คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Seaside: ProMis(e)take
เกลียวคลื่นที่
4
ปม
ProMis(e)take
“ตังงงงงงงง
เย็นนี้ไปหาไรกินหลังมอกันมั้ย” เพื่อนซี้ตัวเล็กของตังพูดขึ้นหลังจากพวกเขาเพิ่งเลิกคลาสสุดท้ายของวัน
“คงไม่ได้อะเจ
พอดีพี่ก้องจะมารับไป เออ...ดูหนังด้วยกัน” ประโยคสุดท้ายตังพูดเบาลงแต่ก็ไม่ได้เบาขนาดที่อีกฝ่ายที่อยู่ไม่ไกลกันมากนักจะไม่ได้ยิน
“แน่ะๆอะไร
ช่วงนี้เจว่าตังทำตัวแปลกๆไปน้า เจชวนไปไหนก็ไม่ไป
เอาแต่บอกว่าต้องไปกับพี่ก้องตลอดเลย
ตังกับพี่เค้าอะเป็นอะไรกันแน่บอกเจมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” เจย่างสามขุมเข้าไปใกล้ตังเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายยอมบอก
“ก็เป็นแฟนกันไงครับ” ก้องเดินมาจากทางด้านหลังพร้อมโอบไหล่ตังไว้แล้วดึงเข้าหาตัว
“พี่ก้อง!!! มาตอนไหนเนี่ย แล้วพูดอะไรออกไป” ตังโวยวายด้วยสีหน้าตกใจ
“อะไรกันครับ
พี่พูดความจริงนี่ผิดด้วยหรอ”
“ก็เปล่า
แต่ว่ามันก็แหมมมมมมมมมม่” ตังพูดแล้วก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย
“ไม่ต้องอายหรอกตัง
แรกๆก็หยั่งงี้แหละ เจผ่านมาแล้ว เดี๋ยวอีกหน่อยก็ชิน
พี่ก้องก็พูดหวานๆใส่ไอตังมันบ่อยๆละกันนะครับ มันจะได้ชินเร็วๆ 55555555 งั้นเจไปก่อนนะตัง อยู่แถวนี้แล้วมันคันๆเหมือนมีมดเต็มไปหมดเลยอะ สงสัยมีอะไรหวานๆหล่นแถวนี้”
เจแซะก้องกับตังทิ้งไว้แล้วเดินจากไป
“ไปกันเถอะครับน้องตัง”
ก้องว่าพลางจูงมือน้องไปที่รถโดยมีตังเดินยิ้มหน้าบานมองมือตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายกอบกุมไว้ไปตลอดทาง
.
.
.
.
“ตังครับ
พรุ่งนี้พี่ติดงานที่คณะกว่าจะเลิกก็น่าจะดึก คงมารับตังไม่ได้นะครับ ทั้งๆที่เป็นวันสุดท้ายที่พี่จะได้มาส่งตังแล้วแท้ๆ
คืนนี้เถ้าแก่ก็กลับแล้วใช่มั้ยครับ พี่ขอโทษนะแต่เดี๋ยวพี่ให้พี่เอ็มมารับแทนเนอะ”
“ไม่เป็นไรฮะ
เดี๋ยววันนี้ตังกลับเองก็ได้ แล้วเดี๋ยววันอื่นพี่ก้องค่อยมารับตังใหม่ก็ได้
เดี๋ยวตังบอกป๊าว่าวันหลังไม่ต้องให้คนมารับก็ได้”
“ไม่เอา
พี่จะให้ตังกลับกับคนอื่นได้ไง อย่าทำให้พี่เป็นห่วงสิครับ ไม่ดื้อนะคนดีของพี่”
“เออ...ครั...ครับ”
“งั้นพี่ไปแล้วนะ
ฝันดีนะครับ” ก้องโน้มตัวมาจูบที่ริมฝีปากบางหนึ่งที่ แล้วขับรถออกไป
ทำเอาคนที่เพิ่งโดนขโมยจูบปั้นหน้าไม่ถูกได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
.
.
.
.
“อ่าวพี่ตัง
วันนี้พี่ก้องไม่มารับหรอ เห็นปกติเวลาต้นมารับเจที่ไรต้องเจอพี่แกมานั่งคอยเป็นลิงหิวเพนกวิ้นอยู่หน้าตึกตลอดเลย”
ต้นถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไอคุณน้องต้นครับ
ลิงหิวเพนกวิ้นคืออะไรมิทราบครับ นี่ถ้าไม่ติดว่าเจยืนอยู่ตรงนี่พี่ซัดไม่เลี้ยงแน่”
“จัดการได้เลยตัง
คิดซะว่าเจไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ละกันนะ เจหมั่นไส้มานานแล้วเหมือนกัน ชอบกวนประสาท”
คนตัวเล็กว่าแล้วถอยหลังออกไป
“โหยไรอะพี่เจ
ไม่ปกป้องกันเลยผมเสียใจนะ แล้วตกลงพี่ก้องไม่มารับหรอพี่”
“อือ
พี่เค้าติดงานที่คณะ แต่เห็นว่าจะให้พี่เอ็มมารับแทน อ๊ะ
นั่นไงพี่เอ็มมาพอดี...หวัดดีฮะพี่เอ็ม”
“หวัดดีครับๆ
นี่จะกลับเลยรึป่าวละตัง”
“ผมอยากแวะไปซื้อขนมไปฝากพี่ก้องซะหน่อยฮะ
พี่เอ็มรีบรึเปล่า ตังกลัวพี่เค้าเอาแต่ทำงานจนดึก แล้วไม่ได้กินข้าว
เลยว่าจะหาอะไรไปให้รองท้องซะหน่อย”
“ไม่เป็นไรๆพี่ไม่รีบ
เดี๋ยวพี่ไปด้วยละกัน ไปให้มันเห็นด้วยว่าพี่เป็นคนมารับตังแล้ว มันจะได้หมดห่วง
ไม่งั้นไม่เป็นอันทำงานกันพอดี”
“งั้นเดี๋ยวพี่รอตังไม่ซื้อขนมแปบนึงนะฮะ”
ตังรีบวิ่งออกไปในทันทีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรอนาน
“หวานจังเลยเนอะคู่นี้
พี่ว่าป่ะ” ต้นพูดแกมหยอก
“ก็งี้แหละน้า
พวกคู่ข้าวใหม่ปลามัน” เอ็มตอบกลับแบบขำๆเช่นกัน
.
