ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอยสลักรัก

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 กลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 162
      2
      29 ส.ค. 65

     

    บทที่ 5 

    กลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย

    เธอไม่เคยคาดคิดว่าการตกหลุมรักใครสักคนมันจะทรงพลานุภาพมากขนาดนี้!!  ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น มันช่างน่าหลงใหลและน่าหวั่นกลัวในคราเดียวกัน เปรียบดั่งคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูง ที่แม้มองลงมายังทัศนียภาพด้านล่างอันงดงามชวนฝัน แต่ถ้าหากพลาดพลั้งพลัดตกลงมาจากยอดเขาสูงนั้น คงไม่พ้นบาดเจ็บสาหัสหรือสิ้นชีพไปในทันที

                แน่นอน...ว่าในเรื่องของหัวใจย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่ผิดเพี้ยนกันเลย

                “ริสาแกอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่

                เป็นข้อความของนภาเกตน์ เพื่อนสนิทของเธอที่เมืองไทยส่งมาในโปรแกรมแชทตอนหกโมงเช้าก่อนเธอจะออกเดินทาง ทำให้อริสาจำต้องวางดินสอเขียนคิ้วในมือลง แล้วพิมพ์ตอบเพื่อนไปในทันที

                “ฉันเพิ่งออกจากห้องน้ำ กำลังแต่งหน้า มีอะไรหรือเปล่า”

    “ฉันมีความรู้สึกว่าตัวเองจะมีความรัก!” อีกฝ่ายตอบ “แต่ฉันเพิ่งรู้จักกับเขาได้แค่สองอาทิตย์กว่าๆ มันจะเป็นความรักได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “แก...” เธอนิ่งอึ้งอยู่นานพลางถอนหายใจ แล้วพิมพ์ตอบเพื่อนไปด้วยความรู้สึกที่คงไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก กับสิ่งที่กำลังเผชิญ “ถ้าของแกสองอาทิตย์เร็วไป แล้วอย่างฉันเพิ่งเจอเขาแค่วันเดียว มันจะเรียกว่าอะไรวะ? แค่ฮอร์โมนที่พลุ่งพล่านงั้นหรือ”

    “กรี๊ดดดดดดดด ฉันปกติใช่ไหมแก ไม่ใช่ว่าฉันเห็นผู้ชายหล่อไม่ได้หรอกนะ”

    ฉันว่าใช่! เธอนึก แต่เลือกที่จะไม่พิมพ์ตอบกลับไปแบบนั้น เพราะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจริงจัง หากนภาเกตน์เลือกที่จะไว้ใจเล่าให้เธอฟังเพื่อขอคำปรึกษา ดังนั้น หากเธอดันเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา คงได้โดนเพื่อนสวดใส่อีกยาว

    ฉันไม่รู้ ... สำหรับเรามันอาจจะเป็นเรื่องผิดปกติก็ได้”

    “มันคงไม่ปกติจริงๆ เพราะรู้จักกันไม่นานแต่ฉันจูบกับเขาไปสองครั้งแล้ว ครั้งที่สองเมื่อกี้นี้เอง ฉันหัวใจจะวายตายแล้วตอนนี้”

    ตากลมโตเบิกกว้าง หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นจอหน้าใกล้ๆ ราวกับว่าเธอตาฝาดจนอ่านผิด

    “โอ้ยย ไวไฟเกินไปแล้วนะแก รู้จักกันแค่ 2 อาทิตย์เองนะ!” 

    เธอปราม แม้จะรู้สึกกระดากไปบ้างก็ตาม เพราะเธอเองก็เจอเขาคนนั้นได้แค่เพียงวันเดียว แถมไม่รู้จักชื่ออีกต่างหาก ทว่าภายในใจของตนเองก็ยังคงวูบไหวอยู่ในขณะนี้

    “แกอ่ะ!!”

    “ไวปานวอก! พูดเลย!”  ทว่าก็อดแซวเพื่อนสาวที่ตอนนี้คงจะกำลังหน้าแดงซ่านอยู่ก็ได้

    “ฉัน...ไม่รู้สิริสา ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น มันไม่ควรแต่ฉันห้ามตัวเองไม่ได้” 

    “ใครเริ่มก่อนละ แกหรือว่าเขา เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ ขอแบบละเอียดๆเลย”

    “ฉันต้องส่งภาพเขาประกอบการจิ้นของแกไหม?”

