ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมใจปรารถนา (มี E-book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #25 : Chapter 23

    • อัปเดตล่าสุด 25 ธ.ค. 64


    บทที่ 23


    พิมพ์พิชชาที่เพียงแค่บ่นกับตัวเองเบา ๆ คงไม่รู้ว่าเด็กหญิงอลีนามายืนอยู่ใกล้ ๆ กับตนแล้ว ส่วนเด็กหญิงตัวน้อยที่มีริ้วรอยของความแช่มชื่นยินดียิ่งฉายขึ้นบนดวงหน้าเมื่อเห็นพิมพ์พิชชาหันมามองด้วยความตกใจเล็กน้อยก็ยื่นมือมาเขย่าแขนของคนโตกว่าพลางถามซ้ำ

    “แล้วตอนนี้พี่ภีมอยู่ไหนคะ?” เด็กหญิงอลีนาหน้าขึ้นมอง และเมื่อคนถูกถามที่ยังงง ๆ ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเสียงใส ๆ ก็เริ่มคาดคั้นดังขึ้นอีกระดับ “พี่พิมมี่ พี่ภีมอยู่ไหนคะ น้า...”

    ซึ่งเสียงนั้นก็ดังพอให้โรสิตาที่นั่งอยู่กับคุณยายบุญเรือนมีฉงน แล้วมารดาที่ไม่รู้ว่าบุตรสาวตัวน้อยกำลังแผลงฤทธิ์อะไรใส่สาวรุ่นน้องก็รีบรุดลุกขึ้นแล้วเดินไปดูทันที

    “อันนา หนูจะเอาอะไรลูก?”

    “พี่พิมมี่บอกว่าพี่ภีมมาค่ะคุณแม่”

    คำ...ที่บุตรสาวเอื้อนเอ่ยด้วยความใสซื่อทำใจของมารดาเต้นถี่ แล้วโรสิตาก็หันขวับไปมองหน้าพิมพ์พิชชาที่เงยหน้าขึ้นจากแก้วน้ำอัดลมพอดีแววตาประหลาด เห็นอย่างนั้นเจ้าตัวจึงยักไหล่เป็นเชิงตั้งคำถามกลับแบบหน้าตาเฉย โรสิตาจึงตอบกลับไปด้วยคำถามอีกทอดหนึ่ง

    “แกบอกว่าใครมานะยัยพิมมี่?”

    “พิมมี่เห็นเหมือนรถพี่ภีมขับผ่านมาแถวนี้ค่ะ” แล้วเธอก็สันนิษฐานไปแบบส่งเดช “สงสัยว่าพิมมี่จะตาฝาดมั้งคะ พี่ภีมจะมาทำอะไรแถวนี้ล่ะเนอะ”

    “อืม...”

    ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะ! โรสิตาภาวนาในใจ และถึงแม้ว่าบนดวงหน้าอ่อนเยาว์ของบุตรสาวจะฉายแววของความผิดหวังออกมาอย่างเด่นชัด แต่นี่ก็คือหน้าที่ของคนเป็นแม่ที่ต้องหาวิธีตัดไฟแต่ต้นลมโดยการทำให้เด็กน้อยเคยชินกับการไม่มีเขาและไม่เอาใจไปยึดติดกับคนคนนั้น

    แต่จะทำอย่างไรนั้น...โรสิตาเองก็ยังตอบไม่ได้


    แม้ในใจจะมีความกังวลถึงอนาคตที่จะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในชีวิต ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากทีเดียว และแน่นอนมุกลิณญ์ยังไม่ได้เตรียมความพร้อมสำหรับรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าเลยสักอย่าง

    แต่...จะทำอย่างไรได้

    ถึงในใจจะมีเรื่องให้ครุ่นคิดหลายอย่าง หากทว่าหน้าสวยหวานราวนางที่หลุดออกมาจากวรรณคดีเรื่องเอกกลับยังคงไว้ซึ่งความวางนิ่ง ไม่ปล่อยให้อารมณ์ใด ๆ ฉายขึ้น เธอนั่นตัวตรงให้ช่างมือดีบรรจงแต่งแต้มเครื่องสำอางทีละอย่างลงบนคิ้ว ตา พวงแก้ม แล้วมาเสร็จสิ้นตรงริมฝีปากหยักสวย จากนั้นผู้รังสรรค์ผลงานที่มองผ่านชิ้นงานซึ่งมีชีวิตจิตใจของตนซึ่งทอดเงาสะท้อนผ่านกระจกเงาบานใหญ่จึงยิ้มพราย ขณะที่ปากก็เอ่ยชมไม่ขาด

