ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมใจปรารถนา (มี E-book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 64


    บทที่ 5 ความบังเอิญที่มีอยู่จริง

     

    วันนี้มุกลิณญ์ตื่นเช้ากว่าปกติด้วยสาเหตุหนึ่งเพราะกลัวฝนซึ่งตั้งเค้ามามืดว่าหากตกระหว่างทางอาจทำให้ถึงที่หมายสายกว่าปกติ กับอีกสาเหตุที่ก็ภาวนาอยู่ในใจว่าอย่าให้เกิดขึ้นเลยคือการได้พบเจอใครบางคนที่ไม่อยากพบหน้าเข้าระหว่างทาง

    แต่หากว่าฟ้าได้ลิขิตเอาไว้แล้วก็ยากที่สรรพชีวิตบนโลกจะหลีกเลี่ยงเสียได้ เมื่อคนที่หลงสบายใจในตอนแรกว่าตนคงมาถึงที่ทำงานได้ตลอดรอดฝั่งโดยที่ไม่ต้องเจอคนที่ไม่พึงพบหน้าได้แล้วสาวเท้ายาว ๆ เพื่อมาให้ทันลิฟต์ซึ่งกำลังจะขึ้นและประจวบเหมาะกับอาจารย์ในคณะเดียวกันจำหน้าของมุกลิณญ์ซึ่งเพิ่งเข้ามาทำงาน ณ สถานที่นี้ไม่ถึงสองอาทิตย์ได้จึงเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดประตูค้างไว้เพื่อรอให้เธอโดยสารขึ้นไปยังชั้นบนพร้อมกันด้วยอีกคนหนึ่ง

    “ขอบคุณค่ะพี่ชมพู่”

    มุกลิณญ์กล่าวขอบคุณอาจารย์รุ่นพี่ด้วยรอยยิ้มสดใสฉาบทาบนดวงหน้าเฉกเดียวกันกับคนที่ยืนอยู่ก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปยืนในตำแหน่งที่ว่างอยู่และนั่นก็เป็นจังหวะที่ใครอีกคนผู้ยืนอยู่ก่อนขยับหลบให้พลันเงยหน้าขึ้นพอดี มุกลิณญ์ที่ทำอะไรไม่ได้จะเดินออกไปตอนนี้ก็ยิ่งเป็นสิ่งเหนือวิสัยที่จะกระทำก็นิ่งอึ้งไปในบัดดลครั้นจะเดินออกไปพร้อมกับข้ออ้างว่าลืมขอหรืออะไรก็ชั่งเถอะ ประตูลิฟต์กลับปิดเข้าหากันเสียก่อน ทั้งยังเลื่อนขึ้นไปกำลังจะถึงชั้นสองแล้ว

    คนที่เข้ามาหลังสุดจึงยืนเกร็งอยู่อย่างนั้น เธอไม่สนแม้ว่าอาจารย์หนุ่มต่างคณะที่เคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้วจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จนอาจารย์ที่มีชื่อเล่นว่า ‘ชมพู่’ แวะทำธุระที่ชั้นสี่ มุกลิณญ์ที่จะไปชั้นห้าจึงละล่ำละลัก จะตามออกไปก็เห็นทีจะหาข้ออ้างหรือว่ากิจธุระไม่ได้ เธอจึงเงยหน้ามองเลขบอกชั้นที่เคลื่อนไปยังชั้นห้าด้วยความลุ้นระทึก

    มุกลิณญ์รู้สึกได้ ลิฟต์โดยสารวันนี้ทำงานอืด ทำให้การเดินทางจากชั้นสี่ไปสู่ชั้นห้าล้วนกินเวลานานกว่าปกติ!

