คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7
บทที่ 7
แม้ว่าวันนี้ท้องฟ้าโปร่งโล่ง เมฆขาวบนฟ้าจับตัวกันเป็นก้อนลอยสูง แต่คนที่ลืมร่มไม่ว่าฝนตกฟ้าร้องหรือในวันที่แดดจ้าก็ยืนยันว่าจะลืมอยู่ดีก็ยังคงเดินออกจากอาคารไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ด้านคนที่เดินตามมาลิ่ว ๆ เสียอีกที่ต้องควานหาร่มในกระเป๋าเป็นพัลวันเพื่อกางให้
“คุณมุกลิณญ์ครับ”
มุกลิณญ์หันตามเสียงนั้น เมื่อเห็นว่าเป็นปรัชวิทย์ตนจึงยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้าให้เป็นการทักทายกลับ
เห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นมิตรด้วยมากขึ้นปรัชวิทย์จึงเดินเข้ามาประชิดกายด้วยความระมัดระวัง แต่แปลกที่ครั้งนี้มุกลิณญ์ไม่หนี เธอยอมให้เขาเลื่อนร่มในมือเข้ามาหาตัวเพื่อบดบังไม่ให้แสงแดดตกลงมากระทบกับศีรษะโดยตรงอย่างว่าง่าย ทั้งยังขยับกายเข้าไปเพื่อที่ปรัชวิทย์จะได้อยู่ในร่มนั้นด้วย
นั่นทำให้ใจของคนที่หยิบยื่นน้ำใจให้ก่อนไหวติงไม่น้อยเลยทีเดียว
“ขอบคุณค่ะ”
แม้จะเป็นถ้อยคำสั้น ๆ แต่น้ำเสียงใส ๆ นั้นกลับทำให้ดวงหน้าหล่อเหลาแลดูสะอาดสะอ้านของคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉาบยิ้มออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้
เห็นอย่างนั้น มุกลิณญ์ที่อดแปลกใจไม่ได้จึงแกล้งถาม “ยิ้มอะไรคะ หรือว่าคุณชอบแดด”
“อ้อ...” ปรัชวิทย์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าลืมเก็บทรงกำขาร่มแน่น ก่อนจะหาเรื่องแชเชือนถามไปอีกอย่าง “คุณมุกลิณญ์จะไปไหนเหรอครับ”
“จะไปซื้อหนังสือค่ะ”
“แล้วนี่คุณจะไปยังไงหรือครับ”
“ขึ้นรถไฟฟ้าไปค่ะ”
“งั้นเราไปทางเดียวกันครับ”
ทางเดียวกันอีกแล้ว มุกลิณญ์นึกหลากใจหากแต่กลับไม่พูดอะไร ส่วนปรัชวิทย์นั้นกลับนึกขอบคุณความบังเอิญอยู่ในใจ เพราะว่าหากไม่ได้มันคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ คงไม่มีทางเข้าใจในเหตุการณ์ครั้งแรกที่พบกันง่าย ๆ แน่
แม้จะเห็นเพียงด้านหลังแต่ภควัตรที่อยู่บนรถยุโรปสีดำก็มั่นใจว่าคนที่เดินเคียงมากับผู้ชายอีกคนทั้งยังมาดดีเสียด้วยคือน้องสาวที่เขาหวงแหนเป็นอย่างยิ่งไม่ผิดแน่ เขาจึงรีบเคลื่อนรถเข้าไปใกล้ทันทีพลางร้องทัก
“มุก!”
