ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุรพนิมิต

    ลำดับตอนที่ #8 : บุรพนิมิต 5...สุดแท้แต่ใจเธอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 539
      2
      22 ก.พ. 55







    บุรพนิมิต 5...สุดแท้แต่ใจเธอ


    ข้าจักพันธนาการเจ้าไว้ด้วยหัวใจและเรือนกาย...แม้มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เจ้าต้องการ



                แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านลอดหน้าต่างทาบทับอยู่บนเรือนร่างบอบบางของอมิตดาที่กำลังนั่งสางผมยาวสลวยของตนตรงหน้ากระจกอย่างเหม่อลอย นับตั้งแต่การดินทางสุดแสนจะน่าประทับใจในครานั้น มันก็เป็นเวลาที่ล่วงเลยมาถึงสองอาทิตย์แล้วหลังจากที่เธอเดินทางกลับมาจากประเทศจีน และโดยไม่คาดคิด เธอก็ได้พบผู้ชายคนนั้นอีกครั้งบนเครื่องบินระหว่างเดินทางกลับสู่ประเทศไทย


    “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง” เขาเอ่ยทักทายเธอด้วยรอยยิ้มขณะที่หย่อนกายลงนั่งเคียงข้างหญิงสาวบนชั้น Business Class “มันช่างบังเอิญจริงๆเลยนะ คุณว่าไหม?”


                หญิงสาวไม่ตอบ เพราะตอนนี้เธอกำลังอ้าปากค้าง จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างงุนงง จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกอยู่หลายวินาทีจนอีกฝ่ายเอื้อมมือออกมารัดเข็มขัดนิรภัยให้เธออย่างถือวิสาสะนั่นล่ะ หญิงสาวถึงได้รู้สึกตัว


     
    “คุณมาที่นี่ได้ยังไง” เธอถามเสียงแผ่วเบา อย่างคนที่สติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก ในขณะที่ถังหย่งไซว่กลับรู้สึกขบขัน ไล่สายตาไปตามดวงหน้าของหญิงสาวด้วยความปราณีและขบขันนิดๆกับคำถามของเธอ


    “ไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ผมเดินทางเข้าสู้ประเทศไทยนี่ครับ”



    “คุณก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร” หล่อนแย้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายตอบคำถามเธออย่างรวนๆ


    “ผมต้องเดินทางไปทำงานที่เมืองไทย” เขาตอบขณะที่กระชับเสื้อสูทให้เข้าหากัน


    “แล้ว...”


    “ก็ไม่แล้วไง ทั้งหมดก็มีแค่นั้นแหล่ะครับ คือ ผม ต้อง ไป ทำงาน” เขาค่อยๆเน้นสี่คำสุดท้ายอย่างชัดเจน


    “งั้นก็บังเอิญมากๆเลยเนอะที่เราได้เจอกันอีกครั้ง แถมได้นั่งติดกันอีกด้วย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ก็แฝงไว้ด้วยถ้อยคำประชดประชันอยู่นิดๆ


    “นี่คุณคิดว่าผมตามคุณมาอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ แสร้งทำตาโตอย่างสมจริงจนอมิตดาเริ่มรู้สึกเขินอายกับความคิดที่ค่อนข้างหลงตัวเองอยู่ในที


    “เปล่า...ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็แค่ว่ามันบังเอิญดี” หล่อนกล่าวแก้เก้อก้มหน้างุดก่อนหันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อซ่อนดวงหน้าหวานที่กำลังแดงซ่านอย่างหน้าอับอาย


    “ครับบังเอิญ” ถังหย่งไซว่กล่าวอย่างเห็นพ้อง


    “ใช่ บังเอิญจริงๆ” เธอกล่าวพึมพำกับตนเอง เพื่อตอกย้ำไม่ให้คิดอะไรฟุ้งซ่านเกินเลยกับคนข้างกายมากเกินไป เพราะตลอดเวลาหลังจากกลับมาจากชมโชว์สุดแสนจะอลังการของอวี้โหมวครานั้น ลูกทัวร์ไทยคนอื่นๆก็มองเธอผิดแผกไปจนน่าใจหายเลยทีเดียว