    ปรัชวิทย์ยืนมองมุกลิณญ์พลางขยับปากอย่างต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หาจังหวะไม่ได้จึงยืนอ้ำอึ้ง ครั้นเห็นลิฟต์เปิดเขาจึงเดินตามมุกลิณญ์ออกไป แต่กว่าจะตัดสินใจเอื้อนเอ่ยออกไปได้นักศึกษาสาวสามคนกับหนุ่มอีกหนึ่งที่เดินสวนเข้ามาพอดีกลับชิงทักขึ้นก่อน

    “อาจารย์มุกลิณญ์คะ พอดีว่าพวกหนูจะขอปรึกษาเรื่องงานกลุ่มน่ะค่ะ”

    มุกลิณญ์ที่จงใจจะหาทางปลีกตัวออกให้ห่างจากคนที่เดินตามมาอยู่แล้วได้ฟังเช่นนั้นจึงรีบรับคำทันที “ได้สิจ๊ะ งั้นเราไปนั่งคุยกันที่ห้องประชุมภาคดีไหม”

    “ค่ะ”

    “งั้นตามอาจารย์มาค่ะ”

    ปรัชวิทย์ทอดมองมุกลิณญ์ที่เดินตามนักศึกษากลุ่มนั้นไปแล้วก็ได้แต่บ่นตัวเองด้วยความหน่ายใจ “ทำไมไม่ชิงพูดให้มันเร็วกว่านี้หน่อยนะ!”

     

    “คุณโรส...”

    เสียงทุ้มต่ำที่เหมือนเคยได้ยินทำให้เจ้าของชื่อหันไปหาต้นตอของเสียงนั้นทันทีจึงเห็นว่ารามิลยืนอยู่ไม่ห่าง การพบหน้ากันในห้างขนาดใหญ่เช่นนี้ทำให้โรสิตาเกิดความหลากใจไม่น้อยทีเดียว แม้จะไม่รู้ว่าการเจอกันครั้งนี้จะเป็นความบังเอิญหรืออะไรก็เถอะ แต่ในเมื่อเขาไม่ได้มาร้ายเธอก็สามารถทักทายตอบได้อย่างเป็นมิตร

    “คุณรามิล มาซื้อของหรือคะ”

    “ใช่ครับ” เมื่อรู้ตัวว่าตนเองยืนอยู่ที่แผนกอาหารชายหนุ่มจึงขยายความ “พอดีว่ายัยหนึ่งอยากกินผัดมักกะโรนีน่ะครับผมเลยแวะมาซื้อให้”

    “ดีจัง” คิดแล้วก็อดอิจฉาน้ำหนึ่งอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ โรสิตาจึงเผลอพลั้งปากเอ่ยชมเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “น้องสาวของคุณรามิลนี่โชคดีจังเลยนะคะ มีพี่ชายที่ดีกับเธอขนาดนี้”

    “น้องของผมจริง ๆ น่ะไม่มีหรอกครับ” รามิลขยายความ “ยัยนั่นน่ะลูกพี่ลูกน้องของผม”

    “ก็ยังดีค่ะ ดีกว่าโรสที่ไม่มีพี่น้องที่ไหนให้คอยพึ่งพากันได้เลย”

    “อ้อ” และระหว่างช่วยโรสิตาเลือกของ รามิลก็ชวนคุยไปเรื่อยเพื่อย่นระยะห่างให้สั้นลงอีก “จริง ๆ แล้วคนเป็นพี่ต้องตามใจน้องนะครับ แต่อย่าให้มากจนเสียคน ยัยหนึ่งก็เหมือนกันเวลาดื้อผมก็จะสอนบ้าง ตอนเด็กก็ตีบ้างเหมือนกันแต่พอโตแล้วจะตีก็ไม่ได้เลยต้องเปลี่ยนวิธีมาคุยกันด้วยเหตุผลแทน”

    โรสิตายิ้มบาง ๆ พลางนึกชมอยู่ในใจว่าชายตรงหน้าคงเป็นคนที่อบอุ่นไม่น้อยทีเดียว แถมเธอยังติ๊งต่างอีกว่าคงต้องเอาคำแนะนำเหล่านี้ไปใช้กับลูกสาวตัวน้อยบ้างแล้ว ก่อนจะเงยหน้ามาเห็นรามิลหยิบมักกะโรนีแห้งออกมาจากชั้นเธอจึงรีบบอก “ยี่ห้อนี้ไม่ค่อยอร่อยนะคะ”