    “ไม่เอา! ฉันกลัวภาพหลอนติดตา เล่ามาซะดีๆ อย่าเปลี่ยนเรื่อง!” เธอรบเร้า

    “อืม...ครั้งที่ 0 ฉันไม่นับนะ เพราะฉันคิดว่ามันก็แค่กดปากลงเพื่อก่อนจะจากกันตามธรรมเนียมของคนที่นี่ แต่ครั้งแรกที่หอไอเฟล ฉันอยู่กับน้องชายเขา นิคบังคับให้ฉันไถเงินจากเขา เขาดูโกรธมาก ฉันกลัวจริงๆ แต่ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาจูบ ถ้าเป็นแก แกจะตั้งตัวทันไหม ฉันคิดว่าตัวเองจะต้องโดนด่ายับ แต่กลับโดนจูบ อะไรของเขาก็ไม่รู้ และครั้งที่สองเมื่อกี้ เขามาหาฉันที่บ้านของพ่อ แต่คราวนี้ฉันตั้งหลักได้ทัน พยายามจะห้ามเขาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพวกมองหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา ฉันเลยเสียทีเขาอีกครั้ง”

    “แล้วเป็นไงบ้างละ” เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ จริงๆนะ ในกรณีนี้ นภาเกตน์จัดว่าเป็น “ผู้มีประสบการณ์สูง” มากกว่าเธอ แน่ละ ที่มันเป็นเช่นนั้นเนื่องจากในกลุ่มเพื่อนๆที่สนิทกันล้วนแต่เป็นสาวโสด

     ดังนั้นความอยากรู้อยากเห็นของวัยสาวก็ย่อมซุกซนไปบ้างตามกาลเวลา

     “แต่แกไม่ต้องเป็นห่วง คนอย่างฉันไม่ยอมเสียเปรียบแน่ๆ ฉันเลยจูบตอบซะเลย 555 เป็นไงเพื่อนแกเจ๋งไปเลยไหมละ”

    “ก็สมเป็นแกดี”  เธอบอก “แต่แกตอบฉันไม่ตรงคำถาม” 

    อริสาทำริมฝีปากยื่นอย่างขัดใจเมื่ออีกฝ่ายเลือกตอบเธอไม่ตรงคำถาม

    “ก็กำลังตอบอยู่นี่ ฉันไม่รังเกียจเขา และรู้สึกว่ามันทำให้ร้อนไปทั้งตัว จนกลัวว่าขืนให้เขาเข้าใกล้แบบนี้บ่อยๆ ประเทศเราจะเสียดุลการค้า”

    “มันอาจจะเป็นเพราะฮอร์โมนที่พลุ่งพล่านเฉยๆก็ได้นะ เอาเป็นว่าฉันขอตัวก่อนละกัน เดี๋ยวจะไม่ทันขึ้นรถไฟรอบเช้าไปอะราชิยามะ” 

    อริสาให้คำแนะนำ เพราะถึงจะพิมพ์บอกเพื่อนไปแบบนั้น แต่ตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานภายใต้สายฝนพรำ นั้นเป็นความรักหรือว่าแค่ฮอร์โมนเพศหญิงกันแน่ ทว่าเวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่จะต้องมานั่งกังวลถึง เธอจึงจำต้องตัดบทเพื่อนรักเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการออกเดินทางขึ้นรถไฟตอนเช้าตรู่

    “โอเคๆ เดินทางปลอดภัย พรุ่งนี้ฉันจะไปเวนิซ ต้องนอนแล้วเหมือนกัน”

    “แล้วค่อยคุยกันใหม่เนอะ บายจ้า!”เธอบอกลา แต่ก็ไม่วายหยอกเย้าอีกฝ่ายอยู่ดี “อย่ายอมเสียเอกราชให้ใครง่ายๆละ!”

    “ยัยบ้า ปากเสียที่สุด ฉันจะพยายามรักษาไว้ให้นานเท่าที่ชะนีแรดๆ อย่างฉันจะทำได้”

    เสียงใสหัวเราะร่า เมื่อเห็นว่าได้ผลตอบกลับจากเพื่อนตามที่หล่อนคาดเอาไว้

    “ฉันจะคอยดู!!”