                บางคนก็จับกลุ่มซุบซิบกันพลางส่งสายตามายังตัวเธออย่างตำหนิ ในขณะที่บางคนก็ยังคงปฏิบัติตนอย่างปกติและยังคงแสนดีมิมีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมเลย นอกเสียจากความเอ็นดูและเห็นใจซึ่งฉายชัดออกมาจากแววตาของคุณพ่อคุณแม่น้องไข่มุกนั่นเอง


    “ดูเหมือนคุณจะมีเรื่องไม่สบายใจ” ถังหย่งไซว่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยามเห็นมือของหญิงสาวบิดเข้าหากันไปมา “ผมพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม?” เขากล่าวอย่างอารี


    “ขอบคุณค่ะ” เธอตอบพลางฝืนยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย “ถึงคุณจะไม่ช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้นได้ก็เถอะ” แล้วหญิงสาวก็ต้องหุบยิ้มฉับเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยคำพูดถัดมาด้วยน้ำเสียงดุดันพลางเหลือบสายตาไปยังปนัดดาและเปมิกาที่กำลังจ้องมองมาทางเธอและเขาว่า


    “อย่าไปใส่ใจกับคำพูดของคนอื่นมากนักเลย ไม่มีใครหรืออะไรรู้ดีไปกว่าจิตใจของตัวเราเองหรอก” เขากล่าว โดยทิ้งสายตาคมดุไว้ให้สองสาวเสียวสันหลังเล่นแล้วรีบหลบสายตาเขาไปในทันทีอย่างหวั่นเกรง


    “คุณรู้!” อมิตดาเอ่ยผ่านริมฝีปากอย่างแปลกใจ


    “ก็พอรู้อยู่”เขาตอบ “มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ชอบสอดรู้สอดเห็นกิจธุระของคนอื่นแล้วนำมาพูดให้แง่เสียหายอยู่แล้ว อย่างนั้นมิใช่หรือ” กล่าวอย่างหารือซึ่งอมิตดาก็พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยอยู่ในทีแต่ก็ไม่วายแย้งมาด้วยน้ำเสียงง่อแง่ดไม่พอใจว่า


    “ถึงจะรู้อย่างนั้น แต่ฉันก็ไม่ชอบนี่”


    “แค่เราไม่ใส่ใจ ก็ไม่มีอะไรมาทำร้ายหรือรบกวนจิตใจเราได้หรอกคุณ”


                คำพูดง่ายๆที่ออกมาจากริมฝีปากหยักสวยได้รูปคู่นั้นส่งผลให้อมิตดานิ่งงันไปอย่างเห็นจริง แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ บางครั้งการตกเป็นเป้าสายตาหรือเป้าแห่งการนินทามันก็ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์คนใดปรารถนาเลยสักนิด อ้อ! คงยกเว้นพ่อรูปหล่อข้างกายของเธอคนนี้เสียกระมัง เพราะเธอยังคงเห็นเขาส่งสายตาคมดุให้สองสาวนั่นจนกลัวหงอไม่กล้าหันมองมาทางเธออีกเลย


    “ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวอีกครั้งพร้อมทั้งถอนหายใจ พยายามคิดว่าใครจะพูดจะนินทาว่าอะไรก็ปล่อยเขาไปเสีย ยังไงก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกครั้งอยู่ดี อย่าได้เก็บคำพูดของคนพวกนี้มาให้ปวดใจเลย อมิตดาปลอบใจตนเอง


    ถังหย่งไซว่พยักหน้ารับ ก่อนจะนั่งนิ่งเงียบไปเพียงชั่วอึดใจก็เอ่ยถามหญิงสาวข้างกายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า


    “คุณคิดว่าระหว่างเรามันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ”


    “แล้วคุณคิดว่าจะมีคำจำกัดความอะไรที่ดีไปกว่านี้ล่ะ” อมิตดาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขบขันก่อนหันไปสนใจทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่มีแต่กลุ่มเมฆตามเดิม


    “ถ้าผมกล่าวว่า มันเป็นเพราะพรหมลิขิตล่ะ”


