ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บุรพนิมิต 5...สุดแท้แต่ใจเธอ
บุรพนิมิต 5...สุดแท้แต่ใจเธอ
ข้าจักพันธนาการเจ้าไว้ด้วยหัวใจและเรือนกาย...แม้มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เจ้าต้องการ
แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านลอดหน้าต่างทาบทับอยู่บนเรือนร่างบอบบางของอมิตดาที่กำลังนั่งสางผมยาวสลวยของตนตรงหน้ากระจกอย่างเหม่อลอย นับตั้งแต่การดินทางสุดแสนจะน่าประทับใจในครานั้น มันก็เป็นเวลาที่ล่วงเลยมาถึงสองอาทิตย์แล้วหลังจากที่เธอเดินทางกลับมาจากประเทศจีน และโดยไม่คาดคิด เธอก็ได้พบผู้ชายคนนั้นอีกครั้งบนเครื่องบินระหว่างเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง” เขาเอ่ยทักทายเธอด้วยรอยยิ้มขณะที่หย่อนกายลงนั่งเคียงข้างหญิงสาวบนชั้น Business Class “มันช่างบังเอิญจริงๆเลยนะ คุณว่าไหม?”
หญิงสาวไม่ตอบ เพราะตอนนี้เธอกำลังอ้าปากค้าง จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างงุนงง จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกอยู่หลายวินาทีจนอีกฝ่ายเอื้อมมือออกมารัดเข็มขัดนิรภัยให้เธออย่างถือวิสาสะนั่นล่ะ หญิงสาวถึงได้รู้สึกตัว
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง” เธอถามเสียงแผ่วเบา อย่างคนที่สติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก ในขณะที่ถังหย่งไซว่กลับรู้สึกขบขัน ไล่สายตาไปตามดวงหน้าของหญิงสาวด้วยความปราณีและขบขันนิดๆกับคำถามของเธอ
“ไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ผมเดินทางเข้าสู้ประเทศไทยนี่ครับ”
“คุณก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร” หล่อนแย้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายตอบคำถามเธออย่างรวนๆ
“ผมต้องเดินทางไปทำงานที่เมืองไทย” เขาตอบขณะที่กระชับเสื้อสูทให้เข้าหากัน
“แล้ว...”
“ก็ไม่แล้วไง ทั้งหมดก็มีแค่นั้นแหล่ะครับ คือ ผม ต้อง ไป ทำงาน” เขาค่อยๆเน้นสี่คำสุดท้ายอย่างชัดเจน
“งั้นก็บังเอิญมากๆเลยเนอะที่เราได้เจอกันอีกครั้ง แถมได้นั่งติดกันอีกด้วย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ก็แฝงไว้ด้วยถ้อยคำประชดประชันอยู่นิดๆ
“นี่คุณคิดว่าผมตามคุณมาอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ แสร้งทำตาโตอย่างสมจริงจนอมิตดาเริ่มรู้สึกเขินอายกับความคิดที่ค่อนข้างหลงตัวเองอยู่ในที
“เปล่า...ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็แค่ว่ามันบังเอิญดี” หล่อนกล่าวแก้เก้อก้มหน้างุดก่อนหันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อซ่อนดวงหน้าหวานที่กำลังแดงซ่านอย่างหน้าอับอาย
“ครับบังเอิญ” ถังหย่งไซว่กล่าวอย่างเห็นพ้อง
“ใช่ บังเอิญจริงๆ” เธอกล่าวพึมพำกับตนเอง เพื่อตอกย้ำไม่ให้คิดอะไรฟุ้งซ่านเกินเลยกับคนข้างกายมากเกินไป เพราะตลอดเวลาหลังจากกลับมาจากชมโชว์สุดแสนจะอลังการของอวี้โหมวครานั้น ลูกทัวร์ไทยคนอื่นๆก็มองเธอผิดแผกไปจนน่าใจหายเลยทีเดียว