    รามิลมองตามมือเรียวที่หยิบอีกถุงหนึ่งยื่นให้ ก่อนจะยื่นมือไปรับมันมาใส่รถเข็นด้วยความระมัดระวัง

    “ต้องยี่ห้อนี้ค่ะ ถึงแพงหน่อยแต่อร่อยกว่ามาก” พูดจบโรสิตาก็หยิบบ็อกเคอลี่ให้อีก “ต้องใส่ผักด้วยค่ะจะได้มีวิตามิน แล้วก็กุ้งสด เนื้อไก่...”

    ช่วยหยิบของให้เสร็จเรียบร้อยแล้วโรสิตาก็เดินนำไปเพื่อจะเลือกซื้อของในส่วนของตน โดยมีรามิลที่มองตามพลางคิดในใจ ว่าใครได้เธอมาเป็นคู่ชีวิตคงโชคดีไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วเขาก็เข็นรถสำหรับใส่สินค้าเดินตามเจ้าของร่างบางไปต้อย ๆ จนโรสิตาที่รับรู้ได้ว่ามีฝีเท้าคู่หนึ่งย่างเข้ามาในระยะกระชั้นชิดหันกลับมามองและเห็นว่าเป็นรามิลเจ้าตัวเธอก็ยิ้มบาง ๆ พลางเลิกคิ้วแทนการเอ่ยปากถาม ‘มีอะไรอีกหรือคะ?’ อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบด้วยความขวยเขินแล้วจึงตอบเป็นเชิงซ้อนคำถามแกมขอร้องอีกทีหนึ่ง

    “ให้ผมช่วยคุณโรสซื้อของบ้างนะครับ”

    โรสิตาไม่ติดขัดหากคนที่เดินมาตีข้างจะแสดงน้ำใจตอบกลับ หากแต่… “คุณไม่ต้องรีบกลับหรือคะ” เมื่อพูดจบแล้วเห็นว่ารามิลยังทำหน้ามึนงงสาวเจ้าจึงอธิบายความ “โรสหมายถึง…กลัวว่าจะรบกวนเวลางานของคุณน่ะค่ะ”

    “อ๋อ ไม่หรอกครับคุณโรส ถือว่าคุณโรสช่วยผมเลือกของแล้ว” แล้วเขาเนี่ยนะจะมีปัญญาไปช่วยโรสิตาเลือกวัตถุดิบสำหรับทำขนมไทยพวกนั้น แป้งมักกะโรนียี่ห้อไหนอร่อยกว่ากัน หรือทำผัดมักกะโรนีต้องใส่อะไรบ้างเจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำ! แต่เอาเถอะ…อย่างไรเสียรามิลก็หาทางลงจนได้ “ให้ผมเดินเป็นเพื่อนคุณโรส ช่วยคุณโรสยกของใส่รถนี่ก็ได้”

    แล้วบนหน้าสวยก็ฉาบฉายด้วยรอยยิ้มพราย “งั้นก็ได้ค่ะ”

     

    แม้ว่าช่วงเช้าตนจะหาทางเลี่ยงที่จะต้องเผชิญหน้ากับปรัชวิทย์ไปได้หนหนึ่งแล้ว แต่ทว่าเมื่อเดินลงมาจากตึกในช่วงบ่ายแก่มุกลิณญ์กลับต้องชะงักอีกครั้ง เธอเห็นเขายืนคุยอยู่กับนักศึกษาตรงโถงชั้นล่างหญิงสาวจึงต้องหาทางเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่เหมือนฟ้าจะไม่เข้าข้างหรือสวรรค์แกล้งกันก็มนุษย์ธรรมดาอย่างเธอไม่อาจจะหยั่งรู้ได้เพราะเมื่อนักศึกษากลุ่มนั้นก็ปลีกตัวออกเพื่อไปเรียนอีกวิชา คนที่ยืนอยู่จึงหันมาเห็นแผ่นหลังที่บางเรียบเดินลิ่ว ๆ ไปพอดี

