ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมใจปรารถนา (มี E-book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 8

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 64


    บทที่ 8 

     

    ภัตตาคารที่ศุภลักษณ์ว่า ตั้งอยู่ใจริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเลยย่านสาทรไปเล็กน้อย โดยการนัดรับประทานอาหารรวมกันในครั้งนี้ทางเจ้าภาพได้อ้างเอาไว้ว่าเป็นการเลี้ยงรับคนทั้งสองเนื่องในโอกาสที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ทว่าในใจของทั้งภควัตรและมุกลิณญ์ต่างรู้ดีว่าเมื่อได้จังหวะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็คงต้องหาเรื่องเข้าประเด็นหมั้นหมายอีกจนได้

    แล้วก็เป็นไปตามคาด!

    เพราะทันทีที่รับประทานอาหารคาวเสร็จเรียบร้อยและกำลังรอพนักงานซึ่งทยอยนำของหวานมาเสิร์ฟ ศุภลักษณ์ที่หมายมาดว่าอยากจะได้มุกลิณญ์มาเป็นลูกสะใภ้ของตนเสียเหลือเกินจึงเปิดบทสนทนาโดยไม่รีรอ “ไหน ๆ พี่กับคุณสาก็ร่วมหุ้นทำธุรกิจร่วมกันแล้ว เรามาร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกันด้วยเลยดีไหมคะ”

    ในตอนแรกที่ได้ยินศุภลักษณ์พูดขึ้นอย่างนี้ มุกลิณญ์ยอมรับเลยว่าในใจของตนนั้นพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อเหลือบไปมองภควัตรที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง สีหน้าที่ดูซีดลงไปเล็กน้อยก็ทำให้ใจที่ฟูในตอนแรกแฟบลงไปมากเลยทีเดียว

    มาริสาเห็นท่าทีของบุตรสาวที่แลดูอย่างไรชอบกลก็ทำท่าเหมือนจะแย้ง หากทว่าศุภลักษณ์ที่พูดจาฉะฉานเหมือนเตรียมบทมาเป็นอย่างดีกลับแทรกขึ้นเสียก่อน “ฉันว่าดีนะคะคุณสา ถ้าเขาสองคนตกลงปลงใจกันจริงอย่างว่า โรงแรมแห่งใหม่นั่นน่ะฉันจะยกให้เป็นของรับไหว้ลูกสะใภ้เลยก็ได้ค่ะ ดีไหมคุณ”

    ประโยคสุดท้ายหันมาถามสามีที่นั่งอยู่ข้าง

    นพสิทธิ์มองหน้าภรรยาที่ยิ้มหน้าแป้นก่อนแล้วจึงมองเลยไปทางบุตรชายที่ค่อย ๆ วางช้อนลงจากนั้นจึงหยิบน้ำขึ้นมาดื่มด้วยความรู้สึกที่เห็นใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทนนั่งฟังผู้ใหญ่พูดเรื่องที่น่าอึดอัดใส่หูเช่นนี้ ครั้นจะหักหน้าภรรยาก็ใช่ที่คนเป็นสามีจึงทำได้เพียงแค่ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “อันนี้ก็ต้องแล้วแต่เขา”

    “แหมคุณคะ ยังจะต้องพูดอะไรอีก” ศุภลักษณ์ค้อนสามีที่ช่างขัดไปวงหนึ่ง แล้วหันมายิ้มร่ากับมาริสาพลางพูดต่อ “เด็กสองคนนี้เหมาะสมกันดีที่สุด คุณสาว่าไหมล่ะคะ”

    มุกลิณญ์สังเกตได้ว่ายิ่งศุภลักษณ์ยัดเยียดให้ลูกชายของเธอกับตนได้ลงเอยกันมากขึ้นเท่าไร ภควัตรก็ยิ่งแสดงความรู้สึกอึดอัดใจผ่านทางนัยน์ตาสีเข้มฉายชัดขึ้นเท่านั้น เธอเองที่รู้สึกเหมือนว่าตนเป็นสินค้าชิ้นหนึ่งแถมยังเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อทำเหมือนจำใจต้องรับซื้อไว้เพราะปฏิเสธเสียมิได้เพียงนั้นก็แทบจะอยากแทรกแผ่นดินหนีทันที