    “เออ! อย่าเพิ่งบอกใครนะ ฉันอายยยย”

    เธอย่นจมูก แต่ก็ไม่วายตกปากรับคำไปอย่างจำใจระคนหมั่นไส้

    “โอเค ปากฉันจะรูดสนิท เหมือนซิบกางเกงแตกๆเลยละ”

    และนั่น คือข้อความสุดท้ายที่อริสาได้พูดคุยกับนภาเกตน์เมื่อเช้า ก่อนจัดการส่งข้อความหาญาติผู้พี่อย่างกีรติ ระหว่างนั่งอยู่บนรถไฟ เพื่อเดินทางไปอะราชิยามะ 

    จริงๆนะ สำหรับอริสาแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ มันมากกว่าที่เธอเคยคิดฝันไว้เกี่ยวกับ “ชายแปลกหน้า” คนนั้นเลยทีเดียว

     

     

    และแล้วตอนนี้...

    เธอก็กำลังยืนจูบอยู่กับชายแปลกหน้า!!

    นั่นคือสิ่งที่หล่อนเองนั้นรู้ดี แต่แทนที่จะผลักไสเขาออกไป แล้วทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายที่หาญมากระทำอุกอาจ กล้าล่วงเกินเธอขนาดนี้ให้บาดเจ็บสาหัสอย่างที่พี่ณะเคยสอนศิลปะป้องกันตัวเอาไว้ ทว่าสิ่งที่อริสาทำได้ มีแค่เพียงปิดเปลือกตาลง และรู้สึกรู้สาไปกับทุกอย่างที่เขาถ่ายทอดมันออกมาผ่านทางริมฝีปากให้แก่เธอ

    หากความรู้สึก “รัก” ของ นภาเกตน์ซึ่งเกิดขึ้นภายในสองอาทิตย์และได้จุมพิตกันนั้นยังรวดเร็วเกินไป ดังนั้นสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ในขณะนี้ คงไม่พ้นเป็น “ผู้หญิงใจง่าย” ไปเลยทีเดียว ทำไมกันนะ ทำไมเหตุผล และความรู้สึก มันถึงได้สวนทางกันอยู่เสมอ หรือมันอาจจะเป็นจริงอย่างที่คนตรงหน้าว่า

    เพราะเป็นมนุษย์ ต่อให้เรารู้ว่าสิ่งที่กำลังทำมันผิด แต่ก็ยังคงทำตามหัวใจของตนเองอยู่ดี

    ลมหายใจอุ่นที่ออกห่าง ส่งผลให้อริสาค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนเบี่ยงดวงหน้าไปอีกทางเนื่องจากรู้ดีว่าแก้มของตนคงแดงก่ำและไม่อาจสู้สายตาของเขาได้ในตอนนี้

    “ฉันขอไปถ่ายรูปตรงโน้นก่อนนะคะ”

    เธอบอกออกมาเป็นประโยคแรกหลังจากยืนนิ่งเงียบกันอยู่นาน แล้วเบี่ยงร่างออกห่างจากอีกฝ่ายเพื่อก้าวเท้าเดินไปอีกทางโดยไม่สนใจรอคำตอบ หรือดูว่าเขาจะเดินตามตนเองมาหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่อริสารู้คือ เธอต้องพยายามระงับอกระงับใจ ไม่ให้หวั่นไหวไปกับ “สิ่งเร้า” ตรงหน้ามากเกิน 

    แม้ “สิ่งเร้า”นั้น จะหล่อเหลาบาดจิต และมีท่าทางที่ชวนให้บาดหัวใจ น่าหลงใหลเพียงใดก็ตาม เธอก็จำต้อง “หักห้าม” ใจของตนเองเอาไว้อยู่ดี

    เส้นทางที่เธอเลือกเดินไปนั้นเปรียบเสมือนกับอุโมงค์ดอกซากุระ เนื่องจากสองข้างทางเต็มไปด้วยซากุระที่ยืนต้นผลิดอกบานสะพรั่งเต็มสองข้างทาง จนพื้นดินด้านล่างเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้บาง ที่ร่วงโรยปกคลุม ย้อมทางเดินให้เป็นสีชมพูอ่อนจาง ตัดกับสีเขียวสดของผืนหญ้าอันเป็นความงดงามน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ

    มือบางสาละวนอยู่กับการเปลี่ยนเลนส์กล้องเพื่อถ่ายภาพในแบบต่างๆอย่างสุขใจ ก่อนฉุกคิดขึ้นได้หลังจากที่เธอเดินป้วนเปี้ยนอยู่บนนี้เนิ่นนาน แต่ก็ไม่พบเจอผู้คนเลยสักคน จนอดหันไปถามคนที่เดินตามมาด้านหลังอย่างสงสัยไม่ได้

    “ทำไมที่นี่ถึงไม่มีคนมาเที่ยวเลยละคะ”