.
.
.
ณ
สวนด้านหลังคณะบริหาร ก้องกำลังก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสือเล่มหนาหนักที่สูงเป็นกองภูเขาที่เขายืมมาจากห้องสมุดเพื่อทำวิทยานิพนธ์สุดท้ายก่อนเรียนจบปริญญาโทตามที่ใจหวัง
แต่แล้วก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่ก้องนั่งอยู่
เธอเป็นคนที่สวยเลยทีเดียว ทั้งหน้าตาที่ดีราวกับพริตตี้งานมอเตอร์โชว์ก็ไม่ปาน
และรูปร่างที่สมส่วนทั้งอกเอวสะโพกที่เมื่ออยู่ในชุดนักศึกษารัดติ้วยิ่งทำให้เธอดูเซ็กซี่มากขึ้นไปอีก
“พี่ก้องขา
แคทตี้มาหาแล้วนะคะ พี่ก้องคิดถึงแคทตี้มั้ยคะ
แคทตี้นะคิดถึงพี่ก้องม๊ากมาก” ยังไม่ทันที่ก้องจะได้ทันตกใจด้วยซ้ำ
สาวเจ้าก็นั่งลงข้างๆ พร้อมกอดแขนก้องไว้แล้วบดเบียดอะไรต่อมิอะไรมาที่ตัวร่างหนา
“เดี๋ยวๆนี่มันอะไรกันแคท
เรามาที่นี่ทำไม”
“ก็แคทตี้คิดถึงพี่ก้องนี่คะ
เย็นนี้เราไปเที่ยวด้วยกันนะคะ ไปย้อนความหลัง ทำอะไรๆที่เราเคยทำด้วยกัน...”
เธอพยายามขยับตัวเข้าหาก้องช้าๆด้วยท่าทีที่เร่าร้อน
“ไม่ๆ ผมไม่
อะอื้ม...” ยังไม่ทันที่ก้องจะพูดจบริมฝีปากบางที่ถูกทาไว้ด้วยลิปสติกสีแดงฉานก็บดเบียดริมฝีปากหนา
จนอีกฝ่ายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปนอนกับเก้าอี้ม้าหิน
“พี่ก้อง...” เสียงของร่างเล็กสั่นเครือในทันทีที่เข้ามาเห็นภาพที่ไม่น่าดู
“ตัง..”
ก้องพยายามชันตัวลุกขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย “ตัง ตังๆฟังพี่ก่อนนะ มันไม่ใช่อย่างที่ตังคิดนะ”
“พี่ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว
ผมว่าสิ่งที่ผมเห็นมันก็อธิบายตัวมันเองได้ชัดเจนมากพอแล้วว่าทำไมวันนี้พี่ถึงมารับผมไม่ได้
ผม...น่าจะเชื่อที่พี่เอ็มพูดแต่แรก เราจบกันตรงนี้เถอะพี่...” ตังขยับปากพูดด้วยความยากลำบาก
น้ำใสๆคลออยู่ที่ดวงตาเรียว ซึ่งแดงก่ำแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาซักหยด ร่างกายด้านชาราวกับถูกเข็มนับพันแทงเข้าทั่วร่าง
สารัชเอื้อมมือที่สั่นเทาจับไปยังสร้อยคอสีน้ำตาลไหม้ที่ห้อยอยู่ที่คอแล้วออกแรงดึงจนคอเป็นรอยสีแดงปื้น
ปมของสร้อยคอที่ถูกมัดไว้ขาดออก เขาปาสร้อยลงพื้น
มันกระเด็นไปตกอยู่ที่ฐานม้านั่งฝั่งที่ก้องนั่งอยู่พอดี แล้ววิ่งหนีออกไป
“ตังเดี๋ยว...”
“พี่ก้องคะ!!!”
ก้องลุกขึ้นเตรียมจะวิ่งตามตังไปแต่ก็ถูกแขนเรียวของหญิงสาวฉุดให้นั่งลงที่เดิม
เอ็มที่เพิ่งเดินตามมาที่หลังก็ได้แต่สงสัยและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นวะไอก้อง
แล้วน้องแคทนี่มายังไง ไหนว่าเคลียกันไปแล้วไง” เอ็มถามแล้วเดินเข้าไปหาก้อง
“ผม...ผมขอโทษพี่”
ก้องไม่รู้จะพูดอะไร มันจุกไปทั้งร่าง
เขาก้มตัวลงไปเก็บสร้อยขาดๆเส้นนั้นมาใส่กระเป๋าเสื้อไว้
“พี่ก้องคะ
คนเมื่อกี้ใครหรอคะ แล้วเค้าเป็นอะไรอะคะ แคทตี้ไม่เห็นเข้าใจเลย” สาวเจ้าทำทีเป็นว่าไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ภายใต้แววตาคู่กลมที่ดูใสซื่อนั้นในสมองของเธอกำลังเย่อหยั่นให้กับคนที่เพิ่งเดินเข้ามาและเดินออกไป ‘เหอะ เข้ามาถูกเวลาดีนี่ ไม่ว่านายจะเป็นใคร
และมีความเกี่ยวข้องกับพี่ก้องลึกซึ้งมากแค่ไหนชั้นไม่สนหรอกนะ
เพราะไม่ว่ายังไงผู้ชายคนนี้ก็ต้องเป็นของชั้น!!!’