    สาวเจ้าจึงยื่นหน้าไปกระซิบกับมารดา “มุกขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะแม่”

    “จ้ะ” มาริสาพยักหน้าให้กับบุตรสาว แล้วจึงหันมาชวนคู่สนทนาเปลี่ยนเรื่อง “คุณศุคะ เรื่องนั้นค่อยคุยกันอีกทีดีกว่าค่ะ”

    “กะ...ก็ได้ค่ะ”

    แม้จะรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย ทว่าต่อหน้ามาริสาศุภลักษณ์ก็จำต้องบากหน้ายิ้มรับอย่างเสียมิได้ จนเมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้าน คนเป็นแม่ก็รีบรั้งบุตรชายตัวดีให้อยู่คุยกับตนก่อนทันที

    “ตาภีม อย่าเพิ่งไป”

    “ครับ”

    “นั่ง เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

    น้ำเสียงที่เด็ดขาดย่อมหมายความว่าภควัตรจะขัดไม่ได้ เขาจึงเดินกลับมานั่งที่โซฟาข้างมารดาอย่างเชื่องช้า ส่วนศุภลักษณ์เมื่อตั้งท่าดีแล้วก็เข้าประเด็นในทันทีเช่นกัน

    “ทำไมถึงทำกับแม่แบบนี้ตาภีม”

    ทำแบบนี้...ภควัตรย่อมรู้ดีว่ามารดาหมายถึงอะไร ดังนั้นเมื่อสองฝ่ายต่างก็เข้าใจตรงกัน บุตรชายจึงตัดสินใจพูดออกไปตรง ๆ “ก็ผมไม่ได้อยากหมั้นกับมุกนี่ครับ”

    “ทำไมล่ะลูก”

    “ผมไม่ได้รักมุกแบบนั้น” และเมื่อเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะและน่าจะถึงเวลาที่ต้องทำความเข้าใจกับมารดาให้เข้าใจตรงกันเสียที ภควัตรที่สูดหายใจเข้าไปจนเต็มปอดจึงว่า “ผมกับมุกเราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันครับคุณแม่ แล้วก็...ทุกอย่างที่เราทำให้กัน ก็คือการเกื้อกูลกันในฐานะพี่น้องควรจะเอื้อเฟื้อต่อกันเพียงเท่านั้น ไม่มีจุดประสงค์อย่าอื่น”

    แม้ว่าบุตรชายจะตอบคำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น จริงจัง ทว่าแววตาที่ยังคงความอาลัยอาวรณ์ต่อใครอีกคนอย่างสุดซึ้งก็ทำให้มารดาตั้งข้อสงสัยขึ้นมาได้อีกจนได้ “ตกลงแกไม่ได้คิดอะไรกับหนูมุกจริง ๆ หรือเพราะว่าแกยังลืมคนที่ชื่อว่าโรสิตาไม่ได้กันแน่ตาภีม!”

     

    ความเคลือบแคลงใจเป็นหนทางสู่การค้นหาความกระจ่าง ภควัตรเองก็เช่นกันเมื่อเขาเริ่มอยากรู้สาเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน รวมถึงเกิดความสงสัยว่าเด็กหญิงคนที่มุกลิณญ์รับสอนพิเศษคนนั้นใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนหรือไม่

    ฉะนั้น วันรุ่งขึ้นเขาจึงขับรถมุ่งตรงไปที่บ้านของโรสิตาแต่เช้าตรู่โดยไม่ลังเลใจ!