    เขายิ้ม พร้อมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย  

    “เพราะที่แห่งนี้ เป็นฟื้นที่ส่วนบุคคล” 

    ให้ตายเถอะ! ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ดูดีนักนะ เธอคิด ยามเห็นรอยยิ้มบนดวงหน้าหล่อเหลา ร่างสูงในชุดฮากามะสีเข้มตัดกับสีเทา ท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นโปรยลงมาตามสายลม มันเหมือนกับภาพฝันของเอกบุรุษมากกว่าผู้ชายธรรมดาสามัญทั่วไป

    “แล้วเราขึ้นมากันอย่างนี้จะไม่เป็นอะไรหรือคะ” เอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก ตามกลมโตเบิกกว้างพลางหันซ้ายขวาไปมาอย่างไม่ไว้ใจ “โดนจับข้อหาบุกรุกตอนนี้ ฉันคงไม่สนุกแน่ๆ”

    “ไม่มีอะไรที่คุณจะต้องกลัวหรือกังวล”

    เขายังคงย้ำประโยคเดิมเหมือนกับตอนขามาที่ชักชวนให้เธอเดินขึ้นมายังเนินเขา จนอริสาจำต้องยืนสบกับดวงตาของเขานิ่งๆ เพื่อค้นหาความนัยจากน้ำเสียงและท่าทางแบบนั้น ก่อนหล่อนจะถอนหายใจออกมา ยามเห็นอีกฝ่ายยิ้มเจ้าเล่ห์บริเวณมุมปาก

    “เพราะมันเป็นพื้นที่ของคุณใช่ไหมคะ?”

    “คุณสามารถเก็บสิ่งนี้เป็นที่ระลึกในกระเป๋าได้ โดยไม่มีความผิดก็แล้วกัน...”

    เขาตอบไม่ตรงคำถาม ก่อนเดินไปด้านข้างเพื่อโน้มกิ่งซากุระซึ่งมีทั้งดอกตูมและบานสีชมพูเข้มแล้วหักมันออกจากต้น พร้อมส่งให้แก่เธอ ซึ่งอริสาก็รับมันไว้อย่างยินดี

    “ขอบคุณค่ะ”

    หล่อนบอกเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง หมายมั่นว่าจะพยายามเก็บรักษากิ่งซากุระกิ่งนี้เอาไว้อย่างดีที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้

    “มันอาจจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะกลีบดอกซากุระนั้นบอบบางมาก”

    “ข้อนั้น ฉันทราบค่ะ” หล่อนตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน ก่อนย่อตัวลงหยิบกลีบดอกไม้บางบนพื้นซึ่งมีรอยช้ำ แบออกให้อีกฝ่ายชมตรงหน้า “ถึงจะบอบบางจนมีสภาพเช่นนี้ แต่ก็ไม่ทำให้เราลืมได้นี่คะว่าความงดงามของดอกซากุระนั้นเป็นแบบไหน เสมือนยามกลางวันที่คุณมองไม่เห็นพระจันทร์บนท้องนภา แต่ว่าดวงจันทร์ก็ยังคงอยู่บนท้องฟ้าอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ความงดงามของดอกไม้นี้ ก็ไม่ได้ต่างกันไปหรอกค่ะ”

    “ผมควรจะรู้ว่าคุณเป็นคนอย่างไร”

    “ไม่มีใครรู้จักอีกฝ่ายได้ดีพอ หากได้พบ ได้พูดคุยกันเพียงแค่สองวัน” อริสาตอบก่อนไหวไหล่ “ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรหรอกค่ะ” ว่าพลางเก็บกิ่งไม้ใส่ซองพลาสติกกันน้ำที่เตรียมมาให้เรียบร้อยก่อนยัดใส่ไว้ในกระเป๋าสะพาย

    “ขอบคุณ...”

    เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มจนอริสาจำต้องเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง

    “คะ?”

    “ขอบคุณที่คุณยอมมาชมดอกซากุระกับผมในวันนี้”

    “ขอบคุณคุณเช่นกันค่ะ” หล่อนตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ฉันได้มายืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่งดงาม ได้ชื่นชมและซึมซับบรรยากาศโดยที่ไม่ต้องเดินเบียดกับฝูงชน คุณคงไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง ”

    “ทำไมคุณถึงคิดว่าผมไม่รู้”

    เขาเอ่ยถาม ในขณะที่อริสาหัวเราะเสียงใสดังกังวานพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเลียน

    “ฉันพลาดไปอีกแล้วใช่ไหมคะ ที่บังอาจไปคิดตัดสินความรู้สึกของคนอื่น แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงถึงขั้นต้องโทษประหารใช่ไหมคะ?”

