ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rilascio [KrisLay ft. Kyungsoo]

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter V

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 58






    *เผื่อใครที่ไม่รู้จักโช อินซอง  คนข้างบนนี้เองนะดาว







    ตระกูลอู๋มีบริษัทอยู่ในเครือมากมายและกระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก  บริษัทใหญ่ตั้งรากฐานอยู่ในประเทศจีน ส่วนสำนักงานในประเทศเกาหลีใต้นั้น แม้ว่าจะไม่ใช่บริษัทแม่ก็จริง แต่ก็เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด มีมูลค่าทางธุรกิจมหาศาล

     

    หน้าตึกสำนักงานใหญ่ของตระกูลอู๋ในประเทศเกาหลีใต้มักมีคนแวะเวียนไปมาอยู่ทุกวัน รวมทั้งเสาร์อาทิตย์ที่แม้จำนวนคนจะเบาบางไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเยอะ  เพราะรายสินค้าที่มากชนิดของบริษัท  จึงทำให้มีปริมาณงานที่ต้องดำเนินการอยู่ตลอดเวลาไม่เว้นวันหยุดสุดสัปดาห์

     

    ปกติอี้ฟานอาจจะมีเข้าบริษัทในวันเสาร์อาทิตย์บ้าง แต่ไม่เคยเข้าเช้าถึงขนาดข่าวภาคเช้ายังรายงานไม่จบแบบนี้  ถ้าไม่มีสายตรงจากผู้บริหารสูงสุดของบริษัท อี้ฟานก็ยังคงไม่ตื่น

     

    อี้ฟานเข้ามาในตึกของบริษัท พนักงานที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เมื่อเห็นอี้ฟานก็ทักทายเป็นอย่างดี  อี้ฟานก็ยิ้มทักทายกลับตามมารยาท

     

    อี้ฟานขึ้นตรงมาชั้นสูงสุดของตึก  ที่ที่เป็นที่ทำงานของประมุขตระกูลอู๋และพ่อของเขาเอง  เมื่อมาถึงที่หน้าห้องท่านประธานบริษัท  เลขาที่อยู่หน้าห้องก็เชิญอี้ฟานเข้าไปในห้องทำงานท่านประธานทันที

     

     

    สิ่งแรกที่อี้ฟานเห็นคือท่านประธานที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน  และแผ่นหลังคุ้นตาที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับพ่อเขา

     

    อี้ฟาน มาพอดีเลย นั่งก่อนสิ   เมื่อท่านผู้บริหารเห็นลูกชายเข้ามาในห้อง ก็ผายมือไปที่เก้าอี้ข้างอีกคนที่เข้ามาในห้องก่อนอี้ฟานจะมา

     

    ครับ   อี้ฟานนั่งลงข้างๆญาติผู้พี่ของเขา

     

    อรุณสวัสดิ อี้ฟาน

     

    อรุณสวัสดิครับ พี่อินซอง

     

    อี้ฟานก้มหน้าลงเล็กน้อย ทักทาย โช อินซอง ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขอยู่

     

    ทานข้าวเช้ามาหรือยังอี้ฟาน   ท่านประธานถามไถ่เรื่องราวทั่วๆไป  พยายามให้เหมือนกับเป็นการสนทนาของคนในครอบครัว มากกว่าจะเป็นการคุยงานที่เคร่งเครียด

     

    ยังครับ   อี้ฟานตอบตามจริง เขาพยายามรักษาท่าทีแม้ในใจจะรู้สึกสังหรณ์ ว่าเรื่องเครียดๆกำลังจะมาเยือน

     

    พ่อต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำอะไรปุบปับ  ลูกคงไม่มีเวลาเตรียมตัว

     

    ไม่เป็นไรครับ  คุณพ่อเรียกผมมา มีเรื่องอะไรหรือครับ   อี้ฟานถามท่านประธานที่โทรเรียกเขาให้เข้าบริษัทตั้งแต่เช้า

     

    พ่อเรียกเรามาคุยเรื่องสินค้าเครื่องดื่มตัวใหม่ของเราน่ะ

     

    ทำไมหรือครับ

     

    พ่อว่าจะให้อินซองมาทำโปรเจ็กต์นี้ต่อจากเราน่ะ

     

    ทำไมต้องรับช่วงต่อด้วยครับ  ทำไมไม่ให้ผมทำต่อ   คิ้วอี้ฟานขมวดเข้าหากัน  หางตาของเขาเหลือบเห็นอินซองกำลังยิ้มกลิ้ม

     