บางคนก็จับกลุ่มซุบซิบกันพลางส่งสายตามายังตัวเธออย่างตำหนิ ในขณะที่บางคนก็ยังคงปฏิบัติตนอย่างปกติและยังคงแสนดีมิมีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมเลย นอกเสียจากความเอ็นดูและเห็นใจซึ่งฉายชัดออกมาจากแววตาของคุณพ่อคุณแม่น้องไข่มุกนั่นเอง
“ดูเหมือนคุณจะมีเรื่องไม่สบายใจ” ถังหย่งไซว่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยามเห็นมือของหญิงสาวบิดเข้าหากันไปมา “ผมพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม?” เขากล่าวอย่างอารี
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบพลางฝืนยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย “ถึงคุณจะไม่ช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้นได้ก็เถอะ” แล้วหญิงสาวก็ต้องหุบยิ้มฉับเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยคำพูดถัดมาด้วยน้ำเสียงดุดันพลางเหลือบสายตาไปยังปนัดดาและเปมิกาที่กำลังจ้องมองมาทางเธอและเขาว่า
“อย่าไปใส่ใจกับคำพูดของคนอื่นมากนักเลย ไม่มีใครหรืออะไรรู้ดีไปกว่าจิตใจของตัวเราเองหรอก” เขากล่าว โดยทิ้งสายตาคมดุไว้ให้สองสาวเสียวสันหลังเล่นแล้วรีบหลบสายตาเขาไปในทันทีอย่างหวั่นเกรง
“คุณรู้!” อมิตดาเอ่ยผ่านริมฝีปากอย่างแปลกใจ
“ก็พอรู้อยู่”เขาตอบ “มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ชอบสอดรู้สอดเห็นกิจธุระของคนอื่นแล้วนำมาพูดให้แง่เสียหายอยู่แล้ว อย่างนั้นมิใช่หรือ” กล่าวอย่างหารือซึ่งอมิตดาก็พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยอยู่ในทีแต่ก็ไม่วายแย้งมาด้วยน้ำเสียงง่อแง่ดไม่พอใจว่า
“ถึงจะรู้อย่างนั้น แต่ฉันก็ไม่ชอบนี่”
“แค่เราไม่ใส่ใจ ก็ไม่มีอะไรมาทำร้ายหรือรบกวนจิตใจเราได้หรอกคุณ”
คำพูดง่ายๆที่ออกมาจากริมฝีปากหยักสวยได้รูปคู่นั้นส่งผลให้อมิตดานิ่งงันไปอย่างเห็นจริง แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ บางครั้งการตกเป็นเป้าสายตาหรือเป้าแห่งการนินทามันก็ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์คนใดปรารถนาเลยสักนิด อ้อ! คงยกเว้นพ่อรูปหล่อข้างกายของเธอคนนี้เสียกระมัง เพราะเธอยังคงเห็นเขาส่งสายตาคมดุให้สองสาวนั่นจนกลัวหงอไม่กล้าหันมองมาทางเธออีกเลย
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวอีกครั้งพร้อมทั้งถอนหายใจ พยายามคิดว่าใครจะพูดจะนินทาว่าอะไรก็ปล่อยเขาไปเสีย ยังไงก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกครั้งอยู่ดี อย่าได้เก็บคำพูดของคนพวกนี้มาให้ปวดใจเลย อมิตดาปลอบใจตนเอง
ถังหย่งไซว่พยักหน้ารับ ก่อนจะนั่งนิ่งเงียบไปเพียงชั่วอึดใจก็เอ่ยถามหญิงสาวข้างกายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า
“คุณคิดว่าระหว่างเรามันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ”
“แล้วคุณคิดว่าจะมีคำจำกัดความอะไรที่ดีไปกว่านี้ล่ะ” อมิตดาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขบขันก่อนหันไปสนใจทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่มีแต่กลุ่มเมฆตามเดิม
“ถ้าผมกล่าวว่า มันเป็นเพราะพรหมลิขิตล่ะ”