    ปรัชวิทย์เดินตามมุกลิณญ์ไปอย่างไม่ต้องหยุดคิด จนคนที่พยายามเดินหนีอดคิดในใจไม่ได้ นี่เอาจริงสิ...จะกัดไม่ปล่อยจริง ๆ ใช่ไหม

    ฝีเท้าที่ก้าวย่างไปตามทางชะงัก มุกลิณญ์เงยหน้าขึ้นมองเม็ดฝนที่ร่วงลงมาจากด้านบนราวฟ้ารั่วด้วยความหลากใจ

    “ฝนตกเหรอนี่...”

    ไม่แปลกที่เธอเพิ่งจะรู้ถึงสภาพดินฟ้าที่ผันแปรไปจากช่วงเวลาก่อนหน้าราวพลิกฝ่ามือ เพราะตอนอยู่บนตึกที่ติดแอร์และปิดหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกทึบทำให้เก็บเสียงไม่ให้จากทางด้านนอกเข้ามารบกวนการเรียนการสอนกับไม่ปล่อยให้เสียงบรรยายของอาจารย์ซึ่งถือเป็นลิขสิทธิ์ของผู้สอนอย่างหนึ่งเล็ดลอดออกไปได้ ทั้งยังคลุมด้วยม่านหนาอีกชั้นทำให้คนที่อยู่ข้างในแทบจะไม่ได้รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น

    มุกลิณญ์เพียงตวัดตามองคนที่เดินเข้าใกล้มาทุกขณะ ทั้งฝ่ายนั้นยังทำเหมือนจะควานหาของในกระเป๋า ใจของคนที่นึกหวาดระแวงอยู่แล้วจึงสั่นระรัว

    นายคนนี้จะทำอะไร! มุกลิณญ์ลอบมอง เธออยากจะเดินหนีไปซะแต่ดันลืมร่มคู่ใจไว้ที่บ้าน คนไม่มีที่ไปจึงยืดตัวตรง แสดงข่มเข้าไว้เพื่อไม่ให้เขาดูรู้ว่าเธอมีความกริ่งกลัวซ่อนอยู่ แต่ก็เถอะ...คนคนนั้นยิ่งเดินเข้ามาหมายประชิดตัว มุกลิณญ์ที่คิดอะไรไม่ออกจึงหยิบไม้กวาดดอกหญ้าซึ่งเป็นสิ่งแทนอาวุธเดียวที่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาขู่

    “เข้ามาสิจะฟาดให้ตายคามือเลยคอยดู!”

    แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกไปจะกดต่ำ แต่ปรัชวิทย์กลับไม่รู้สึกว่าน่ากลัวเลยสักนิด เพราะเธอในสายตาของเขาตอนนี้ก็คือลูกแมวตัวน้อย ๆ เท่านั้น คนที่เพิ่งจะหยิบร่มออกมาจากกระเป๋าได้สำเร็จจึงเดินเข้ามาพร้อมกับกางร่มสีอ่อนออกแล้วชูขึ้น

    “จะทำไรน่ะ ไม่กลัวตายเหรอ?”

    “แค่นี้ไม่ทำให้ใครตายไม่ได้หรอกครับ” ปรัชวิทย์ยิ้มขำมุกลิณญ์ที่หน้ามุ่ย ทั้งยังยกด้ามไม้กวาดชี้หน้าเขาล่ก ๆ เพื่อขู่

    เมื่อนึกย้อนกลับมาดูตัว ปรัชวิทย์เองก็ลืมสังเกตไปเหมือนกันว่าเขาที่ปกติจะเมินเฉยต่อสิ่งรอบข้างได้เริ่มมีอารมณ์ขันต่อท่าทีเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน แล้วด้วยเหตุผลประการใดจึงปล่อยให้ตัวเองเผลอไผลต่อท่าทีของคนตรงหน้าได้ขนาดนี้

    แต่ก็ช่างเถอะ ขำก็ขำ เอ็นดูก็เอ็นดูสิทำไมต้องตั้งคำถามกับมันให้มากเรื่องด้วยเล่า!

