ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปราบพยศท่านอ๋อง

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.08K
      134
      16 เม.ย. 65


     


     

    ทันใดนั้นภาพทุ่งดอกมู่ตานก็จางหายไปกลับกลายเป็นตำหนักอันหรูหราแทน มีเหล่าขันทีและนางกำนัลยืนเรียงอยู่หน้าตำหนัก สีหน้าพวกเขาไม่ดีเท่าไหร่นัก ดูตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา 


     

    กรี๊ดด!! จู่ๆ เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนดังขึ้นมาจากในตำหนักนั้นพร้อมกับร่างบางกระเด็นออกมาด้านนอกด้วยความไกลประมาณสามจั้ง


     

         "ข้าเคยบอกพวกเจ้าว่าอย่างไร หากข้าต้องการพระชายา ข้า..จะนำนางกลับมาด้วยตนเอง" 


     

    ตุบ! เสียงคุกเข่าของเหล่าขันทีและนางกำนัลเกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน 


     

         "บ่าวผิดไปแล้ว ขอท่านอ๋องโปรดทรงประทานอภัย"

     

    ขณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่นั้น เหมยฮวาได้ย่างเท้าเข้าไปใกล้กับตัวตำหนักแล้ว มิใช่เพื่อสอดรู้สอดเห็นอะไร เพียงแค่เธออยากดูศพของผู้หญิงที่ถูกเตะออกมาด้วยความแรงขนาดนั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร 


     

    แต่แล้วภาพที่เธอเห็นก็เกือบจะทำให้เป็นลม ขนาดผ่านการผ่าตัดมาตั้งมากมายยังไม่เคยเห็นศพไหนเละเท่านี้เลย สภาพแขนขาที่บิดเบี้ยวไปคนละทิศทาง กระดูกตรงสะโพกโผล่ออกมาจากเนื้อหนัง ชวนคลื่นเหียนสุดๆ ในตอนนั้นที่เธอกำลังยืนมองศพด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงจะตกใจเพียงไรแต่ก็ยังคงสีหน้าเดิมไว้ได้ เธอเห็นท่านอ๋องเอิ๋งอะไรนั่นกำลังมองเธออยู่ ทั้งสองยืนผสานตากันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ภาพตำหนักท่านอ๋องจะหายไปเธอเห็นเขายิ้ม 

         

         ยิ้มเหรอ? เขายิ้มให้ฉันเหรอ? อ่าา รอยยิ้มนั่นช่างร้ายกาจเสียจริง 


     

    ภาพตำหนักหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหลือแต่ภาพสีขาวโพลนไร้จุดสิ้นสุดตรงหน้าเธอ พร้อมกับเสียงใหม่ที่เกิดขึ้น 

    .

    .

    .

    .

    "เจ้าเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว"


     


     


     


     

         'สวัสดีค่ะ พบกับพวกเราเป็นประจำทุกวันในรายกายไชนีสหน้าหนึ่งนะคะ วันนี้พบกับข่าวที่น่าสลดของคุณฟงถิงเฟิงและคุณเถียนอิ้งผู้เป็นภรรยา ทั้งคู่ถูกพบอยู่ในสภาพศพตัวแข็งทื่อ คาดว่าเสียชีวิตมากมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ปัจจุบันยังหาศาสตราจารย์ฟงเหมยฮวาผู้เป็นลูกสาวไม่พบ คาดว่ายังไม่เสียชีวิต เหวินเยี่ยนรายงาน'


     

         เสียงโทรทัศน์เปิดอยู่ให้พอได้ยิน ถึงจะหลับตาอยู่เธอก็เห็นภาพได้อย่างชัดเจนทดวงตาที่ปิดอยู่มีน้ำใสๆไหลตลอดทาง เหมยฮวาที่นอนหลับอยู่บนเตียงราวกับเจ้าหญิงนิทรา อยากจะข่มตานอนต่อก็กลัวจะฝันร้าย อยากจะลืมขึ้นตาก็ทำไม่ได้ ไม่อยากที่จะยอมรับความจริง เธอแสร้งหลับอยู่บนเตียงเพียงชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงกระซิบของผู้หญิงสองคน


     

         "คุณหลินคะ แล้วเราจะเอายังไงกับคุณฟงเหมยฮวาดีคะ"  แม่บ้านที่เดินเข้ามาพร้อมกับหลินซินกระซิบถามเป็นเสียงที่ดังพอที่สองคนจะได้ยิน  "เก็บมันไว้ก่อน ให้มันตายตอนนี้ออกจะง่ายดายและสบายไปหน่อยมั้ยล่ะป้า" 

    ถึงคนทั้งคู่จะคุยกันเบาแค่ไหนแต่มีหรือคนเป็นแพทย์จะไม่ได้ยิน 


     