    “ไม่มีเพรชฆาตคนไหนกล้าลงโทษคุณถึงขั้นนั้นหรอกอริสะ”

    “เอาเป็นว่าฉันจะจำไว้เป็นบทเรียนละกันค่ะ ว่าไม่ควรคิดหรือตัดสินใจอะไรแทนคนอื่น” เธอบอก ก่อนชี้มือไปอีกด้านของอุโมงค์ซากุระ “ยังไงฉันขอตัวไปทางโน้นก่อนนะคะ” แล้วเอ่ยย้ำเหมือนสั่งอีกฝ่ายว่า “คุณไม่ต้องตามไปหรอกค่ะ ฉันเดินไปไม่ไกล ไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงแน่นอน”

    “ผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้”

    เขารับคำ ก่อนหันดวงหน้าไปทางอื่น เพื่อเป็นการให้เกียรติเธอและไม่วุ่นวายกับหญิงสาวมากจนเกินไป ให้เธอได้มีเวลาเป็นส่วนตัว เพียงบอกกล่าวให้รู้ว่าเขาจะรออยู่ตรงนี้เสมอ โดยไม่ปล่อยให้เธอรู้สึกว่าอยู่เพียงลำพัง

    อริสายิ้มในหน้า ก่อนเดินออกห่างจากชายหนุ่ม แล้วเห็นว่าเขากำลังเหม่อมองกลีบดอกไม้บางที่ร่วงหล่นโปรยปรายลงมาตามสายลม ดูหล่อเหลางดงาม ดังภาพวาดเสียจนเธออดยกกล้องมิลเลอร์เลสในมือออกมากดชัตเตอร์ เพื่อแอบบันทึกภาพของเขาในยามที่กำลังเผลอไผลไม่ได้

    สิ่งหนึ่งที่เธอชอบที่สุดในการถ่ายภาพพรอตเทรต คือการได้ถ่ายบุคคลในยามเผลอ เพราะภาพนั้นมันจะสื่อถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายออกมาได้เป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์อย่างที่สุด ยิ่งคนตรงหน้ามีท่วงท่าที่สง่าและดวงหน้าอันหล่อเหลาเช่นนี้แล้ว ภาพที่ได้ออกมาจึงเป็นยิ่งกว่าความน่าพึงใจ

    หญิงสาวอมยิ้มยามก้มมองดูภาพจากหน้าจอกล้องถ่ายรูป ก่อนร่างบางจะสาวเท้าเดินตรงไปเรื่อยๆ เพื่อบันทึกภาพและซึมซับบรรยากาศเหล่านี้ไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกจนรู้สึกเหมือนตัวพองโตเป็นลูกโป่ง ความรู้สึกเบิกบานที่เกิดขึ้นนั้นมันจะเป็นเพราะอะไร อริสาเองก็ไม่อยากจะสรรหาเหตุผลใดๆมาเพื่ออธิบาย หรือถ้าจะให้พูดง่ายๆก็เพราะ 

    “เธอเองก็ไม่รู้เหตุผลนั้นเหมือนกัน...”

    แม้จะเดินออกห่างจากเขามาไกลพอสมควร แต่หญิงสาวก็ยังไม่วายคอยหันดวงหน้ากลับมาดูอีกฝ่ายเป็นระยะๆ แต่แล้วเธอก็เกิดความคิดซุกซนขึ้นมา หากว่าเธอแอบหลบจนพ้นสายตาของอีกฝ่ายขึ้นมา เขาจะมีท่าทีเช่นไรเมื่อมองหาร่างของเธอไม่เจอ?

    ไวเท่าความคิด อริสาฉวยโอกาสหลบออกจากทางเดินไปด้านข้าง เลือกพุ่งตัวเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทาง แล้วนั่งคุดคู้อยู่เช่นนั้น ก่อนเปลี่ยนเลนส์กล้องให้เป็นเลนส์เทเลโฟโต้ ที่สามารถซูมภาพได้ในระยะไกล แล้วยกมันขึ้นมาส่องผ่านพุ่มไม้ เพื่อคอยสังเกต การเคลื่อนไหวของอีกคน