.
.
.
.
“ฮึก ฮึก
ทำไม...ทำไมถึงเป็นแบบนี้...” ตอนนี้ในหัวของตังมีแต่คำถามมากมายทั้งคำถามที่อยากถามตัวเขาเองและถามอีกคน...คนที่เขาเพิ่งวิ่งหนีมา ‘ทำไมพี่ก้องถึงทำแบบนี้’ ‘ทำไมเขาถึงไม่เชื่อคำบอกของพี่เอ็มแต่แรก’
‘ทำไมพี่ก้องถึงต้องโกหกเขา’ ‘ทำไมต้องมีเรื่องบ้าๆแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาด้วย’
‘แล้วที่พี่ก้องบอกว่าจะไม่ทำให้เขาเสียใจ ไม่ทำให้เขาร้องไห้
จะทำให้ทุกวันมีแต่รอยยิ้มมันคืออะไร หรือแท้จริงแล้ว...คำสัญญาก็เป็นเพียงแค่ลมปากที่คนๆนึงพูดขึ้นมาเพื่อให้อีกคนตายใจในคารม’ แต่แล้วความคิดของเขาก็เป็นอันต้องชะงักลงเมื่อมีแรงสั่นจากโทรศัพท์เครื่องหรูในกระเป๋ากางเกงส่งสัญญาณมาว่ากำลังมีคนโทรหา
สารัชล้วงกระเป๋าขึ้นมาดูว่าเป็นใครที่โทรมาในเวลาแบบนี้
เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใคร เขาก็เช็ดน้ำตาลวกๆ
พยายามปรับเสียงให้เป็นโทนปกติแล้วกดรับ
“ครับพี่มุ้ย”
‘เป็นไงบ้างตัง
สบายดีมั้ย ไม่ได้คุยกันตั้งนาน’ ไม่นานเกินรอปลายสายก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ก็...ดีพี่
ไปอยู่กรุงเทพเป็นไงบ้างล่ะ” ตังตอบกลับไปทั้งที่เสียงยังคงสั่น
‘ดีนะ
ที่นี่สะดวกสบายดี แต่ก็ไม่น่าอยู่เท่าบ้านเราหรอก ว่าแต่ ตังเป็นอะไรรึเปล่า
น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยดี มีอะไรก็ปรึกษาพี่ชายคนนี้ได้เสมอนะ’
เหมือนโดนน้ำทะเลเค็มๆสาดซักเข้าไปยังแผลที่เพิ่งถูกทำร้าย
ตังปล่อยโฮออกมาในทันทีทีพี่ชายคนสนิทถามจี้จุด
‘อะไร
ตังเป็นอะไร มีเรื่องอะไรรึเปล่า ใจเย็นๆนะ หยุดร้องก่อน แล้วเล่าให้พี่ฟัง’ มุ้ยพยายามปลอบคนปลายสายอย่างใจเย็น
ตังไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเพียงแต่บอกว่าจะขอขึ้นไปอยู่ที่กรุงเทพด้วยซักพักแล้วเมื่อถึงกรุงเทพจะเล่าให้ฟังเอง
ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ยินดีด้วยซ้ำที่น้องรักจะขึ้นมาหาเขาถึงที่นี่
ตังกับเขารู้จักกันมานานเนื่องจากตอนที่เขายังอยู่ที่นู้นบ้านของเขาอยู่ติดกับบ้านของตัง
เขากับตังเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ตังยังเป็นเด็กๆจากความสนิทสนมแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพันจากความผูกพันจึงแปรเปลี่ยนเป็นความรักโดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้ตัว
เขากลัวว่าหากบอกความรู้สึกในใจออกไปความสัมพันธ์ของเขากับน้องจะจบลงตามไปด้วย
จึงยอมรักษามิตรภาพแบบพี่น้องไว้ต่อไป จนเขาเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และต้องจากบ้านมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ
เขายังคงโทรติดต่อกับตังเป็นบางครั้งที่ว่างจากการเรียน
หรือกลับไปเยี่ยมบ้านบ้างปีละครั้ง 2 ครั้ง
.
.
.
.
“พี่!!