    “ฉันก็จะพูดว่า คุณเป็นผู้ชายที่โรแมนติกเอาเรื่องเลยทีเดียว” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ


    “คุณรู้อะไรไหม...” ถังหย่งไซว่เอ่ย ก่อนหยุดชะงักคำพูดไปเพียงชั่วครู่เพื่อรอให้อีกฝ่ายหันใบหน้ากลับมาทางตนแล้วจึงกล่าวต่อไปว่า “ผมไม่เคยเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตหรอก แต่ผมเชื่อว่าหากต้องการอะไรมันก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของคนๆนั้นเท่านั้น”


                อมิตดาจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ทำแค่เพียงยักไหล่อย่างไม่หยี่ระ ก่อนจะอุทานเสียงดังด้วยความตกใจยามชายหนุ่มกุมมือของเธอขึ้นมาจรดกับริมฝีปากของเขาเองพร้อมทั้งเอ่ยคำพูดถัดมาด้วยแววตาหวานเชื่อมว่า


    “สำหรับเรา มันไม่เคยมีคำว่าบังเอิญเพราะว่าผม ตั้งใจ ที่จะคอยติดตามคุณ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้พบกันในลิฟต์ของโรงแรม มาจนกระทั่งตอนนี้ วินาทีนี้ ที่ผมเลือกนั่งบนเครื่องบินสายเดียวกันกับคุณ วันเดียวกันกับคุณและเลือกที่จะนั่งลงข้างๆคุณ” เขาสารภาพ เน้นย้ำคำว่าตั้งใจเพื่อให้หญิงสาวได้ซึมลึกเข้าไปในทุกคำพูด “และคุณล่ะอมิตดา ช่วยบอกกับผมหน่อยได้ไหมว่าคุณรังเกียจผู้ชายคนนี้หรือไม่ หรือว่าคิดรู้สึกอย่างไรกับเขา โกรธเขาบ้างหรือเปล่าที่กล้าสารภาพการกระทำที่อุกอาจเช่นนี้กับคุณ ผมยอมเผยทุกอย่างให้แก่คุณหมดแล้วอมิตดา ช่วยตอบกับผมหน่อยได้ไหมว่าคุณรู้สึกกับผม ถังหย่งไซว่คนนี้อย่างไร...ช่วยพูดอะไรก็ได้ให้ผมชื่นใจที”


                หญิงสาวนิ่งงัน สมองที่เคยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพกลับทดถอยลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขากำลังถามว่าเธอรู้สึกกับเขาอย่างไรเช่นนั้นหรือ? กับผู้ชายคนนี้ที่หน้าตาเหมือนกับหย่งไท่ ไม่มีผิดเพี้ยน


    “โปรดตอบผม ถ้ามันไม่ยากเกินไปนักสำหรับคุณ” ชายหนุ่มเอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยสายตาวิงวอน ณ เวลานี้ภายในกายของเขากำลังสั่นไหวไปจนถึงขั้วหัวใจ หากเธอตอบกลับมาเพียงว่า ไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลย จิตใจที่เคยแข็งแรงประดุจภูผาคงแตกดับไม่เหลือชิ้นดี


    “ฉันไม่รู้...”อมิตดากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แววตาสับสน “ฉันไม่รู้ว่าฉันรู้สึกกับคุณยังไง บางอย่างมันก็อธิบายไม่ถูก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ก็คือ ฉันไม่เคยรังเกียจคุณ แม้บางครั้งการกระทำบางอย่างของคุณมันจะดูน่ากลัวและไม่น่าไว้ใจก็ตาม”


    “ผมเข้าใจ” เขากล่าวพลางใช้มืออีกข้างตบลงบนหลังมือของเธอที่เขาเกาะกุมไว้เบาๆ


    “คุณคิดว่าฉันบ้าหรือเปล่า”


    “ไม่” เขาตอบ “คุณไม่บ้าหรอกคนดี หากจะมีใครสักคนที่ทำผิดในเรื่องนี้ก็คือ ผมเอง” กล่าวพร้อมทั้งบีบกระชับมือของเธอไว้ให้แน่นกว่าเดิม


    “ทำไมต้องเป็นฉัน” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความงุนงง สับสน ไม่แน่ใจ “เราเพิ่งได้พบกันไม่กี่ครั้งเองนะ”


    “เพราะคุณคือ เจ้าผีเสื้อน้อย ที่ผมออกตามหามานานแสนนาน คำๆนี้พอจะมีความหมายต่อคุณบ้างหรือเปล่าอมิตดา?”