    เธอรู้...ว่าสิ่งที่เธอกำลังทำนั้นมันพิเรนทร์เหมือนพวกสโตร์กเกอร์หรือพวกถ้ำมอง แต่ความรู้สึกสนุกสนานและซุกซนมันก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอเอง ดังนั้นหญิงสาว จึงนั่งยองๆ คุดคู้ตัวอยู่หลังพุ่มไม้และคอยสังเกตอีกฝ่ายต่อไป นานพอควรกว่าเขาจะเริ่มหันกลับมาเพื่อมองเธอ จากจุดที่อริสาเคยยืนอยู่

    แต่เมื่อชายหนุ่มหันกลับมาแล้วไม่พบร่างบาง เขาจึงเริ่มหันซ้ายขวาและเดินตรงมาตามเส้นทางด้วยท่วงท่าที่มั่นคง แม้สายตาของเขาจะแสดงความหวั่นใจออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม สิ่งหนึ่งที่อริสาได้เรียนรู้จากชายหนุ่มแปลกหน้า นั่นก็คือ คนๆนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาจะรักษาท่าทีไว้อย่างสงบนิ่ง ผิดกับดวงตาของเขาที่ตอนนี้มันดูหวาดหวั่นอย่างชัดเจน

    ฉันอยู่ตรงนี้ค่ะ!

    เธอล่ำๆจะตะโกนบอกเขาพร้อมกระโดดออกจากพุ่มไม้เพื่อเข้าไปหา ทว่าอีกฝ่ายที่จ้องมองมายังพุ่มไม้ราวกับรู้ว่าเธอแอบหลบอยู่ตรงนี้ กลับยกมือขึ้นและแบออกตรงบริเวณหน้าท้องของเขาราวกับห้ามปราม พร้อมด้วยริมฝีปากสีสดได้รูปคู่นั้นก็ขยับพูดคุยกับเธอโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า

    “อย่าออกมา!”

    อริสางุนงง นั่งลงกับพื้นนิ่งๆทำตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่าย แม้เธอจะสงสัยในท่าทีที่แปลกไปของเขาก็ตาม ทว่าเพียงร่างสูงหันหลังกลับ และเธอมองไปตามทิศทางที่เขาจ้องมอง จึงได้พบว่า มีชายแปลกหน้าอีกคนสวมชุดสูทสีเข้มและสวมหน้ากากยักษ์เดินตรงเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ ยามดึงวัตถุสีดำเมื่อมออกมาแล้ววาดปลายกระบอกปืนมาทางเขาก่อนลั่นไกอย่างรวดเร็ว

    “ปัง!!” 

    ชายแปลกหน้าคนนั้นกล่าว พร้อมกดลั่นไกอย่างรวดเร็ว เสียง เปรี้ยง ดังขึ้น พร้อมด้วยลูกกระสุนที่แล่นออกจากรังเพลิงตรงเขาหาร่างสูงสง่าของอีกฝ่ายอย่างจังๆ เพียงนัดเดียวเท่านั้น ร่างของชายหนุ่มที่ยืนตรงอย่างมั่นคงตรงหน้าเธอ กลับทรุดฮวบลงไปกองที่พื้นดินในทันที

    อริสายกมือขึ้นปิดปาก เพื่อป้องกันเสียงกรีดร้องของเธอไม่ให้เล็ดลอดออกมา แม้ว่าอันที่จริงแล้ว เธอไม่มีแรงพอที่จะส่งเสียงเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นหยาดน้ำตาของเธอก็เริ่มร่วงหล่นลงมาอย่างยากที่จะห้ามปราม

    ชายแปลกหน้าผู้สวมหน้ากากยักษ์ที่ลั่นไกสังหารคนในชุดฮากามะ ขยับหน้ากากขึ้นแล้วถ่มน้ำลายลงบนร่างสูงนั้นด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมอย่างสาแก่ใจ ยามถอดหน้ากากที่สวมใส่ออกพร้อมโน้มตัวลงนั่งแล้วยื่นมือออกหมายจับชีพจรอีกฝ่ายที่ยังคงนอนนิ่ง ก่อนหยุดชะงักโดยที่นิ้วมือยังไม่ทันถึงจุดที่หมายตา เนื่องจากว่าได้ยินเสียงโวยวายของผู้คนดังออกมาอยู่ไม่ไกล

    “บ้าฉิบ!” 

