คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4
บทที่ 4
เมื่อเอาของทั้งหมดไปไว้ที่รถเรียบร้อยแล้ววกกลับมารับบุตรสาวที่ร้าน หากทว่ารุ่นพี่ที่รับฝากเด็กน้อยกลับบอกว่าเด็กหญิงอลีนาหายไปหัวอกของคนเป็นแม่ก็ร้อนรุ่มกลุ้มใจอย่างบอกไม่ถูก จนเมื่อฝ่ายเจ้าของร้านบอกพนักงานกำลังลงไปตามคนเป็นแม่ที่มีหรือจะทนนั่งรออยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยได้ก็รีบวิ่งตามลงไป
จนเมื่อเท้าข้างหนึ่งกำลังหย่อนลงไปที่กระไดเลื่อนหางตาก็เหลือบเห็นพนักงานของทางร้านที่อาสาลงไปตามอุ้มลูกของตนขึ้นมาพอดีนั่นทำให้โรสิตาใจชื้นอยู่ไม่น้อยทีเดียว เธอจึงคลี่ยิ้มขึ้นบนใบหน้าพลางเดินไป รับลูกน้อยของตนจากสาวคนดังกล่าวมาอุ้มแนบอกของตนทันที
“อันนาลูก” น้ำหูน้ำตา บนหน้าน้อย ๆ ที่ยังแห้งไม่หมดทำให้ใจของมารดานั้นวาบไหว เธอรีบยกมือขึ้น ลูบแก้มนุ่มแล้วซักไซ้ต่อด้วยความเป็นห่วง “นี่หนูร้องไห้เหรอจ๊ะ เป็นอะไรใครทำอะไรหนู?”
“น้องอันนาล้มค่ะพี่โรส”
สาวคนนั้นค่อย ๆ บอกเสียงเบา หากเมื่อฟังได้ความเช่นนั้นโรสิตาก็อุทานลั่น
“ล้ม!” บนหน้าของมารดามีแววตกใจฉายเด่น แล้วเธอก็ซักต่อ “ทำไมล้มได้ล่ะ แม่บอกให้หนูคอยอยู่ที่ร้านป้านุ่มแล้วหนูเดินลงไปทำไมลูก”
“ตุ๊กตา” เด็กหญิงอลีนาที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองนั้นเรียกตัวมาสคอตก็ตอบมารดาไปตามประสาซื่อ “ตุ๊กตาตัวใหญ่เดินได้ด้วยค่ะคุณแม่ อันนาอยากได้พี่ตุ๊กตา”
“น่าจะเป็นมาสคอตน่ะค่ะพี่โรส”
และนั่นก็ทำให้โรสิตาที่ลืมความตกใจที่มีก่อนหน้าไปได้ชั่วขณะหนึ่งหัวเราะออกมาด้วยความเอื้อเอ็นดู ในตัวของบุตรสาว แล้วเจ้าตัวจะค่อย ๆ อธิบายกับเด็กน้อยอย่างใจเย็น “นั่นคือพี่มาสคอตจ้ะ อ้อแล้วถ้าวันหลังหนูอยากได้อะไรหนูต้องคอยแม่ก่อนสิจ๊ะ เดี๋ยวแม่พาไปเลือกห้ามลงมาเองแบบนี้เข้าใจไหมลูก”
“ค่ะ”
เด็กหญิงอลีนาพยักหน้ารับอย่างเด็กว่าง่ายและเมื่อเห็นว่าเสร็จเรื่องแล้วโรสิตาก็กล่าวลารุ่นพี่ของตนที่ตรงนั้นเอง และเมื่อพาบุตรสาวตัวน้อยมานั่งที่รถพร้อมกับติดตั้งระบบเซฟตี้เบลเสร็จสรรพ คนเป็นแม่ที่กำลังหันไปสตาร์ทรถก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่อยู่ในมือน้อยอีก
“นี่...อะไรจ๊ะลูก หนูเอามาจากไหน?”