“ฉันก็จะพูดว่า คุณเป็นผู้ชายที่โรแมนติกเอาเรื่องเลยทีเดียว” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ
“คุณรู้อะไรไหม...” ถังหย่งไซว่เอ่ย ก่อนหยุดชะงักคำพูดไปเพียงชั่วครู่เพื่อรอให้อีกฝ่ายหันใบหน้ากลับมาทางตนแล้วจึงกล่าวต่อไปว่า “ผมไม่เคยเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตหรอก แต่ผมเชื่อว่าหากต้องการอะไรมันก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของคนๆนั้นเท่านั้น”
อมิตดาจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ทำแค่เพียงยักไหล่อย่างไม่หยี่ระ ก่อนจะอุทานเสียงดังด้วยความตกใจยามชายหนุ่มกุมมือของเธอขึ้นมาจรดกับริมฝีปากของเขาเองพร้อมทั้งเอ่ยคำพูดถัดมาด้วยแววตาหวานเชื่อมว่า
“สำหรับเรา มันไม่เคยมีคำว่าบังเอิญเพราะว่าผม ตั้งใจ ที่จะคอยติดตามคุณ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้พบกันในลิฟต์ของโรงแรม มาจนกระทั่งตอนนี้ วินาทีนี้ ที่ผมเลือกนั่งบนเครื่องบินสายเดียวกันกับคุณ วันเดียวกันกับคุณและเลือกที่จะนั่งลงข้างๆคุณ” เขาสารภาพ เน้นย้ำคำว่าตั้งใจเพื่อให้หญิงสาวได้ซึมลึกเข้าไปในทุกคำพูด “และคุณล่ะอมิตดา ช่วยบอกกับผมหน่อยได้ไหมว่าคุณรังเกียจผู้ชายคนนี้หรือไม่ หรือว่าคิดรู้สึกอย่างไรกับเขา โกรธเขาบ้างหรือเปล่าที่กล้าสารภาพการกระทำที่อุกอาจเช่นนี้กับคุณ ผมยอมเผยทุกอย่างให้แก่คุณหมดแล้วอมิตดา ช่วยตอบกับผมหน่อยได้ไหมว่าคุณรู้สึกกับผม ถังหย่งไซว่คนนี้อย่างไร...ช่วยพูดอะไรก็ได้ให้ผมชื่นใจที”
หญิงสาวนิ่งงัน สมองที่เคยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพกลับทดถอยลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขากำลังถามว่าเธอรู้สึกกับเขาอย่างไรเช่นนั้นหรือ? กับผู้ชายคนนี้ที่หน้าตาเหมือนกับหย่งไท่ ไม่มีผิดเพี้ยน
“โปรดตอบผม ถ้ามันไม่ยากเกินไปนักสำหรับคุณ” ชายหนุ่มเอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยสายตาวิงวอน ณ เวลานี้ภายในกายของเขากำลังสั่นไหวไปจนถึงขั้วหัวใจ หากเธอตอบกลับมาเพียงว่า ไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลย จิตใจที่เคยแข็งแรงประดุจภูผาคงแตกดับไม่เหลือชิ้นดี
“ฉันไม่รู้...”อมิตดากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แววตาสับสน “ฉันไม่รู้ว่าฉันรู้สึกกับคุณยังไง บางอย่างมันก็อธิบายไม่ถูก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ก็คือ ฉันไม่เคยรังเกียจคุณ แม้บางครั้งการกระทำบางอย่างของคุณมันจะดูน่ากลัวและไม่น่าไว้ใจก็ตาม”
“ผมเข้าใจ” เขากล่าวพลางใช้มืออีกข้างตบลงบนหลังมือของเธอที่เขาเกาะกุมไว้เบาๆ
“คุณคิดว่าฉันบ้าหรือเปล่า”
“ไม่” เขาตอบ “คุณไม่บ้าหรอกคนดี หากจะมีใครสักคนที่ทำผิดในเรื่องนี้ก็คือ ผมเอง” กล่าวพร้อมทั้งบีบกระชับมือของเธอไว้ให้แน่นกว่าเดิม
“ทำไมต้องเป็นฉัน” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความงุนงง สับสน ไม่แน่ใจ “เราเพิ่งได้พบกันไม่กี่ครั้งเองนะ”
“เพราะคุณคือ เจ้าผีเสื้อน้อย ที่ผมออกตามหามานานแสนนาน คำๆนี้พอจะมีความหมายต่อคุณบ้างหรือเปล่าอมิตดา?”