    รอคอย เธอมาแสนนาน
    ทรมาน วิญญาณหนักหนา
    ระทม อยู่ในอุรา
    แก้วกานดา ฉันปองเธอผู้เดียว


                คำตอบของเขาส่งผลให้ตากลมโตของอมิตดาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ดวงหน้าหวานซึ้งขาวซีดขึ้นพอๆกับเสียงหัวใจที่เริ่มเต้นดังกระหน่ำราวกับกลองรัว เจ้าผีเสื้อน้อย ถ้อยคำคุ้นหูที่ยังคงติดตรึงอยู่ภายในหัวใจ ณ เวลานี้ชายตรงหน้ากลับเอ่ยมันออกมาได้ตรงกับคนที่อยู่ในความฝันของเธอนั้นเหลือเกิน


    “หย่งไท่...” หญิงสาวลองเรียกขานนามของเขาอย่างแผ่วเบา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มบริเวณมุมปากซึ่งดูเจ้าเล่ห์แต่ก็น่ารักอย่างไรพิกลอยู่


    เธอเอย แม้เราห่างกันแสนไกล
    ชายใด ดวงใจฉันไม่แลเหลียว
    รักเธอ แน่ใจจริงเจียว
    รักเธอ รักเดียว นิรันดร์


    “ครับ” เขากล่าวพลางก้มศีรษะ “จะเป็นการดีมากถ้าคุณกรุณาเรียกผมว่า หย่งไซว่ เพราะคำว่า หย่งไท่ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบชื่อนี้เท่าไรนัก นั่นคือความสัตย์จริง!”


    “เป็นคุณจริงๆเหรอ...”หญิงสาวเอ่ยถามตะกุกตะกักราวกับคนละเมอ “เป็นคุณจริงๆใช่ไหม?” เอ่ยย้ำอีกครั้งพลางยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาในขณะที่ถังหย่งไซว่ก็แนบแก้มสากลงบนฝ่ามือของหญิงสาวอย่างโหยหาพอกัน “ได้โปรด...บอกฉัน ว่านี่คือคุณจริงๆ ฉันไม่ได้ฝันไป” อ้อนวอนด้วยน้ำตาเอ่อคลอจนกระทั่งมันหยาดหยดลงมาเป็นสาย ยามอีกฝ่ายตอบคำถามของเธอด้วยคำพูดหวานหูว่า


    แม้นมีอุปสรรคขวากหนาม
    ขอตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
    จะชาติไหน ไหน
    ไม่ยอมห่างไกลกัน
    ดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ


    “อย่าร้องไห้...เจ้าผีเสื้อน้อยของข้า ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ชาติ กี่ภพ ข้าขอให้สัญญาว่าข้าจะติดตามหาเจ้าให้เจอ”


                เพียงพอแล้ว แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว อมิตดาร้องไห้โฮ โผเข้ากอดชายหนุ่มด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ณ เวลานี้ เธอไม่สนใจสิ่งใด นอกจากเขาชายหนุ่มผู้มีนามว่า ถังหย่งไซว่ คนรักในอดีตที่เธอเพิ่งได้กลับคืน ไออุ่นจากอกหนา กลิ่นกายอันหอมสดชื่นชวนหลงใหล บัดนี้ เธอกำลังมีความสุขและซาบซึ้งใจกับการได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับอกของชายหนุ่มที่กอดรัดเธอไว้อย่างแสนรักเช่นกัน


    คงเป็น รอยบุญมาหนุนนำ
    รอยกรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
    ให้เรา ได้มาเจอะเจอ
    ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย...
                  (แต่ปางก่อน – นพเก้า)
     
         “มิตร มิตรเอ้ย! หย่งไซว่เขามารอเอ็งนานแล้วนะลูก” นางอรทัยมารดาของอมิตดาเอ่ยเรียกบุตรสาวขณะที่เคาะประตูห้องนอนเป็นจังหวะติดกันอยู่สามสี่ครั้งแต่คนทางด้านในก็ไม่ยอมขานรับเสียที “มิตร!”
     