    “อันนา หนูมานี่จ้ะลูก” พนิตาร้องบอกหลานสาวที่กำลังวิ่งไปมาด้วยสุ้มเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนยิ่ง ทั้งยังค่อย ๆ บอก “พอพระมาหนูต้องอยู่นิ่ง ๆ อย่าเดินไปมานะจ๊ะ เดี๋ยวยายจะกุมมือหนูใส่บาตร เสร็จแล้วจะได้รับพรพร้อมกัน”

    “ค่ะ”

    ภควัตรทอดมองเด็กน้อยผู้มีใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วก็อดสะดุ้งไม่ได้ ก็…อลีนาช่างหน้าตาละม้ายกันกับมารดาของเขาเหลือเกิน และคนที่คิดเข้าข้างตัวเองไปเกินครึ่งแล้วว่าตนคือพ่อก็ฉงน ด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันตนครั้งก่อนหน้าอย่างการได้พบกันที่ห้างสรรพสินค้าครั้งก่อน รวมไปถึงอะไรก็ตามที่ดลใจให้มุกลิณญ์รับสอนพิเศษเด็กคนนี้

    ไม่มีความบังเอิญ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วด้วยตั้งใจ!

    แล้วภควัตรที่สาดสายตามองคนสองสามคนซึ่งกำลังนั่งรับพรจากพระสงฆ์สามรูปร่วมกันก็ยกนิ้วขึ้นมานับ นี่เขาเฉียดเจอกับโรสิตามาแล้วกี่ครั้งหนา

    ช่างเถอะ…จะเคยเฉียดมาแล้วกี่ครั้งก็ช่าง ทว่าครั้งนี้เขาจะไม่มีทางปล่อยให้เธอเดินหนีเขาไปไหนได้อีก! แล้วเมื่อตัดสินใจได้อย่างนั้นแล้วภควัตรที่คอยให้คุณยายบุญเรือนกับพนิตาเดินเข้าบ้านไปก่อนก็รีบลงจากรถ พลางเดินเข้าไปหาโรสิตาทันที

    “มา…ผมช่วย”

    เสียงนุ่มทุ้มทำให้คนที่กำลังเก็บผ้าปูโต๊ะสะดุ้งเล็กน้อย ครั้นหันกลับมามองเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ยื่นมือมาแย่งถาดทรงเหลี่ยมไปจากการครอบครองของเธอเสียแล้ว โรสิตาไม่ทันตั้งรับกับอะไรทั้งสิ้นจึงได้แต่เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตรงนั้นเอง

    “สวัสดีค่ะพี่ชายใจดี”

    จนเสียงเล็ก ๆ ของบุตรสาวดังขึ้น โรสิตาจึงรีบดึงตัวเล็กมากอดไว้แล้วถามเสียงหลงด้วยความประหลาดใจ

    “อันนา รู้จักเขาเหรอลูก?”

    เด็กหญิงตกใจตามเสียงของมารดาเลยแม้แต่น้อย ทั้งเจ้าตัวยังอธิบายอย่างเด็กอารมณ์ดีอีก “รู้จักค่ะ พี่คนนี้เคยช่วยอันนาวันนั้น”

    “เอ่อ…”

    ขณะที่โรสิตายังอึกอักพูดอะไรไม่ถูก เห็นอย่างนั้นภควัตรก็ชิงถามแทรก “ชื่ออันนาเหรอครับ ชื่อเพราะจัง”

    “ขอบคุณค่ะ คุณแม่ตั้งให้อันนาค่ะ” แล้วเด็กน้อยที่ช่างเจรจาผู้เห็นว่าพี่ชายใจดีคงไม่มีพิษมีภัยอะไรก็ถามต่อ “แล้วพี่ชายชื่ออะไรคะ”

    เมื่อเห็นว่าภควัตรเดินเข้ามาใกล้ โรสิตาก็รีบดึงแขนบุตรสาวให้ไปหลบอยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว แถมยังดักคอให้ “อันนา หนูไม่ควรไว้ใจคนแปลกหน้านะลูก”