โรสิตาหมายถึงผ้าเช็ดหน้าที่ภควัตรให้ไว้ อลีนายังกำแน่นมาตลอด จนเมื่อมารดาขอดูมือป้อม ๆ ก็คลายออกอย่างว่าง่าย ซึ่งในตอนแรกโรสิตายังคิดเล่น ๆ ว่าคงเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดาผืนหนึ่งเท่านั้น ทว่าเมื่อคลี่ดูพร้อมกับเพ่งพิศอย่างละเอียดคนที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งของคนขับก็ต้องนิ่ง อึ้งไปในบัดดล
เธอจำได้ดี ผ้าเช็ดหน้าเซ็ตนี้มีอยู่ด้วยกันหกผืน และทุกผืนก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่โรสิตาบรรจงปักด้วยมือทั้งสิ้นเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดแก่ภควัตร...
ทว่าบัดนี้ ของสิ่งนั้นกลับมาอยู่ในมือบุตรสาวของตนกับเขา โรสิตาควรรู้สึกอย่างไรดี?
“คุณภีม” น้ำเสียงยามเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายนั้นช่างแผ่วเบาอย่างยิ่งยวด “นี่คุณอีกแล้วหรือนี่”
ส่วนเองภควัตรเมื่อกลับมาถึงบ้านเขาก็รีบถอดเสื้อสูทออกมาพาดไว้กับโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงปลายเตียงทันทีพลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุด ขณะที่ก็ถอนหายใจยาวไปด้วยเพื่อให้ได้ผ่อนคลายความอ่อนล้าจากหน้าที่งานมาทั้งวันประกอบกับฝนที่ตกกระหน่ำทำให้กลับถถึงบ้านล่าช้ากว่าวันอื่น ๆ
รวมถึงนึกย้อนกลับไปที่ดวงหน้าแน่งน้อย ซึ่งยกมือไหว้ขอบคุณเขาอย่างนบนอบ ภควัตรก็อดตั้งคำถามกับตัวเองในใจไม่ได้
“ตกลงแม่ของเด็กเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่”
ด้วยดูจากกิริยาท่าทาง เด็กคนนี้ก็น่าจะได้รับการอบรมมาดีระดับหนึ่ง แต่ก็แปลก...ทำไมแม่ที่เลี้ยงลูกของตนได้ดีขนาดนี้จึงมีความเลินเล่อถึงขั้นปล่อยให้ลูกตัวเองวิ่งเล่นไปทั่วเช่นนั้นได้
“ไม่ห่วงลูกบ้างเลยหรือไง” ภควัตรนึกสนเท่ห์
แล้วเจ้าตัวก็นึกขึ้นได้...
เขาจึงรีบเดินไปหยิบเสื้อสูทตัวนั้นขึ้นมาแล้วจึงล้วงหาผ้าเช็ดหน้าที่พกติดไว้ในกระเป๋า เพื่อ...ระลึกถึงใครคนนั้นที่เป็นเจ้าของ แล้วใจที่เต้นแรงอยู่แล้วก็หายวาบเมื่อรู้ว่าไม่มีสิ่งที่หาอยู่
“โรส...”
ภควัตรทอดมองเสื้อตัวเดิมที่ถืออยู่ในมือนิ่ง ขณะที่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามีความชาวาบเข้าแทรก ทั้งหัวก็อื้ออึงด้วยความสับสน ขนาดของไว้ดูต่างหน้าเขายังรักษามันไว้ไม่ได้ “แย่ชะมัด!” เจ้าตัวสบถ
งานเปิดคอมมูนิตี้มอลล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงเช้าของวันนี้ถึงแม้ว่าในตอนแรกเจ้าของงานจะตั้งใจจะให้เป็นเพียงงานเล็ก ๆ แต่พอเอาเข้าจริงกลับได้รับความสนใจจากทั้งนักข่าว สื่อมวลชนรวมไปถึงนักท่องเที่ยวไม่น้อยทีเดียว
คอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ที่รามิลรังสรรค์สร้างเองกับมือแห่งนี้มีลักษณะผสมผสาน คือด้านล่างเป็นอาคารปูนแบบโมเดิร์นคลาสสิคสีครีม สำหรับร้านอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะ ส่วนด้านบนเป็นอาคารไม้แบบเก่ามีลักษณะเป็นห้องโถงกว้างมีข้างฝาด้านเดียว จึงเหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจรวมถึงเปิดให้เช่าสถานที่สำหรับจัดเลี้ยงเนื่องในโอกาสต่าง ๆ ด้วย
โรสิตามาถึงตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก็รีบนำของที่ถูกจัดเตรียมมาอย่างเรียบร้อยไปให้ฝ่ายจัดเลี้ยงโดยไม่รีรอ ตามปกติหากส่งมอบของสำหรับงานนอกสถานที่แล้วเสร็จเธอจะกลับมาที่ร้านทันทีและตามเคลียร์ค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายกันในภายหลัง หากแต่วันนี้เมื่อนึกขึ้นได้ว่ากลับไปก็คงไม่มีใครอยู่ที่บ้านเพราะมารดาพาคุณยายไปทำธุระข้างนอกและกว่าจะกลับมาถึงคงเย็นย่ำ โรสิตาจึงเลือกที่จะอยู่ต่อโดยเธอทำตัวให้กลมกลืนไปกับบรรดาแขกเหรื่อและนักท่องเที่ยวโดยเลือกทิ้งก้นลงนั่งบนโต๊ะไม้ พลางหยิบหนังสือออกมาอ่านแก้เบื่อ
“คุณโรส”
เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำลายความสงบของคนที่นั่งอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อเห็นว่าบรรยากาศไม่เหมาะเสียแล้วโรสิตาก็เลื่อนหนังสือเล่มนั้นลงบนตัก จากนั้นจึงหันไปหาเจ้าของร่างเล็ก ๆ ในชุดแทรกสีครีมเดินลิ่ว ๆ เข้ามาใกล้
“มาอยู่นี่เองค่ะ”
เห็นน้ำหนึ่งเดินยิ้มแฉ่งเข้ามาโรสิตาก็ไม่ลืมที่จะยิ้มบาง ๆ เพื่อทักกลับ ส่วนสาวสวยอารมณ์ดีที่เป็นทั้งน้องสาวและเลขาส่วนรามิลยังพูดแจ้ว ๆ ด้วยความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม เพราะนั่นก็หมายถึงหน้าตาของเธอเองด้วยเช่นกัน
“นี่คุณโรสรู้ไหมคะว่าแขกพากันชมขนมร้านคุณโรสกันใหญ่เลยค่ะ”
แม้ว่าน้ำหนึ่งจะพูดว่าอย่างไร กล่าวจริงหรือเพียงแค่อย่างจะยกยอปอปั้นโรสิตาก็มิได้รู้สึกอะไรกับเสียงสะท้อนเหล่านั้นมากกว่าขายของให้หมด เพราะสิ่งที่สำคัญต่อการดำรงชีพสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างตนและลูกคือสินจ้างจากงานที่ทำ
ต่างจากน้ำหนึ่งที่ดูจะกระตือรือร้นในการอยากจะพาดพิงถึงพี่ชายนอกไส้แบบกลาย ๆ เพื่อเรียกร้องความสนจากหญิงสาวนักหนา ครั้นแล้วเมื่อสบโอกาสเธอก็พูดถึงชายในชุดสูทสีกรมท่าซึ่งยืนคุยกับแขกผู้ใหญ่อยู่อีกด้านต่อจ้อยแจ้ว “โดยเฉพาะพี่มิลนะคะ ชมคุณโรสไม่ขาดปากเลยค่ะ”
“พี่มิล...”
“ใช่ค่ะ พี่มิลปลื้มขนมร้านคุณโรสมากเลยนะคะ”
โรสิตาหรี่ตามองคนที่ยกมือไหว้แขกอาวุโสอยู่ไกล ๆ ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินมาทางที่ตนนั่งอยู่อย่างจงใจจับสังเกต ด้วยยังมีความประหลาดใจอยู่ว่าชายหนุ่มผู้ดูมีภาพลักษณ์ที่ทั้งทันสมัยและโดนเด่นในวงสังคมคนนั้นน่ะหรือจะมาหลงใหลได้ปลื้มกับรสมือของเธอถึงเพียงนี้
แต่ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่คนซึ่งเป็นเพียงผู้รับจ้างทำของให้แล้วเสร็จเป็นคราว ๆ ไปอย่างเธอจะเอ่ยปากถาม
เดี๋ยวงานจบก็กลับบ้าน เท่านั้น โรสิตาบอกกับตัวเอง
ประจวบกับที่รามิลเดินเข้ามาพอดี คนเป็นน้องผู้ซึ่งถูกบังคับกลาย ๆ ให้รับบทแม่สื่อจำเป็นตามที่เตี๊ยมกันไว้จึงผายมือ แนะนำ “คุณโรส นี่พี่มิลค่ะ”
“คุณรามิล...”
