คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1: สอบปากคำในห้องเย็น
“........”
เสียงแห่งความเยือกเย็นที่เงียบสงัด ไหลผ่านทะลุหูซ้ายของผม ไปออกหูขวาที่ซุกอยู่ใต้ผ้าพันคอเผือนหนา เบืองหน้าผมคือเด็กหนุ่มร่างสูง ผมดำฟูฟ้องไม่เป็นทรง มองตอบสายตามาจากกระจกสะท้อนบานใหญ่ตรงฝาพนัง
ผมมองไปรอบห้องอีกเป็นรอบที่ 3
ห้องสีขาวสะอาดแต่แฝงไปด้วยความทะมึนอันตรึงเครียด มีเพียงประตูเหล็กเย็นๆ โต๊ะเหล็กเก้าอี้พับสามตัว ที่ผมนั่งอยู่ตัวหนึ่ง และ กระจกบานใหญ่ตรงหน้า
ผมกุมมืออยู่ระหว่างเข่าด้วยความกังวล สับสน ไม่มีสิ่งใดทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ขยับเขยื่อนมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเข้ามานั่งในห้องเย็นๆนี้ ผมรอมาโดยไม่ขยับร่างกาย มีเพียงจิตใจที่กำลังดิ้นรนอย่างสับสน
”(เสียงประตูเปิดออก)”
เสียงที่ทำลายความเงียบสงัดของห้อง ได้กระชากจิตใจของผมกลับสู่ความมีสติ
ผมกระพิบตาถี่ๆนับหลายรอบต้อนรับสติของตนเองคืนสู่ที่อยู่
ภาพที่รออยู่ตรงหน้า หาใช้เงาสะท้อนของเด็กหนุ่มหัวฟูคนเดิมไม่ แต่เป็นภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบสีกากีสองนาย นั่งลงบนเก้าอี้พับเหล็กสองตัวที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเหล็กอันเย็นเชียบ
“โคโยอิ นัดสุสินะ” นายตำรวจคนแรกเอ่ยปากถามด้วยเสียงอันแหบต่ำ
ระหว่างนั้น นายตำรวจคนที่สองนำสมุดจดออกมากาง ปากกาจ่อเตรียมพร้อม ราวกับจะจดบันทึกทุกๆเสียงในห้องห้องนี้
“โคโยอิ นัดสุ จากเขตเหนือสินะ” นายตำรวจคนแรกถามซ้ำ
ผมสูดลมเข้า ราวกับการรวบรวมความกล้า
“จับผมมาทำไม....?” เสียงสั่นๆของผมเปล่งออกไป ด้วยความกล้าเคล้ากลัว
“เธอไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลย” เจ้าหน้าที่พูดอย่างใจเย็น ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกคน จดลงสมุดมือเป็นระวิง “ฉันถามว่า เธอคือ โคโยอิ นัดสุใช่ไหม?...” เขาถามเป็นทั้งที่ 3 น้ำเสียงแลดูแข็งกร้าวขึ้น
“ครับ......” ผมกล่าวออกไปอย่างแผ่วเบา
“เธอรู้หรือเปล่า ว่าทำไมเธอถึงต้องมาอยู่ที่นี้? โดนสักถามแบบนี้?” เจ้าหน้าที่พูดขณะโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ราวกับต้องการจะมองหาวิญญานในดวงตาของผม
“ก็ผมถามอยู่เนีย...” ผมพยายามทากเก่ง เพื่อสงบจิตใจตนเอง ที่กำลังสั่นอย่างเสียขวัญ
“เธอไม่ได้กำลังตอบคำถามของฉันอีกแล้ว.....” เจ้าหน้าที่พูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา แต่ชัดเจนแบบที่ทำให้เส้นประสาทผมเย็นยะเยือกราวกับมีคนนำมีดน้ำแข็งมาแทงเขากลางไขสันหลัง “ฉันถามว่า เธอรู้ไหม ว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี้?....”
ผมนั่งตัวแข็งด้วยความกลัว ตรงหน้าผม ควรจะเป็นแค่นายตำรวจธรรมดาคนหนึ่ง แต่ออร์ร่าแรงกดดันอันเย็นเยือกนี่มันแช่ผมจนไม่สามารถขยับอย่างกล้าหาญได้
“ไม่ทราบครับ...” ผมตอบอย่างแผ่วเบา
“ซาโตชิ..” เจ้าหน้าที่หันไปหาอีกนายหนึ่งที่นั่งจดบันทึกอยู่ตลอด
นายตำรวจคนที่สองพลิกหน้าสมุดจดข้ามเล่มอย่างคล่องแคล่ว
ผมกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียว ในใจสับสั่นไปด้วยความสับสนงงงวย ผมทำอะไรลงไป ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงต้องการตัวผม ทำไมถ้าผมรู้ตัวว่าตนเองไม่ผิด แล้วผมมานั่งกลัวอะไร ผมจะรอดกลับไปไหม?
ผมพยายามหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อรวบรวมสติที่แต่กระเจิง ราวกับโมเลกุลของน้ำที่ถูกเร่งอูณหภมิ ที่ฟังแลดูตลกขบขัน แม้เทียบกับร่างกายของผมที่แข็งเกร็งราวกับรูปปั้นเย็นๆ
-ผมทำอะไรลงไปวะ- ผมคิดกับตนเอง ขณะที่สายตาจดจออยู่กับมือของเจ้าหน้าที่ ที่กำลังเปลี่ยนหน้าสมุดอย่างรวดเร็ว –จำได้ว่าเลิกเรียนเสร็จ ว่าจะกลับบ้านเร็วแล้วที่เจอ...-
“โคโยอิ นัดสุ” เจ้าหน้าที่นายที่สองพูดในที่สุด หลังจากเปิดเจออะไรบางอย่างในสมุดนั่น เสียงของเขาดึงผมกลับสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง “ในวันนี้ เวลา 17.25 คุณถูกพบเจออยู่ในจุดเกิดเหตุ คดีความมั่นคง”
“....หา???” เจอที่ไหน?...คดีอะไรนะ? ทำไมผมจำอะไรไม่ได้สักอย่าง
“ตามรายงานของกองปราบปราม ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมพื้นที่ พวกเขาพบคุณอยู่ในสภาพงงงวย ไม่สามารถตอบสนองได้อย่างปกติ” เจ้าหน้าที่คนแรกหันมามองผม ดังจะจับสัญญาณการโกหกภายในลูกตา “ไหนเธอบอกเราสิ.....เธอไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น?”
“ผ....ผมไม่รู้” เสียงผมเริ่มแตกพราด้วยความกลัว ความหนาวเย็นของห้องและความกลัวเริ่มทำให้ปากผมสั่นอย่างช่วยไม่ได้ “ผมจำอะไรไม่ได้จริงๆ......”
สิ่งด้วยที่จิตใจที่กำลังแตกกระเจิงของผมคิดออกคือ หลังเลิกเรียน เพื่อนผมต้องอยู่ทำกิจกรรมชมรมต่อ ผมจึงใช้เส้นทางในซอยกลับบ้านแทนที่จะกลับทางถนนหลักที่กลับกับเพื่อนเป็นประจำ จากนั้น......
จากนั้นผมก็มารู้สึกตัวรางๆบนรถอะไรสักอย่าง และมารู้สึกตัวจริงๆในห้องนี้เนียแหละ
“เธอจำอะไรไม่ได้จริงๆงั้นรึ?” เจ้าหน้าที่เริ่มเปลี่ยนโทนเสียง เป็นเสียงที่นุ่มหูขึ้นและดูเป็นมิตรมากขึ้ “ฟังนะคุณโคโยอิ เราไม่ได้จะทำร้ายคุณ ไม่ต้องกลับไป แต่คดีที่คุณมาพัวพันด้วยเนี่ย มันเป็นคดีความมั่นคงที่สำคัญมาก เราต้องการข้อมูลมากที่สุดที่เราจะทำได้”
คำพูดนั้นผ่อนคลายความตรึงเครียดได้ในระดับนึง ผมเริ่มจะประติดประต่อเรื่องราวได้
แต่ก็ยังจำอะไรไม่ได้......นึกอะไรไม่ออกอยู่ดี.....
สิ่งเดียวในหัวผมตอนนี่ไม่ใช่ความกลัวอีกต่อไป แต่เป็นความสับสน
“คดีความมั่นคงที่ว่านี่มันคืออะไร....?” ผมห้ามความสับสนของตัวเองไม่อยู่จริง มันถ่าโถมเจ้ามาดังคลื่นยักษ์ “เกิดอะไรขึ้นกับผม....?”
เจ้าหน้าที่ทั้งสองมองหน้าสบตากัน ร่าวกับว่ากำลังปรึกษาหารือกันอยู่ทางโทรจิต พูดตามตรงเถอะ ผมว่าตำรวจสมัยนี้มันมีโทรจิตที่จะสื่อสารกันโดยไม่ต้องพูด รู้ความคิด...ความรู้สึกของผู้ถูกสอบสวน จับผิดหาความจริงได้อย่างน่าหวาดกลัว
“ดีมาก......เธอไปได้แล้ว” เจ้าหน้าที่พูดในที่สุด “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”
“......หา????” ความสับสนงงงวยทะลักเข้าท่วมหัวสมองของผม “ต..แต่ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น” ผมลุกขึ้นพูดพยายามเรียกร้องขอคำตอบ “คดีที่ว่ามันคืออะไร? เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่???”