    ชายในชุดสูทสบถอย่างหัวเสีย พร้อมหน้ากากยักษ์ในมือซึ่งเขาบีบแน่น จนอริสาคิดว่ามันคงจะแตกในไม่ช้า

    และโดยไม่ทันคิด มือของเธอกลับยกกล้องขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตาพร้อมกดชัตเตอร์อย่างไม่ยั้ง เพื่อบันทึกภาพของชายซึ่งกล้ากระทำการอุกอาจกลางวันแสกๆและกำลังเดินหนีไปอีกทางในทันทีเมื่อได้ยินเสียงของผู้คนเริ่มดังเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม แม้มือของเธอจะสั่น จนไม่อาจจับภาพโฟกัสได้ดีเท่าไรนัก แต่อริสาก็พยายามระงับความหวาดหวั่นเอาไว้ และไล่ถ่ายภาพของชายในชุดสูทตลอดเวลาจนร่างของเขาวิ่งหายไปลับสายตา 

    เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่อยู่แน่แล้วหล่อนจึงรีบคลานออกจากที่ซ่อน เนื่องจากไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินจนต้องคลานสี่ขาเหมือนสุนัข เข้าหาคนในชุดฮากามะที่ยังคงนอนจมกองเลือดอย่างรวดเร็ว

    “คุณ!” 

    อริสาเอ่ยเรียกเขาพลางเขย่าร่างของอีกฝ่ายด้วยความร้อนรน ก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างรวดเร็วผิดกับอาการแน่นิ่งก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนจนเธอล้มหงายหลังลงไปด้วยความตกใจ

    “หนีไป...อริสะ” เขาบอกออกมาเป็นคำแรก

    “คุณเป็นยังไงบ้างคะ”

     เธอไม่สนใจคำพูดของเขา ยังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนและห่วงใย พร้อมตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งแล้วมองกวาดไปบนเรือนร่างของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา

    “คุณต้องไปอริสะ!”

    เขาตวาดเสียงเข้ม พร้อมด้วยเลือดบริเวณหน้าอกด้านซ้ายที่ทะลักล้นออกมามากกว่าเดิมอย่างน่ากลัว และได้ผล เพราะมันทำให้เธอหยุดชะงัก จ้องมองดวงหน้าของเขานิ่งในทันที แต่ก็ไม่วายหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองขึ้นมาแล้วนำไปกดห้ามเลือดไว้ให้เขา

    “ฉันจะทิ้งคุณไปได้ยังไง” หล่อนบอก ก่อนแหงนเงยดวงหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะดังเข้ามาใกล้ “ไม่ต้องห่วงนะคะ มีคนกำลังมา พวกเขาอาจจะช่วยเราได้”

    “อย่า!” เขาร้องห้าม เมื่อเห็นเธอทำท่าจะลุกขึ้นยืนไปตามคนอื่นๆ “มันไม่ปลอดภัยสำหรับคุณ ได้โปรด...หนีไปเถอะอาริสะ”

    “แล้วคุณละคะ” เธอร้องถามพลางแย้งเสียงหลง “ฉันจะทิ้งคุณไปได้อย่างไร ในเมื่อคุณกำลังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่แบบนี้”

    “คุณต้องไป” เขายังคงย้ำประโยคเดิม ในขณะที่น้ำตาของอริสายังคงไหลริน “ผมไม่รู้ว่ามันเป็นใคร บางทีคนคนนั้นอาจจะแฝงตัวเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนที่กำลังจะมาก็ได้”

    หญิงสาวหยุดชะงัก ตากลมโตจ้องมองเขานิ่งก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับสติอารมณ์ของตนเอง และเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงกว่าเดิมว่า

    “ฉันถ่ายภาพหน้าของคนนั้นได้ค่ะ” เธอบอกพลางยกกล้องมิลเลอร์เลสของตนขึ้นมา “ฉันส่งให้คุณได้นะคะ”

    “เอานี่ไป” ชายหนุ่มบอก พร้อมพยุงตัวเองขึ้นนั่งโดยมีอริสาคอยช่วยช้อนหลังให้เขาอีกแรงหนึ่ง ก่อนมือหนาจะสอดเข้าไปในอกเสื้อคลุมฮาโอริแล้วหยิบกระดาษใบเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อยส่งให้อริสา “ส่งมาให้ผมตามเมล์แอดเดรสนี้”

    “แต่ว่า...”

    “รีบไปอริสะ!” 

    เขาตวาดอีกครั้งพร้อมด้วยหยาดโลหิตที่หลั่งไหลทะลักออกมาจากหน้าอกด้านซ้ายจนเสื้อคลุมฮาโอริสีเทาบริเวณนั้นชุ่มโชก แดงก่ำอย่างน่ากลัว 

    “ไม่ค่ะ”

    เธอบอกพร้อมส่ายศีรษะไปมา ธารน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสายพร้อมด้วยก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกอยู่บริเวณลำคอ

    “รีบไป!” 