รอคอย เธอมาแสนนาน
ทรมาน วิญญาณหนักหนา
ระทม อยู่ในอุรา
แก้วกานดา ฉันปองเธอผู้เดียว
คำตอบของเขาส่งผลให้ตากลมโตของอมิตดาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ดวงหน้าหวานซึ้งขาวซีดขึ้นพอๆกับเสียงหัวใจที่เริ่มเต้นดังกระหน่ำราวกับกลองรัว เจ้าผีเสื้อน้อย ถ้อยคำคุ้นหูที่ยังคงติดตรึงอยู่ภายในหัวใจ ณ เวลานี้ชายตรงหน้ากลับเอ่ยมันออกมาได้ตรงกับคนที่อยู่ในความฝันของเธอนั้นเหลือเกิน
“หย่งไท่...” หญิงสาวลองเรียกขานนามของเขาอย่างแผ่วเบา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มบริเวณมุมปากซึ่งดูเจ้าเล่ห์แต่ก็น่ารักอย่างไรพิกลอยู่
เธอเอย แม้เราห่างกันแสนไกล
ชายใด ดวงใจฉันไม่แลเหลียว
รักเธอ แน่ใจจริงเจียว
รักเธอ รักเดียว นิรันดร์
“ครับ” เขากล่าวพลางก้มศีรษะ “จะเป็นการดีมากถ้าคุณกรุณาเรียกผมว่า หย่งไซว่ เพราะคำว่า หย่งไท่ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบชื่อนี้เท่าไรนัก นั่นคือความสัตย์จริง!”
“เป็นคุณจริงๆเหรอ...”หญิงสาวเอ่ยถามตะกุกตะกักราวกับคนละเมอ “เป็นคุณจริงๆใช่ไหม?” เอ่ยย้ำอีกครั้งพลางยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาในขณะที่ถังหย่งไซว่ก็แนบแก้มสากลงบนฝ่ามือของหญิงสาวอย่างโหยหาพอกัน “ได้โปรด...บอกฉัน ว่านี่คือคุณจริงๆ ฉันไม่ได้ฝันไป” อ้อนวอนด้วยน้ำตาเอ่อคลอจนกระทั่งมันหยาดหยดลงมาเป็นสาย ยามอีกฝ่ายตอบคำถามของเธอด้วยคำพูดหวานหูว่า
แม้นมีอุปสรรคขวากหนาม
ขอตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
จะชาติไหน ไหน
ไม่ยอมห่างไกลกัน
ดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ
“อย่าร้องไห้...เจ้าผีเสื้อน้อยของข้า ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ชาติ กี่ภพ ข้าขอให้สัญญาว่าข้าจะติดตามหาเจ้าให้เจอ”
เพียงพอแล้ว แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว อมิตดาร้องไห้โฮ โผเข้ากอดชายหนุ่มด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ณ เวลานี้ เธอไม่สนใจสิ่งใด นอกจากเขาชายหนุ่มผู้มีนามว่า ถังหย่งไซว่ คนรักในอดีตที่เธอเพิ่งได้กลับคืน ไออุ่นจากอกหนา กลิ่นกายอันหอมสดชื่นชวนหลงใหล บัดนี้ เธอกำลังมีความสุขและซาบซึ้งใจกับการได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับอกของชายหนุ่มที่กอดรัดเธอไว้อย่างแสนรักเช่นกัน
คงเป็น รอยบุญมาหนุนนำ
รอยกรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้เรา ได้มาเจอะเจอ
ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย...