    “แต่ว่า…”

    “เขาจะชื่ออะไรมันก็เรื่องของเขา” จากนั้นโรสิตาที่คิดได้ว่าของพวกนี้เดี๋ยวค่อยออกมาเก็บทีหลังก็ได้จึงกำข้อมือบุตรสาวของตนแน่น และหากภควัตรไม่รีบฉวยต้นแขนของเธอไว้ได้ทันโรสิตาก็คงพาอลีนาหนีเข้าบ้านไปแล้ว

    “นี่คุณ!”

    โรสิตาชักสีหน้าใส่ด้วยความไม่พอใจหากภควัตรกลับไม่สนใจมากไปกว่า “พี่ชื่อภีมครับ” เขาก้มลงบอกกับเด็กหญิงอลีนาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าที่แสนคุ้นเคยอีกฝ่ายก็ทำเมินใส่ ประโยคต่อมาจึงถูกขานขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวปุยนุ่น “แม่ของหนูก็รู้จัก”

    ภายในดวงตาสีเข้ม โรสตาเห็นแววตัดพ้อฉายเด่น เธอที่ก็คิดถึงอีกฝ่ายอยู่ทุกชั่วขณะจิตตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจแต่ก็จำต้องซ่อนงำเนื่องจากคำสัญญาเมื่อห้าปีก่อน กับรู้อยู่แก่ใจดีว่าตอนนี้กับตอนนั้นไม่มีอะไรเหมือนเก่า รวมถึงรู้ขอบข่ายแห่งสิทธิ์ของตนดีและคงไม่อาจเรียกร้องหรือขอคืนได้ในเมื่อเป็นเธอที่ตัดสินใจเดินออกมาเองจึงสะบัดแขนของตนจนหลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ทั้งยังหลบสายตาพลางปฏิเสธกร้าว

    “ไม่รู้จัก!” น้ำเสียงนั้นแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยวยิ่ง “ฉันว่าคุณจำคนผิดแล้วล่ะค่ะคุณภควัตร”

    “ไม่หรอก” เพราะเธอได้บอกแล้ว “ถ้าคุณไม่รู้จักผมมาก่อนคุณจะเรียกชื่อจริงของผมถูกได้ไงโรสิตา”

    นั่นทำให้โรสิตาอึ้งไปชั่วครู่ แล้วเธอก็แถไปตามเรื่อง “คุณมุกบอกฉัน”

    โกหกชัด ๆ มุกลิณญ์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาและเธอเคยคบหาดูใจกัน แล้วเธอคนนั้นจะคุยถึงเขาให้โรสิตาฟังทำไม?

    แล้วคนเคยรักก็แกล้งดักคอให้ “นี่คุณยังโกหกไม่เนียนเหมือนเดิมเลยนะโรสิตา”

    “ฉันไปโกหกอะไรคุณ?”

    “ถ้างั้นคุณก็บอกมา…ว่า…” ในน้ำเสียงนั้นมีความร้าวรานแฝงอยู่ ประโยคต่อมาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ตอนนั้นคุณทิ้งผมไปทำไมโรส?”

    ที่เธอทิ้งเขาไป ก็เพื่ออนาคตของเขาทั้งสิ้น แต่ทว่า…โรสิตาจะพูดได้หรือ

    เธอที่เหมือนมีน้ำระรอกใหญ่ท่วมอยู่เต็มปากเริ่มอึกอัก ก่อนจะหันไปมองบุตรสาวตัวน้อยที่ยังคงง่วนอยู่กับดอกเฟื่องฟ้าตรงหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามารดาของตัวเองกับพี่ชายใจดีกำลังถกเถียงกันเรื่องอะไร แล้วโรสิตาก็จะปั้นเรื่องหลอกตาใส ๆ “เพราะว่าฉันไม่รักคุณแล้วไง คนอะไรแม่คุณอยากให้ไปเรียนต่อก็ไม่ยอมไป ไร้อนาคตใครจะอยากยุ่งด้วย!”