เสียงนุ่มทุ้มที่ทักขึ้นเพรียกให้คนทั้งสองหันกลับมาพร้อมกัน และขณะที่ปรัชวิทย์ยังแปลกใจว่าคนมาใหม่คือใคร มุกลิณญ์กลับร้องเรียกชื่อชายผู้นี้ด้วยความยินดี “พี่ภีม”
รอยยิ้มพิมพ์ใจที่ฉาบทาลงบนดวงหน้าสวยพริ้งนั้นมากพอที่จะทำให้ปรัชวิทย์นึกฉงนขึ้นมาได้ว่าผู้มาใหม่นี้คงสำคัญสำหรับจิตใจของมุกลิณญ์มากทีเดียว ขณะที่คนมาใหม่ก็ทอดมองเขาที่ยืนอยู่ก่อนพร้อมกับคำถามที่ฉายผ่านมาทางแววตาด้วยเช่นกัน
จนเมื่อมุกลิณญ์ที่เห็นถึงความผิดปกติในสายตาของสองหนุ่มที่ทอดมองกันหันมองพวกเขาคนละทีแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถาม ทั้งคู่จึงทำมองไปคนละทางเพื่อแก้เก้อ
แล้วภควัตรก็คลี่ยิ้ม พลางเอ่ยถาม “นี่มุกจะไปไหนเหรอครับ?”
“มุกจะไปซื้อหนังสือที่สยามน่ะค่ะ” แล้วคนพูดก็เปลี่ยนใจทันควัน “แต่ว่าเอาไว้วันหลังก็ได้ค่ะมุกยังไม่รีบใช้”
“อ้อ...”
“โดดงานอีกแล้วนะคะพี่ภีมเนี่ย” เมื่อเห็นว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของอีกฝ่าย มุกลิณญ์แกล้งหยอก “ว่าแต่พี่ภีมมาหามุกมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
ส่วนคนที่ถูกเข้าใจผิดก็รีบแก้ตัวทันที “เปล่านะครับมุก พอดีคุณแม่ให้พี่เอาของมาให้คุณน้าพอดีน่ะพี่เลยมาแวะรับมุกก่อนน่ะครับ”
“แล้วรู้ได้ไงคะว่าวันนี้มุกจะเลิกงานเร็ว”
“ไม่รู้ครับเดาเอา” ภควัตรยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ทั้งยังเหลือบมองดูปฏิกิริยาของชายที่เดินเคียงมากับมุกลิณญ์แวบหนึ่งหากอีกฝ่ายกลับยังคงวางเฉย เห็นอย่างนั้นเขาจึงแกล้งกระเซ้า “เอ...หรือเป็นเพราะว่าใจเราตรงกัน พี่เลยบังเอิญเลิกงานเร็ววันเดียวกับมุกพอดี”
มุกลิณญ์ยิ้มชอบใจ ซึ่งอากัปกิริยาเหล่านั้นจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เกินไปกว่าพี่ชายกับน้องสาวทว่านั่นกลับทำให้ปรัชวิทย์เผลอคิดเองเออเองไปไกลแล้วจำต้องตวัดสายตาหนีไปทางอื่น
แต่กระนั้น ก่อนจะก้าวขึ้นรถของภควัตร มุกลิณญ์ยังหันมาทัก “คุณ”
เสียงนั้นทำให้ปรัชวิทย์หยุดฝีเท้า เขาฝืนยิ้มน้อย ๆ ขณะที่มุกลิณญ์ยังพูดแจ้ว “ขอบคุณมากนะคะ แล้วก็กลับบ้านดี ๆ ล่ะคะ”
ช่วงบ่าย รามิลได้แวะเข้าไปที่ร้านตามที่ได้นัดหมายเอาไว้กับโรสิตาในตอนแรก ทว่าเข้าผิดทาง...เพราะแทนที่ชายหนุ่มจะเดินเข้าประตูที่อยู่ตรงหน้าเขากลับเดินอ้อมไปอีกทางจึงทำให้โผล่ที่ลานกว้างหน้าบ้านไม้สองชั้นแทน และเมื่อเข้าไปถึงก็พบว่ามีเพียงเด็กหญิงอลีนาวิ่งเล่นอยู่เพียงคนเดียว รามิลเห็นอย่างนั้นจึงกวักมือเรียก
“หนูครับ มานี่หน่อยครับ”
เด็กหญิงตัวน้อยเมื่อได้ยินเสียงนั้นก็ชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางของเล่นในมือแล้วจึงเดินเข้าไปหาคนมาใหม่พร้อมกับยกมือไหว้ด้วยความนบนอบ
“คุณลุงมาหาใครคะ”
“อ้อ” แล้วคนที่ไม่ยอมแก่ก็เปลี่ยนสรรพนามแทนตนเสร็จสรรพ “น้ามาหาคุณโรสิตาครับ”
“งั้นรอแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวอันนาไปบอกให้ค่ะ”
