็นเยือกนี่มันแช่ผมจนไม่สามารถขยับอย่างกล้าหาญได้

    “ไม่ทราบครับ...” ผมตอบอย่างแผ่วเบา

    “ซาโตชิ..” เจ้าหน้าที่หันไปหาอีกนายหนึ่งที่นั่งจดบันทึกอยู่ตลอด

    นายตำรวจคนที่สองพลิกหน้าสมุดจดข้ามเล่มอย่างคล่องแคล่ว

    ผมกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียว ในใจสับสั่นไปด้วยความสับสนงงงวย ผมทำอะไรลงไป ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงต้องการตัวผม ทำไมถ้าผมรู้ตัวว่าตนเองไม่ผิด แล้วผมมานั่งกลัวอะไร ผมจะรอดกลับไปไหม?

    ผมพยายามหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อรวบรวมสติที่แต่กระเจิง ราวกับโมเลกุลของน้ำที่ถูกเร่งอูณหภมิ ที่ฟังแลดูตลกขบขัน แม้เทียบกับร่างกายของผมที่แข็งเกร็งราวกับรูปปั้นเย็นๆ

    -ผมทำอะไรลงไปวะ-   ผมคิดกับตนเอง ขณะที่สายตาจดจออยู่กับมือของเจ้าหน้าที่ ที่กำลังเปลี่ยนหน้าสมุดอย่างรวดเร็ว  –จำได้ว่าเลิกเรียนเสร็จ ว่าจะกลับบ้านเร็วแล้วที่เจอ...-

    “โคโยอิ นัดสุ” เจ้าหน้าที่นายที่สองพูดในที่สุด หลังจากเปิดเจออะไรบางอย่างในสมุดนั่น เสียงของเขาดึงผมกลับสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง “ในวันนี้ เวลา 17.25 คุณถูกพบเจออยู่ในจุดเกิดเหตุ คดีความมั่นคง”

    “....หา???” เจอที่ไหน?...คดีอะไรนะ? ทำไมผมจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

    “ตามรายงานของกองปราบปราม ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมพื้นที่ พวกเขาพบคุณอยู่ในสภาพงงงวย ไม่สามารถตอบสนองได้อย่างปกติ” เจ้าหน้าที่คนแรกหันมามองผม ดังจะจับสัญญาณการโกหกภายในลูกตา “ไหนเธอบอกเราสิ.....เธอไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น?”

    “ผ....ผมไม่รู้” เสียงผมเริ่มแตกพราด้วยความกลัว ความหนาวเย็นของห้องและความกลัวเริ่มทำให้ปากผมสั่นอย่างช่วยไม่ได้ “ผมจำอะไรไม่ได้จริงๆ......”

    สิ่งด้วยที่จิตใจที่กำลังแตกกระเจิงของผมคิดออกคือ หลังเลิกเรียน เพื่อนผมต้องอยู่ทำกิจกรรมชมรมต่อ ผมจึงใช้เส้นทางในซอยกลับบ้านแทนที่จะกลับทางถนนหลักที่กลับกับเพื่อนเป็นประจำ จากนั้น......

    จากนั้นผมก็มารู้สึกตัวรางๆบนรถอะไรสักอย่าง และมารู้สึกตัวจริงๆในห้องนี้เนียแหละ

    “เธอจำอะไรไม่ได้จริงๆงั้นรึ?” เจ้าหน้าที่เริ่มเปลี่ยนโทนเสียง เป็นเสียงที่นุ่มหูขึ้นและดูเป็นมิตรมากขึ้ “ฟังนะคุณโคโยอิ เราไม่ได้จะทำร้ายคุณ ไม่ต้องกลับไป แต่คดีที่คุณมาพัวพันด้วยเนี่ย มันเป็นคดีความมั่นคงที่สำคัญมาก เราต้องการข้อมูลมากที่สุดที่เราจะทำได้”

    คำพูดนั้นผ่อนคลายความตรึงเครียดได้ในระดับนึง ผมเริ่มจะประติดประต่อเรื่องราวได้

    แต่ก็ยังจำอะไรไม่ได้......นึกอะไรไม่ออกอยู่ดี.....

    สิ่งเดียวในหัวผมตอนนี่ไม่ใช่ความกลัวอีกต่อไป แต่เป็นความสับสน

    “คดีความมั่นคงที่ว่านี่มันคืออะไร....?” ผมห้ามความสับสนของตัวเองไม่อยู่จริง มันถ่าโถมเจ้ามาดังคลื่นยักษ์ “เกิดอะไรขึ้นกับผม....?”