!ผมจะทำยังไงดี ผมโทรหาตังเขาก็ไม่รับ สายไม่ว่างตลอด
เมื่อกี่ไปหาที่บ้านก็ไม่เจอใคร โทรหาเจๆก็บอกว่าตังไม่ได้ไปหา
ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วนะพี่ ผม...ผม...ฮึก...” น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อายใคร
หลังจากที่เขาเคลียร์กับแคทจบ เขาก็พยายามวิ่งหาตังทั่วทั้งมหาลัยและทุกที่ๆคิดว่าตังจะไปแต่ก็ไม่พบ
ไม่ว่าจะพยายามด้วยวิธีไหนเขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าคนที่เขากำลังตามหานั่น หนีหายไปอยู่ที่ใด
“ใจเย็นๆน่าไอก้อง
รีบร้อนไปน้องเค้าก็ไม่ออกมาหาแกง่ายๆหรอก
ก็ดันไปเห็นภาพบาดตาบาดใจขนาดนั้นเป็นข้าๆก็ไม่ทนวะ ข้าคงหนีไปอยู่ซักดาวอังคาร
ไม่ก็หนีไปนั่งอยู่กับอัลปาก้าในสวนสัตว์
หรือถ้าไม่ไหวจริงๆก็นู้นโดดน้ำลงไปให้ฉลามมันขย้ำเล่น” สุทธินันท์รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเครียดแต่ก็แกล้งพูดทีเล่นทีจริงเพื่อให้น้องใจเย็นลง
“โอโหพี่นั่นปากใช่ป่ะ
ถ้าจะพูดแบบนี้เก็บปากไว้กินข้าวเหอะพี่ ก่อนที่พี่จะได้กินตีนผมแทนข้าว” ก้องพูดแล้วเดินออกไปยังเพิงไม้หลังเล็กๆหลังเดิมที่เขาเคยพาคนรักมา
เขาเดินเข้าไปในบ้านลงกลอนไว้ แล้วทรุดตัวลงกับบานประตู
นั่งเหม่อลอยแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นจนตะวันลาลับขอบฟ้าจมหายไปกับคลื่นทะเล
“ไอก้อง
ออกมาได้แล้วน่า อยู่ในนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ทำไมเอ็งไม่ลองไปถามเถ้าแก่ดูล่ะ
บางทีเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่าลูกชายเขาอยู่ไหน” คำพูดของเอ็มเหมือนปลั๊กที่มาชาร์ตไฟให้กับร่างกายของก้องอีกครั้ง
เขารีบเปิดประตูออกมาแล้ววิ่งไปคว้ากุญแจบิคไบค์คันโปรดแล้วขับออกไปทันที
“อ้าวไอก้อง
มีอะไรรึเปล่ามาหาข้าถึงบ้านเลย เออ แต่ช่างก่อนเข้ามาๆข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
ยังไม่ทันที่ก้องจะได้ปริปากพูดอะไร เถ้าแก่ก็พาก้องเข้ามายังตัวบ้านและชิงเปิดประเด็นพูดเรื่องของตนขึ้นเสียก่อน
“เอ็งรู้ใช่ไหมว่าปีนี้ข้าก็จะแซยิดแล้ว
แถมอาตี๋น้อยตัวดีก็มาไม่ยอมรับมรดกธุรกิจโรงงานต่อจากข้าอีก...” ทันทีที่เกริกฤทธิ์ได้ยินคำเรียกแทนชื่อของอีกฝ่ายใจมันก็กระตุกวูบ
แต่ไม่ทันที่หัวใจจะได้กลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติดีใจเขาก็ต้องกลับมาเต้นเร็วอีกครั้ง
“เอ็งเป็นคนดี
ข้าเห็นเอ็งมานาน แล้วก็รักเอ็งเหมือนลูกเหมือนหลาน
ข้าขอฝากโรงงานนี้ให้เอ็งดูและต่อได้มั้ย ถือเป็นคำขอสุดท้ายของข้าละกัน...
ถ้าเอ็งตกลงเดี๋ยวมะรืนนี้ข้าจะได้จัดงานแถลงข่าวเรื่องผู้บริหารคนใหม่ของโรงงานเราเลย
555555555” เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จู่ๆวันหนึ่งจะได้เป็นเจ้าของโรงงานที่ตัวเองทำงานมาตั้งนมนาน
เขาคิดว่าคนธรรมดาๆต่ำต้อยอย่างเขาจะให้ไปทำงานไปเจ้าคนนายคนคงใจขัดกันแปลกๆ
แต่ครั้นจะปฏิเสธก็คงจะไม่ได้ เพราะมีเหตุผลบางอย่างค้ำคอเขาอยู่
จึงได้แต่ตอบตกลงไปอย่างว่าง่าย
เถ้าแก่ยิ้มด้วยความดีใจและโล่งใจที่ก้องยอมตกลงรับหน้าที่นี้ต่อจากเขา
เมื่อหมดเรื่องของตนแล้วก็นึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายกระหืดกระหอบรีบร้อนมาหาเขาได้
จึงถามขึ้น
“แล้วเมื่อกี้เอ็งมีอะไรรีบมาหาข้าตอนดึกๆดื่นๆ”
“คือ...ผมจะมาถามหาน้องตังน่ะครับ
พอดีว่าติดต่อไม่ได้...” ก้องพูดเสียงเบาลง
“เอ้า
อาตี๋ไม่ได้บอกเอ็งไว้หรอว่าเขาไปบ้านเพื่อนน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ
เดี๋ยวมะรืนที่มีงานแถลงข่าวข้าก็จะเรียกตัวกลับมา ไปๆนี่ก็ดึกแล้ว
กลับบ้านไปเตรียมตัวให้เรียบร้อยละ”