    ที่ผ่านมาลูกทำโปรเจ็กต์นี้ได้ดีมาก  ไม่มีข้อบกพร่อง...   ท่านประธานพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ พยายามให้อี้ฟานที่กำหมัดแน่นใจเย็นลง

     

    แต่โปรเจ็กต์นี้เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่  ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเจาะตลาดเป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ มีการตัดสินใจที่ผันผวนอยู่ตลอด  ลูกอาจยังไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะรับมือ  และพ่อเกรงว่าบอร์ดผู้บริหารเองก็ยังไม่มั่นใจที่จะให้ลูกเป็นหัวหน้าโปรเจ็กต์นี้

     

    ประธานตระกูลอู๋อธิบายให้ลูกชายเข้าใจด้วยเหตุผล

     

    ที่นายเขียนโครงการเอาไว้ ฉันได้อ่านแล้ว  มันดีมากเลยละ ฉันสานต่อมันให้ดีเอง  นายไม่ต้องห่วงนะ ด้วยประสบการณ์ของฉันโปรเจ็กต์นี้ต้องไปได้สวยแน่นอน

     

    อินซองยิ้มให้อี้ฟานอย่างเป็นมิตร แต่ในสายตาอี้ฟานเขากลับมองว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เป็นที่สุดแห่งความเสแสร้ง เป็นรอยยิ้มที่แอบแฝงความรู้สึกสะใจเอาไว้

     

    โปรเจ็กต์นี้อี้ฟานตั้งใจกับมันมาก  กว่าที่งานนี้จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปตั้งมากมาย  อยู่ๆจะให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาขโมยผลงานของเขาไปเฉยๆ เขาไม่มีทางยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่ๆ


     

    ถ้าผมฟังไม่ผิด  ตอนนี้ที่ทุกคนกำลังเป็นห่วงก็คือการที่ผมยังขาดประสบการณ์ใช่มั้ยครับ   อี้ฟานตั้งสติ เก็บอารมณ์ พยายามชี้แจงกับประธานอู๋อย่างมีเหตุผล

     

    ผมไม่เถียงครับ ว่าประสบการณ์ของผมยังน้อย  แต่ถ้าทุกคนไม่ให้โอกาสผมได้ลองทำ แล้วเมื่อไหร่ครับ ที่ผมจะมีประสบการณ์

     

    “...”

     

    “...”

     

    ท่านประธานมองมาที่อี้ฟานด้วยสายตาใคร่ครวญ  กำลังทบทวนทุกคำพูดของลูกชายตัวเอง

     

    ผมวางแผนงานอย่างรัดกุมรอบคอบ  ผมศึกษาการตลาดของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมาอย่างดี  ถ้าคุณพ่อยังไม่วางใจ คุณพ่อจะตั้งทีมการตลาดมาช่วยผมตัดสินใจเวลาเริ่มงานจริงก็ได้

     

    “...”

     

    ...”

     

    อินซองเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ เมื่อเห็นว่าท่านประธานมีท่าทีคล้อยตามคำพูดของอี้ฟาน

     

    คุณพ่อเคยบอกว่าอยากให้ผมเป็นประธารบริษัทที่มากความสามารถ แต่ถ้าไม่ให้ผมได้ทำเอง คอยแต่พึ่งคนอื่นเรื่อยไป  แล้วผมจะเป็นประธานบริษัทที่ดีอย่างที่คุณพ่อหวังได้อย่างไรครับ

     

     

    จริงของลูกนะ

     

    “...”

     

    “...”

     

    ลูกควรมีโอกาสได้ลองทำด้วยตัวเอง

     

    “...”

     

    “...”

     

    อี้ฟานยิ้มออกมาบางๆ  แตกต่างกับอินซองที่เกร็งมือที่กุมแขนเก้าอี้ไว้แน่น

     

    พ่อจะให้ลูกทำโปรเจ็กต์นี้ต่อ  เรื่องบอร์ดผู้บริหาร พ่อจะไปคุยกับพวกเขาให้   อี้ฟานยิ้มรับ เมื่อท่านประธานหันมองมาที่เขา

     

    ส่วนทีมตลาดที่จะมาช่วยลูก...   ประธานอู๋พูดพร้อมหันไปมองทางอินซอง

     

    ผมว่า ผู้จัดการคิมน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดนะครับ   อี้ฟานพูดขัดขึ้นมาก่อนที่ท่านประธานจะพูดชื่อคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขา

     

    อืม คุณคิมก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว  ถ้าลูกสบายใจที่จะทำงานกับคุณคิม พ่อก็จะไปคุยให้

     

    “...”