โรสิตาเอียงหน้ามองเจ้าของหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มให้ตนอย่างเป็นมิตรด้วยความฉงน เธอคิดว่าเขาน่าจะมีอายุมากกว่านี้ พลางคลี่ยิ้มให้ไปตามมารยาท
“ใช่ครับ” รามิลยิ้มพราย แล้วเขาก็ก้าวเท้าทั้งสองมาตีข้างและยืนเสมอน้ำหนึ่งเรียบร้อย “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณโรสิตา”
รามิลพิศมองดวงหน้าสวยรับกับผมสีน้ำตาลยาวประบ่าของหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่แพรวพราว เขาดูรูปในอินสตาแกรมของโรสิตาผ่านบัญชีของน้ำหนึ่งทุกวันยังว่ามองเพลินจนยากจะละสายตาได้ ไม่คิดว่าตัวจริงจะสวยพิศกว่าในรูปหลายเท่านัก
ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากจะละสายตาจากคนตรงหน้าเลย...
“ค่ะ”
แม้จะอายุน้อยกว่ารามิล แต่เมื่อฝ่ายนั้นชิงยกมือไหว้ก่อนโรสิตาก็จำต้องยกมือไหว้ตอบอย่างเสียมิได้
รามิลมองดูกิริยาแช่มช้อยด้วยความชื่นชม เขาเพ่งมองอยู่อย่างนั้นจนคนที่ถูกมองรู้สึกอึดอัดจึงต้องแสร้งเป็นมองไปทางอื่น เห็นอย่างนั้นชายหนุ่มที่เกรงว่าหากออกตัวเองจะดูเป็นการเอิกเกริกเกินงามจึงเอียงหน้ามาส่งสัญญาณ ขอความช่วยเหลือ
น้ำหนึ่งเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปแตะแขนโรสิตาเบา ๆ พลางเอ่ยชวนทันทีอย่างรู้งาน “คุณโรส เราไปเดินดูรอบ ๆ กันเถอะค่ะเดี๋ยวน้ำหนึ่งเป็นไกด์ให้”
ทีแรกโรสิตาก็ดูมีท่าทีลังเลใจอยู่บ้าง แต่ครั้นหันมาเห็นรามิลที่พยักหน้าเชิญด้วยตัวเอง เธอที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ลงคอก็จำต้องเออออไปตามนั้น
เนื่องจากชั้นล่างคือโซนร้านค้าร้านอาหารที่ยังเปิดไม่ครบทุกกร้าน ทั้งเจ้าของสถานที่และเลขาส่วนตัวจึงพาโรสิตาขึ้นมาที่ชั้นสอง โดยเมื่อขึ้นกระไดไม้มาถึงน้ำหนึ่งก็ถอยมาเดินเคียงกับโรสิตาอย่างรู้งาน ปล่อยให้คนเดินนำพูดแจ้ว ๆ
“ทางคอมมูนิตี้มอลล์ของเราจัดขึ้นตามคอนเซปที่ว่าอยากให้ที่นี่เป็นเหมือนที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับทุกเพศทุกวัยน่ะครับ ที่นี่เลยมีทั้งร้านค้า โซนนั่งทำงาน ดนตรีในสวนสำหรับคนที่อยากนั่งชิลรวมไปถึง” อย่างหลังโรสิตาก็เพิ่งสังเกตเห็นเมื่อตอนรามิลชี้ให้ดูนี่เอง “สนามเด็กเล่นครับ”
ถ้ายัยอันนาได้มาคงชอบน่าดู โรสิตาคิดในใจ
โรสิตายืนฟังรามิลพูดแบบเรื่อย ๆ แม้ว่าจะมีบางช่วงที่เธอทอดมองไปยังคุ้มน้ำซึ่งมีเรือสินค้าแล่นผ่านเป็นระยะแต่ก็พอจับใจความได้ถึงจุดประสงค์ของการก่อสร้างคอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเธอเลยสักนิดแต่เมื่อรามิลหันมาเน้นย้ำกับตนโรสิตาก็ยังยิ้มกลับเพื่อแสดงให้เห็นว่าใส่ใจในเรื่องที่เขาพูดอยู่เสมอ
