ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุรพนิมิต

    ลำดับตอนที่ #9 : บุรพนิมิต 6...จุมพิตแห่งสายฝน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 656
      3
      6 ม.ค. 61

    แนะนำว่ากดฟังเพลงก่อนเลื่อนลงไปอ่านนิยายนะคะ ^^

    บุรพนิมิต 6...จุมพิตแห่งสายฝน


    บุพผา จันทรา ดวงหทัยข้า กำลังจะมลาย... 



                บางครั้งเธอก็คิดสงสัยว่านี่เป็นความฝันหรือความจริง เพราะทุกสิ่งที่เธอได้รับมานั้นมันช่างน่าอัศจรรย์ ความรักแสนหวาน คนรักแสนดี สองสิ่งนี้ที่มนุษย์เดินดินต่างติดตามค้นหา ไขว่คว้า เพื่อให้ได้มาซึ่งการครอบครอง สรวงสวรรค์ไม่น่าจะประธานให้เธออย่างง่ายดาย จนบางคราเธอกลับรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและหย่งไซว่นั้น เป็นเพียงภาพมายาที่พร้อมจะสูญสลายหายไปพร้อมกับกลุ่มควัน และนับวันความรู้สึกโหยหาอ้อมอกอุ่นก็ทบทวีขึ้นจนเธอเริ่มรู้สึกหวาดกลัว


    กลัว...ว่า หัวใจจะไม่ใช่ของตนเองอีกต่อไป


    กลัว...ว่า วันใดหากอีกฝ่ายทอดทิ้งตนขึ้นมา ใจดวงน้อยคงแหลกสลายไม่มีชิ้นดี


    และ


    กลัวว่า วิถีชีวิตในภายภาคหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล อย่างมิมีวันหวนคืน


                ซึ่งอารมณ์ฟุ้งซ่านเหล่านี้ นอกจากก่อให้เกิดความรู้สึกปวดหนึบภายในหัวใจแล้ว ลึงลงไปภายในจิตสำนึกยังคงกู่ร้องบอกเธอว่ามันไม่ใช่ นี่มันไม่ถูกต้อง หากเธอยังคงคบกับเขาต่อไป บางสิ่ง ก็จะขาดหายไปจากชีวิตเธอชั่วนิรันดร์ และสิ่งนั้นจะเป็นอะไรเธอก็มิอาจคาดเดาซึ่งมันคอยรบกวนจิตใจเธอเสมอมา


                เสียงสัญญานโทรศัพท์ดังขึ้น ปลุกให้อมิตดาหลุดพ้นออกมาจากภวังค์ก่อนมือบางจะหยิบเครื่องมือสื่อสารออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วแนบมันลงบนใบหูพลางเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามฝืนให้ฟังดูร่าเริงเมื่อหน้าจอฉายชัดว่าใครที่กำลังโทรมาหาเธอ


    “คุณเลิกงานแล้วเหรอคะ” นั่นเป็นคำแรกที่อมิตดาส่งเสียงทักทายไปตามสาย ในขณะที่น้ำตาค่อยๆซึมไหลลงมาอย่างช้าๆโดยที่เธอเองก็ไม่รู้สึกตัว

     
    “ครับ” ปลายสายตอบรับก่อนเอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอาทรว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงคุณไม่ค่อยดีเลย”
     
     
    “ไม่มีอะไรค่ะ” เธอตอบพลางยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาและสูดลมหายใจเข้าลึก
     
     
    “อมิตดา”
     
     
    “ขา...” เสียงขานรับอ่อนหวาน พอๆกับหัวใจที่เต็มตื้นยามอีกฝ่ายเอ่ยเรียกนามเต็มของเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง
     
     
    “ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าถ้ามีเรื่องอะไรขอให้บอกกันตรงๆ” เขาเอ่ยอย่างอ่อนล้า พลางพร่ำภาวนาอยู่ภายในจิตใจว่า ขออย่าให้สิ่งที่รบกวนจิตใจของเธอเป็นเรื่องเดียวกับที่เขากำลังหวาดกลัว
     
     
    “มิตรแค่ รู้สึก...หดหู่” อมิตดาตอบเสียงแผ่วเบา หยาดน้ำใสเริ่มหลั่งรินลงมาอีกครั้งเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดแน่นอยู่ภายในกำลังบีบรัดหัวใจ
     
     
    “พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหม?”
     