    คำด่าตอกหน้านั้นทำให้ภควัตรมีโมโหอยู่ชั่วขณะจิตหนึ่ง เขาไม่ไปไหนไม่ใช่เพราะห่วงเธอหรอกหรือ แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีว่าในประโยคนั้นมีคำว่า 'แม่คุณ' อยู่ด้วย คนถูกด่าให้ก็ได้ฉุกคิดขึ้นมาทันที

    หรือว่า “แม่ผมพูดอะไรกับคุณ?”

    “แม่คุณจะพูดอะไรกับฉันได้ แล้วคุณคิดว่าแม่คุณจะพูดอะไรแล้วฉันจะฟังงั้นเหรอ? จะบอกให้นะว่าที่ฉันเดินออกมาจากชีวิตของคุณน่ะเป็นเพราะว่าฉันตาสว่างเองต่างหากล่ะ!”

    ภควัตรได้ฟังแล้วก็อึ้งไปในบัดดล ส่วนเด็กหญิงอลีนาที่รู้สึกถูกชะตากับคนที่สนทนากับมารดาเป็นพิเศษก็เด็ดดอกเฟื่องฟ้ามายื่นให้ อีกฝ่ายก็รับจากมืออย่างว่าง่าย

    “แล้วน้องอันนาล่ะ ใช่ลูกของผมหรือเปล่า”

    คำถามนั้นทำให้มือที่กำลังอุ้มบุตรสาวเข้าบ้านชะงัก เธอทอดมองหน้าของบุตรสาวที่เหมือนไปทางฝั่งเขาเสียมากกว่าตนอีกด้วยความรู้สึกประหลาด เนิ่นนานจนมือน้อย ๆ สะกิด คนเป็นแม่ที่รู้สึกตัวขึ้นมาในตอนนั้นเองจึงยกมือขึ้นลูบหน้าน้อย ๆ ด้วยความรักใคร่แล้วว่า “ไม่ใช่!”

    “โถ่โรส…”

    “แล้วคุณก็ควรกลับไปได้แล้ว ฉันมีงานต้องทำ”

    “ถ้างั้นให้ผมเข้าไปส่งคุณในบ้านก่อนได้ไหมครับ”

    ภควัตรต่อรองอย่างมีความหวัง หากแต่โรสิตาที่ยังทำใจให้แข็งไม่ได้มากพอก็รีบปฏิเสธทันควัน “อย่าเลยค่ะ คุณกลับไปเถอะ”

    ลงโรสิตาได้เอ่ยปากไล่เช่นนี้แล้วภควัตรที่รู้ดีที่สุดว่าคำพูดของอีกฝ่ายคือ 'คำขาด' ด้วยในเวลาเดียวกันก็ไม่อาจจะทนรั้งอยู่ต่อไปให้เรื่องมันยิ่งแย่ไปกันใหญ่ได้ คิดได้เช่นนั้นแล้วบนหน้าหล่อคมจึงปรากฏรอยยิ้มละมุนฉาบฉาย

    มีโอกาสคงต้องได้เจอกันอีก แค่ตอนนี้คงต้องถอยไปตั้งหลักก่อน

    “พี่ภีมกลับก่อนนะครับอันนา”

    บอก...เหมือนจะให้มารดาของเจ้าของชื่อได้ยินด้วย และเมื่อพูดจบจึงหันหลังเดินออกไปตามทางเดิมที่ย่างกรายเข้ามาโดยไม่ดื้อดึง

    ดูเถอะ! ถึงแม้ตนจะออกปากไล่ภควัตรให้ไปเองทั้งยังทำเหมือนไม่ไยดี แต่ทำไมเมื่ออีกฝ่ายกำลังเคลื่อนรถออกไปจริง ๆ ใจของโรสิตากลับเหมือนกำลังจะหลุดลอยตามเข้าไปด้วยก็ไม่รู้