    เจ้าหน้าที่ทั้งสองมองหน้าสบตากัน ร่าวกับว่ากำลังปรึกษาหารือกันอยู่ทางโทรจิต พูดตามตรงเถอะ ผมว่าตำรวจสมัยนี้มันมีโทรจิตที่จะสื่อสารกันโดยไม่ต้องพูด รู้ความคิด...ความรู้สึกของผู้ถูกสอบสวน จับผิดหาความจริงได้อย่างน่าหวาดกลัว

    “ดีมาก......เธอไปได้แล้ว” เจ้าหน้าที่พูดในที่สุด “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”

    “......หา????” ความสับสนงงงวยทะลักเข้าท่วมหัวสมองของผม “ต..แต่ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น” ผมลุกขึ้นพูดพยายามเรียกร้องขอคำตอบ “คดีที่ว่ามันคืออะไร? เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่???”

    เจ้าหน้าที่ไม่พูดอะไร เพียงแค่เปิดประตูเหล็กเย็นๆที่อยู่ข้ามผมมาตลอด แล้วพาผมออกไป

    ด้านหลังประตูคือทางเดินพื้นวัสดุสำเร็จรูป พนังด้านหนึ่งเต็มไปด้วยป้ายประกาศ กระดาษโนต และสายไฟรุงรัง อีกด้านเป็นแนวหน้าต่างแนวยาวตลอดทางเดินที่เปิดรับลมหนาวของฤดู

    ท้องฟ้านอกหน้าต่างนั้นมืดสนิดราวกับก้นมหาสมุทร บอกให้รู้ว่าเป็นเวลายามดึกแล้ว สายลมพัดพาใบไม้สีเหลืองที่กำลังล่วงหล่นจากต้นแปะก๊วยหน้าอาคารตรงข้ามที่ไฟดับสนิด สายลมพัดไปเป็นทางเดียวกัน ซึ้งคือตัวอาคารนี้

    ทำไมห้องที่ผมออกมามันหนาวเย็นนัก บัดนี้ได้รับคำตอบแล้ว

    ที่นี่ ตามที่รู้กันคือสถานนี้ตำรวจของย้านตะวันออก อาคารขนาดใหญ่ที่หันไปหาสี่แยกด้านหน้า สี่แยกที่ผมเดินผ่านตลอด เวลากลับบ้านกับเพื่อน อาคารนี้ผมจึงคุ้นเคยดี แม้จะไม่เดยเฉียดเข้ามาข้างใน

    เวลานี้อาคารส่วนใหญ่ก็ดับไฟกันหมดแล้ว แสงสว่างด้านนอกมีเพียงไฟริมถนน และรถเพียงไม่กี่คันเท่านั้น

    ท่าทางจะดึกมากแล้ว ผมจึงเช็กเวลาดู

    01.54 โอวฉิบหายลา ทำไมดึกขนาดนี้ ผมนั่งอยู่ในไอ้ห้อนนั้นนานขนาดไหนวะ ที่บ้านเป็นไง ไม่มีคนให้ทำอะไรกิน ผนคงโดนพ่อเล่นงานตายแน่น

    แต่เอาตามจริง ในหัวผมตอนนี้มันสับสนเคลื่นไส้แบบกินอะไรไม่ลงแล้ว แล้วคงไม่มีแรงไปเถียงกับพ่ออีกด้วย

    ผมตามนายตำรวจไปจนสุดทางเดิน แล้วลงบันไดมาที่ห้องโถงด้านหน้าที่เป็นห้องรับเรื่อง

    ที่ห้องรับเรื่องต้อนนี้มีเพียงนายตำรวจคนหนึ่งที่นั่งคุมโต๊ะรับเรืองท่าทางเซ็งๆ ดูละครดึกผ่านทีวีที่ติดฝาพนังอยู่ กับชายร่างสูงหัวหงอกอีกคน

    คนคนนั้นหันมา แยกเขี้ยวใต้หนวดเคราหงอกๆถอนหายใจ

    “ในที่สุดก็เสร็จสักที่นา—“ พ่อผมพูดด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน

    “อ้าว? ทำไมพ่อถึงมาอยู่เนีย?” ผมพูดด้วยความแปลกใจที่พบว่าคนแบบพ่อจะมาอยู่ที่นี้

    “ก็เค้าโทรเรียกพ่อให้มารับแกเนีย” พ่อพูดอย่างรำคารใจ “ไปได้แล้ว.....อ่อจ่า แล้วพรุ่งนี้รอดู ฉันบอกได้เลย ไม่เกินตอนหน้าพระเอกต้องได้กับน้องสาวนางเอก”

    “แล้วเราจะเห็นกันนะครับประชาชน” เจ้าหน้าที่ที่เฝ่าโต๊ะรับเรื่องโบกมือลา

    “อะไรฟะพ่อ??”

    “ละครนะ...เรื่องมันน่าลุ้นกว่าที่คิด พอมาดูดีๆแล้ว” พ่อตอบขณะเอาเสื้อโคดหนังตัวยาวลงจากบ่าแล้วนำมาห่มทับชุดสูทตัวงาม

    ผมก็แปลกใจเหมือนกันที่พ่อผมจะมารับแบบนี้ ปกติแกไม่ค่อยสนใจเรื่องของผมสักเท่าไร จะหนักไปทางโอ่น้องกับพี่มากกว่า แต่วันนี้กลับมารับ แถมยังไม่บ่นมากอีก......ประหลาด....