เด็กหญิงอลีนาหายเข้าไปภายในบ้านพักหนึ่งแล้วจึงกลับมาอีกครั้งโดยมีโรสิตาเดินจูงมืออยู่ด้วยไม่ห่าง ซึ่งภาพนี้ทำให้รามิลสงสัยเล็กน้อยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เกี่ยวข้องกับสาวเจ้าบ้านอย่างไรบ้าง เขาจึงเอียงหน้ามองคนตัวเล็กแต่ก็ไม่กล้าถาม จนโรสิตาจับสังเกตได้จึงทักขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” แล้วโรสิตาก็ก้มตัวลงถามบุตรสาวตัวน้อยอย่างใจเย็น “อันนาหนูไหว้ลุงเขาหรือยังลูก”
“ไหว้แล้วค่ะ”
แล้วรามิลก็เผลอยิ้มให้กับดวงหน้าน้อย ๆ ที่ยิ้มแป้นพลางผายมือไปทางเด็กหญิง “ไม่ทราบว่าน้องคนนี้เป็น...”
นั่นทำให้โรสิตาทอดสายตามาทางเขาทันที เธอรู้ดีว่าคนตรงหน้าคงอยากจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเด็กหญิงตัวน้อยเพื่อ...ประกอบการตัดสินใจบางอย่าง
ได้...ถ้านี่คือโอกาสที่จะพิสูจน์ความจริงใจให้อีกฝ่ายได้เห็น โรสิตาก็เลือกที่จะตอบคำถามของอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาที่สุด “อันนาเป็นลูกของโรสค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้รามิลอึ้งไปพักหนึ่ง ครั้นเมื่อตั้งรับได้บนหน้าหล่อจึงเผยรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมคำชมออกจากปาก “น่ารักจังเลยนะครับ”
“ถือเป็นโชคดีของโรสค่ะที่แกไม่ดื้อ ไม่กวนใจเลยบอกอะไรก็ฟัง”
โรสิตาเดินเล่าไปด้วยขณะที่เดินนำแขกคนใหม่เข้ามาที่ห้องรับแขกซึ่งมีคุณยายบุญเรือนนั่งอยู่ก่อน การมาเยือนของรามิลทำให้คุณยายอดนึกประหลาดใจไม่ได้ จนเมื่อโรสิตาล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังนั่นแหละผู้ที่มากวัยสุดในบ้านจึงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจได้ จากนั้นทั้งสองก็คุยกันอย่างถูกคอ จนเมื่อรามิลจะลากลับผู้มากวัยสุดยังว่า
“วันหลังมาอีกนะคุณ เดี๋ยวยายจะทำขนมไว้เลี้ยง”
รามิลหันไปยิ้มให้โรสิตาที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันกับตนนัก ก่อนจะก้มลงมองเด็กหญิงอลีนาที่เกาะเอวมารดาอยู่ข้าง ๆ “ได้สิครับคุณยาย ถ้าคุณโรสไม่ว่าอะไรผมขอพาน้องอันนาไปเที่ยวที่คอมมูนิตี้มอลล์ของผมด้วยนะครับ”
โรสิตาเพียงยิ้มรับ ทว่าคนที่ดีใจยกใหญ่และมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งดูไม่ค่อยไว้ใจคนที่ทำทีจะมาตีสนิทกับมารดาของตนในตอนแรกกลับเป็นเด็กหญิงอลีนาที่เมื่อฟังรามิลพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองโรสิตาอย่างเว้าวอนพลางพูดรบเร้า “คุณแม่พาอันนาไปเล่นที่บ้านลุงรามิลได้ไหมคะ”
“ได้สิจ๊ะ”
ได้...คือได้จริง ๆ และถึงแม้ว่าในใจของโรสิตาจะไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น แต่ว่านั่นกลับทำให้คนชวนรู้สึกอิ่มเอมใจได้มากทีเดียว
เพราะน้ำพริกปูที่ศุภลักษณ์ฝากมาให้สร้างความพอใจแก่มาริสาอยู่ไม่น้อย มารดาจึงทอดมองบุตรสาวเพียงคนเดียวที่รับประทานอาหารเพียงไม่กี่คำก็รามือไปสนใจผลไม้ต่อแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทักขึ้น
“ไม่อร่อยเหรอจ๊ะ”
“คะ?”