(แต่ปางก่อน นพเก้า)
“มิตร มิตรเอ้ย! หย่งไซว่เขามารอเอ็งนานแล้วนะลูก” นางอรทัยมารดาของอมิตดาเอ่ยเรียกบุตรสาวขณะที่เคาะประตูห้องนอนเป็นจังหวะติดกันอยู่สามสี่ครั้งแต่คนทางด้านในก็ไม่ยอมขานรับเสียที “มิตร!”
“จ๋าแม่!” อมิตดาขานรับสะดุ้งตื่นออกจากภวังค์ก่อนเดินออกมาเปิดประตูห้องเพื่อหามารดา “เมื่อกี้แม่พูดว่าอะไรนะ”
“แม่บอกว่า หย่งไซว่เขามารอเอ็งอยู่ข้างล่างนานแล้วนะลูก”
“อ่อ...”ลากเสียงในลำคออย่างเข้าใจ “ขอบคุณค่ะ” กล่าวพร้อมทั้งยกมือขึ้นพนมไหว้มารดา “เมื่อกี้มิตรแต่งตัวอยู่ เลยไม่ได้ยินเสียงแม่เรียก”
“แล้วนี่แต่งตัวเสร็จแล้วใช่ไหม?” อรทัยเอ่ยถามบุตรสาวพลางไล่สายตาไปตามร่างบางที่วันนี้แต่งกายด้วยชุดเดรสสีกากีคอวี มีเข็มขัดเป็นรูปโบว์สีดำคาดทับอยู่ใต้ฐานทรวง
นับตั้งแต่กลับมาจากเดินทางไปประเทศจีนครานั้น บุตรสาวของนางก็ดูสวยขึ้นผิดหูผิดตา คงจะเป็นเพราะว่าไอ้หนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน-ญี่ปุ่นคนนั้นกระมัง ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงให้บุตรสาวของนางดูเป็นกุลสตรีมากขึ้นกว่าเดิม
“เสร็จแล้วจ้ะ” หล่อนตอบรับด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่มารดาพยักหน้ารับแล้วออกเดินนำบุตรสาวลงไปยังชั้นหนึ่งของบ้านซึ่งมีผู้มาเยือนรออยู่ในห้องรับแขก
“อย่ากลับดึกนักนะลูก”นางอรทัยเอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอาทรในขณะที่อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับเบาๆ
“จ้า...” รับคำอีกครั้งก่อนโผเข้าหามารดาแล้วสวมกอดร่างท้วมของผู้ให้กำเนิดไว้แน่น “มิตรแค่ออกไปดูหนังนะแม่ แล้วเดี๋ยวเย็นนี้มิตรก็กลับมากินข้าวที่บ้าน” หล่อนอธิบายด้วยรอยยิ้มในขณะที่อรทัยพยักหน้า ถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“แล้วแฟนเอ็งล่ะ”
“ก็...” อมิตดาแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิดกรอกตาขึ้นฟ้าก่อนจะหัวเราะร่าออกมายามมารดาตีต้นแขนเธอด้วยความหมั่นไส้
“นี่แน่ะ ท่ามากดีนัก จะเอายังไงหา”
“โอ้ย!แม่อ่ะ” หล่อนโอด “หย่งไซว่เขาบอกมิตรว่าจะคุยกับแม่เองนี่นา”
“ก็ข้าเห็นเขามาตั้งนาน แต่ไม่ยักกะพูดอะไร” หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะมันผิดวิสัยของชายหนุ่มที่มักจะเอาของมาฝากนางอยู่เป็นเนืองๆ ตั้งแต่อมิตดากลับมาจากเมืองจีนพร้อมของขวัญมีชีวิตชิ้นโตที่ชื่อว่า ถังหย่งไซว่
“แล้วพ่ออยู่ไหน”ดวงหน้าหวานหันมาถามมารดาขณะที่เดินลงบันไดบ้านพร้อมกัน ซึ่งคำตอบที่ได้รับฟังปนน้ำเสียงไม่พอใจของมารดานั้นส่งผลให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว
“นั่งขัดปืนอยู่ข้างล่างนั่นล่ะ ขวางพิลึก!”