    เมื่อสลัดความใคร่รู้ต่อตนเองออกไปจนหมดสิ้น คนที่รู้ข้อกฎหมายดีกว่าเพราะเคยเรียนควบอีกสถาบันหนึ่งตามที่บิดาซึ่งทำอาชีพตรงนั้นชักชวนจึงเฉลยความ “อย่างมากก็แค่โดนข้อหาทำร้ายร่างกายเท่านั้นแหละครับ”

    “นี่อย่ามาหัวหมอนะ!” มุกลิณญ์ไม่สนใจคำแนะนำแบบหยอก ๆ เหล่านั้น เพราะถึงอย่างไรสำหรับเธอแล้วเขาก็คือคนโรคจิตที่ควรออกให้ห่าง กระนั้นไม่พอเมื่อเห็นว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิมแถมยังกล้ามายักคิ้วใส่มุกลิณญ์ที่ไม่พอใจจนใกล้ถึงจุดปะทุก็ขู่ด้วยวาจาให้อีก “ที่คุณมาทำโรคจิตใส่ฉันเนี่ยถ้าฉันร้องเรียนขึ้นมาคุณก็ถูกเด้งจากงานได้เลยนะ หรือจะลอง”

    “นี่คุณ!” ขณะที่พูดปรัชวิทย์ก็ยังถือร่มเดินตามมุกลิณญ์ที่ดันทุรังจะเดินออกไปข้างนอกให้ได้ขณะที่ฝนก็ยังกระหน่ำตกไม่หยุด “พูดมั่วระวังโดนข้อหาหมิ่นประมาทอีกกระทงไม่รู้ด้วยนะ”

    คราวนี้มุกลิณญ์ขว้างไม้กวาดในมือลงพื้นดังปังอย่างต้องการแสดงให้เขาเห็นโดยไม่ปิดบังถึงความไม่พอใจที่คุกรุ่นอยู่ในอก เท่านั้นไม่พอสาวเจ้ายังกระแทกเสียงใส่ “ฉันละเกลียดจริงพวกหัวหมาชอบเอาคุกเอาตารางมาขู่เนี่ย ถ้าคุณไม่ได้คิดอะไรจริงแล้ววันนั้นมาก้มลงมองหว่างขาฉันทำไม!?”

    “ผม...”

    พูดยังไม่ทันจบ เมื่อเห็นว่ามุกลิณญ์ที่เดินถอยหลังออกไปอยู่ ๆ ก็ทรงตัวไม่อยู่และถลาคล้ายทำเหมือนจะลื่นเพราะพื้นซึ่งเจิ่งนองจากน้ำฝนที่สาดเข้ามา ปรัชวิทย์ผู้มีตากับมือว่องไวพอกันจึงรีบเอี้ยวตัวไปเกี่ยวบั้นเอวแบบบางไว้แล้วดึงขึ้นมาโอบไว้แนบแน่น

    “เป็นไรไหมครับ”

    น้ำเสียงที่เอ่ยถามช่างนุ่มนวล จนคนที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นเคลิ้มไปชั่วขณะ แต่เมื่อตั้งสติได้มุกลิณญ์กลับรีบดันตัวออกห่างจากตัวเขาแต่ก็ยังไม่เดินหนีไปไหน ปรัชวิทย์เห็นว่านี่คงเป็นโอกาสดีโอกาสเดียวที่จะต้องรีบฉกฉวย เขาจึงเดินเข้ามาใกล้มุกลิณญ์อีกก้าวแล้วชิงพูดขึ้น “วันนั้นผมทำบัตรรถไฟฟ้าหล่นลงพื้น แล้วคุณก็เหยียบมันไว้ แล้วก็เลย...”