     
    “ เมื่อคืนมิตรฝัน” เธอเอ่ย เจือเสียงสะอื้น “ฝันว่าหย่งไท่มาหา ซึ่งมิตรรู้ว่ามันฟังดูบ้า! ในเมื่อคุณอยู่ตรงนี้กับมิตรแล้ว มิตรก็น่าจะเลิกฝันถึงอดีตของพวกเราเสียที มัน...มันกำลังทำให้มิตรกลัว” สารภาพทั้งน้ำตา โดยหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายก็กำลังหวาดกลัวไม่แพ้กัน
     
     
    “มันเป็นแค่ความฝัน” ถังหย่งไซว่ปลอบขณะที่มืออีกข้างเอื้อมออกไปหยิบกรอบรูปที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะทำงานขึ้นมาพินิจอย่างเหม่อลอย
     
     
    “หย่งไซว่คะ” อมิตดาเอ่ยเรียกคนรักหลังจากที่ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบไปอยู่นาน
     
     
    “ครับ?”
     
     
    “มิตรรักคุณนะคะ”
     
     
    “ผมรู้ที่รัก...” เขาตอบพลางใช้ปลายนิ้วมือลูบไล้ดวงหน้าของหญิงสาวที่อยู่ภายในกรอบรูป “ผมรู้ เพราะผมก็รักคุณเช่นกัน”
     
     
                น้ำเสียงหนักแน่นที่ดังมาตามสายช่วยให้อมิตดารู้สึกผ่อนคลายและมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี เพราะความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันคอยหลอกหลอนเธออยู่ทั้งวันจนแทบไม่สามารถทำสิ่งใดได้โดยไม่รู้สึกเศร้าใจหรือเหม่อลอย
     
     
    “มิตรไปหาคุณที่บ้านได้ไหมคะ” กลั้นใจถาม แม้จะรู้ดีว่าเป็นการเสนอหน้าอย่างน่าไม่อาย แต่ ณ เวลานี้เธอกำลังต้องการไออุ่นจากเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เพื่อเป็นเครื่องช่วยยืนหยัดให้เธอยอมรับสภาพของโลกแห่งความจริงมากกว่าความฝันอันน่าหดหู่จนหัวใจเธอแทบมลาย
     
     
    “อย่าเลย”ถังหย่งไซว่เอ่ยหลังจากได้ฟังคำขอของหญิงสาว “ให้ผมไปรับคุณมาบ้านด้วยกันจะดีกว่า ผมเป็นห่วงไม่อยากให้คุณขับรถมาเอง เพราะ...มันอันตราย” ประโยคสุดท้ายเป็นเพียงคำพูดที่ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบาภายในจิตใจ มิได้เอื้อนเอ่ยออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้
     
     
    “ค่ะ มิตรจะรอคุณนะคะ” รับคำอย่างว่าง่าย ก่อนกล่าวอะไรต่ออีกสองสามคำเธอก็จำต้องตัดสายทิ้งไปเพราะไม่แน่ใจว่า น้ำตาที่เริ่มหยุดไหลมันจะหลั่งรินลงมาให้เธอลิ้มรสมันอีกครั้งหากยังคงสนทนากับเขาโดยไม่ได้เห็นหน้าตา
     
     
                อมิตดาปัดปอยผมขึ้นไปถัดใบหูพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำมูกใสแล้วเดินเข้าไปภายในตัวบ้าน เพื่อจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและรอพบกับคนรักที่กำลังเดินทางมาหาเธอ ‘ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว’ หญิงสาวเอ่ยย้ำกับตนเองเพื่อเรียกความมั่นใจ ทุกๆอย่างจะถูกแก้ไขพร้อมกับความอบอุ่นและปลอดภัยหากเธอได้อยู่ภายในวงแขนของถังหย่งไซว่ คนรักของเธอ...
     