-ใจกลางกรุงเทพเมืองฟ้าอมร-
“ตังจะเล่าให้พี่ฟังได้รึยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมจู่ๆถึงขอขึ้นมาอยู่กรุงเทพกับพี่ มีปัญหาอะไรรึเปล่า เล่ามาเถอะ
เผื่อพี่จะช่วยอะไรได้บ้าง” ธีรศิลป์ถามขึ้นเมื่อเขาพาผู้มาใหม่มานั่งเล่นที่ห้องได้ซักพัก
“เรื่องมันยาวอะพี่”
สารัชหันกลับมาตอบคนเป็นพี่ด้วยแววตาเศร้าๆแล้วก็เปลี่ยนไปเรียบเฉยอีกครั้ง
“ยาวแค่ไหนพี่ก็จะฟัง
พี่ไม่อยากให้ตังเก็บมันไว้คนเดียว พี่เป็นห่วงตังนะ” ร่างสูงพูดขั้นพร้อมเอื้อมมือไปกุมมือของสารัชไว้
“ก็ได้ๆพี่
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...” ยังไม่ทันที่ตังจะเล่าเรื่องจบดี น้ำตาเจ้ากรรมก็ดันไหลออกมาเสียก่อน
ธีรศิลป์ตัดสินใจดึงตัวน้องมากอดไว้หลวมๆแล้วลูบหลังปลอบ
“พี่ว่าบางที่มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ตังคิดก็ได้นะ
พี่สังเกตหลายครั้งแล้วที่เวลาโทรศัพท์ดังแต่ตังไม่ยอมรับ เขาโทรมาใช่ไหม
ถ้าเขาจะนอกใจตังจริงๆเขาจะพยายามโทรหาตังอีกทำไม
พี่อยากให้ตังลองเผชิญหน้ากับปัญหานี้อีกซักครั้ง
ถามเขาออกไปตรงๆเลยว่าตกลงมันยังไงกันแน่ ถ้าจะเจ็บ ก็เจ็บให้มันจบ
จะได้ไม่ต้องมานั่งทรมานอยู่แบบนี้ พี่ไม่ชอบเห็นตังเป็นแบบนี้เลย
พี่อยากเห็นตังคนเดิมกลับมา” ถึงแม้ว่าการที่มุ้ยพูดออกไปแบบนั้นมันจะทำให้เขาเจ็บปวดก็ตาม
แต่มันก็คงดีกว่าหากว่าคนที่เขารักได้ปรับความเข้าใจกับคนที่รักเขา
ถ้าหาว่าคนๆนั้นรักตังจริงๆนะ
“ขอเวลาผมอีกซักหน่อยละกันนะพี่
ตอนนี้ไม่พร้อมจริงๆอะ” ตังนั่งครุ่นคิดกับประโยคที่คนเป็นพี่บอกแกมสอนก่อนจะตอบเลี่ยงๆไป
“แล้วมะรืนนี้ต้องกลับแล้วใช่มั้ย
ป๊าไม่ได้บอกตังไว้หรอว่าให้รีบกลับทำไมอะ งั้นเอางี้เดี๋ยวพี่ขอไปด้วยเลยละกันนะ
จะได้แวะกลับไปเยี่ยมที่บ้านด้วย ไม่ได้กลับมาซักพักละ...นี่ก็ดึกแล้ว
ไปนอนได้แล้ว ไม่ต้องคิดมาก นอนดึกเดี๋ยวเตี้ยรู้มั้ย ไอ ‘น้อง’ รัก” แม้มันจะเป็นคำที่เจ็บปวดแต่มันก็ช่วยย้ำได้ว่าสถานะของเขากับอีกคนเป็นได้เพียงแค่นั้น
เป็นได้เพียงแค่ ‘พี่ชายที่แสนดี’
.
.
.
.
.
.
-โรงงานปลาของเถ้าแก่-
“ไอก้องพร้อมยัง
คนเค้ามารอเต็มงานแล้วนะเว้ยยยยย แหม่วันนี้หล่อเชียวนะ หมั่นไส้ว่ะ ขอตบหัวทีดิ๊”
พี่เอ็มเดินเข้ามาหาผมทำทีว่าจะตบหัว แต่ผมเอามือกันไว้ได้ก่อน
“เห้ยพี่ไม่เอา
ไม่เล่น เดี๋ยวผมเสียทรงหมด อุตส่าห์เซ็ตตั้งนาน”
“โอ้ยยยย
หมั่นไส้โว้ย แต่ก็อย่างที่เขาว่ากันไว้นะ
ว่าคนที่ลัคกี้อินเกมนะมักจะไม่ลัคกี้อินเลิฟ55555555555555” ผมรู้ว่าสิ่งที่พี่เอ็มพูดมันเป็นแค่การล้อเล่น
แต่มันกลับเหมือนเอานักฟุตบอลทั้งทีมมาเตะบอลใส่หน้าผมพร้อมๆกัน
ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
“เหย
โกรธหรอวะ ขอโทษๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจว่ะมันหลุดปาก” พี่เอ็มหันหลังมาคว้าไหล่ผมไว้แล้วถามขึ้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเต็มประดา
“ช่างมันเหอะพี่”
ผมพูดแล้วก็รีบเดินไปเตรียมตัวหลังเวทีทันที
โดยมีพี่เอ็มตามขึ้นไปเป็นพิธีกรด้วย
“เอาละครับ
ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอยแล้วนะครับสำหรับการเปิดตัวผู้สืบทอดกิจการคนใหม่ของโรงงานแปรรูปปลาที่ใหญ่ที่สุดในแถบทะเลไทยของเรา
ขอเชิญเถ้าแก่ที่เคารพรักของพวกเราขึ้นมาแนะนำผู้สืบทอดบัลลังก์วังปลาของเราด้วยครับ”
หลังจากพี่เอ็มพูดจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราว
“เอาล่ะๆเงียบก่อนๆ
ผมขอขอบคุณทุกๆท่านมาที่ให้เกียรติมางานในวันนี้
เนื่องจากว่าผมรู้สึกว่าด้วยอายุที่กำลังจะเข้าใกล้วัยเกษียณเต็มที และด้วยอะไรหลายๆอย่างทำให้ผมรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะมอบโรงงานแห่งนี้ให้กับใครซักคนเพื่อสืบสานมันต่อไป