เจ้าหน้าที่ไม่พูดอะไร เพียงแค่เปิดประตูเหล็กเย็นๆที่อยู่ข้ามผมมาตลอด แล้วพาผมออกไป
ด้านหลังประตูคือทางเดินพื้นวัสดุสำเร็จรูป พนังด้านหนึ่งเต็มไปด้วยป้ายประกาศ กระดาษโนต และสายไฟรุงรัง อีกด้านเป็นแนวหน้าต่างแนวยาวตลอดทางเดินที่เปิดรับลมหนาวของฤดู
ท้องฟ้านอกหน้าต่างนั้นมืดสนิดราวกับก้นมหาสมุทร บอกให้รู้ว่าเป็นเวลายามดึกแล้ว สายลมพัดพาใบไม้สีเหลืองที่กำลังล่วงหล่นจากต้นแปะก๊วยหน้าอาคารตรงข้ามที่ไฟดับสนิด สายลมพัดไปเป็นทางเดียวกัน ซึ้งคือตัวอาคารนี้
ทำไมห้องที่ผมออกมามันหนาวเย็นนัก บัดนี้ได้รับคำตอบแล้ว
ที่นี่ ตามที่รู้กันคือสถานนี้ตำรวจของย้านตะวันออก อาคารขนาดใหญ่ที่หันไปหาสี่แยกด้านหน้า สี่แยกที่ผมเดินผ่านตลอด เวลากลับบ้านกับเพื่อน อาคารนี้ผมจึงคุ้นเคยดี แม้จะไม่เดยเฉียดเข้ามาข้างใน
เวลานี้อาคารส่วนใหญ่ก็ดับไฟกันหมดแล้ว แสงสว่างด้านนอกมีเพียงไฟริมถนน และรถเพียงไม่กี่คันเท่านั้น
ท่าทางจะดึกมากแล้ว ผมจึงเช็กเวลาดู
01.54 โอวฉิบหายลา ทำไมดึกขนาดนี้ ผมนั่งอยู่ในไอ้ห้อนนั้นนานขนาดไหนวะ ที่บ้านเป็นไง ไม่มีคนให้ทำอะไรกิน ผนคงโดนพ่อเล่นงานตายแน่น
แต่เอาตามจริง ในหัวผมตอนนี้มันสับสนเคลื่นไส้แบบกินอะไรไม่ลงแล้ว แล้วคงไม่มีแรงไปเถียงกับพ่ออีกด้วย
ผมตามนายตำรวจไปจนสุดทางเดิน แล้วลงบันไดมาที่ห้องโถงด้านหน้าที่เป็นห้องรับเรื่อง
ที่ห้องรับเรื่องต้อนนี้มีเพียงนายตำรวจคนหนึ่งที่นั่งคุมโต๊ะรับเรืองท่าทางเซ็งๆ ดูละครดึกผ่านทีวีที่ติดฝาพนังอยู่ กับชายร่างสูงหัวหงอกอีกคน
คนคนนั้นหันมา แยกเขี้ยวใต้หนวดเคราหงอกๆถอนหายใจ
“ในที่สุดก็เสร็จสักที่นา—“ พ่อผมพูดด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน
“อ้าว? ทำไมพ่อถึงมาอยู่เนีย?” ผมพูดด้วยความแปลกใจที่พบว่าคนแบบพ่อจะมาอยู่ที่นี้
“ก็เค้าโทรเรียกพ่อให้มารับแกเนีย” พ่อพูดอย่างรำคารใจ “ไปได้แล้ว.....อ่อจ่า แล้วพรุ่งนี้รอดู ฉันบอกได้เลย ไม่เกินตอนหน้าพระเอกต้องได้กับน้องสาวนางเอก”
“แล้วเราจะเห็นกันนะครับประชาชน” เจ้าหน้าที่ที่เฝ่าโต๊ะรับเรื่องโบกมือลา
“อะไรฟะพ่อ??”
“ละครนะ...เรื่องมันน่าลุ้นกว่าที่คิด พอมาดูดีๆแล้ว” พ่อตอบขณะเอาเสื้อโคดหนังตัวยาวลงจากบ่าแล้วนำมาห่มทับชุดสูทตัวงาม
ผมก็แปลกใจเหมือนกันที่พ่อผมจะมารับแบบนี้ ปกติแกไม่ค่อยสนใจเรื่องของผมสักเท่าไร จะหนักไปทางโอ่น้องกับพี่มากกว่า แต่วันนี้กลับมารับ แถมยังไม่บ่นมากอีก......ประหลาด....