มุกลิณญ์หันมาหามารดาที่เลิกคิ้วถามอย่างหลากใจ เธอจึงยิ้มบาง ๆ แล้วจึงอ้างไปตามเรื่อง “ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่มุกว่ามันเผ็ดไปน่ะค่ะ”
ว่าแล้วมาริสาก็ตักมาชิมอีกคำหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าลิ้นของตนรับรสได้ในระดับมาตรฐานเดียวกันกับมุกลิณญ์หรือไม่ พร้อมกับลงความเห็น “ก็ไม่นี่จ๊ะ” จากนั้นมารดาก็สังเกตอาการของบุตรสาวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ครั้นนึกได้ว่าคงเดาได้ไม่ผิดแน่เธอจึงถามกลับ “หรือหนูงอนอะไรพี่ภีม?”
ก็ไม่เชิง มุกลิณญ์แค่รู้สึกแปลก ๆ เนื่องจากว่าเมื่อช่วงบ่ายแก่ภควัตรแวะไปรับตนที่มหาวิทยาลัย เขาชวนคุยอะไรตั้งมากมายซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของตนเองเสียทั้งสิ้น ทั้งเจ้าตัวยังบอกว่าเธอคือคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจอีก
มุกลิณญ์เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า “คนที่คุยด้วยแล้วสบายใจนี่คืออะไรคะแม่”
เมื่อถูกบุตรสาวสุดรักถามออกมาแบบนั้น มาริสาที่ไม่ได้เฉลียวใจใด ๆ ก็ตอบไปตามที่คิด “ก็คือคนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องปิดบังกันเหมือนพ่อของหนูกับแม่ไงจ๊ะ”
นี่เองทำให้มุกลิณญ์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อย เธอรินน้ำให้มารดาที่ก็อิ่มข้าวพอดี ส่วนมาริสาเมื่อวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะแล้วก็นึกเรื่องจะพูดขึ้นได้อีกหนึ่งอย่าง คนเป็นแม่จึงยื่นมือมากุมบุตรสาวหลวม ๆ แล้วว่า
“หนู วันอาทิตย์ช่วงบ่ายคุณป้าศุภลักษณ์เขาจะชวนเราไปร่วมรับประทานอาหารด้วย หนูมีสอนเด็กตอนเช้าใช่ไหมถ้าไงเดี๋ยวตอนเที่ยง ๆ แม่ให้พี่ภีมแวะไปรับนะลูก”
แม้ว่ามารดาจะพูดอย่างนั้นด้วยน่าจะเตี๊ยมกับทางฝ่ายของศุภลักษณ์เรียบร้อยแล้ว แต่มุกลิณญ์ก็กลับไม่รู้สึกดีใจเท่าที่ควรจะเป็นโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ทราบสาเหตุ แล้วยิ่งเมื่อคิดไปถึงว่าหัวข้อสนทนาหลัก ๆ แล้วคืออะไร ในใจของเธอก็ยิ่งหนักอื้ออย่างบอกไม่ถูก
แต่กระนั้นมุกลิณญ์ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับไปตามเรื่อง “งั้นก็ได้ค่ะ”
แม้จะเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง แถมแต่ละครั้งก็เป็นการเจอกันเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ทว่าด้วยความที่เด็กหญิงอลีนาเป็นเด็กที่ว่าง่ายทั้งยังมีความนอบน้อมเป็นอย่างมากรวมถึงฉลาดและแสนรู้เกินกว่าเด็กในช่วงวัยเดียวกันกับที่ตนเคยเจอ นี่เองที่ทำให้มุกลิณญ์รู้สึกถูกชะตาและเอื้อเอ็นดูลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอคนนี้มากเป็นพิเศษ