แต่เนื่องด้วยลูกชายคนเดียวของผมดันไม่ยอมรับทอดมรดกโรงงานจากผมนี่สิ
ผมจึงต้องหาใครบางคนที่ผมไว้ใจได้มารับหน้าที่นี้ต่อจากผมแทน
คนๆนี้หาใช่คนไกลที่ไหน เป็นคนในโรงงานเรานี่แหละ ผมเห็นเขามาตั้งแต่เขายังเล็กๆ
เขาเป็นคนขยันทำงาน ซื่อสัตย์สุจริต และมีวินัย
ผม...ในฐานะเจ้าของกิจการคนกำลังจะเก่าของโรงงานแห่งนี้จึงมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะขอเปิดตัวเจ้าของคนใหม่ของพวกเรา!!! นายเกริกฤทธิ์ หรือเจ้าก้องของพวกเรานั้นเอง” ทันทีที่ผมได้ยินชื่อของตัวเองผมก็เดินขึ้นไปบนเวทีทันที
เมื่อผมขึ้นมาบนเวทีแล้วผมหาได้สนใจใครต่างๆที่ยืนอยู่บนเวทีไม่
สิ่งเดียวที่ผมสนใจอยู่ตอนนี้คือใครบางคนที่ควรจะมางานนี้
ใครบางคนที่เป็นยิ่งกว่าดวงใจของผม
ใครบางคนที่สำคัญกว่าตำแหน่งอันใหญ่หลวงที่ผมกำลังจะได้รับ
ผมสอดส่ายสายตาได้สักพักก็พบกับร่างบางที่ยืนอยู่กับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง
เหมือนว่าเขาสองคนจะมาด้วยกัน
ดวงตาเรียวเล็กของร่างบางที่ยืนอยู่ข้างล่างเวทีเบิกกว้างด้วยความตกใจที่เห็นผมขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น
ผมไม่สามารถเดาความหมายจากแววตาคู่สวยนั้นได้เลยจริงๆว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่
เหมือนอีกฝ่ายจะเห็นว่าผมจ้องเขาอยู่
เขาหลุบตาลงต่ำในทันทีแล้วค่อยๆเดินหาไปจากฝูงชนมากมาย
ผมกลับมาสนใจกับหน้าที่ตรงหน้าอีกครั้งแม้ในใจจะอยากออกวิ่งตามคนๆนั้นไปมากแค่ไหนก็ตาม
แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ ผมว่าคุณคงเข้าใจผมนะ
“สวัสดีครับ
ผมเกริกฤทธิ์ครับ
ผมต้องขอบคุณเถ้าแก่มากๆนะครับที่มอบตำแหน่งอันใหญ่หลวงนี้ให้กับผม
ผมไม่เคยคิดเลยว่าเด็กผู้ชายบ้านๆธรรมดาๆอย่างผมจะได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่หลายครั้งหลายคราขนาดนี้
ตั้งแต่ผมยังเด็ก
ผมก็ได้เถ้าแก่นี่แหละครับเลี้ยงดูส่งผมร่ำเรียนมาตลอดจนตอนนี้ผมใกล้จะจบปริญญาโทแล้ว
แถมเถ้าแก่ยังกรุณาให้ผมเข้ามาทำงานที่โรงงาน
ทีแรกผมจะขอไม่รับเงินเดือนเพื่อตอบแทนเถ้าแก่เรื่องค่าเล่าเรียนของผม
แต่ท่านก็ไม่ยอม
ท่านบอกกับผมว่าเงินเดือนที่ท่านให้ให้ผมเก็บเอาไว้เลี้ยงดูตัวผมเองและครอบครัวของผมในอนาคต
ท่านเป็นผู้มีพระคุณกับผมเหลือเกิน
ทุกอย่างที่เถ้าแก่ขอให้ผมทำไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหนหรืออะไรก็ตามแต่ผมก็ยอมทำได้เสมอเพราะผมว่ามันคือหน้าที่ๆคนๆนึงที่ยึดมั่นในความกตัญญูควรตอบแทนต่อผู้มีพระคุณผมขอสัญญาว่าจะทำอีกหนึ่งหน้าที่ตรงนี้ของผมให้ดีที่สุดครับ
ขอบคุณครับ” เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นยิ่งกว่าครั้งแรกที่ผมยังไม่ขึ้นเวทีเสียอีก
ผมมองผู้คนมากมายที่มาแสดงความยินดีกับความสำเร็จของผมในครั้งนี้
แต่สายตาผมก็ไปสะดุดเข้ากับใครบางคน
คนที่ผมคิดว่าเขาเดินออกจากงานไปเสียตั้งนานแล้ว
เขายืนอยู่ไกลลิบห่างจากกลุ่มคนอยู่มากโข แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าคนสายตาดีอย่างผมจะสังเกตเห็นว่าเขากำลังร้องไห้
ผมไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่เขาร้องไห้
และนั่นมันทำให้ผมอยากรู้ถึงสาเหตุของน้ำตาในครั้งนี้
ร่างกายไวกว่าสมองผมปลีกตัวออกมาจากผู้คนและเดินไปหาอีกคนในทันที
แต่กว่าผมจะฝ่าฝูงชนมาได้เขาก็หายตัวไปอีกแล้ว ผมพยายามเดินหาเขาทั่วงาน
และก็มาพบว่าเขาปลีกตัวมายืนรับลมทะเลอยู่ด้านหลังโรงงานนี่เอง
“มาหลบทำอะไรอยู่แถวนี่ครับ”
ผมถามพร้อมสวมกอดคนที่ผมคิดถึงจากด้านหลัง
“ปล่อยผม...”