     

    อินซองขอบใจเธอมากนะ และน้าก็ขอโทษที่ไปรบกวนเวลาเธอด้วย

     

    ไม่เป็นไรครับ คุณน้า   อินซองยิ้มตอบประธานอู๋ราวกับไม่มีเรื่องราวอะไร

     

    ขอบคุณในความหวังดีนะครับ   อี้ฟานเหยียดยิ้มเล็กน้อยให้ลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง

     

    ไม่เป็นไร น้องชาย   อินซองยิ้มตอบอย่างกัดฟัน






     

    อินซองเก้าเท้าออกจากห้องของท่านประธานอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งที่อีกนิดเดียวโปรเจ็กต์นี้ก็จะเป็นของเขาอยู่แล้ว  

     

    ถ้าดูจากความสำคัญของงานและก็ดูประวัติการทำงานที่ไร้ที่ติของเขา โปรเจ็กต์นี้ก็ไม่น่าจะพลาดมือเขาไปได้  แต่ก็อย่างที่ว่าเลือดอย่างไรก็ข้นกว่าน้ำ เขาเป็นแค่หลานคนละนามสกุลจะเอาอะไรไปสู้ลูกในไส้ได้

     

    ทำไมอินซองจะไม่รู้ ว่าตำแหน่งประธานบริษัทคนต่อไปนั้นคืออี้ฟาน  เขาก็แค่คิดว่ามันสมควรเป็นเขามากกว่า 

     

    ไม่ใช่ว่าอินซองกล่าวหาว่าอี้ฟานไม่มีความสามารถ  แต่เขารู้สึกว่าเด็กคนนั้นขาดความทะเยอทะยาน  การที่จะทำให้บริษัทเติบโตและเป็นผู้นำตลาดได้  ผู้นำต้องเป็นคนที่ไม่ชอบหยุดอยู่กับที่ ชอบเอาชนะ ชอบความท้าทาย

     

    อี้ฟานมีความตั้งใจ แต่ขาดความกระหายในชัยชนะ

     

    ในขณะเดียวกันอินซองรู้จักตัวเองดี  ความปรารถนาของเขาคือการประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ  บริษัทที่เขาได้บริหารจะต้องยิ่งใหญ่ เป็นผู้ผูกขาดตลาดอย่างแท้จริง  เขามีเป้าหมายที่อยากพาบริษัทของตระกูลอู๋ให้ไปให้ถึง

     

    แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ เพราะยังไงบริษัทก็ยังเป็นของอี้ฟาน

     

     

    อินซองเดินต่อไปเรื่อยๆ จนผ่านมาถึงบริเวณรับรองแขกของท่านประธานที่อยู่ใกล้กับลิฟต์  แล้วสายตาของอินซองกวาดไปเห็นสาวน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาพอดี

     

    เขาจำได้ดีว่าเจ้าของนัยน์ตากลมโตคนนี้คือใคร

     

    ของที่น่าจะเป็นของอินซองแต่อี้ฟานกลับได้ไปมีมากมาย  หนึ่งในนั้นก็คือสาวน้อยคนนี้ หรือเด็กน้อยในวันวานของเขา

     

     

    ก่อนที่อี้ฟานจะย้ายมาเกาหลีอย่างไม่มีสาเหตุ  อินซองเคยเป็นตัวเต็งที่จะได้ขึ้นเป็นประธานสาขาของที่เกาหลี  สิ่งที่อี้ฟานมีอยู่ในมือตอนนี้ เขาก็เคยมีมันมาก่อนเช่นกัน

     

    สามปีก่อน ช่วงที่อี้ฟานยังอยู่ที่จีน  เหล่าผู้เฒ่าในตระกูลอู๋ต่างเห็นพ้องที่จะให้อินซองหมั้นหมายกับลูกสาวของบ้านตระกูลโด เพื่อที่จะได้สานประโยชน์ของทั้งสองตระกูล

     

    อินซองไม่ได้เดือดร้อนเรื่องการหมั้นหมายกับเด็กที่อายุเพียงเก้าขวบ  เขามองมันเป็นเพียงบันไดไปสู่เก้าอี้ประธานสาขาเกาหลีคนต่อไปเท่านั้น  การที่ต้องมาคลุกคลีกับเด็กเป็นเพียงแค่หน้าที่  ความรำคาญที่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ต้องจ่าย

     