    “สวยจัง สวยกว่าวันลองชุดอีกค่ะ”

    แล้วมือป้อมก็ประคองไหล่ที่กว้างพองามให้ลุกขึ้น เมื่อทั้งคู่เดินออกมาเพื่อเปลี่ยนจากชุดลำลองเป็นชุดไทยจักรีที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ที่อีกห้องหนึ่ง พิมพ์พิชชาที่ก็เพิ่งแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จสรรพดุจกันและโผล่หน้าเข้ามาพอดีจึงเดินเข้ามาประชิดกายของเพื่อนสาวแล้วร้องบอกด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง แจ่มใสเป็นอย่างยิ่ง

    “มา...เดี๋ยวฉันช่วยแต่งตัวให้นะมุก”

    มุกลิณญ์ฝืนยิ้มให้เพื่อนสาวแวบหนึ่งแล้วก็กลับไปตีหน้านิ่งดังเดิม แล้วพิมพ์พิชชาที่รู้จักกับเจ้าของร้านชุดที่รับหน้าที่จัดแจงทั้งเสื้อผ้าและหน้าผมให้ในวันงานจริงก็ยื่นหน้าไปชวนอีกฝ่ายคุยแจ้ว “พี่แตง สบายดีไหมคะ สนใจผู้ช่วยหรือเปล่า”

    “ดีเลยพิมมี่ เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนน้องมุกก่อนนะ พี่ไปเอาเครื่องประดับแป๊บ”

    “ได้ค่ะ”

    พิมพ์พิชชาชะโงกหน้ามองสาวร่างอวบที่เดินออกไปจนพ้นห้องแต่งตัว แล้วคนที่เห็นว่าชุดซึ่งแขวนเอาไว้เป็นอย่างดีดูสวยสะดุดตามากทีเดียวตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามา พลางคิดติ๊งต่างไปเองว่าหากได้ลองใส่เล่นสักครั้งตนเองก็คงจะสวยอยู่ไม่น้อยกว่าเพื่อนเช่นกันก็ไม่รอช้า ขอใช้เวลาเพียงชั่วครู่ที่อยู่ตามลำพังกับเพื่อนสาวทำตามที่ใจเรียกร้องสักครั้งโดยการหยิบมันขึ้นมาแล้วทาบเรือนกายที่สูงเพรียวในระดับมาตรฐานของพนักงานต้องรับของสายการบินระดับนานาชาติซึ่งบัดนี้อยู่ในชุดราตรีสั้นสีโอลด์โรส ทั้งยังยิ้มอย่างเด็กน้อยที่ซุกซนก่อนจะร้องถาม

    “สวยไหมมุก?”

    มุกลิณญ์เพียงผินหน้ามามองเพื่อนรักแล้วยิ้มเจื่อนพร้อมกับพยักหน้ารับ พิมพ์พิชชาที่หมุนตัวไปมาเห็นท่าทีของเพื่อนสาวที่ดูไม่ร่าเริงเหมือนเช่นทุกวันแล้วพลันคิดไปเอาว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบใจนักที่ตนเอาชุดขอบเจ้าหล่อนมาเล่นเฉกนี้ก็รีบวางลงบนโซฟาทันที แล้วก็รีบเอ่ยขอโทษอีกยกใหญ่ “ฉัน...ไม่ควรเอาชุดแกมาเล่นแบบนี้จริง ๆ แหละ ขอโทษนะมุก”

    “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรแกนี่พิมมี่”

    “แต่หน้าแกดูไม่ดีเลยอะ”

    เมื่อถูกทักอย่างนั้นมุกลิณญ์จึงยกมือขึ้นทาบลงบนหน้าของตนครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ มีเพียงพิมพ์พิชชาที่รู้สึกประหลาดชอบกลเท่านั้นที่ทักท้วง

    “ฉันก็นึกว่าแกไม่พอใจฉันซะอีก”

    “โถ่...แค่นี้เอง”

    “ถ้างั้นแล้วแกเป็นอะไร” พิมพ์พิชชาไถ่ถามพลางแตะมือลงบนต้นแขนเรียวเล็กของอีกฝ่าย “วันนี้เป็นวันหมั้นของแก เป็นวันที่แกควรมีความสุขที่สุดในชีวิตวันหนึ่งไม่ใช่เหรอมุก แล้วทำไมแกดูไม่ร่าเริงเอาซะเลยล่ะ”