    “ฮะ!” นั่นทำให้มุกลิณญ์ที่ตั้งป้อมว่าคนตรงหน้าเป็นคนไม่ดีรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยทีเดียว แม้ในใจลึก ๆ ตอนนี้จะรู้สึกผิดแทรกเข้ามาบางเบา แต่ด้วยความไม่ยอมคนที่มีมากกว่าจึงทำให้เจ้าหล่อนอ้างขึ้นอีกว่า “แล้วทำไมตอนนั้นคุณไม่บอกกันดี ๆ ล่ะคะ”

    ปรัชวิทย์ไม่ตอบ หากเขากลับขยับเข้ามายืนประชิดกายของมุกลิณญ์เพื่อให้ร่มที่ถืออยู่คลุมศีรษะเจ้าหล่อนด้วยอย่างหน้าตาเฉย และเมื่อเธอหันมามองอย่างหลากใจชายหนุ่มจึงถามกลับ “คุณจะไปไหนครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

    “ไปสถานีรถไฟฟ้าค่ะ”

    ปรัชวิทย์คลี่ยิ้มอย่างพึงใจต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย พลางว่า “งั้นเราไปทางเดียวกัน”

     

    เสร็จจากการติดสอยห้อยตามมาช่วยโรสิตาเลือกวัตถุดิบสำหรับทำขนมเรียบร้อย รามิลมีแก่ใจอาสาช่วยเข็นรถที่บรรจุสินค้าจนเต็มมาส่งถึงลานจอดรถอีกด้วย เขาไม่สนใจแม้หญิงสาวจะเอ่ยปากบอกว่าไม่เป็นไรเพราะมีความเกรงใจเป็นสาเหตุหลัก แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มพร้อมกับออกปากอาสาอีกครั้งด้วยความเต็มใจ

    “ไม่เป็นไรเลยครับคุณโรส เพราะถ้าคุณโรสบอกว่ารถของคุณอยู่ที่ชั้นสามโซนเอ งั้นก็แสดงว่าเราจอดรถอยู่ที่โซนเดียวกัน”

    “งั้นก็ได้ค่ะ”

    เมื่อรามิลว่าเสียอย่างนี้โรสิตาก็ไม่อาจจะเอ่ยปากปฏิเสธได้อีก เธอพยักหน้ายินยอมให้เขาติดตามอย่างง่ายดายทั้งยังคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้กับเขาแทนคำพูดว่าบัดนี้ตนได้มีความประทับใจในตัวเขาอยู่ลึก ๆ เพียงเท่านั้น

    รามิลช่วยยกของขึ้นวางที่ท้ายรถของโรสิตาจนเสร็จ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเหงื่อบนหน้าของผู้ช่วยจำเป็นไหลอาบหน้าโรสิตาเห็นอย่างนั้นก็ไม่รอช้ารีบเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชูที่หน้ารถมาซับให้เขาทันทีเช่นกัน

    “ขอบคุณมากนะครับคุณโรส”

    “ถ้าเทียบกับที่คุณรามิลช่วยฉันเลือกซื้อของแถมยังตามมาส่งถึงที่ แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมากค่ะ”

    แม้ว่าในคำพูดตอบกลับนั้นจะไม่มีนัยใด ๆ แอบแฝง แต่ก็คงทำให้ผู้ซึ่งมีใจอยู่แล้วเก็บไปนึกคิดให้ได้หัวใจกระชุ่มกระชวยไปหลายวัน จนเมื่อมือเรียวรู้สึกว่าลูปไล้ดวงหน้านั้นนานเกินไปจึงรีบชักมือออก แต่คนที่อยากให้นี่เป็นฝันที่ไม่ต้องตื่นกลับรีบกุมมือนั้นไว้ดื้อ ๆ

    “คุณ!” โรสิตาเบิกตากว้าง จ้องหน้ารามิลนิ่ง “นี่คุณทำอะไรคะ?”

