คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บุญคุณที่ต้องทดแทน
บุญคุณที่ต้องทดแทน
รถยนต์คันหรูสีเงินเมทัลลิคติดฟิลม์กรองแสงดำทึบจนผู้คนภายนอกไม่อาจมองเห็นได้เลยว่า คนข้างในรถยนต์คันนั้นเป็นผู้ใดและเป็นใคร จอดเทียบท่าอยู่ตรงหน้าปากทางเข้าออกโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
จางเหวินถืออุปกรณ์สื่อสารไว้ในมือขวาพลางยกนาฬิกาข้อมือข้างซ้ายขึ้นดูเวลาเป็นระยะๆ เมื่อเวลานี้เจ้านายสั่งเขามาว่าให้สั่งสอนผู้ญิงสูงวัยคนนั้นและชิงตัวเด็กผู้หญิงมา เป็นคำสั่งที่ออกจะแปลก
แต่ต่อให้รู้สึกย้อนแย้งแค่ไหนเขาก็ต้องทำ!
“ลูกเจี๊ยบกับแม่ไก่มาแล้ว เตรียมปังตอได้ พ่อค้าจะไปรับลูกเจี๊ยบเอง” จางเหวินกรอกเสียงลงบนวิทยุสื่อสารด้วยรหัสพิลึกพิลั่น แต่ถึงกระนั้นหย่งคังก็ไม่เคยเอาเรื่องราวกับลูกน้องคนสนิทคนนี้ เพราะเขารู้ว่าจางเหวินนั้นเป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนตาย งานแต่ละอย่างที่จางเหวินได้รับมอบหมายมันชวนเครียดและกดดันจนน่าขนลุก หากชายหนุ่มไม่มีอารมณ์ขันเสียบ้าง เขาคาดว่าชายหนุ่มผู้นี้คงจะบ้าตายวันละสามเวลา เพราะแค่นี้มันก็ใกล้เคียงคนบ้าเข้าไปทุกที...ลูกเจี๊ยบ แม่ไก่ ปังตอ? ช่างคิด!
“พี่เหวินแม่งน่ารักมุ้งมิ้งแท้วะ?” ลูกน้องคนหนึ่งบ่นพึมพำ ก่อนเงียบกริบเมื่อได้ยินคำสั่งของอีกฝ่าย
“ลงมือได้!”
จางเหวินสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดไร้แววล้อเล่นสนุกสนานอีกต่อไป เมื่อร่างท้วมของหญิงสูงวัยนามว่าสุวิชชาและเด็กหญิงรมย์ชลีเคลื่อนกายออกจากรั้วของโรงพยาบาล โดยไม่มีใครคาดคิด รถจักรยานยนต์ไม่ทราบทะเบียนเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าเฉี่ยวชนสุวิชชาจนเธอล้มตัวลงเมื่อความเจ็บปวดแล่นไปทั่วกายก่อนที่รถจักรยานยนต์คันนั้นจะขับหนีไป
เด็กหญิงรมย์ชลีกระพริบตาปริบๆตากลมโตของเธอเบิกกว้างเมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธออีกครั้ง เด็กน้อยยืนตัวแข็งทื่อไม่นำพาต่อสรรพเสียงรอบกาย
ป้าสุวิชชามีเลือดไหล! มโนสำนึกภายในกรีดร้องอย่างเหลือทน เลือด เลือดอีกแล้ว! พอเสียที!’
“กรี๊ด!!!!”
เด็กน้อยกรีดร้องดังลั่นเหมือนคนเสียสติ กับเหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้า เสมือนว่าเป็นการตอกย้ำถึงอุบัติเหตุน่ากลัวที่เธอไม่อยากจดจำ พลเมืองดีที่กำลังช่วยเหลือต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อหนูน้อยหน้าตาดียืนตัวสั่นเทากรีดเสียงร้องโหยหวนเสียจนพวกเขาตกใจ
ถังหย่งคังกำมือแน่นหัวใจเจ็บแปลบเมื่อเห็นความหวาดผวาและเสียงร้องคร่ำครวญปริ่มว่าจะขาดใจของเธอ ชายหนุ่มก้าวเท้าออกจากรถลืมหมดสิ้นถึงแผนการที่วางไว้ วินาทีนี้เขาอยากรั้งร่างเล็กๆนั่นเข้ามากอดและปลอบโยนเธอว่าเธอจะไม่มีวันเป็นอะไร หากยังคงมีคนอย่างเขาคอยดูแล
“น้องลี”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นอยู่ข้างๆหูและฝ่ามือที่ลูบศีรษะเธอเบาๆส่งผลให้รมย์ชลีรู้สึกตัว เด็กน้อยหยุดอาการกรีดร้อง ตากลมโตเหลือบมองผู้มาเยือนที่เอ่ยชื่อของตนเองด้วยกระแสเสียงแห่งความอบอุ่น ใบหน้าของบุรุษที่มีดวงตายาวรีหากแพขนตาหนายาวงอนขึ้นจนสาวๆที่พบเห็นอาจอิจฉาเขาได้ง่ายๆ จมูกโด่งได้รูปรับกับคิ้วเข้มที่โก่งดั่งคันศร ริมฝีปากหยักสวยสีสดแดงระเรื่อและผิวที่ขาวราวหิมะและดวงตาเย็นชาที่ราวกับสามารถฆ่าคนให้ตายได้ ส่งผลให้จิตใต้สำนึกของเธอระลึกไปยังอดีตวัยเยาวน์ที่เธอมีอายุเพียง 6 ปี