และด้วยอนิสงส์ของความรักความใส่ใจที่มุกลิณญ์มีต่อเด็กหญิงตัวน้อยก็พลอยทำให้ทุกคนในครอบครัวพากับเอ็นดูเธอไปตาม ๆ กันด้วย โดยเฉพาะคุณยายบุญเรือนเองที่เมื่อรู้ว่าวันนี้มุกลิณญ์มีธุระทำให้อยู่คุยกับตนไม่ได้ก็บ่นเสียดายยกใหญ่ จนคนที่อ่อนวัยกว่าต้องปลอบ
“คุณยายคะ เอาไว้วันหลังมุกจะอยู่ชดเชยให้ดีไหมคะ”
“จริงหรือหนูมุก” คุณยายบุญเรือนยื่นมือมากุมกับมือของคู่สนทนาหลวม ๆ “หนูมุกไม่หลอกให้คนแก่ดีใจเก้อนะลูก”
“ค่ะ มุกสัญญา”
มุกลิณญ์สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะเอ่ยลาพลางยกมือไหว้ แต่ยังไม่ทันที่สาวเจ้าจะก้าวเท้าถอยออกมาเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาจากทางด้านนอก แล้วเสียงนั้นก็ทำให้ทั้งเธอและคุณยายต่างก็มีอารามตกใจไม่ต่างกัน
“คุณมุกคะ เกิดเรื่องแล้วค่ะ”
มุกลิณญ์ยังตั้งตัวไม่ถูก หากคุณยายบุญเรือนที่รู้สึกว่าแม่ชะเอมนี่ดูจะโวยวายกินเหตุจึงดุให้
“เอะอะโวยวายอะไรแม่ชะเอม มีใครเป็นอะไรหรือ”
แม้โทนเสียงที่คุณยายบุญเรือนใช้ถามจะเป็นโทนที่ราบเรียบ แต่ก็แลดูน่าเกรงขามอยู่ในที คนที่ถูกย้อนให้จึงก้มหน้าเป็นเชิงขอโทษแล้วจงหันไปค่อย ๆ บอกกับมุกลิณญ์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนักอย่างระมัดระวังคำ
“คุณโรสิตาสิคะ อยู่ ๆ ก็...” คนพูดเว้นจังหวะ ก่อนจะกระซิบว่า “เอมว่าคุณมุกไปดูเองเถอะค่ะ”
“งั้นก็ได้ค่ะ” แล้วมุกลิณญ์ก็ถือโอกาสกล่าวลาคุณยายบุญเรือนตรงนี้เลย “มุกลานะคะคุณยาย”
ในทีแรกมุกลิณญ์นึกว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับโรสิตาเสียอีก แต่ที่ไหนได้เมื่อเดินไปถึงเจ้าตัวกับพบว่าภควัตรที่นัดว่าจะมารับได้อยู่ ณ ศาลาทรงปั้นหยาที่อยู่กลางสวนหย่อมด้านข้างของตัวบ้านแล้ว นอกนั้นเธอไม่รู้อะไรทั้งสิ้นมุกลิณญ์จึงทำได้เพียงมองดูคนฝั่งของตนกำลังสวมกอดสาวเจ้าของบ้านอยู่โดยไม่สนใจแม้ฝ่ายขั้นจะพยายามขัดขืนตาปริบ ๆ
โรสิตาเมื่อดิ้นรนจนหลุดก็ผลัดภควัตรให้ห่างตัวทันที ทว่าร่างของเธอกลับเซถลาไปอีกทางเสียเอง มุกลิณญ์เห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปประคองโรสิตาทันที ทั้งยังถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“คุณโรสเป็นอะไรมากไหมคะ?”