    “อ้อ” เมื่อถูกดุใส่รามิลจึงสะดุ้งและรู้สึกตัวขึ้นมาในตอนนั้นเอง เขายิ้มน้อย ๆ ด้วยความเก้อเขินแล้วก็แก้ต่างให้กับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่นุ่มละมุน “เอ่อ...ผมขอโทษครับคุณโรส แต่ว่ากระดาษนี่มันเปื้อนเหงื่อหมดแล้วให้ผมเอาไปทิ้งเองเถอะครับ”

    “ก็ได้ค่ะ”

    ในเมื่อเหงื่อที่อยู่บนกระดาษในมือของเธอก็เป็นของเขาจริงๆ ดังนั้นการให้เขาเอาไปทิ้งเองก็เป็นเรื่องที่ควรอยู่แล้ว เมื่อคิดได้อย่างนั้นโรสิตาจึงส่งมันให้กับรามิลแต่โดยดี แต่กระนั้นโทรศัพท์ที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งกลับพัลวันหล่นลงพื้นตามไปด้วย เห็นอย่างนั้นมือที่ไวพอกกันของทั้งคู่จึงทำให้ทั้งรามิลและโรสิตาก้มลงหยิบอย่างพร้อมเพรียง ศีรษะของทั้งคู่จึงโขกกันดังปัง

    “เจ็บไหมครับคุณโรส”

    แม้ยามนี้สีหน้าของรามิลจะดูจริงจังขึ้นมาทันตาเห็น ทว่าโรสิตาที่รู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยกลับเห็นขัน “แค่นี้เองค่ะ ไกลหัวใจ”

     

    ครั้นกลับถึงบ้าน รามิลที่จงใจสลับโทรศัพท์ของเขากับโรสิตาเพราะเห็นว่าเป็นช่องทางที่เขาจะอ้างสำหรับนัดเจอเธอในโอกาสหน้านั่งรอให้โรสิตาติดต่อกลับมาด้วยใจที่จดจ่อ จนเมื่อเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นรามิลที่ใจเต้นรัวก็รีบหยิบขึ้นมากดรับสายทันทีโดยที่ไม่ได้ดูชื่อซึ่งปรากฏบนหน้าจอด้วยซ้ำ

    “สวัสดีครับคุณโรส”

    รามิลขานรับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มทุ้ม หากต้นสายกลับขมวดคิ้วมุ่น มุกลิณญ์เลื่อนโทรศัพท์ที่แนบกับใบหูออกมาเพื่อดูให้แน่ใจว่าตนไม่ได้โทรผิด แต่ก็อีก...คนนี้อาจจะเป็นสามีของลูกค้าคนใหม่ของเธอก็ได้ ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจเจ้าตัวจึงทักถาม

    “นั่นใครคะ ใช่คุณโรสิตาหรือเปล่า!”

    “อ้อ ใช่ครับ”

    จะไม่ใช่ได้อย่างไร ก็ในเมื่อโทรศัพท์เครื่องนี้เขาสลับมาเองกับมือ

    และเมื่อได้คำตอบว่าอย่างนั้นมุกลิณญ์ที่ต้องการคุยเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับการสอนภาษาให้กับบุตรสาวของคนที่จะคุยด้วยก็ว่าต่อ “ถ้างั้นรบกวนคุยสายกับคุณโรสิตาหน่อยค่ะ”

    “เอ่อ...” รามิลมองซ้ายขวาล่อกแล่กครั้นแล้วก็แถต่อ “ตอนนี้คุณโรสิตาไม่สะดวกคุยนะครับ”

    “แล้วไม่ทราบว่าคุณโรสิตาจะสะดวกคุยตอนไหนเหรอคะ”

    “ไม่ทราบสิครับ”

    “หือ...”

    คราวนี้มุกลิณญ์กดเสียงครางต่ำ ด้วยนึกในใจว่าคนบ้านนี้ต้องการอะไรกันแน่ ไหนบอกว่าต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วนแล้วทำไมเมื่อตนโทร.กลับไปกลับทำเหมือนเด็กเล่นขายของแบบนี้ และขณะที่เธอกำลังทอดถอนใจอยู่ตรงที่เดิมนั้น รามิลก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า

    “ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะให้คุณโรสติดต่อกลับไปอีกทีนะครับ”

    “เอาที่คุณสบายใจเถอะค่ะ!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×