อ่อ...มันเป็นแบบนี้นี่เอง อมิตดาคิดก่อนส่ายหน้าไปมา
แม้หญิงสาวจะพยายามทำใจให้คิดในแง่ดี(สุดๆ)ว่าความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับคนรักของเธอนั้นคงจะไม่ย่ำแย่สักเท่าไร แต่ทุกอย่างที่เป็นไป ช่างผิดกับที่เธอจินตนาการไว้ลิบลับเลยทีเดียว
“นี่มัน...อะไรกันคะ” อมิตดาเอ่ยถามบิดาด้วยสีหน้าจืดเจื่อนเนื่องจากคาดไม่ถึงว่าสิ่งแรกที่เธอได้พบเห็นหลังจากรีบเร่งเดินลงบันไดตรงเข้ามายังห้องนั่งเล่นของตัวบ้าน จะเป็นภาพของบิดาที่หัวเราะร่าพร้อมทั้งยกแก้วน้ำสีอำพันชนกับแก้วของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆกันอย่างอารมณ์ดี
“อ้าว มิตร!” นายประวิทย์เอ่ยเรียกบุตรสาว “มากินข้าวกับพ่อก่อนลูกมา” ว่าพลางตบมือลงบนโซฟาข้างๆสามสี่ครั้งเป็นสัญญาณให้อมิตดาทรุดตัวลงนั่งตามตำแหน่งนั้นไปโดยปริยาย
“แต่หนูจะไปดูหนัง” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจนัก “หนูกลัวว่าถ้ากินข้าวแล้วจะไปไม่ทันนะพ่อจ๋า”
“บ๊ะ!”อุทานพลางตบเข่าฉาด ดวงหน้าของชายวัยกลางคนแดงซ่านแสดงถึงอาการกึ่มได้ที่เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“ไว้เราค่อยไปดูรอบหลังก็ได้ครับ” ถังหย่งไซว่หันมาเอ่ยกับคนรักด้วยรอยยิ้มปลอบโยนในขณะที่อีกฝ่ายทำหน้าบึ้ง ริมฝีปากยื่นอย่างขัดใจ ซึ่งถ้าหากว่าเขาไม่เกรงใจบิดามารดาของเธอแล้วไซร้ คงไม่พ้นต้งเข้าไปบีบจมูกรั้นๆของหญิงสาวแล้วหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ให้สมรักอย่างแน่นอน
“แต่ว่า...”
“เชื่อผมสิ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยย้ำให้ความมั่นใจ ก่อนหันหน้าไปหาหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นมารดาของอมิตดา “เมื่อสักครู่คุณพ่อบอกผมว่า คุณแม่อยากทานบั้นท้ายไก่อย่างนั้นเหรอครับ”
“ใช่จ้ะพ่อคุณ วันนั้นแม่เห็นที่ห้างเขาขายแค่โลละ 80 กว่าบาท ถ้าเอามาเสียบไม้ย่างกินกะส้มตำอร่อยดี” นางอรทัยตอบก่อนหันไปส่งสายตาขุ่นเคืองให้สามีที่นั่งหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ “แต่ดูสภาพนี้ คงพาไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมพาไปเองก็ได้ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนภรรยาเจ้าของบ้านชักเกรงใจ
“จะดีหรือพ่อหนุ่ม”
“ดีสิครับ” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกผมคุยกับมิตรไว้ว่าเราจะซื้ออาหารมารบกวนที่บ้านคุณพ่อคุณแม่เย็นนี้ ยังไงก็ต้องแวะซุปเปอร์มาเก็ตอยู่ดี สู้ออกไปพร้อมกันเลยจะดีเสียกว่า ส่วนเรื่องหนังผมคงต้องขออนุญาตคุณแม่พามิตรไปดูวันอื่นแทน หวังว่าคุณแม่จะไม่ว่าอะไร”
“โอ้ย...ไม่ว่าหรอก” นางตอบพร้อมทั้งโบกไม้โบกมือไปมา แล้วบุ้ยปากไปทางสามีพร้อมทั้งกล่าวว่า “ตอนแรกที่เห็นสภาพของตานี่ก็นึกว่าจะเหลวเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นรอแม่แป๊ปนึงนะขอไปแต่งตัวก่อน”