    อันที่จริงมุกลิณญ์เองก็ไม่ได้อยากจะปกปิดความรู้สึกในใจกับพิมพ์พิชชาแม้เพียงสักนิด เธออยากจะระบายออกมาเสียให้หมดจะได้โล่ง ๆ ด้วยซ้ำ ก็ตั้งแต่วันที่ภควัตรมารับเธอไปลองแหวนหมั้นเมื่อสัปดาห์ก่อน ชายหนุ่มก็ไม่แวะมาที่บ้านของเธออีกเลย เท่านั้นไม่พอเขายังไม่คิดสนใจถามไถ่ถึงความพร้อมว่าเธอจะอย่างไร เตรียมตัวไปถึงไหนแล้วอีกต่างหาก

    ที่ผ่านมาภควัตรทำเหมือนทุกอย่างดำเนินไปดุจช่วงเวลาปกติ พอถึงวันงานก็แค่มาแต่งตัวรอเข้าพิธีตามฤกษ์ที่ได้หากันไว้

    มุกลิณญ์เสียอีกที่ดูจะลนลานไปหมด ด้วยไม่อยากลางานมาทำเรื่องส่วนตัว แต่รายการซึ่งต้องทำตามที่ทางศุภลักษณ์ตระเตรียมเอาไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นขัดผิว ทำเล็บหรือแม้แต่ดูแลส่วนอื่น ๆ เพื่อให้ออกมาดูดีที่สุดก็ได้วางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เงินก็เสียไปจะทิ้งเสียเปล่า ๆ ก็ไม่ได้ ชีวิตของมุกลิณญ์ในช่วงที่ผ่านมาจึงดูวุ่นวายไปหมด

    แต่ก็เถอะ...เธอไม่เคยฉุกคิดเลยจนถึงตอนนี้!

    หลายคำถามก็เพิ่งทะยานเข้ามาจนเป็นปมยุ่งเหยิงไปหมด ว่าที่ทุ่มและเทไปทั้งหมดนี่เพื่ออะไรกัน...

    “คุณน้องมุก” และทันใดนั้นสาวรุ่นพี่ก็เดินเข้ามาพอดีพร้อมกับกล่องเครื่องประดับ สองสาวก็ผละออกจากกันโดยพลัน “ไหนพิมมี่บอกว่าจะช่วยแต่งตัวให้เพื่อนไงคะ นี่จะถึงฤกษ์แล้วนะ”

    “มันยากจังค่ะ พิมมี่แต่งไม่เป็นแฮะ”

    “งั้นมาช่วยส่งของให้พี่แล้วกัน”

    แล้วสาวทั้งสองก็ยืนขนาบข้างมุกลิณญ์เป็นพัลวัน


    วันนี้เช่นกันก็เป็นวันที่เด็กหญิงอลีนามีแสดงละครเวทีเด็กที่โรงเรียนด้วย โดยเด็กหญิงตัวน้อยรับบทเป็นกลุ่มนางฟ้าตัวเล็ก ๆ ที่ออกไปเต้นตอนกลางเรื่อง ดังนั้นโรสิตาจึงต้องตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่เพื่อจัดแจงแต่งหน้าทำผมให้ลูกรักออกมาดูดีที่สุด เสร็จแล้วจึงจูงมือน้อย ๆ ลงมาข้างล่าง

    พนิตาเห็นเด็กหญิงอลีนาในชุดกระโปรงสีขาวบานฟูฟ่องยาวเลยเข่าก็อดนึกเอื้อเอ็นดูไม่ได้ เธอที่ยิ้มกริ่มจึงเรียกหลานสาวตัวน้อยให้เข้ามาหา และขณะที่ผู้เป็นยายกำลังพิศมองด้วยความรักใคร่อยู่นั้นเสียงเล็ก ๆ ก็ทักถามขึ้น

    “คุณยายจะไปดูอันนาเต้นที่โรงเรียนไหมคะ?”

    “คุณยายไปไม่ได้หรอกจ้ะ เดี๋ยวคุณทวดไม่มีเพื่อนอยู่”

    แล้วหน้ากลม ๆ ก็เจื่อนไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางมารดาเพื่อขอให้ช่วยพูดเผื่อว่าจะเปลี่ยนใจพนิตาได้ โรสิตาเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้ามาอธิบายให้บุตรสาวเข้าใจถึงเหตุผลทันที ทั้งยังโน้มน้าว “เดี๋ยวแม่ถ่ายวิดีโอตอนหนูเต้นมาให้คุณยายกับคุณทวดดูด้วยดีไหมคะ”

    “ดีค่ะ” แถมเด็กหญิงที่อารมณ์ดีขึ้นมากยังว่า “เดี๋ยวอันนาจะเต้นให้สุดฝีมือเลยค่ะ”