โรสิตาหันมายิ้มบาง ๆ ให้กับมุกลิณญ์ที่ยังคอยช่วยให้ตนจับข้อแขนเพื่อยึดเป็นหลักขณะยืนขึ้น เสร็จแล้วเจ้าตัวก็หันไปจ้องหน้าภควัตรนิ่ง แน่นอนว่าตอนนั้นเป็นโรสิตาที่จากมาทั้งที่ยังรักแต่ทว่ายามนี้กลับซ่อนงำอาการเหล่านั้นจนมิดชิด
“ไม่เป็นไรค่ะ” แล้วก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่โรสิตาตัดสินใจเอ่ยปากไล่คนเป็นแขกด้วยถ้อยคำที่สุภาพ “คุณมุกสอนยัยอันนาเสร็จแล้วหรือคะ ถ้างั้น...เดินทางกลับดี ๆ นะคะ”
แม้มุกลิณญ์จะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดี ๆ โรสิตาซึ่งเมื่อครู่ก่อนที่ชะเอมจะตามให้ออกมาก็ยังโอภาปราศรัยกับเธอดีอยู่จึงเปลี่ยนเป็นเอ่ยปากขึ้นเช่นนี้ แต่ก็ช่างเถอะ...ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะก้าวก่าย คนที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพยักหน้ารับเพียงเล็กน้อยก็หันมาชวนภควัตรด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ไปค่ะพี่ภีม”
ส่วนโรสิตาเองก็มองรถยุโรปที่เคลื่อนห่างออกไปเรื่อย ๆ จนลับสายตาสาวเจ้าจึงหันกลับเข้ามา แล้วเธอก็พบว่าพนิตามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เห็นอย่างนั้นคนที่เพิ่งเข้ามาจึงยิ้มให้มารดาทีหนึ่งพลันจะเดินเลี่ยงไปทางอื่นด้วยไม่พร้อมจะตอบคำถาม หากทว่าพนิตาก็รีบร้องเรียกอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“เดี๋ยวยัยโรส”
“คะ...”
“มาคุยกันหน่อยจ้ะ”
พนิตาเดินนำบุตรสาวของตนเข้ามานั่งที่หลังบ้าน เธอแกล้งปล่อยให้เวลาผ่านไปชั่วครู่โรสิตาก็ไม่ยอมปริปากมารดาที่เห็นทีว่าคงจะปล่อยให้ความเงียบอันเป็นสัญลักษณ์ของความอึมครึมด้วยในเวลาเดียวกันผ่านไปเรื่อย ๆ ไม่ได้อีกจึงตัดสินเปิดประเด็นขึ้น
“มีเรื่องอะไรกันน่ะยัยโรส”
“เรื่องอะไรคะ”
แล้วมารดาที่ฟังเรื่องทั้งหมดจากปากของชะเอมจนกระจ่างก็เข้าสู่ประเด็นสำคัญอย่างไม่รีรอ “หนูไปทำเสียงมารยาทกับ...คุณคนนั้นทำไมไหนว่ามาซิ”
คุณคนนั้น หึ!...มารดาคงไม่กล้าฟันธงสินะว่าภควัตรกับมุกลิณญ์อยู่ในสถานภาพไหนต่อกัน หรือว่าพนิตาแค่แกล้งปิดหูปิดตาอย่างละข้างกันแน่
ก็ขนาดมารดายังพอเดาว่าสองคนนั้นคงต้องมีอะไรที่พิเศษกว่าเพื่อน แล้วเธอเองจะพูดออกไปได้อย่างไรว่าเขานี่แหละคือคนที่เธอรัก คือพ่อของเด็กหญิงที่เธอรักมากที่สุด
แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นสบกับแววตาที่เต็มไปด้วยความกดดัน จะไม่บอกก็ไม่ได้ ดังนั้นโรสิตาจึงแกล้งบอกปัด ๆ ไปตามเรื่อง “เขาคือ...ไม่สิ เขาเข้าใจผิดว่าโรสคือคนที่เขาเคยรู้จักน่ะค่ะ”
“อ้าว แล้วทำไมเราต้องไปโวยวายใส่เขาด้วยล่ะ”
“ก็...” แล้วโรสิตาก็หลบตาต่ำ “โรสตกใจนี่คะ”
“งั้นก็แล้วไปจ้ะ” แต่ว่ามารดาก็มีข้อแม้อีก “แล้วคราวหน้าถ้าเจอกันอีกเราก็อย่าลืมขอโทษขอโพยเขาด้วยล่ะ”