“ครับผม”ถังหย่งไซว่ตอบ ในขณะที่หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ และสุดท้ายเธอก็อดทนรอไม่ไหว จึงต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นไปฉุดข้อมือของชายหนุ่มให้เดินตามโดยไม่สนใจเสียงทัดทานที่เริ่มอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ของบิดา
และแล้ว ก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาดหวังไว้ว่าอีกฝ่ายจะรีบฉุดรั้งเขาเข้าไปในมุมลับตา เพื่อเจรจาถึงแผนการเดทที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องแรกทันที ริมฝีปากหยักสวยได้รูปแย้มยิ้มมองตามแผ่นหลังของร่างบางที่ตั้งหน้าตั้งตาออกแรงดึงเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยลูกแกะหารู้ไม่ ว่าได้ตกหลุมพรางของนายพรานคนนี้เข้าไปจนมิอาจถอนตัวได้เลย
“คุณแน่ใจเหรอคะว่าอยากให้มันเป็นแบบนี้” อมิตดาเอ่ยหลังจากลงมือปิดประตูห้องตามหลังแล้วหันหน้ามาประจันกับชายหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งหน้าตาย อยู่ภายในห้องสมุดเล็กๆของบ้าน
“หรือว่าคุณไม่พอใจ?” กล่าวพลางยื่นมือออกไปจับปลายผมของหญิงสาว
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”หล่อนกล่าวแก้ ลมหายใจเริ่มติดขัดเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆขยับกายเข้ามาใกล้ “แต่มิตรกลัวคุณจะไม่พอใจต่างหากที่เราไม่ได้ไปไหนกันแค่สองคน เพราะปกติคุณก็งานยุ่งจนเราแทบไม่มีเวลาอยู่ด้วยกัน...”เสียงหวานเริ่มแผ่วเบาลงตามลำดับ ยามดวงหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนฝากรอยจุมพิตไว้บนริมฝีปากอิ่มของเธออย่างแผ่วเบา อ่อนหวาน แต่ก็เล่นเอาสั่นสะท้านไปทั้งกาย
“อย่าห่วงเลย” เขาเอ่ย พลางไล่ริมฝีปากไปตามแก้มนวลระเรื่อยมาจนถึงริมใบหู เสียงทุ้มนุ่มและกลิ่นกายอันน่าหลงใหลส่งผลให้หญิงสาวต้องไขว่คว้าร่างของเขาเอาไว้ด้วยการโอบกอดรอบลำคอแล้วจิกเล็บลงบนไหล่หนาอย่างลืมตัว “ เราสองคนต่างมีเวลาชั่วนิจนิรันดร์ ขึ้นอยู่กับว่าตัวคุณนั้นจะน้อมรับมันไว้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”
ณ ห้วงเวลานั้น อมิตดาไม่อาจบอกได้เลยว่าชายหนุ่มกำลังกล่าวว่าอะไร เพราะตอนนี้ทั้งใจและกายเธอกลับทุ่มเทให้กลับความหวานไหวที่บุรุษตรงหน้าคอยป้อนให้ริมฝีปากของเธอ...
...ระหว่างสมองและฤทัย ข้าจักใช้สิ่งใดเป็นเครื่องนำทาง ...
-----------------------------------------------------------------------------------
มาแก้ไขให้อ่านได้แล้วนะคะ สำหรับนิยายที่บิวลงให้อ่านในหน้าเว็บนั้น เป็นนิยายที่ยังไม่ได้รีไรท์ ดังนั้นในต้นฉบับจริงจะมีรายละเอียดของเนื้อหามากกว่านี้ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น