ผมเดินตามพ่อออกมานอกสถานืตำรวจ ตรงไปลานจอรถด้านหน้า ลมหนาวยามดึกพัดปะทะตัวผมจนรู้สึกอิจฉาพ่อและเสื้อโคดตัวนั้น
พ่อหยุดที่รถเมอร์ซีเดสเบนส์สีดำเป็นเงาคันงาม และเอากุญแจกดเปิดรถให้ผมเขาไปนั่งข้างคนขับ
หลังเขาที่ทั้งคู่ พ่อผมก็สตาสรถ และขับทะยานออกจากสถานี
บ้านของผมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักจากสถานี ถนนโลง มีเพียงแสงจากไฟตามทางเท่านั้น
“......” บนรถมีแต่ความเงียบ เงียบจนอึดอัดที่พ่อไม่ยอมพูดอะไร
“พ่อจะไม่ถามหน่อยเหรอ ว่าเกิดอะไรขะ-“
“พอเลย” พ่อผมขัดทันควัน “ฉันไม่สนว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้แค่ว่าวันนี้ไม่มีใดรทำอาหารเย็นให้ฉันกับนิริโกะ จนเราต้องสั่งอาหารมากิน” พ่อบ่นเรืองนี้จนได้ “และฉันรู้ ว่าแกคงไม้ได้ทำอะไรร้ายแรง เพราะพวกนั้นยังปล่อยแกกลับมาหาฉัน”
ผมไม่อยากเถียงต่อให้เสียเรื่อง รถจึงกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง
แต่ยังมีอีกอย่างที่ผมสงสัย อย่างหนึ่งที่ผมยังไม่ได้ทำตอบ
“พ่อ...อะไรคือคดีความมั่นคง...”ผมถามออกไป
พ่อไม่ตอบ เงียบราวกับไม่ได้ยินผมถาม
“แก่อย่ามาคุยกับฉันเรื่องนี้อีก” พ่อพูดในที่สุด หลังเงียบไปพักหนึ่ง “ฉันไม่อย่ายุ่งหรือได้ยินอะไร ที่เป็นเรื่องของพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจบ้าๆพวกนั้นอีก” พ่อใช้น้ำเสยงที่บอกให้ผมรู้เลยว่าเรื่องนี่ไม่ธรรมดา “.......พวกน่าขยะแขยงพวกนั้น”
ผมรู้ว่ามันถึงจุดที่ผมควรเลิกเทราทรีถามได้แล้ว ก่อนพ่อจะไล่ผมลงไปเดิน
พ่อต้องรู้อะไรแน่น แต่ไปอยากบอก แต่เอาเถอะ ถ้าเรื่องมันCommonขนาดที่คนแบบพ่อผมยังรู้ได้ ผมก็น่าจะหาคำตอบเองได้ง่ายๆเร็วๆนี้ละ
ความเงี่ยบคิดสิ่งที่เหลืออยู่ในบรรยากาศบนรถ
แต่ไม่เพียงกี่อึดใจ รถก็พาเรามาที่หน้ารั้วของบ้านสามชั้นหลังงาม
“บ้านโคโยอิ” ป้ายเหนือช่องรับจดหมายเขียนเอาไว้
บ้านนั้นดับไฟและปิดสนิดแล้ว
“ท่าทางนิริโกะจะเข้านอนแล้ว” พ่อพูดขณะใช้กุญแจเปิดรั้วบ้าน “หาววววว ง่วงฉิบ ไห้ตายเถอะ”
ผมที่ง่วงพอๆกับพ่อก็พลอยหาวไปตามๆกัน ดึกมากเวลา2.21แล้ว
เราทั้งสองเข้ามาในบ้านที่ไฟปิดสนิดจากนั้นก็ย้ายกันไปห้องใครห้องมัน โดยผมคลำทางไปในความมืด
ผมเปิดเข้ามาในห้องของผมที่มืดมิด ด้วยความคุ้นเคยผมทิ้งตัวลงบนเตี่ยงได้อย่างแม่นยำ
ผมที่ไม่ได้กินอาหารเย็นกลับไม่รู้สึกหิวสักนิด เพราะในหัวผมยังเต็มไปด้วยความสับสนงงงวยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เกิดอะไรขึ้นกับผม ผมโดนอะไร ทำไมผมจำอะไรไม่ได้ พวกตำรวจต้องการะไร อะไรคือคดีความมั่นคง พ่อผมรู้เรื่องอะไร จะเกิดอะไรขึ้นกับผมต่อ
คำถามทั้งหมดถูกกลบไปด้วยความเนื่อยล้าที่ส่งผมไปสู่โลกแห่งนิทรา
ความคิดเห็น