เสียงพิธีกรเรียกหาทำให้รามิลต้องปลีกตัวออกไปอย่างจำใจ แต่ก่อนเดินไปที่ซุ้มสำหรับตัดริบบิ้นเปิดงาน เขายังไม่ลืมหันมากระซิบบอก “อยู่ก่อนนะครับคุณโรส เดี๋ยวผมไปหาคุณพ่อแป๊บนึง”
“ค่ะ”
หายไปไม่นาน เมื่อเสร็จจากภารกิจตรงนั้นแล้วรามิลก็เดินมาหาน้ำหนึ่งที่นั่งอยู่ที่ลานดนตรีกับโรสิตาตามที่ปากว่า แต่ครั้งนี้เขาไม่มาเปล่าเพราะในมือหนาได้มีบัตรกำนัลสำหรับใช้เป็นส่วนลดติดมือมาอีกสองใบด้วย
ถ้านี่คือสะพานทอดให้โรสิตากลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็ถือว่าเป็นแผนการที่แนบเนียนทีเดียว
“นี่ครับคุณโรส บัตรส่วนลดที่ผมว่า”
“ของคุณค่ะ” โรสิตารับไว้ตามมารยาท ก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วก็ไม่ได้สนใจมันอีกเลย
“ที่นี่อากาศดีนะครับ” รามิลเห็นโรสิตานิ่งไปจึงพยายามชวนคุย “เหมาะกับการนั่งชิล ๆ ฟังเพลงสบาย ๆ”
“หรือคะ?”
คนที่ไม่ค่อยจะมีอารมณ์สุนทรีย์เท่าไรถามเสียงเรียบ รามิลเห็นอย่างนั้นจึงเดินไปกระซิบกับนักดนตรีแล้วจึงกลับมานั่งที่เดิม ชั่วครู่เพลงรักหวาน ๆ จึงเริ่มบรรเลง ชายหนุ่มยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟน้ำให้เดินมาหาแล้วจึงหยิบแก้วน้ำหวานส่งให้โรสิตาที่นั่งทอดมองไปทางคุ้มน้ำที่มีเรือสินค้าแล่นผ่านอีกครั้งหนึ่งด้วยความระมัดระวัง
“น้ำหวานครับคุณโรส”
เสียงนุ่มทุ้มทำให้คนที่เพลิดเพลินอยู่กับทัศนียภาพเบื้องหน้ามีสะดุ้งเล็กน้อย ครั้นหันกลับมาก็พบว่ารามิลกำลังยื่นแก้วน้ำหวานส่งให้แก้วหนึ่ง และแม้ว่าโรสิตาจะมีความลังเลที่จะรับไว้อยู่บ้างในตอนแรกแต่เมื่อเห็นว่าสายตาคู่นั้นมีเพียงความจริงใจที่หยิบยื่นให้เธอจึงเอื้อมมือไปรับเพื่อรักษาน้ำใจของอีกฝ่าย
“ขอบคุณค่ะ”
เพียงโรสิตาเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ก็สามารถทำให้หัวใจของรามิลพองโตด้วยความปลื้มปริ่ม ขณะที่เพลงซึ่งเอ่ยปากขอบรรเลงไปตามจังหวะ เขาก็หันมาชวนคุยอีก
“เพลงเพราะไหมครับ”
โรสิตารู้ดีว่ารามิลมีจุดประสงค์เช่นไรกับตน และแม้ว่าดูแล้วเขาเองก็น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ด้วยใจที่ยังไม่พร้อมเปิดรับใครเข้ามาในตอนนี้ทำให้เธอตอบสั้น ออมคำ “ค่ะ”
ทันใดนั้น เสียงของนักร้องก็เอ่ยขึ้นเพื่อคั่นระหว่างรอดนตรีเล่นจบท่อน เพื่อจะได้ร้องเนื้อเพลงท่อนต่อไป “เพลงนี้ สำหรับผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ด้านหน้า” แล้วจึงยิ้มร่าก่อนจะร้องท่อนต่อไปทันที
โรสิตาเหลือบมอง ด้วยเก้าอี้ด้านหน้าสุดมีถึงสามตัว และทุกตัวก็มีผู้หญิงนั่งอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แล้ว...เหตุใดจึงต้องคิดเข้าข้างตัวเองด้วยเล่า!