    พิรุณโปรยปรายหยาดหยดลงมาเป็นสายท่ามกลางความมืดมน โดยมีร่างของคนเพียงสองคนเปียกปอนหยาดน้ำฝนจนกายหนาวสั่นสะท้าน แต่ฤทัยทั้งสองดวงกลับอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความเข้าใจในกันและกัน เสมือนกับความรักนั้น เปรียบได้ดั่งปาฏิหาริย์ที่สวรรค์สรรสร้างบันดาลให้แก่มนุษย์เดินดิน


                กายแกร่งของบุรุษร่างสูงสง่าซึ่งแต่งกายด้วยแพรพรรณชั้นเลิศกอดกระหวัดรัดร่างน้อยในอ้อมแขนแนบทรวงอก พลางก้มลงจุมพิตดวงหน้าขาวใสที่เริ่มซีดเซียวด้วยความเหน็บหนาวจนริมฝีปากอิ่มสีแดงสดกลับกลายเป็นสีม่วงคล้ำจนน่ากลัว


    “ข้ารักเจ้า เจ้าผีเสื้อน้อย...” เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนกระซิบย้ำถ้อยคำที่พร่ำบอกกับนางอันเป็นที่รักชิดริมใบหูก่อนกดริมฝีปากลงบนเรือนผมดำยาวสยายที่เปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำฝนแต่เขาหาได้รังเกียจมันไม่ เพราะต่อให้คนในอ้อมแขนเปลี่ยนแปลงไปเช่นใด ความรักที่เขามีให้ก็จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์


    “ข้าก็รักท่าน...หย่งไท่” ลี่เหม่ยเหรินเอ่ยตอบพลางแหงนเงยใบหน้าขึ้นสบตาบุรุษอันเป็นที่รักของตนด้วยแววตาฉ่ำหวาน น้ำฝนหยดหนึ่งที่เกาะพราวอยู่บนขนตายาวงอนของนาง ส่งผลให้ดวงหน้าหวานช่างดูงดงามจนอีกฝ่ายแทบลืมหายใจ “สัญญาได้ไหม ว่าท่านจะมีแค่เพียงข้า” หญิงสาวเอ่ยเสริม


    “ข้า...” ชายหนุ่มเอ่ยค้าง ชะงักงันไปเพียงชั่วครู่ก่อนเอ่ยคำสาบานออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง จนอีกคนไม่อาจรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ได้เลย “ข้าสัญญาว่าจะรักเจ้าเพียงคนเดียว ต่อให้ทั่วแผ่นดินนี้จะมีบุพผางามอีกมากมายหลายนาง หัวใจของข้าจักภักดีแค่เพียงเจ้ามิมีวันเปลี่ยนไป”


    “สัญญานะ”


    “ข้าสาบาน...”


    “งั้นข้าจะคอยดู” หญิงสาวกล่าวอย่างหมายมาด แต่ดวงตากลมโตกลับสดใสเปล่งประกายพึงพอใจจนถึงขีดสุดในขณะที่เจ้าตัวก็แนบใบหน้าลงซุกซบกับอกอุ่นเช่นเดิม


    “เหม่ยเหริน...” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่ายามอีกฝ่ายบดเบียดร่างกายเข้าหาไออุ่นจากร่างของตน จนอารมณ์ปรารถนาที่พยายามกักเก็บไว้เริ่มคุกรุ่นจนยากเกินจะหักห้ามใจ


    “ขา...”


    “คืนนี้ เจ้าอยู่กับข้าได้หรือไม่”


    “...” หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับซุกดวงหน้าและบดเบียดเรือนกายเข้าหาชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น


    “เจ้ากำลังทำให้ข้าลำบากใจ” ชายหนุ่มเอ่ยพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ขณะที่คลายวงแขนออกจากเรือนร่างของหญิงสาวแล้วจับจูงข้อมือบางให้เดินตาม จนมาหยุดอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ จนหยาดละอองฝนเริ่มประปราย ไม่กระหน่ำรินรดลงบนร่างกายเหมือนเดิม


    “ลำบากใจ” ลี่เหม่ยเหรินทวนคำขณะทรุดกายลงนั่งบนตักของชายหนุ่มตามแรงดึงของอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย “เรื่องอะไรเหรอคะ?” เอ่ยถามขณะที่แหงนเงยใบหน้าขึ้นสบนัยน์เนตรคมที่กำลังจ้องมองมา