    'คู่หมั้น' ก็แค่คำเรียกให้ดูดีของ 'หมากตัวหนึ่ง' บนกระดานของเขา

     

    และสุดท้ายเมื่อหมากตัวนี้หมดประโยชน์ เขาก็สามารถโยนทิ้งโดยที่ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเบี้ยของเขาจะรู้สึกอย่างไร

     

     

    แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายก็เกิดขึ้นกับอินซอง  เบี้ยตัวน้อยผิดแปลกไปจากที่เขาคาดการณ์ไว้มาก  ไม่มีการเอาแต่ใจอย่างที่ลูกคุณหนูส่วนใหญ่เป็นกัน  ไม่มีการเย่อหยิ่ง ไม่ขี้โวยวาย ไม่มีการทำตัวงี่เง่าชวนรำคาญใดๆทั้งสิ้น

     

    ไม่ใช่เรื่องยาก ที่เขาจะตกลงไปในหลุมพรางที่เต็มไปด้วยความสดใส  คยองซูที่ตอนนั้นสูงไม่เกิดหน้าท้องของเขา ได้กลายเป็นเสมือนนางฟ้าตัวน้อยๆของอินซอง

     

    ความอ่อนโยนที่อินซองเคยหลงลืม ได้กลับมาเพื่อมอบให้เด็กน้อยของเขาอีกครั้ง

     

    แต่เด็กน้อยยังไม่ประสีประสา ยังเข้าใจเพียงว่าความห่วงใยที่ได้รับ เป็นเพียงความเอ็นดูของพี่ชายคนหนึ่ง

     

    สถานการณ์กลับพลิกผันเมื่ออี้ฟานย้ายมาอยู่เกาหลี  นอกจากอำนาจในมือของอินซองที่โดนลิดรอน แม้แต่คู่หมั้นของเขาก็ยังโดนพวกเฒ่าหัวหงอกในตระกูลเอาไปประเคนให้อี้ฟาน หวังประจบประแจงลูกพี่ลูกน้องของเขา ทิ้งหลานนอกตระกูลอย่างอินซองแบบไม่ใยดี

     

    ที่เจ็บปวดกว่าการโดนพวกผู้เฒ่านั้นมองว่าตัวเองเป็นหมาหัวเน่า  คือการที่นางฟ้าตัวน้อยของเขาหันเหความสนใจจากเขาไปหาอี้ฟาน  แววตาหวั่นไหวยามที่น้องมองไปยังอี้ฟาน มันเป็นสิ่งที่อินซองไม่เคยได้รับจากคยองซู

     

    อินซองรู้ว่าช่องว่างระหว่างเขากับคยองซูมีมากเกินไป คงได้แต่โทษที่ตัวเขาเกิดมาเร็วเกินไป  ความผิดหวังทำให้เขาเอาตัวเองออกห่างมา ช่องว่างยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเกินกว่าที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

     

    จากพี่ชายกลายเป็นแค่คนรู้จักที่ห่างเหิน ไม่สนิทกันเหมือนอย่างที่เคย

     

     

    อินซองเดินเกือบพ้นบริเวณโซฟาที่ใช้รับรองแขกของท่านประธาน เขาตั้งใจจะเดินเลยไปเฉยๆ ไม่คิดจะทักทายหญิงสาวที่นั่งอยู่  แต่เธอคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือในมือและทันเห็นอินซองเดินผ่านพอดี

     

    พี่อินซอง

     

    คยองซูเอ่ยชื่ออีกฝ่ายแล้วเดินเข้ามาหาอินซองที่ยืนชะงักตั้งแต่คยองซูเรียกชื่อของเขา   คยองซูเดินมาหยุดตรงหน้าอินซองแล้วก็รู้สึกกระอักกระอวน  เมื่อเขาหันไปมองทางอื่นแทนที่จะมองเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้า

     

    เมื่อทนความเงียบชวนอึดอัดไม่ไหว คยองซูจึงชวนอินซองคุยก่อน ทั้งๆที่คาดหวังว่าพี่ชายจะทักทายเธอก่อนด้วยร้อยยิ้ม

     

    ไม่ได้เจอกันนานนะคะ

     

    อืม

     

    พี่สบายดีหรือเปล่าคะ

     

    ก็ดี

     

    “...”

     

    “...”