แม้จะนึกค้านอยู่ในใจ แต่เมื่อมารดาเกริ่นขึ้นแบบนี้แล้วโรสิตาจะว่าอย่างไรได้นอกจากตอบรับอย่างสั้นที่สุด “ค่ะ”
ภควัตรขับรถไปตามถนนสายหลักเพื่อมุ่งหน้าสู่ภัตตาคารชื่อดังใจกลางเมืองที่การจราจรในช่วงเวลานี้ยังคงหนาแน่น ทว่าคนที่มีเรื่องหนักอื้อกว่าให้คิดกลับมองว่านั่นเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะในใจของเขายามนี้คงมีแค่ความสงสัยต่อคนเคยรักที่เมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้งนอกจากจะไม่มีความยินดีต่อกันแล้วกลับทำหมางเมินใส่ ทั้งยังออกปากไล่อย่างไม่ไยดีเท่านั้น
เมื่อคิดเท่าไรก็ไม่ตก เจ้าตัวจึงหลุดปากถามกับตัวเองลอย ๆ “ทำไมนะ”
“คะ?”
จนเสียงใส ๆ ของคนที่นั่งอยู่ข้างเอ่ยถามกลับ ภควัตรที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอคิดดังเกินไปจึงฝืนยิ้มเจื่อน และทันใดนั้นเองเมื่อสัญญาณไฟจราจรตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวหากแต่คนขับกลับไม่ได้สนใจดูเพราะใจยังมัวแต่จดจ่ออยู่กับโรสิตาที่เพิ่งแยกจากกันมาได้สักพัก รถคันหลังที่ขับไปต่อไม่ได้เพราะรถของเขาจอดขวางอยู่จึงพากันบีบแตรไล่เป็นพัลวัน จนมุกลิณญ์ที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดีทุกประการต้องกระซิบบอก
“พี่ภีมคะ ไฟเขียวแล้วค่ะ”
เท้าจึงเปลี่ยนจากเหยียบเบรกเป็นเหยียบคันเร่ง แต่กระนั้นเมื่อออกรถมาได้สักพักภควัตรก็ยังขับรถเอื่อยเฉื่อยอีก มุกลิณญ์ที่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเคยมีอาการแบบนี้มาก่อนและพลอยเป็นห่วงว่าเขามีอะไรในใจที่ไม่กล้าพูดให้ใครฟังหรือเปล่า คนที่เหมือนจะอ่านใจภควัตรได้แต่ไม่ทั้งหมดจึงค่อย ๆ ถาม
“พี่ภีมโอเคหรือเปล่าคะ”
ใจจริงมุกลิณญ์อยากถามว่าเมื่อครู่นี้ที่บ้านของคุณยายบุญเรือนนั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่เสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้วก็เห็นว่าคงไม่สมควรเจ้าตัวจึงนิ่งเสีย ส่วนภควัตรเองแม้จะไม่โอเคนัก เพราะมีเรื่องที่พาให้สับสนประเดประดังเข้ามาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า หากเขาก็ฝืนพยักหน้ารับไปตามเรื่อง แล้วสักครู่คนที่นึกอะไรขึ้นมาได้ก็แกล้งทำทีเป็นชวนคุยจึงหาช่องถามกลับ
“เอ้อ มุกครับ แล้วน้องอันนาเรียนอยู่ที่ไหนนะครับ”
“แถวอโศกค่ะ”
เท่านั้น คนที่คิดอะไรอยู่ในใจก็ฉายยิ้มน้อย ๆ ขึ้นบนใบหน้านั้นทันที และเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตภควัตรยังหันมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ถามอีก “อ้อ ถึงว่าสิทำไมถึงต้องหาครูมาสอนภาษาให้ที่บ้านเพิ่ม ที่แท้ก็เรียนหลักสูตรอินเตอร์นี่เอง”
ความคิดเห็น