                โดยหารู้ไม่ว่าตากลมโตไร้เดียงสาที่เหลือบมองมา มันกำลังทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่านจนอยากกลืนกินเจ้าผีเสื้อน้อยเอาไว้ในอก ไม่ให้ผู้ใดได้พบพานและได้ประจักษ์ถึงความงามพิสุทธิ์น่าทะนุถนอมของนาง และ ไม่อยาก ให้นางได้พบเจอกับผู้ใด ด้วยกลัวว่าหัวใจของนางจะเปลี่ยนแปลง


    “เจ้าหนาวหรือไม่?”  เขาเลี่ยงที่จะให้คำตอบโดยการเอ่ยถามหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยความห่วงหาอาทร


    “ไม่ค่ะ หากว่าท่านยังคงโอบกอดข้าเอาไว้เยี่ยงนี้” ตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานพลางวางมือบางทาบทับลงบนฝ่ามือหนาที่กำลังไล้ดวงหน้าของนางอย่างเผลอไผล แล้วเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านรู้ไหมหย่งไท่ ว่าข้าไม่ชอบความเดียวดาย แม้มันจะเคยเป็นเพื่อนตายของข้าก็ตาม ดังนั้น...หากวันหนึ่งท่านไม่ต้องการข้า ขอให้บอกกับข้ามาตามตรงแล้วข้าจะจากท่านไปแต่โดยดี”


    “มันจะไม่มีวันนั้น” เขาตอบ


    “อย่า” หญิงสาวเอ่ยปรามพลางวางนิ้วเรียวงามลงบนริมฝีปากหยักสวยได้รูปของอีกฝ่าย “อย่าได้กล่าวเช่นนั้น ในเมื่อท่านเป็นเพียงมนุษย์ และมนุษย์มักจะมีหนทางในการดำเนินวิถีชีวิตของตน วันหนึ่งท่านก็จักมีคู่ครอง มีทายาทสืบสกุล ซึ่งข้ามิอาจมอบให้ท่านได้ทั้งสองอย่าง โปรดอย่าสร้างวิมานในอากาศ ทั้งๆที่ข้ากำลังยืนมองท่านอยู่จากโลกแห่งความเป็นจริงเลย”


                ชายหนุ่มเงียบงัน จ้องมองดวงหน้าหวานของหญิงคนรักอย่างตกตะลึง นัยน์เนตรคมพยายามค้นให้ลึกถึงภายในดวงหทัยของนางว่ามีสิ่งใดแอบแฝงมากับถ้อยคำเหล่านั้นหรือไม่ และแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้มถามนางออกไปอย่างใจคิดว่า


    “ใจเจ้ายังคงเหมือนเดิมหรือไม่เจ้าผีเสื้อน้อย”


    “ใจข้ายังคงเหมือนเดิมทุกประการ” นางตอบ “ข้ายังคงรักท่าน หย่งไท่...แม้เรื่องที่ผ่านมาจะทำให้ข้าคลางแคลงใจในตัวท่านเพียงใด แต่ในวันนี้ วันที่เราได้พบและปรับความเข้าใจกัน ข้าจึงอยากเจรจากับท่านให้รู้แจ้งว่าตัวข้านี้รู้สึกเช่นไร แม้ข้าจะไม่ใช่ทั้งปีศาจและมนุษย์ก็ตาม แต่...ข้าก็ยังคงมีความรู้สึกเหมือนที่อิสตรีพึงมี”


    “หึงข้าอย่างนั้นหรือ” เขาเย้าขณะกระชับอ้อมกอดรัดร่างน้อยให้แน่นขึ้นแล้วก้มลงจุมพิตกลีบปากอิ่มช่างเจรจาอย่างแสนเสน่หา


    “ข้าเป็นคนโลภมากและเห็นแก่ตัวในเรื่องของความรักหย่งไท่ หากข้าจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร คนผู้นั้นจะต้องรักและมีเพียงข้าผู้เดียว เพราะไม่อยาก...ไม่อยากให้เรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้นกับแม่ของข้าเกิดซ้ำรอย”