หลังจากที่รับปากกับโรสิตาไว้หลายวัน เมื่อเห็นว่าวันนี้เป็นวันว่างและคงได้จังหวะเหมาะพิมพ์พิชชาจึงโทร.มาหามุกลิณญ์แต่เช้าด้วยหัวข้อที่ว่า
“ยัยมุก แกยังอยากสอนภาษาฝรั่งเศสอยู่หรือเปล่า”
มุกลิณญ์ได้ฟังก็นึกสนุกจึงแกล้งถามกลับ “ทำไม แกอยากจะเรียนใหม่อีกรอบหรือไงพิมมี่”
ซึ่งคำถามยอกย้อนเช่นนั้นก็ทำให้เพื่อนสาวที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่อีกซีกหนึ่งของโลกถอนหายใจออกมาแถมว่า “จะบ้าเหรอยะ ฉันหมายถึง...เอ่อ...มีรุ่นพี่คนนึงเขาขอให้ฉันหาครูสอนพิเศษให้ลูกเขาน่ะ”
“ลูก!” นั่นทำให้มุกลิณญ์ที่กำลังจดจ่ออยู่กับไม้ฟอกอากาศซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงรามือจากสิ่งนั้นทันที แล้วเธอที่เข้ามานั่งในบ้านเรียบร้อยก็ถามพิมพ์พิชชากลับอย่างเสียงหลง “เด็กอะไรยะ ตัวแค่ไหนแล้วดื้อหรือเปล่า?”
“โอเค ฉันจะบอกแกทีละข้อนะ” พิมพ์พิชชาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะแล้วจึงค่อย ๆ แจง “เด็กผู้หญิงอายุสี่ขวบ ไม่ดื้อไม่ซนจ้ะ”
แน่นอนว่าลงเพื่อนรักเอ่ยปากขอทั้งยังอ้างว่าได้รับการร้องขอมาจากรุ่นพี่อีกทอดหนึ่ง เช่นนี้มีหรือมุกลิณญ์จะกล้าปฏิเสธไปในทันทีทันใด แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ไม่ค่อยอะไรกับเด็กตัวเล็ก ๆ นักก็ยังหาเรื่องถามอีก
“เด็กคนนั้นเป็นลูกแกเหรอยัยพิมมี่ แกถึงรู้ดีนักว่าเขาไม่ดื้อน่ะ”
“เปล่า แต่ว่าน้องคนนี้ฉันรับรองได้”
มุกลิณญ์ยังไม่ทันตอบรับหรือว่าปฏิเสธเสียงแตรรถก็ดังขึ้น มุกลิณญ์จึงสอดสายตาไปมองก็พบว่าเป็นของภควัตร เจ้าตัวก็กระซิบบอกเพื่อนสาวโดยพลัน
“เดี๋ยวค่อยคุยกันนะพิมมี่พอดีพี่ภีมมาน่ะ”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ!”
มุกลิณญ์ไม่สนใจคำทักท้วงของคนต้นสาย เพราะเมื่อรถยุโรปจอดสนิทเธอที่เพิ่งวางสายจากพิมพ์พิชชาก็รีบวิ่งออกไปต้อนรับขับสู้แขกที่คุ้นเคยกันทันที
“พี่ภีม มาว่าไงคะ”
บนดวงหน้าสวยยิ้มละมุน คนที่มาเพียงเพื่อให้ของขวัญที่ซื้อเสร็จแล้วก็ทิ้งไว้ในรถหลายวันเพียงยิ้มตอบ จากนั้นสาวเจ้าของบ้านก็พาคนที่เป็นเหมือนพี่ชายอีกคนมานั่งที่ห้องรับแขกซึ่งกั้นด้วยกระจกใสเสียสองฝั่งและมีเพียงผ้าม่านสำหรับปิดไว้หากไม่ต้องการให้สายตาจากทางด้านนอกสาดเข้ามาเห็น
ทว่าบัดนี้ม่านสีม่วงอ่อนถูกมัดไว้ที่มุมหนึ่ง ส่วนกระจกทั้งสองฝั่งก็ถูกเลื่อนออกไปจนสุดทำให้คนที่นั่งอยู่เห็นมุมไม้ใบเล็ก ๆ ที่สาวเจ้าของบ้านจัดไว้อย่างร่มรื่น สวยงามและเป็นระเบียบ
จนมุกลิณญ์ถือถาดผลไม้มาวางให้ เธอที่นั่งไม่ห่างกันนักและเหลือบไปเห็นถุงกระดาษที่พิมพ์ชื่อร้านจิวเวลรี่ชื่อดังก็เอียงหน้ามองผู้มาใหม่ พร้อมกับหยั่งเชิงถามอย่างอารมณ์ดี
“พี่ภีมไม่ใช่อยากจะมาแค่ทานผลไม้หรือดูต้นไม้ที่มุกปลูกใช่ไหมคะ”
เมื่อมุกลิณญ์ทักท้วงขึ้น คนที่ไม่รู้จะเริ่มยังไงจึงไปต่อได้ “อ้อ...พอดีว่าพี่ พี่...ซื้อขอมาให้น่ะ”
“ของ อะไรเหรอคะ?”