     
    “จ๋าแม่!” อมิตดาขานรับสะดุ้งตื่นออกจากภวังค์ก่อนเดินออกมาเปิดประตูห้องเพื่อหามารดา “เมื่อกี้แม่พูดว่าอะไรนะ”
     
     
    “แม่บอกว่า หย่งไซว่เขามารอเอ็งอยู่ข้างล่างนานแล้วนะลูก”
     
     
    “อ่อ...”ลากเสียงในลำคออย่างเข้าใจ “ขอบคุณค่ะ” กล่าวพร้อมทั้งยกมือขึ้นพนมไหว้มารดา “เมื่อกี้มิตรแต่งตัวอยู่ เลยไม่ได้ยินเสียงแม่เรียก”
     
     
    “แล้วนี่แต่งตัวเสร็จแล้วใช่ไหม?” อรทัยเอ่ยถามบุตรสาวพลางไล่สายตาไปตามร่างบางที่วันนี้แต่งกายด้วยชุดเดรสสีกากีคอวี มีเข็มขัดเป็นรูปโบว์สีดำคาดทับอยู่ใต้ฐานทรวง
     
     
                นับตั้งแต่กลับมาจากเดินทางไปประเทศจีนครานั้น บุตรสาวของนางก็ดูสวยขึ้นผิดหูผิดตา คงจะเป็นเพราะว่าไอ้หนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน-ญี่ปุ่นคนนั้นกระมัง ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงให้บุตรสาวของนางดูเป็นกุลสตรีมากขึ้นกว่าเดิม
     
      
    “เสร็จแล้วจ้ะ” หล่อนตอบรับด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่มารดาพยักหน้ารับแล้วออกเดินนำบุตรสาวลงไปยังชั้นหนึ่งของบ้านซึ่งมีผู้มาเยือนรออยู่ในห้องรับแขก
     
      
    “อย่ากลับดึกนักนะลูก”นางอรทัยเอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอาทรในขณะที่อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับเบาๆ
     
     
    “จ้า...” รับคำอีกครั้งก่อนโผเข้าหามารดาแล้วสวมกอดร่างท้วมของผู้ให้กำเนิดไว้แน่น “มิตรแค่ออกไปดูหนังนะแม่ แล้วเดี๋ยวเย็นนี้มิตรก็กลับมากินข้าวที่บ้าน” หล่อนอธิบายด้วยรอยยิ้มในขณะที่อรทัยพยักหน้า ถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
     
     
    “แล้วแฟนเอ็งล่ะ”
     
     
    “ก็...” อมิตดาแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิดกรอกตาขึ้นฟ้าก่อนจะหัวเราะร่าออกมายามมารดาตีต้นแขนเธอด้วยความหมั่นไส้
     
     
    “นี่แน่ะ ท่ามากดีนัก จะเอายังไงหา”
     
     
    “โอ้ย!แม่อ่ะ” หล่อนโอด “หย่งไซว่เขาบอกมิตรว่าจะคุยกับแม่เองนี่นา”
     
     
    “ก็ข้าเห็นเขามาตั้งนาน แต่ไม่ยักกะพูดอะไร” หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะมันผิดวิสัยของชายหนุ่มที่มักจะเอาของมาฝากนางอยู่เป็นเนืองๆ ตั้งแต่อมิตดากลับมาจากเมืองจีนพร้อมของขวัญมีชีวิตชิ้นโตที่ชื่อว่า ถังหย่งไซว่
     
      
    “แล้วพ่ออยู่ไหน”ดวงหน้าหวานหันมาถามมารดาขณะที่เดินลงบันไดบ้านพร้อมกัน ซึ่งคำตอบที่ได้รับฟังปนน้ำเสียงไม่พอใจของมารดานั้นส่งผลให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว
     
      
    “นั่งขัดปืนอยู่ข้างล่างนั่นล่ะ ขวางพิลึก!”
     