    “ไม่ว่าในอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ข้าจะคอยคุ้มครองและให้ความปลอดภัยแก่เจ้าเอง ...ข้ารับรอง”


                ลี่เหม่ยเหรินไม่ตอบ นางทำแค่เพียงซุกตัวนิ่งอยู่กับอ้อมอกอุ่นเท่านั้น ด้วยรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไร เหตุการณ์เลวร้ายก็ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำอย่างมิอาจลืมเลือน มารดาของนางต้องตายเพราะอะไร จนกระทั่งมาถึงวันนี้เธอก็ยังคงฝังใจกับเรื่องภรรยาหลวงและภรรยารองอยู่ดี


    “ข้าให้สัตย์สาบานไว้แล้วว่าจะรักแค่เพียงเจ้า” ชายหนุ่มเอ่ยพลางถอนหายใจ ขณะที่เชยคางมนให้ดวงหน้างามแหงนเงยขึ้นสบตา “แล้วเจ้าล่ะเหม่ยเหริน เจ้าจะรักแค่เพียงข้าคนนี้หรือไม่?”


    “หากท่านไม่ตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้ ข้าก็จักรักท่านไปตลอดกาล”


    “ข้าจะมิมีวันลืม” เอ่ยก่อนฝากรอยจุมพิตแผ่วหวานลงบนกลีบปากอิ่ม


    “ไม่มีวันลืมแน่นอน” เธอตอบก่อนหลับตาลงพักพิงร่างอยู่บนกายแกร่งอย่างรักใคร่หมดหัวใจ อนาคตระหว่างเธอและเขาจะเป็นเช่นไร ตนเองก็คร้านที่จะคาดเดา แต่เขากลับย้ำกับเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทรงพลังว่า


    “ต่อให้เจ้าลืมสัญญา ข้าก็จักติดตามเฝ้าหาและคอยย้ำเตือนถึงความรักของเราให้แก่เจ้าไปตลอดนิรันดรกาล...”


                “และนั่นคือ เรื่องราวทั้งหมดที่มิตรฝันถึงคุณค่ะ” เสียงหวานของอมิตดาที่เอ่ยเล่าเรื่องราวในความฝันให้ชายคนรักฟังขาดหายไปเป็นประโยคสุดท้ายเมื่อหยาดน้ำตาเริ่มคลอดวงหน้า ยามต้องเอ่ยย้ำถ้อยคำนั้นอีกครั้ง ถ้อยคำ...ที่บุรุษหนุ่มในความฝันพร่ำบอกกับเธอ


                ‘ตลอดนิรันดรกาล...’ มันช่างฟังดูยาวนานและบีบคั้นหัวใจเกินทน


    “มันเป็นเพียงแค่ความฝัน” ถังหย่งไซว่เอ่ยคำเดิมที่เคยปลอบโยนหญิงสาวอีกครั้งหลังจากนั่งนิ่งเงียบจมอยู่ในภวังค์ความคิดระหว่างฟังคำบอกเล่าของเธออยู่นาน พร้อมทั้งโอบกอดร่างของอมิตดาไว้แนบอก “เราอยู่ด้วยกันแล้ว นั่นคือความเป็นจริง คุณไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดกลัว”


    “มิตรรู้ค่ะ แต่....แต่มิตรไม่เข้าใจ” เอ่ยออกมาตะกุกตะกักก่อนผวาเข้ากอดรอบคอของชายหนุ่มไว้แน่น “ว่าทำไมความรู้สึกก่อนที่คุณจะมาหามันเหมือนกับว่า มีใครมาคอยกระซิบอยู่ข้างหูมิตรตลอดเวลาว่า ‘...ตลอดนิรันดรกาล…’ มันทำให้มิตรรู้สึกเจ็บ เจ็บราวกับมิตรกำลังทรยศคุณ”


    “คุณไม่ได้ทรยศผมอมิตดา” ชายหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้านิ่งขรึม “คุณแค่กำลังทำในสิ่งที่ถูกที่ควร”


    “สิ่งที่ถูกที่ควร...” หญิงสาวเอ่ยทวนถ้อยคำของชายคนรักดั่งคนละเมอ “คุณหมายถึงเรื่องอะไรคะ”