    ชายหนุ่มตวาดอีกครั้งพร้อมรวบรวมพละกำลังทั้งหมดเท่าที่มีเหลือ ผลักไสหญิงสาวจนล้มลง 

    “ฉันไม่...”

    “ได้โปรด...”

    เขาเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงร้อนรนทว่าอ้อนวอน จนเธอต้องพยักหน้ารับคำเขาอย่างจำยอมและรีบผละห่างออกจากร่างของเขาในทันที

    “อย่าเป็นอะไรไปนะคะ จนกว่าเราจะพบกันอีกครั้ง” 

    หล่อนสั่งเขาเป็นครั้งสุดท้ายและสิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีให้แก่เธอ ยามเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยตอบอริสาว่า

    “ผมจะตามหาคุณจนพบอริสะ ผมสาบาน”

                เธอพยักหน้าลงอีกครั้งอย่างยอมรับ ก่อนหันไปอีกทาง เมื่อได้ยินเสียงของผู้คนที่ร้องเรียกเขากระชั้นเข้ามา

    “ซานาดะซัง! ซานาดะซัง!”

    “ไปซะอริสะ”

    เขากล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่าฟังดูร้อนรน ในขณะที่เธอยังคงจ้องมองเขานิ่ง ก่อนพุ่งตัวไปด้านหน้า แล้วยื่นริมฝีปากอิ่มประทับลงบนกลีบปากหยักสวยได้รูปของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

    “รักษาตัวด้วยนะคะ”

    หล่อนบอกด้วยรอยยิ้มและหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมา

    “ผมจะตามหาคุณ”

    ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมยกฝ่ามือหนาขึ้นสัมผัสกับดวงหน้าของเธอ

    “ฉันจะรอค่ะ”

    อริสาตอบรับแต่โดยดี ก่อนวิ่งหนีออกจากที่ตรงนั้นลงไปอีกทางอย่างสุดกำลัง ร่างบางก้าวเท้าไปด้านหน้าพร้อมด้วยหยาดน้ำตาที่รินไหลลงมาเป็นทาง พร้อมปลดปล่อยเสียงสะอื้นไห้ที่เธอพยายามเก็บกักมันเอาไว้ออกมา อย่างไม่อาจจะอดทนฝืนกลั้นมันไว้ได้อีกต่อไป

    เธอกำลังทิ้งเขา! นี่เธอทำเช่นนั้นได้อย่างไร! 

    อริสาพร่ำบ่นกับตัวเองไปตลอดทาง ลมหายใจของเธอเริ่มสะดุดขาดหาย ทุกๆช่วงวินาทีที่ก้าวเดิน

    “เขาจะไม่เป็นไร” เธอเอ่ย “เขาจะหายและออกตามหาฉัน” 

    หญิงสาวยังคงพึมพำปลอบใจตนเองเช่นนั้นไปตลอดทาง

    เขาไม่มีทางรอด! อีกเสียงในหัวเริ่มขัดแย้ง เลือดบนหน้าอกข้างซ้ายไหลออกเยอะขนาดนั้นเขาต้องตายแน่ๆ!

    “ไม่มีทาง! เขาสาบานแล้วว่าจะตามหาฉันและเราจะได้พบกันอีกครั้ง”

    อริสาพึมพำไปมาราวกับคนเสียสติ ทุกย่างก้าวมันเหมือนกับเธอได้ปลิดปลิวหัวใจของตนเองออกไปทีละเล็กทีละน้อย เปรียบดั่งกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย แม้นมันจะเคยชูช่ออวดความงดงาม แต่ยามที่มันปลิดปลิวออกจากกิ่งก้านตามกระแสลม มันก็ไม่อาจกลับไปอยู่บนนั้นได้อีกต่อไป ในเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอก็เช่นกัน

    สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ก็เหมือนดั่งความฝัน แม้ว่ามันจะคือความเป็นจริง

    โดยเธอหารู้ไม่ว่า ลับแผ่นหลังของเธอไปได้ไม่นาน ผืนแผ่นดินอันเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้บาง ก็ได้โอบอุ้มร่างของชายหนุ่มที่เธอพร่ำหา อันเลือกให้ผืนพสุธาเป็นที่พักพิงสุดท้ายของเขาก่อนสติจะหมดสิ้นไป...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×