     

    อินซองเลือกที่จะเมินเฉยความพยายามของคยองซู  เพราะเขาหมดเรื่องที่จะต้องคุยกับคยองซูมานานแล้ว ทุกอย่างมันชัดเจนของมัน ไม่มีอะไรที่เขาจะเปลี่ยนมันได้อีกแล้ว

     

     

    นานมากแล้วนะคะ ที่พี่ไปเยี่ยมที่บ้านคยองเลย

     

    “...พี่งานยุ่งนะ

     

    อย่างนั้นก็...พักผ่อนเยอะๆนะคะ  แล้วว่างๆค่อยแวะมาทานของว่างที่บ้านคยองอีกก็ได้

     

    คยองซูยิ้มอย่างสดใส ซึ่งเมื่ออินซองได้เห็น นัยน์ตาของเขาก็ทอประกายเศร้าอย่างปิดไม่อยู่

     

    มันคงหมดเวลาของพี่แล้วละ

     

    “...”   คยองซูเอียงคอสงสัย  เพราะเธอไม่เข้าใจคำพูดแปลกๆของอินซอง ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร

     

    พี่มีงานเยอะขึ้นมากน่ะ คงไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมคุณอาทั้งสองที่บ้านเธอเท่าไร  ยังไงพี่ก็ฝากขอโทษคุณอาท่านด้วยนะ

     

    ไม่เป็นไรหรอกคะ  คุณพ่อกับคุณแม่คงเข้าใจ คยองก็เข้าใจนะคะ  ก็พี่อินซองโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว งานก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา คยองนะโตขึ้นอยากเก่งเหมือนพี่ชายจังเลยคะ

     

    สายตาชื่นชมของคยองซูยามมองมาที่อินซอง ทำให้เขาต้องรีบหลบสายตาคู่นั้น  เขาหันหนีแววตาที่เป็นเพียงความชื่นชมของน้องที่มีต่อพี่ชาย

     

    พี่ขอตัวนะ   อินซองเดินปลีกตัวออกมา หลีกเลี่ยงสายตาที่เขาไม่เคยต้องการ  อินซองเดินตรงไปที่ลิฟต์ทันที ไม่มีหันหลังกลับมามองคยองซูเลยแม้แต่ครั้งเดียว

     

     

    อินซองเจ็บใจที่นางฟ้าองค์น้อยที่เขาคอยเฝ้าดูแลถูกช่วงชิงไปอยู่ในมือคนอื่น  และปีกน้อยๆนั้นกล้าแข็งพอที่จะโบยบินไป โดยลืมคนที่เคยประคองยามที่ปีกยังบอบบาง

     

    เจ็บใจที่เป็นได้แค่พี่ชายคนหนึ่ง

     

    และยิ่งกว่ารู้สึก ' เจ็บใจ ' คือเขารู้สึก ' เสียใจ '


     













    Talk

    100%
    ขอโทษนะฮับที่อัพช้ามาก
    แต่ช่วงที่หายไป นี่คืออ่านหนังสือสอบนะ
    ขอโทษฮับแต่ดาวจำเป็นจริงๆ
    ปล.เลิฟยูนะพี่ลู่ ไม่ว่ายังไงพี่ก็ยังเป็นพี่กวางคนสวยของดาวอยู่ดี


    35%
    รู้จัก โช อินซอง กันใช่ไหม...
    งั้น รู้จักพระเอกละครที่โด้ก็เล่นด้วยหรือป่าว
    ถ้าดาวเคยได้ดูกันสักนิด  ดาวก็จะเข้าใจว่าดาวต้องการจะสื่ออะไร...คิคิคิ


    50%
    พี่ฟานก็ไม่ธรรมดานะคิ
    ส่วนอินซองจะมาดีมาร้ายนั้น....?? หุหุ
    บอกได้แค่  Don't judge a book by its cover


    75%
    ทีแรกกะว่าจะร้อยเปอร์เลย แต่แบบ...ไม่ทันอ่าา
    ไม่มีข้อแก้ตัว  ดาวขอโทษจริงๆ   -/\-
    และที่สำคัญ สุขสันต์วันเกิดน้าาอี้ชิง #HappyYixingday




    #50 --- อ่าาา บางทีคนเราก็ลืมตัวกันได้อ่ะนะ อ่ะฮริ้ง 5555
    #51 --- พี่ฟานสู้ตายอยู่แว้ววว
    #52 --- เอ~ เธอใช่มั้ยที่มาเข้าฝันดาว
    #53 --- ทำไมถึงคิดว่าเป็นคยองเล่า  อ่านคอมเม้นข้างบนใช่มั้ย

    #54 --- โอย โย้ โย๋  ช่วงนี้อี้ชิงค่าตัวแพงค่ะ  อยู่กับพี่ฟานไปก่อนเน้อ
     

       

            
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×