                ถังหย่งไซว่นิ่งอึ้ง มิอาจตอบคำถามให้แก่คนรักสาวได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาบรรจงเก็บมันเอาไว้อยู่ภายในหัวใจ จะเปิดเผยออกมาได้ก็ต่อเมื่อมันถึงเวลาอันสมควร ซึ่งมันยังไม่ใช่เวลานี้ ไม่ใช่...อย่างแน่นอน


    “ผมหมายถึง การที่คุณโทรหาผมยามที่คุณมีเรื่องไม่สบายใจ และเล่าอะไรให้ฟังโดยไม่ปิดบัง” กล่าวด้วยใบหน้าที่พยายามปรับให้มันยิ้มแย้มก่อนฝังจุมพิตลงบนแก้มเนียนนุ่มของคนในอ้อมแขนซึ่งก็ยื่นหน้ายินยอมให้เขากระทำแต่โดยดี


    “จริงๆมิตรก็คิดอยู่นานนะคะว่าจะเล่าให้คุณฟังดีไหม” เธอสารภาพด้วยน้ำเสียงอุบอิบ “พอเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงาน มิตรเลยเสี่ยงลองโทรหาคุณดู”


    “กลัวว่าผมจะไม่เชื่อในสิ่งที่คุณเล่าอย่างนั้นหรือ?”


    “ก็ไม่เชิงค่ะ” หล่อนกล่าวก่อนเงยหน้าขึ้นจุมพิตแก้มสากของชายหนุ่มอย่างประจบ “มิตรกลัวคุณจะหาว่ามิตรบ้า ไร้สาระ ที่เอาเรื่องในฝันมาคิดเป็นตุเป็นตะต่างหาก”


    “ถ้าจะบ้า ผมว่าเราบ้ากันทั้งสองคนนั่นล่ะ เพราะสำหรับผม ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ชาติ กี่ภพ ก็จะตามรักคุณไปแต่เพียงผู้เดียว”


    “นั่นสินะคะ มิตรไม่น่าคิดมากเลย” พยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนจะหัวเราะคิกคักด้วยความโล่งใจยามอีกฝ่ายเริ่มก้มหน้าลงเป่าลมหายใจรินรดต้นคอจนเธอรู้สึกจั๊กจี้  “อุ้ย!ไม่เอานะ คุณก็รู้ว่ามิตรบ้าจี้น่ะหย่งไซว่” หญิงสาวร้องปรามเสียงหลงในขณะที่ชายหนุ่มพลิกกายเธอให้อยู่ด้านบนแล้วตนเองกลับทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาหนานุ่มโดยรั้งร่างของหญิงสาวให้ตามลงมา


    “คิดมากไม่เข้าท่า! โอ้ย!” เขาต่อว่า ก่อนร้องเสียงหลงเมื่อฝ่ายที่ทาบทับอยู่ด้านบนโน้มใบหน้าลงกัดปลายจมูกโด่งอย่างมันเขี้ยว 


    “สมน้ำหน้า อยากมาว่ามิตรทำไมล่ะคะ”


    “เฮ้อ...ผมจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้าไหมนี่?” แสร้งถอนหายใจ รำพึงแผ่วเบาแต่ก็ดังพอที่อีกฝ่ายจะได้ยิน จึงได้รับรางวัลเป็นกำปั้นเล็กๆทุบลงไปบนหน้าอกอีกตุ้บ 


    “นิสัยไม่ดี!”


    “แล้วรักคนนิสัยไม่ดีคนนี้ไหมล่ะครับ”


    “ไม่รู้ ไม่ชี้” หล่อนรวน ส่ายหน้าไปมาจนเส้นผมกระจาย 


    “ใจร้ายจริงๆ” เขาพ้อ “คงต้องสอนบทเรียนให้รู้เสียบ้างว่ากำลังเล่นอยู่กับใครซะแล้ว” กล่าวด้วยรอยยิ้มหมายมาดก่อนพลิกกายหญิงสาวให้อยู่ด้านล่างภายใต้อ้อมแขนแกร่งที่กักขังเธอไว้ทั้งสองข้างจนไม่สามารถดิ้นหนีไปไหนพ้น