    จนเจ้าตัวเดินจูงมือบุตรสาวเข้ามาในรั้ว พนิตาที่ได้ยินคนคุยอะไรกันแจ้ว ๆ ทว่ากลับจับความไม่ได้จึงถามขึ้น

    “โรส แม่ได้ยินเหมือนเราคุยกับใครหรือเปล่าลูก”

    เมื่อมารดาถามขึ้นเพราะเป็นห่วง คนที่ตั้งใจจะปดตั้งแต่แรกจึงพยักหน้ายินยอมให้บุตรสาวตัวน้อยไปเล่นกับเจ้าสโนว์ที่วิ่งตามพนิตาออกมาอย่างไม่ต้องเสียเวลาอ้อน โรสิตาปรายตามองดูอยู่จนอลีนาเดินอุ้มแมวขาวขาสั้นไปไกลแล้ว เธอจึงบอกกับมารดาแบบส่ง ๆ

    “คนมาถามหาบ้านน่ะค่ะแม่ สงสัยจะหลง” แล้วคนเป็นลูกก็เบี่ยงประเด็นทันที “เราเข้าบ้านกันเถอะค่ะ”

     

    เมื่อภควัตรกลับไปถึงที่ทำงานก็เอาแต่นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องระหว่างตนกับโรสิตาอยู่พักใหญ่ ด้วยวันนี้พอได้พิจารณาดูหน้าตาของเด็กหญิงอลีนาอย่างตั้งใจ แล้วก็พลางเหลือบดูรูปของมารดาที่ตั้งอยู่ระดับที่เยื้องกับสายตาที่มองตรงออกไปนอกหน้าต่าง เจ้าตัวก็เห็นแจ้งขึ้นมาตอนนี้เอง

    “คุณแม่…”

    ใช่…เด็กหญิงอลีนามิได้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับโรสิตาหรือแม้แต่ค่อนมาทางภควัตรที่ละม้ายไปทางบิดาของเขา หากแต่ดวงหน้านั้นกลับเหมือนไปทางศุภลักษณ์ถึงสามในห้าส่วน!

    “อันนา…เรื่องคืนนั้น!”

    นี่ยิ่งทำให้ภควัตรกลัดกลุ้มจนกลางศีรษะร้อนผ่าวและตื้อตึงลามมาถึงท้ายทอยและหน้าผาก ด้วยหากเด็กหญิงตัวน้อยเป็นลูกของโรสิตากับเขาจริงนี่ก็เท่ากับว่าเขาทิ้งลูกทิ้งเมียไปเป็นเวลาถึงห้าปีเต็มเชียวนะ

    นี่เขาทำอะไรลงไป…ภควัตรพร่ำถามตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ

    ไม่ได้ ปล่อยไว้แบบนี้เห็นทีไม่ดีแน่ เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

    เมื่อมานั่งทบทวนดูอีกทีก็พบว่าคงมีเพียงมุกลิณญ์คนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นสะพานทอดตนไปหาโรสิตาได้ ภควัตรก็รีบโทร.หาเจ้าหล่อนทันที

    “เอาโกโก้ปั่นค่ะ” แล้วมุกลิณญ์ก็หันมาถามปรัชวิทย์ที่อาสาเดินมาเป็นเพื่อน “คุณล่ะคะเอาอะไรดี?”