โดยที่เธอไม่ทันรู้สึกตัว สมองกลับสั่งการร่างกายให้ยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างช้าๆ พร้อมเอ่ยขานเรียกบุรุษตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“คุณอา…”
คุณอา คำๆนี้ที่หลุดออกจากริมฝีปากเล็กๆนั่นมันส่งผลให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ความรู้สึกแปลกๆแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างไม่คาดคิด แม้จะสำนึกตนว่าคนอย่างเขาได้ละทิ้งความรู้สึกต่างๆไปจนหมดสิ้น
แต่ทว่าเวลานี้ ต่อหน้าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเขากลับรู้สึกไหวโอนไปกับเธอได้อย่างน่าประหลาดใจ ริมฝีปากหยักสวยได้รูปแย้มยิ้มเพียงนิด แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จางเหวินที่ยืนอยู่ด้านหลังพญามังกรแห่งถังตะลึง
นายท่านยิ้ม!สงสัยราคาน้ำมันจะตกวูบทิ้งดิ่งลงอย่างแน่นอน!
“จำอาได้ด้วยหรือน้องลี?”
“จำได้ค่ะ”
เด็กน้อยพยักหน้ารับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ เมื่อชายหนุ่มรูปงามที่อยู่เบื้องหน้าทำให้เธอหวนนึกถึงพ่อแม่ของตนเอง
“กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวอาไปส่ง”
“ตะ...แต่ว่า คุณป้า”
เด็กน้อยอิดออด การเชื่อใจคนแปลกหน้าที่เคยพบกันเพียงครั้งเดียวเมื่อนานมาแล้วมันทำให้เธอหวาดระแวง สับสน และเป็นห่วงญาติคนสุดท้ายที่ตนเองมีอยู่ และสีหน้าท่าทางของเธอนั่นก็บอกอะไรๆแก่เขาได้เป็นอย่างดี
“งั้นเราเข้าไปหาป้าของน้องลีกัน”
ถังหย่งคังสรุปเอาง่ายๆก่อนจะเอื้อมมือหยิบแว่นเปลือยกรอบของตนเองออก เหน็บไว้กับกระเป๋าเสื้อสูทพลางยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะจูงมือเด็กน้อยให้ตามคนอื่นๆเข้าไปภายในโรงพยาบาล
ในความคิดของถังหย่งคังและจางเหวินอาการของสุวิชชาไม่รุงแรงมากนัก เธอเพียงแค่หัวแตก แขนหักและมีแผลฟกช้ำถลอกตามเนื้อตัว ถึงกระนั้นนายแพทย์เจ้าของไข้ก็ยืนกรานให้หล่อนพักที่โรงพยาบาลหนึ่งคืนเพื่อเฝ้าดูอาการ ทางด้านสุวิชชาหลังจากหายตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองแล้ว หญิงสูงวัยจึงกวาดสายตามองบุรุษแปลกหน้าทั้งสองที่อยู่ภายในห้องพักฟื้นพร้อมกับหลานสาวของเธอ
คนแรกนั้นเป็นชายรูปร่างสูงหน้าตาเหมือนอาตี๋ทั่วไปที่สามารถพบเห็นได้ในประเทศไทยแต่สิ่งที่ผิดแปลกไปกว่านั้นคือชุดสูทและรองเท้าหนังสีดำมันปลาบและท่ายืนหลังตรงนั่นมันเหมือนกับพวกเจ้าพ่อที่เธอเคยเห็นในภาพยนตร์
สายตาของหญิงสูงวัยไล่เรื่อยมาจนถึงชายหนุ่มคนที่สอง ที่ยืนอยู่เคียงข้างรมย์ชลี บุรุษผู้มีใบหน้าหล่อเหลาปานเทพจำแลงกายลงมาจุติ แม้ทรงผมของไอ้หนุ่มผมยาวคนนี้จะประหลาดแต่ชุดสูทสี Dark Grey Blue ที่เขาสวมใส่มันก็บ่งบอกถึงฐานะของชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี
ดวงตาของสุวิชชาละเรื่อยไปจนถึงดวงตายาวรีสีนิลคมกริบที่กำลังจ้องมองมา ส่งผลให้เส้นขนบริเวณท้ายทอยหล่อนลุกชัน นึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก หรือนี่คือสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์เมื่อพบเจอกับสิ่งอันตราย?