    เหมยฮวานอนกำมือแน่น เธอได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ พลันนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างได้


     

         ใช่แล้ว ตั้งแต่ฉันผ่าตัดหมอนั่นหลินซินก็มาดักรอที่โรงพยาบาล ต่อมาก็หลอกล่อให้ฉันลงไปในแคปซูลบ้าๆนั่น


     

    เมื่อหลินซินรู้สึกว่ายานอนหลับถึงเวลาหมดฤทธิ์ ก็เข้าไปปลุกเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานเหมือนเช่นเคย 


     

         "ฮวา แกเป็นไงบ้าง"


     

    หลินซินสวมบทเป็นเพื่อนที่แสนดีต่อไป เสียงเรียกของหลินซินในที่สุดก็ทำให้เหมยฮวายอมที่จะลืมตามายอมรับความจริงที่เกิดขึ้น


     

    ในเมื่อเธอยอมรับความจริงได้แล้ว เธอจะไม่ปล่อยให้ใครรอดพ้นเด็ดขาด 


     

    เธอไม่ฆ่าเพื่อนรักแน่นอน มันจะไม่ตายง่ายดายไปหน่อยเหรอ ขอยืมคำพูดหล่อนมาหน่อยแล้วกันนะ 


     

         "ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ แกพาฉันออกไปสูดอากาศหน่อยสิ"

         "ได้สิ แกเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องคงเบื่อแน่" 


     

    ว่าจบหลินซินก็พาเหมยฮวาขึ้นรถเข็นเพราะว่าขาเธอยังคงอยู่ในอาการชาทำให้ไม่สามารถเดินได้ เมื่อออกมาไกลจากตัวบ้านพอสมควร เหมยฮวาก็เริ่มเอยปากถามผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก


     

         "พ่อแม่ฉัน... เธอฆ่าพวกเขาทำไม?"  รถเข็นที่ถูกเข็นอยู่พลันหยุดกึก 

         "ฮวา..แกพูดอะไรของแก..ฉันนี่นะฆ่าพ่อแม่เธอ" หลินซินทำหน้าไร้เดียงสา 

         "รวมถึงผู้หญิงคนนั้นที่อยู่กับแฟนฉัน คือเธอใช่มั้ย.. หลินซินเพราะอะไรเหรอ ทำไมเธอถึงต้องทำแบบนี้กับฉัน" ฟงเหมยฮวาน้ำตารื่นด้วยความเจ็บปวด 


     

         " ในเมื่อเธอรู้เรื่องหมดแล้ว ฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกอีก.."  เสียงอ่อนหวานแผ่วเบากระซิบมาที่ข้างหูพร้อมกับแผ่นโลหะบางเฉียบ 

         


     

         "ใช่แล้วล่ะ ฉันเป็นฆ่าครอบครัวแกเอง ทำไมน่ะเหรอ..ลองคิดสิเป็นเพราะอะไรกัน" เสียงใสพูดไปพลางเข็นรถเข็นไปเรื่อยๆ ในวินาทีเดียวกันฟงเหมยฮวาก็สวนคำถามขึ้นมา

         "ฉันไปทำอะไรให้แก?"  หลินซินหยุดรถเข็นและเดินอ้อมมายืนตรงหน้าของฟงเหมยฮวา


     

         "ฮึ!เพราะแกแย่งทุกอย่างไปจากฉันไง ตั้งแต่สมัยเรียนถ้าแกไม่เข้ามาฉันก็เป็นที่หนึ่งไม่ต้องเป็นที่สอง ตอนแกบอกว่าเรามาเป็นเพื่อนกันมั้ย แกรู้มั้ยว่าฉันสะอิดสะเอียนมากแค่ไหนกับคำว่าเพื่อนของแก ที่ฉันยอมตกลงเพราะฉันเห็นผลประโยชน์จากแกต่างหาก ผู้ชายที่ฉันชอบก็พาไปชอบแกกันหมด รวมถึงแก แกไม่เคยมองฉันเป็นคู่แข่งเลย แกมองฉันต่ำกว่าแกอยู่ตลอดเวลา นี่ไงฉันกำลังทำให้แกขอร้องฉัน ฮ่าฮ่า ตอนนี้แกมันก็แค่สวะไร้ค่าไร้เรี่ยวแรง แค่จะสู้กับฉันแกยังทำไม่ได้"


     

         "ฉันไม่เคยแย่งของใคร ทั้งหมดที่ฉันได้มาฉันหามาเอง ส่วนผู้ชายฉันไม่สนใจอยู่แล้วแกอยากได้ก็เอาไปสิ อ้อจริงสิผู้ชายที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในโรงพยาบาลเธอก็ช่วยหายาลบรอยแผลเป็นให้เขาด้วยล่ะ แล้วอย่ามาหาว่าฉันแย่งของของแก เพราะมันไม่เคยเป็นของแกตั้งแต่แรก!" 