     ผมเดินตามพ่อออกมานอกสถานืตำรวจ ตรงไปลานจอรถด้านหน้า ลมหนาวยามดึกพัดปะทะตัวผมจนรู้สึกอิจฉาพ่อและเสื้อโคดตัวนั้น

    พ่อหยุดที่รถเมอร์ซีเดสเบนส์สีดำเป็นเงาคันงาม และเอากุญแจกดเปิดรถให้ผมเขาไปนั่งข้างคนขับ

    หลังเขาที่ทั้งคู่ พ่อผมก็สตาสรถ และขับทะยานออกจากสถานี

    บ้านของผมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักจากสถานี ถนนโลง มีเพียงแสงจากไฟตามทางเท่านั้น

    “......” บนรถมีแต่ความเงียบ เงียบจนอึดอัดที่พ่อไม่ยอมพูดอะไร

    “พ่อจะไม่ถามหน่อยเหรอ ว่าเกิดอะไรขะ-“

    “พอเลย” พ่อผมขัดทันควัน “ฉันไม่สนว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้แค่ว่าวันนี้ไม่มีใดรทำอาหารเย็นให้ฉันกับนิริโกะ จนเราต้องสั่งอาหารมากิน” พ่อบ่นเรืองนี้จนได้ “และฉันรู้ ว่าแกคงไม้ได้ทำอะไรร้ายแรง เพราะพวกนั้นยังปล่อยแกกลับมาหาฉัน”

    ผมไม่อยากเถียงต่อให้เสียเรื่อง รถจึงกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง

    แต่ยังมีอีกอย่างที่ผมสงสัย อย่างหนึ่งที่ผมยังไม่ได้ทำตอบ

    “พ่อ...อะไรคือคดีความมั่นคง...”ผมถามออกไป

    พ่อไม่ตอบ เงียบราวกับไม่ได้ยินผมถาม

    “แก่อย่ามาคุยกับฉันเรื่องนี้อีก” พ่อพูดในที่สุด หลังเงียบไปพักหนึ่ง “ฉันไม่อย่ายุ่งหรือได้ยินอะไร ที่เป็นเรื่องของพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจบ้าๆพวกนั้นอีก” พ่อใช้น้ำเสยงที่บอกให้ผมรู้เลยว่าเรื่องนี่ไม่ธรรมดา “.......พวกน่าขยะแขยงพวกนั้น”

    ผมรู้ว่ามันถึงจุดที่ผมควรเลิกเทราทรีถามได้แล้ว ก่อนพ่อจะไล่ผมลงไปเดิน

    พ่อต้องรู้อะไรแน่น แต่ไปอยากบอก แต่เอาเถอะ ถ้าเรื่องมันCommonขนาดที่คนแบบพ่อผมยังรู้ได้ ผมก็น่าจะหาคำตอบเองได้ง่ายๆเร็วๆนี้ละ

    ความเงี่ยบคิดสิ่งที่เหลืออยู่ในบรรยากาศบนรถ

    แต่ไม่เพียงกี่อึดใจ รถก็พาเรามาที่หน้ารั้วของบ้านสามชั้นหลังงาม

    “บ้านโคโยอิ” ป้ายเหนือช่องรับจดหมายเขียนเอาไว้

    บ้านนั้นดับไฟและปิดสนิดแล้ว

    “ท่าทางนิริโกะจะเข้านอนแล้ว” พ่อพูดขณะใช้กุญแจเปิดรั้วบ้าน “หาววววว ง่วงฉิบ ไห้ตายเถอะ”

    ผมที่ง่วงพอๆกับพ่อก็พลอยหาวไปตามๆกัน ดึกมากเวลา2.21แล้ว

    เราทั้งสองเข้ามาในบ้านที่ไฟปิดสนิดจากนั้นก็ย้ายกันไปห้องใครห้องมัน โดยผมคลำทางไปในความมืด

    ผมเปิดเข้ามาในห้องของผมที่มืดมิด ด้วยความคุ้นเคยผมทิ้งตัวลงบนเตี่ยงได้อย่างแม่นยำ

    ผมที่ไม่ได้กินอาหารเย็นกลับไม่รู้สึกหิวสักนิด เพราะในหัวผมยังเต็มไปด้วยความสับสนงงงวยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    เกิดอะไรขึ้นกับผม ผมโดนอะไร ทำไมผมจำอะไรไม่ได้ พวกตำรวจต้องการะไร อะไรคือคดีความมั่นคง พ่อผมรู้เรื่องอะไร จะเกิดอะไรขึ้นกับผมต่อ

    คำถามทั้งหมดถูกกลบไปด้วยความเนื่อยล้าที่ส่งผมไปสู่โลกแห่งนิทรา 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×