แม้เขาจะหล่อเหลาดูดีกว่าไอ้หนุ่มชุดดำหลายเท่านัก แต่ออร่าแห่งความชั่วร้ายของชายหนุ่มผู้นั้นกลับแผ่ออกมาจากร่างกาย จนตัวของเธอสั่นเทาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ สิ่งที่ฉายชัดในดวงตาคู่นั้นมันทั้งอาฆาตและต้องการฆ่าเธอให้ตาย!
“พวกคุณเป็นใคร” แม้จะขลาดกลัวแต่ก็จำเป็นต้องเอ่ยถาม ก่อนจะหันไปทำตาวาวใส่หลานสาว “น้องลีมาหาป้าซิลูก ไปยืนให้เขาจับมือทำไม!”
สุวิชชาพลาดไปเสียแล้วที่กล้าต่อว่ารมย์ชลีต่อหน้าคนอย่างถังหย่งคัง ดวงตายาวรีลุกวาบ ความไม่พอใจฉายชัด ชายหนุ่มกระชับมือน้อยแน่นก่อนจะปรายหางตาไปทางผู้ติดตามซึ่งนั่น จางเหวินก็เข้าใจได้ในทันที
โทษสถานนี้สำหรับหญิงตรงหน้ามันยังคงน้อยเกินไป!
“ออกไปรอข้างนอกกับอาเหวินนะคะ”
เสียงทุ้มนุ่มที่หลุดออกจากริมฝีปากสีสดนั่นส่งผลให้รมย์ชลีงุนงงในขณะที่จางเหวินขนลุกชัน!
นะคะ?
“เชิญครับคุณหนู”
จางเหวินไม่ยอมเสียเวลาให้เด็กหญิงตัดสินใจนานนัก เขากลับเอ่ยเชื้อเชิญพร้อมทั้งจูงมือรมย์ชลีออกจากห้อง ด้วยรู้ดีว่าสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของเจ้านายนั้น คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด หากยัยป้าในห้องเกิดอาการขนหัวลุกเขาก็คงไม่แปลกใจ
ถังหย่งคังรอจนกระทั่งประตูปิดลง จึงเริ่มเปิดฉากการสนทนากับญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของรมย์ชลีอย่างจริงจัง ร่างสูงสง่าเยื้องย่างเข้าใกล้เตียงผู้ป่วยของสุวิชชาอย่างคุกคามจนนางตัวสั่น แต่ก็ไม่อาจหาญกล้าขอความช่วยเหลือจากผู้ใด
“รมย์ชลีจะอยู่ภายใต้การดูแลของฉันนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เขาเอ่ยอย่างถือดี ไร้ซึ่งความเคารพ “ส่วนเธอ อย่าได้บังอาจยื่นมือเข้ามายุ่งกับทรัพย์สมบัติของเด็กคนนั้นอีก ไม่อย่างนั้นคราวหน้าอาจจะไม่ใช่แค่แขนหัก”
ริมฝีปากของสุวิชชาซีดสั่นเมื่อรับรู้ได้ถึงกระแสแห่งความอันตรายอันเป็นสาเหตุให้เธอต้องนอนพักรักษาตัว
“แกเป็นใคร! ฉันไม่กลัวแกหรอก ฉะ..ฉันจะแจ้งตำรวจ!”
เอ่ยแย้งออกมาอย่างตะกุกตะกัก แม้จะกลัวฝ่ายตรงข้ามซักเพียงใด แต่การตกเป็นเบี้ยล่างไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปจึงสั่นพร่าอย่างน่าเวทนา
“จำไว้ว่า อย่าได้ยุ่งวุ่นวายกับน้องลีอีก ไม่เช่นนั้น...” เขาเอ่ยทิ้งไว้ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าใกล้หญิงสูงวัยที่ถอยกรูดไปจนหลังชนพนักเตียง “ชีวิตของเธอจะหาไม่ และเงินก้อนนี้ก็จะไม่ตกถึงมือเธออย่างแน่นอน”
แผ่นกระดาษสีเหลี่ยมผืนผ้าแผ่นบางถูกหย่อนลงตรงหน้าสุวิชชา หญิงสูงวัยลนลานรีบหยิบเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมาไล่สายตาพินิจมูลค่าของมันทันที เงินตั้งห้าแสนแลกกับหลานสาวที่เธอไม่ได้พิศวาสอยากจะเลี้ยงมันซักเท่าไร แล้วทำไมเธอจะไม่รับโอกาสนั้นไว้ล่ะ
“ตกลง คุณพาตัวน้องลีไปได้เลยฉันรับรองว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับชีวิตของแกอีกเด็ดขาด!”
สุวิชชากล่าวอย่างหมายมาด นางไม่มีวันยื่นมือเข้าไปยุ่งกับชีวิตของรมย์ชลีภายใต้การดูแลของผู้ชายคนนี้อย่างแน่นอน
อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เวลานี้!!
ความคิดเห็น