     

    ซินหลินที่ยืนอยู่ด้านหน้าไม่สามารถทนกับคำพูดของเพื่อนรักผู้นี้ได้ จึงกระชากหัวเหมยฮวา พร้อมกับขยับมีดที่ข้อมือทำให้เลือดที่คอของเหมยฮวาเริ่มซึมออกมา 

         "แกมันก็แค่สวะ อย่าทำตัวเหมือนถือไพ่เหนือกว่าฉันเลย ความจองหองของแกมันจะทำให้แกไม่ตายดี" 


     

    ตอนนี้เหมยฮวาไม่ได้กลัวว่าตัวจะตายแล้ว ก่อนหน้านี้เธอพยายามใช้เรี่ยงแรงทั้งหมดโทรหาตำรวจไว้แล้ว ตอนนี้ทุกคนกำลังฟังคำที่หลินซินสารภาพอยู่  มีหรือที่คนอย่างฟงเหมยฮวาจะไม่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย อย่างน้อยเธอก็ไม่ยอมตายฟรีๆแน่นอน


     

         "อนิจจัง คนเราย่อมหนีไม่พ้นความตาย แกอยากฆ่าฉันก็ฆ่าสิ ยังไงแกมันก็เป็นฆาตกรอยู่แล้ว" 

    เหมยฮวาพยายามพูดเร้าให้หลินซินฆ่าเธอโดยเร็ว ถ้าหากเธอตายไปอีกคน โทษของหลินซินก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าทวีคูณ 


     

         "หนวกหูจริง ตายซะ!!" 


     

     ฉึก! แค่กระตุกมือเพียงครั้งเดียว มีดก็ปักคาอยู่ที่หลอดลมของเหมยฮวา เธอจ้องไปยังเพื่อนรักด้วยสายตาเคียดแค้น ดวงตาอันแดงก่ำของเธอทำให้อีกฝ่ายถึงกับคนหัวลุก 


     

         "พวกแกพามันไปใส่แคปซูลแล้วถ่วงลงทะเลไปซะ เร็วสิ!" 


     

    ลมหายใจอันรวยรินของเหมยฮวามองเพื่อนรักจัดการกับศพของตนอย่างโหดเหี้ยม 

    ระหว่างที่เธออยู่ในแคปซูนเธอกับโลกในเกมส์นั้นถูกเชื่อมต่อโดยอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าเกมเธอรับรู้ได้จากสัมผัสที่เกร็งไปทั้งเนื้อตัว เส้นเลือดปูดโปนออกมา กล้ามเนื้อตึงไม่คลาย ดวงตาประสานกับเส้นใยบางๆที่พุ่งออกมาจากหน้าจอ  ลมหายใจที่เหลืออยู่ของเธอมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่เธอมองหน้าไม่ค่อยชัดนัก เขาสวมชุดโบราณสีขาว ปักดิ้นทองลายมังกร ผมยาวประบ่าดูแล้วน่าหลงไหลยิ่ง

    .

    .

    .

    "อวี้หลัน ข้ารอเจ้ามานานเหลือเกิน"


     


     

    อะไรกัน!.. เป็นเขาหรือ

    .

    .

    .

    "ข้อรอเจ้า..อวี้หลัน" 


     


     

    "อวี้หลัน!!!" 


     


     


     


     

    *บัค หมายถึง ข้อผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดขึ้นจากประโยคคำสั่งที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม รวมไปถึงคำสั่งย่อยที่ถูกฝังให้ทำงานอยู่ในหน่วย

    ประมวลผลเล็กๆ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้เมื่อนำไปใช้งานและเกิดจุดบกพร่องเหล่านี้ขึ้นจะทำให้โปรแกรมไม่สามารถดำเนินงานได้หรือว่าอาจจะทำให้ดำเนินงานผิดพลาด ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควรที่จะมีจุดบกพร่องให้น้อยที่สุด หรือไม่ให้มีเกิดขึ้นเลย หากโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นนั้นมีจุดบกพร่อง
    ก็จะส่งผลกระทบถึงการดำเนินงาน ซึ่งจำเป็นต้องใช้โปรแกรมนั้นๆ ด้วย ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายมากหรือน้อยก็แล้วแต่ความรุนแรงของ จุดบกพร่องนั้นด้วย อีกทั้งการแก้ไขจุดบกพร่องควรกระทำการโดยเร็ว 


     

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ขอบคุณที่ติดตามค่ะ


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×