    “อ้อ…”

    ทันทีที่ปรัชวิทย์ปริปากจะตอบ เสียงโทรศัพท์ของมุกลิณญ์ก็ดังขึ้นเสียก่อน สาวเจ้าจึงหันมาบอก “เดี๋ยวมานะคะ” แล้วเธอก็เดินออกจากร้านไป

    คำขอที่ว่า “ขอให้พี่ไปรับมุกที่บ้านคุณโรสิตานะครับ” ทำให้ใจของคนฟังพองโตไม่น้อย และด้วยทั้งคู่ไม่เคยมีความลับต่อกันมาก่อน มุกลิณญ์ที่ไม่ได้มีความหวาดระแวงในตัวของภควัตรเลยแม้แต่น้อยก็ตอบรับทันที และแม้จะวางสายจากเขาไปแล้วเจ้าตัวก็ยังคงยิ้มกริ่ม จนปรัชวิทย์เองก็อดหลากใจไม่ได้

    แต่ด้วยมารยาทเขาก็เลือกที่จะนิ่งไปเสีย และเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศจึงชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อกลบเกลื่อน

     

    การที่มีภควัตรมานั่งรอมุกลิณญ์สอนบุตรสาวของตนภายใต้กรอบเวลาที่ยาวนานถึงสามชั่วโมงได้สร้างความอึดอัดใจให้แก่โรสิตาได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ทว่าเธอก็แกล้งทำเมินเสีย

    ทำอย่างเขาเป็นผักเป็นหญ้าต้นหนึ่งจะได้ไม่เครียด!

    ส่วนภควัตรเองเมื่อเห็นว่าโรสตาไม่เอ่ยปากไล่เหมือนอย่างเช่นที่เจอกันเมื่อสองครั้งก่อนหน้าก็ได้ใจแอบเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในโซนของร้านขนมที่มีเพียงรั้วไม้เตี้ย ๆ กั้นอย่างไม่รีรอ โดยตัวร้านเป็นอาคารไม้สีเบจชั้นเดียว มีโต๊ะสำหรับนั่งรับประทานที่ร้านทั้งทางด้านนอกซึ่งตั้งเรียงกันอยู่ตามระเบียงข้าง ๆ กับประตูทางเข้าด้านละสามชุด กับด้านในที่เป็นห้องแอร์นั้นจะมีจำนวนชุดเก้าอี้หลายตัวกว่า

    และทันทีที่ย่างกรายเข้าไปถึงข้างในเขาก็กวาดตาสำรวจโดยรอบอยู่ชั่วครู่หนึ่ง

    “เชิญนั่งก่อนค่ะ”

    คนที่รู้ได้ถึงการมาใหม่ของใครบางคนหากทว่ายังไม่ทันได้หันมามองว่าคนคนนั้นคือใครรีบเอ่ยต้อนรับลูกค้าด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ไม่เพียงเท่านั้นเจ้าตัวยังหยิบบัตรรายการใบหนึ่งเตรียมจะยื่นให้ แต่ทันทีที่เห็นเต็มสองตาว่าคนที่ตนกำลังสนทนาอยู่ด้วยนั้นคือใครสาวเจ้าก็อึ้งและไม่มีแก่ใจจะระวังใด ๆ ทั้งสิ้นก็ทำสิ่งที่อยู่ในมือร่วงพื้นทันที

    “คุณภีม…”

    โรสิตาที่รู้สึกแขนขาอ่อนแรงจนเซถอยหลังไปหลายก้าว แต่ก่อนที่เรือนร่างแบบบางจะเสียหลักและหงายไปชนเข้ากับโต๊ะที่อยู่ด้านข้า คนตัวใหญ่กว่าก็รีบกระโดดตามพลางใช้วงแขนของเขาโอบเอวของอีกฝ่ายแล้วดึงร่างนั้นมาแนบซบอกกว้างโดยไม่รีรอ

    ภควัตรก้มลงมองหน้าสวยของโรสิตาที่ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วย สายตาสองคู่จึงทอดมาประสานกันลึกซึ้ง ทั้งยังฉายแววแห่งความห่วงหาอาทรที่ยังมีให้กันอย่างเต็มเปี่ยมโดยพร้อมเพรียง และจังหวะนั้นเองที่ภควัตรกระซิบถาม

    “ทำไมไม่เรียกพี่ว่าพี่เหมือนเมื่อก่อนล่ะครับโรส”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×