สรรพนามแทนตัวเองที่เปลี่ยนไปทำให้ผมใจหายวูบ ตังพยายามแกะมือผมออก
แต่ผมไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆหรอก ถ้าปล่อยไปมีหวังหนีหายไปอีกแหง่ๆ
ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
“ไม่
พี่ไม่ปล่อย บอกพี่มาก่อนว่าหายไปไหนมา แล้วทำไมเมื่อกี้ต้องหนีพี่ด้วย”
“ไม่จำเป็นต้องรู้
ปล่อยผมได้แล้ว ผมอึดอัด” ตังยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ก็ได้
แต่ตังต้องสัญญากับพี่นะว่าถ้าพี่ปล่อยตังแล้วตังจะไม่หนีพี่ไปไหนอีก” ผมค่อยๆคลายมือจากเอวบางนั่นช้าๆแล้วจับไหล่ของตังให้หันหน้ามาคุยกันดีๆ
“จะให้ผมพูดสัญญากับคนที่เคยผิดสัญญากับผมงั้นหรอ
เหอะ ตลกเป็นบ้าเลย” ผมมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาเรียวคู่สวยคู่นั้น
มันวูบไหวแล้วก็กลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง
เราสองคนจ้องหน้ากันอยู่สักพักจนเป็นผมที่ทนไม่ไหวเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน
“โอเค
ตังไม่ต้องสัญญาอะไรกับพี่ก็ได้ พี่แค่อยากให้ตังฟังพี่อธิบาย
แค่แปบเดียว...ก็ยังดี”
“ผมไม่ต้องการฟังคำแก้ตัว
ผมจะเชื่อในสิ่งที่ผมเห็นด้วยตาของผมเองเท่านั้น กลับเข้าไปในงานเถอะ คนเค้าตามหา ‘เจ้าของโรงงานคนใหม่ผู้กตัญญูต่อหน้าที่’ กันให้วุ่นแล้วมั้ง”
ตังทำท่าจะเดินหนีไปแต่จู่ก็หันหลังกลับมาใหม่แล้วถามคำถามที่เอาซะผมแทบล้มทั้งยืน
“ผมถามอะไรอย่างสิ
ที่มาทำดีกับผม คอยดูแลผม มารับมาส่ง จริงๆแล้วก็เป็นแค่หน้าที่ๆหนึ่งเหมือนกันใช่มั้ย...”
“ถ้ามันใช่
ก็ไม่ต้องทำแล้วนะ ไม่ต้องมาเหนื่อยกับผมอีกแล้ว หน้าที่นี้มันจบแล้ว
จบหมดแล้ว...ทุกอย่างจริงๆ..” ขณะที่ตังกำลังพูดน้ำตามากมายก็ไหลออกมาจาดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่ได้
แม้ว่าเจ้าตัวพยายามจะเช็ดมันออก แต่มันก็ไหลออกมาไม่หยุดหย่อน
ผมก้าวขาเข้าไปหาตัง แต่เจ้าตัวดันถอยหนีแล้ววิ่งหนีหายไปเสียดื้อๆ
“โถ่เว้ย!!! บ้าเอ้ยยยยยยยยยยยย ทำไมต้องเป็นแบบนี้วะ” ผมสบถกับตัวเองออกมาดังๆ
คุกเข่าลงกับพื้น ง้างมือเตรียมทุบลงไปหนักๆสักทีสองที
แต่ยังไม่ทันที่มือจะได้สัมผัสกับพื้นก็มีมือหนึ่งมาคว้าแขนผมไว้ก่อน
“เจ...”
“ใจเย็นๆสิพี่
ทำร้ายตัวเองไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกนะ” เจพูดปลอบผม
“ใช่พี่
ไม่ต้องเครียด พี่ยังมีพวกผมอยู่กลัวอะไร มีอะไรที่พวกผมช่วยพี่ได้ผมยินดีเสมอแหละ
เรื่องเผือกชาวบ้านชาวช่องอะงานถนัดพ้มมมมมม” ต้นพูดเสริมด้วยประโยคที่เหมือนจะดี(?)
“งั้น
พี่ถามอะไรอย่างสิ ต้นกับเจรู้จักผู้ชายคนที่มากับตังมั้ย?”