     
                            อ่อ...มันเป็นแบบนี้นี่เอง อมิตดาคิดก่อนส่ายหน้าไปมา
     
     
                แม้หญิงสาวจะพยายามทำใจให้คิดในแง่ดี(สุดๆ)ว่าความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับคนรักของเธอนั้นคงจะไม่ย่ำแย่สักเท่าไร แต่ทุกอย่างที่เป็นไป ช่างผิดกับที่เธอจินตนาการไว้ลิบลับเลยทีเดียว
     
     
    “นี่มัน...อะไรกันคะ” อมิตดาเอ่ยถามบิดาด้วยสีหน้าจืดเจื่อนเนื่องจากคาดไม่ถึงว่าสิ่งแรกที่เธอได้พบเห็นหลังจากรีบเร่งเดินลงบันไดตรงเข้ามายังห้องนั่งเล่นของตัวบ้าน จะเป็นภาพของบิดาที่หัวเราะร่าพร้อมทั้งยกแก้วน้ำสีอำพันชนกับแก้วของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆกันอย่างอารมณ์ดี
     
     
    “อ้าว มิตร!” นายประวิทย์เอ่ยเรียกบุตรสาว “มากินข้าวกับพ่อก่อนลูกมา” ว่าพลางตบมือลงบนโซฟาข้างๆสามสี่ครั้งเป็นสัญญาณให้อมิตดาทรุดตัวลงนั่งตามตำแหน่งนั้นไปโดยปริยาย
     
     
    “แต่หนูจะไปดูหนัง” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจนัก “หนูกลัวว่าถ้ากินข้าวแล้วจะไปไม่ทันนะพ่อจ๋า”
     
     
    “บ๊ะ!”อุทานพลางตบเข่าฉาด ดวงหน้าของชายวัยกลางคนแดงซ่านแสดงถึงอาการกึ่มได้ที่เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
     
     
    “ไว้เราค่อยไปดูรอบหลังก็ได้ครับ” ถังหย่งไซว่หันมาเอ่ยกับคนรักด้วยรอยยิ้มปลอบโยนในขณะที่อีกฝ่ายทำหน้าบึ้ง ริมฝีปากยื่นอย่างขัดใจ ซึ่งถ้าหากว่าเขาไม่เกรงใจบิดามารดาของเธอแล้วไซร้ คงไม่พ้นต้งเข้าไปบีบจมูกรั้นๆของหญิงสาวแล้วหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ให้สมรักอย่างแน่นอน
     
     
    “แต่ว่า...”
     
     
    “เชื่อผมสิ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยย้ำให้ความมั่นใจ ก่อนหันหน้าไปหาหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นมารดาของอมิตดา “เมื่อสักครู่คุณพ่อบอกผมว่า คุณแม่อยากทานบั้นท้ายไก่อย่างนั้นเหรอครับ”
     
     
    “ใช่จ้ะพ่อคุณ วันนั้นแม่เห็นที่ห้างเขาขายแค่โลละ 80 กว่าบาท ถ้าเอามาเสียบไม้ย่างกินกะส้มตำอร่อยดี” นางอรทัยตอบก่อนหันไปส่งสายตาขุ่นเคืองให้สามีที่นั่งหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ “แต่ดูสภาพนี้ คงพาไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ”
     
     
    “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมพาไปเองก็ได้ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนภรรยาเจ้าของบ้านชักเกรงใจ
     
      
    “จะดีหรือพ่อหนุ่ม”
     
     
    “ดีสิครับ” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกผมคุยกับมิตรไว้ว่าเราจะซื้ออาหารมารบกวนที่บ้านคุณพ่อคุณแม่เย็นนี้ ยังไงก็ต้องแวะซุปเปอร์มาเก็ตอยู่ดี สู้ออกไปพร้อมกันเลยจะดีเสียกว่า ส่วนเรื่องหนังผมคงต้องขออนุญาตคุณแม่พามิตรไปดูวันอื่นแทน หวังว่าคุณแม่จะไม่ว่าอะไร”
     