แล้วคนที่ไม่ช่างพูดก็หยิบถุงที่ถือติดมือขึ้นมา พลางส่งให้ “ของขวัญสำหรับที่มุกได้เริ่มต้นงานใหม่ครับ” ทั้งน้ำเสียงที่นุ่มละมุนยังว่า “ขอให้เป็นการเริ่มต้นที่ดีนะครับมุก”
มุกลิณญ์รับของนั้นไว้โดยไม่บิดพลิ้ว แต่ก็ไม่ได้แสดงออกว่าดีใจจนเกินหน้า เธอแกะกล่องที่อยู่ในถุงอีกทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคือสร้อยข้อมือซึ่งทำจากทองคำขาวและมีจี้รูปดาวอันเล็กห้อยอยู่เจ้าตัวก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทั้งยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก
“สวยจังเลยค่ะพี่ภีม”
นั่นทำให้ภควัตรที่ไม่สันทัดกับเรื่องพวกนี้นักยิ้มออก แล้วเขาก็หยิบน้ำขึ้นดื่มอย่างรู้สึกผ่อนคลาย แล้วมุกลิณญ์ที่ลูบสร้อยข้อมือเส้นดังกล่าวไปมาก็ยื่นข้อมือมาทางเขา
“พี่ภีมใส่ให้มุกหน่อยสิคะ”
“อ้อ...” ภควัตรวางแก้วน้ำในมือลงบนโต๊ะ แล้วก็บรรจงคล้องตะขอสร้อยนั้นอย่างเบามือ “ได้สิครับ”
ทั้งคู่นั่งคุยอะไรกันไปอีกพักหนึ่ง จนเมื่อภควัตรเล่าถึงว่าเมื่อวันก่อนเขาไปเจอเด็กหญิงคนหนึ่งที่หน้าตาน่ารักน่าชังทีเดียว มุกลิณญ์ที่ยังตัดสินไม่ได้ว่าจะตอบรับงานที่พิมพ์พิชชาทาบทามดีหรือเปล่าจึงได้ทีขอคำปรึกษา
“เออ...พี่ภีมคะ พอดีว่ายัยพิมมี่จะมาขอให้มุกไปช่วยสอนภาษาให้ลูกของรุ่นพี่แกน่ะค่ะ” มุกลิณญ์เอ่ยถามจริงจัง “พี่ภีมว่ามุกจะไปดีไหมคะ”
“แล้วมุกชอบไหมล่ะ”
“ก็น่าสนใจดีนะคะ” ทว่าเจ้าตัวก็รู้ข้อจำกัดของตน ซึ่งนี่เองที่ทำให้มุกลิณญ์ยังไม่กล้าตอบรับหรือว่าปฏิเสธออกไปในทันที “แต่มุกไม่เคยทำงานกับเด็กนี่สิคะ”
“จริง ๆ แล้วพี่ว่าเด็กน่ารักดีนะ” อยู่ ๆ ดวงหน้าจิ้มลิ้มนั้นก็ผุดขึ้นมาในความคิดของภควัตรอีก เขาจึงพยายามพูดโน้มน้าว “พี่ว่าก็น่าจะเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่น่าสนใจนะครับมุก”
เอาละ...เขาว่าไงเธอก็ว่าอย่างนั้น และทันทีที่ภควัตรขับรถออกไปมุกลิณญ์ก็ต่อสายกลับไปหาพิมพ์พิชชาทันที
“ฉันตกลงลงรับงานนี้พิมมี่ แต่ว่าขอเป็นเสาร์อาทิตย์เท่านั้นนะ”
___________________
มาต่อกันค่า ตอนนี้เนื้อหาค่อนข้างยาวหน่อยนะคะ ^^
ความคิดเห็น