“รู้ดิพี่
นั่นอะพี่มุ้ย เมื่อก่อนบ้านพี่เค้าอยู่ติดกับบ้านพี่ตัง
แต่จะเรียกว่าเป็นแค่เพื่อนบ้านกันก็ไม่เชิง เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
จนพี่เค้าต้องย้ายไปเรียนมหาลัยที่กรุงเทพนี่หละ ก็เลยห่างๆกันไป
กลับมานี่ก็แค่ปีละครั้งสองครั้งเอง พี่เค้าเล่าให้พวกผมฟังอย่างงั้นอะนะ
ส่วนที่พี่ตังหายไปก็คงขึ้นไปอยู่กรุงเทพกับพี่มุ้ยมานั่นแหละ
แต่เหมือนพี่แกจะแอบชอบพี่ตังอยู่ด้วย แต่ไม่รู้ตอนนี้ยังไงแล้วนะพี่ โอ้ยยยย
พี่เจตีเค้าทำไมอะ”
“บางเรื่องก็ไม่ต้องพูดก็ได้นะ
ยิ่งพูดยิ่งแย่ พี่ก้องไม่ต้องซีเรียสหรอก ผมว่ายังไงตังมันก็เลือกพี่
ตังอะรักพี่อยู่แล้วหล่ะ เพียงแต่ตอนนี้อาจจะแค่โกรธอยู่
พี่แค่ต้องอธิบายความจริงให้ตังได้รู้”
“แต่ตังไม่ยอมฟังพี่เลย
นี่ก็...หนีพี่ไปอีกแล้ว” ผมล้มตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง
“งั้นเอางี้พี่
ไปบุกบ้านพี่มุ้ยกันเลยมั้ย เคลียกันไปให้จบๆเลย ผมพาไปเอง
เดี๋ยวผมคุยกับพี่มุ้ยให้” เจเสนอความคิดขึ้น
“พี่เค้าจะยอมหรอ
ไหนว่าเค้าชอบตังไง ยิ่งพี่กับตังมีปัญหากันแบบนี้ยิ่งดีต่อเค้า
เค้าไม่มีทางเปิดทางให้พี่กับตังเคลียร์กันหรอก แต่ก็ขอบใจเราสองคนมากนะที่พยายามช่วยพี่”
ผมพูดอย่างหมดหวัง
“โหย
ไรวะพี่ พวกผมอุตส่าห์พยายามช่วย พี่แม่งโคตรกากเลยว่ะ แค่นี้ก็ท้อแล้ว พี่รู้ป่ะ
ตอนผมตามจีบพี่เจนะใช้เวลาตั้งนานกว่าจะจีบติด
แถมเวลาผมไปหานะก็เอาแต่ไล่ผมหยั่งกับหมูกับหมา แต่ผมก็ยังไม่เลิกจีบพี่เค้าง่ายๆนะ
เพราะอะไรรู้ป่ะพี่ เพราะคำว่า ‘รัก’ คำเดียวเลยพี่ เพื่อคนที่ผมรักอะ
ต่อให้ผมต้องพยามยามตามตื้อเค้าอีกกี่ร้อยกี่พันล้านปีผมก็ยอม
แต่ถ้าพี่ยอมแพ้ง่ายๆนั่นก็แปลว่าพี่ไม่ได้รักพี่ตังจริงๆ
ถ้างั้นพี่ก็ปล่อยพี่ตังเค้าไปซะ ปล่อยให้เค้าไปอยู่กับคนที่รักเค้า
แล้วพี่ก็นั่งจมอยู่กับความผิดพลาดของตัวเองไปจนวันตายนี่หล่ะ” ไอต้นพูดตวาดผมอย่างหัวเสีย
“ไม่! พี่ไม่มีวันยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่ๆ ไป พรุ่งนี้ไปบ้านไอพี่มุ้ยกัน
ต่อให้มันจะขัดขวางกีดกันพี่ จะไล่พี่ออกจากบ้าน หรือจะเอาปืนมายิงพี่
พี่ก็จะอธิบายเรื่องของพี่ให้ตังฟังให้ได้ พี่จะเอาตังกลับคืนมาให้ได้!!!” ผมลุกขึ้นและยิ้มออกอีกครั้งหนึ่ง
“เอ็งนี่เป็นประเภทต้องให้คนอื่นกระตุ้นตลอดเลยนะ
ให้ตายสิ คิดอะไรเองไม่ได้เลยรึไงนะ อย่าไปบอกใครเค้านะว่าเป็นน้องข้า
ข้าอายเขาว่ะ” เสียงๆหนึ่งพูดขึ้นมาจากด้านหลัง
“ไอพี่เอ็ม
มาจากไหนเนี่ย” ผมโผลงขึ้นด้วยความตกใจ
“ก็มานานพอได้ยินใครบางคนนั่งเศร้าเป็นหมาเหงา
จนต้องให้เด็กมันด่าเรียกสติอะ”
“งี้พี่ก็รู้เรื่องหมดเลยอะดิ
พี่มาก็ตั้งนาน ทำไมผมไม่เห็นวะ”
“เอ็งได้ทันสนใจใครที่ไหนด้วยหรอ
นอยด์ขนาดนั้นมีสติพอคุยกับไอต้นไอเจได้ก็ดีถมไปแล้ว เออ
แต่ว่าวันไปกรุงเทพข้าไปด้วยไม่ได้นะ ข้านัดกับตั้มไว้แล้ว แต่ไอก้องเอ็งจำไว้นะ
กว่าเอ็งกับน้องเค้าจะได้เกิดบนโลกใบเดียวกัน กว่าจะได้เกิดในช่วงเวลาเดียวกัน
กว่าจะได้พบกัน กว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก กว่าจะได้รู้จักกัน กว่าจะได้คุยกัน
กว่าจะได้คุ้นเคยกัน กว่าจะได้เรียนรู้กัน กว่าจะได้รู้สึกดีต่อกัน
กว่าจะได้ชอบกัน กว่าจะได้รักกัน มันยากนะเว้ย
เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยน้องเค้าไปง่ายๆ สู้เว้ย!!!”
“แต้งกิ้วมากพี่
งั้นผมไปนะ ต้น เจ พรุ่งนี้เจอกันนะ บาย” เอาหล่ะ
มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ปฏิบัตัการชิงตัวสารัชกลับทะเลได้เริ่มต้นขึ้นละเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ความคิดเห็น