                อมิตดาหน้าแดงซ่าน ด้วยรู้ดีว่าบทเรียนที่เขากำลังจะสอนเธอนั้นเป็นแบบไหน หวาบหวามใจเพียงใด โดยเฉพาะรอยจุมพิตจากผู้ที่เป็นจ้าวหัวใจมันช่างให้ความรู้สึกซาบซ่านไปจนถึงทรวงในยามที่เขากำลังดูดกลืนเรียวลิ้นของเธอเอาไว้จนฤทัยเต้นระรัว


    “ให้โอกาสพูดใหม่อีกครั้ง ว่ารักคนนิสัยไม่ดีคนนี้ไหม” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่วชิดริมใบหู ลมหายใจติดขัด กลิ่นกายของกันและกันส่งผลให้เธอนั้นรู้สึกราวกับตกอยู่ในวังวน


    “ระ...รักค่ะ” อมิตดาหอบตัวโยน ตอบเสียงอู้อี้เมื่ออีกฝ่ายประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้งจนได้ยินเพียงเสียงครางแผ่วลึกในลำคออย่างพึงพอใจ เขาจึงค่อยๆถอนดวงหน้าออกห่างจากใบหน้าหวานซึ่งกำลังมองสบตาเขาด้วยแววตาฉ่ำเยิ้มอย่างแสนเสียดาย


    “อย่ามองผมอย่างนั้น ถ้าไม่อยากให้ผมกินคุณแทนข้าวเย็น” คำพูดส่อนัยส่งผลให้อมิตดาหน้าแดงซ่าน รีบผุดลุกขึ้นยืนในทันใด จนถังหย่งไซว่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ด้วยความเอ็นดู


    “งะ...งั้น มะ...มิตร ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” เอ่ยตะกุกตะกักก่อนวิ่งปรู๊ดไปอีกด้านของห้องโดยไม่อยู่รอฟังคำตอบ และเมื่อเธอทำเช่นนั้น จึงไม่มีโอกาสได้เห็นเลยว่าด้านหลังนั้น เกิดอะไรขึ้นกับคนรักของเธอ


                ดวงหน้าหล่อเหลาแสยะยิ้ม มองเงาสะท้อนของกระจกใสภายในห้องนั่งเล่น ซึ่งปรากฏภาพเป็นชายหนุ่มหน้าตาพิมพ์เดียวกันกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน แตกต่างกันแค่เพียงเครื่องแต่งกายและใบหน้าที่แสดงออกซึ่งความผิดหวัง ผิดกับเขาที่กำลังส่งยิ้มให้บุรุษผู้นั้นอย่างเหี้ยมเกรียม


    “คิดจะเอาคืนไปอย่างนั้นหรือ? อย่าฝันเลย!” กล่าวก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสาแก่ใจ เมื่อดวงหน้าของเงาสะท้อนที่จ้องมองตอบเขามานั้น เป็นเต็มไปด้วยความแค้นเคือง!


    พิษรัก...แรงแค้น...แรงปรารถนา สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมหทัยข้า เพื่อรอวันเวลาทวงสิทธิ์คืน


    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    แฮ่กๆๆๆ โดนพระเอกจูบเลยหอบเลย(ฮิ้ว!!)

            มาครบ 100% แล้วน้า  ขอโทษด้วยที่บิวหายไปนานมากกกกกก มีเรื่องนั่น โน่น นี่ ปวดหัวค่ะ เบื่อชีวิตจนอยากหนีไปเที่ยวไหนคนเดียววันละหลายๆรอบ แต่พอมองสองหมาน้อยนั่งตาปริบๆก็ทำไม่ลง เลยต้องหนีบลูกไปด้วยทุกทีเลย(แล้วก็กลับไปปวดหัว+เหนื่อยเหมือนเดิม)


       ประกาศสักนิด สำหรับเรื่องนี้ บิวขอหยุดอัพสัก 1 เดือนนะคะ จะเร่งมือเขียนนิยายน่ะค่ะ หวังว่าคงเข้าใจเค้าน้า....จุ๊บๆๆๆ


    รัก+คิดถึงคนอ่านมากมาย
    รมย์ชลี...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×