      
    “โอ้ย...ไม่ว่าหรอก” นางตอบพร้อมทั้งโบกไม้โบกมือไปมา แล้วบุ้ยปากไปทางสามีพร้อมทั้งกล่าวว่า “ตอนแรกที่เห็นสภาพของตานี่ก็นึกว่าจะเหลวเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นรอแม่แป๊ปนึงนะขอไปแต่งตัวก่อน”
     
     
    “ครับผม”ถังหย่งไซว่ตอบ ในขณะที่หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ และสุดท้ายเธอก็อดทนรอไม่ไหว จึงต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นไปฉุดข้อมือของชายหนุ่มให้เดินตามโดยไม่สนใจเสียงทัดทานที่เริ่มอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ของบิดา
     
     
                และแล้ว ก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาดหวังไว้ว่าอีกฝ่ายจะรีบฉุดรั้งเขาเข้าไปในมุมลับตา เพื่อเจรจาถึงแผนการเดทที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องแรกทันที ริมฝีปากหยักสวยได้รูปแย้มยิ้มมองตามแผ่นหลังของร่างบางที่ตั้งหน้าตั้งตาออกแรงดึงเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยลูกแกะหารู้ไม่ ว่าได้ตกหลุมพรางของนายพรานคนนี้เข้าไปจนมิอาจถอนตัวได้เลย
     
     
    “คุณแน่ใจเหรอคะว่าอยากให้มันเป็นแบบนี้” อมิตดาเอ่ยหลังจากลงมือปิดประตูห้องตามหลังแล้วหันหน้ามาประจันกับชายหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งหน้าตาย อยู่ภายในห้องสมุดเล็กๆของบ้าน
     
     
    “หรือว่าคุณไม่พอใจ?” กล่าวพลางยื่นมือออกไปจับปลายผมของหญิงสาว
     
      
    “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”หล่อนกล่าวแก้ ลมหายใจเริ่มติดขัดเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆขยับกายเข้ามาใกล้ “แต่มิตรกลัวคุณจะไม่พอใจต่างหากที่เราไม่ได้ไปไหนกันแค่สองคน เพราะปกติคุณก็งานยุ่งจนเราแทบไม่มีเวลาอยู่ด้วยกัน...”เสียงหวานเริ่มแผ่วเบาลงตามลำดับ ยามดวงหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนฝากรอยจุมพิตไว้บนริมฝีปากอิ่มของเธออย่างแผ่วเบา อ่อนหวาน แต่ก็เล่นเอาสั่นสะท้านไปทั้งกาย
     
     
    “อย่าห่วงเลย” เขาเอ่ย พลางไล่ริมฝีปากไปตามแก้มนวลระเรื่อยมาจนถึงริมใบหู เสียงทุ้มนุ่มและกลิ่นกายอันน่าหลงใหลส่งผลให้หญิงสาวต้องไขว่คว้าร่างของเขาเอาไว้ด้วยการโอบกอดรอบลำคอแล้วจิกเล็บลงบนไหล่หนาอย่างลืมตัว “ เราสองคนต่างมีเวลาชั่วนิจนิรันดร์ ขึ้นอยู่กับว่าตัวคุณนั้นจะน้อมรับมันไว้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”
     
     
                ณ ห้วงเวลานั้น อมิตดาไม่อาจบอกได้เลยว่าชายหนุ่มกำลังกล่าวว่าอะไร เพราะตอนนี้ทั้งใจและกายเธอกลับทุ่มเทให้กลับความหวานไหวที่บุรุษตรงหน้าคอยป้อนให้ริมฝีปากของเธอ...
     
     
                ...ระหว่างสมองและฤทัย  ข้าจักใช้สิ่งใดเป็นเครื่องนำทาง ...
    -----------------------------------------------------------------------------------    
     
    มาแก้ไขให้อ่านได้แล้วนะคะ สำหรับนิยายที่บิวลงให้อ่านในหน้าเว็บนั้น เป็นนิยายที่ยังไม่ได้รีไรท์ ดังนั้นในต้นฉบับจริงจะมีรายละเอียดของเนื้อหามากกว่านี้  ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ          
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×