    เมื่อได้ยินหลานสาวพูดว่าอย่างนั้น พนิตาก็หันไปยิ้มกริ่มกับคุณยายบุญเรือนด้วยความปลื้มใจไม่ต่างกัน โดยที่ยังไม่มีใครพูดอะไรต่อเสียงแหลม ๆ ของแตรรถยุโรปคันเดิมที่ทุกคนในบ้านเริ่มจะคุ้นเคยกันมากขึ้นแล้วก็ดังขึ้น โรสิตาที่รู้ได้ทันทีว่ารามิลคงมาถึงแล้วจึงรีบสะกิดบุตรสาวของตนทันทีพลางบอก “อันนาได้เวลาแล้วจ้ะ”

    เด็กหญิงตัวน้อยจึงยกมือไหว้ผู้อาวุโสทั้งสองด้วยความนอบน้อมตามที่มารดาได้สอนสั่ง แล้วก็รีบเดินเคียงมารดาออกไปทันที

    เพราะวันนี้เป็นวันที่มีกิจกรรมปัจฉิมนิเทศนักเรียนในชั้นปีสุดท้ายของช่วงชั้นต่าง ๆ จึงทำให้รถที่จอดอยู่ภายในสนามมีจำนวนมากกว่าวันปกติ และนั่นเองที่ทำให้รามิลรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยกลัวโรสิตาต้องเดินไกล หากสาวเจ้าที่รับรู้ได้ถึงความลำบากใจก็ไม่รีรอที่จะออกปาก

    “คุณรามิลจอดส่งโรสกับลูกตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวโรสเดินไปเอง”

    “แต่ว่า...”

    เขากลัวว่าเด็กหญิงตัวน้อยต้องเดินไกล หากมารดาของเจ้าตัวกลับว่า “ส่วนยัยอันนาโรสอุ้มได้ค่ะ ไม่หนัก”

    “คุณโรสแน่ใจนะครับ”

    “ค่ะ”

    โรสิตาตอบหนักแน่น หากรามิลก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี และระหว่างที่เขากำลังอึกอักอยู่นั่นเสียงแหลม ๆ ของแตรรถคันหลังก็ดังไล่ โรสิตาเห็นท่าไม่ดีก็รีบเปิดประตูทันทีแล้วว่า “เจอกันที่หอประชุมนะคะคุณรามิล”


    ภาพของนางฟ้าตัวน้อยที่ปรากฏบนอินสตาแกรมทำให้ภควัตรที่ยังคงคิดไม่ตกยิ่งคิดหนักจนเจ้าตัวเองยังรู้สึกร้อนผ่าว ๆ ตรงบริเวณหน้าผากกับตื้อ ๆ ที่กลางศีรษะ เขาทอดมองดวงหน้าแน่งน้อยอยู่นานสองนานจนเสียงเคาะประตูดังขึ้นเจ้าตัวจึงรีบออกจากแอปพลิเคชันพลางสอดโทรศัพท์มือถือของตนใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อทรงกระบอกสีน้ำตาลอ่อนทันที

    “คุณพ่อ คุณแม่”

    นพสิทธิ์เพียงแค่พยักหน้าให้บุตรชายสุดรัก หากศุภลักษณ์ที่แลดูจะมีความแช่มชื่นที่สุดในงานกลับยิ้มแย้มยินดีอย่างเปิดเผย โดยเจ้าตัวในชุดผ้าไหมราคาแพงสีแดงเข้มเดินเข้ามาจัดแจงเสื้อผ้าของบุตรชายเพียงคนเดียวจนเรียบร้อยเป็นที่สุด แล้วบนหน้าของมารดาก็มีน้ำขุ่น ๆ ที่กลั่นจากความตื้นตันใจไหลลงมาหยดหนึ่ง

    ภควัตรเห็นน้ำตาของมารดาก็รีบหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดให้อย่างเบามือ ขณะที่น้ำเสียงแผ่วเบาอย่างคนที่ตกใจเล็กน้อยพลันเอื้อนเอ่ย “คุณแม่ร้องไห้ทำไมครับ?”

    ศุภลักษณ์ยกมือขึ้นทาบบนมือหนาของภควัตรอีกทอดหนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนละมุนว่า “แม่ปลื้มใจต่างหากล่ะลูก ปลื้มจนพูดไม่ถูกแล้วค่ะคุณ”

    นพสิทธิ์เห็นภรรยาของตนดีใจจนพูดไม่ออก เจ้าตัวก็เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับแตะที่ไหล่เบา ๆ แล้วจึงเสริมให้ “วันที่พ่อแม่จะดีใจที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่วัน ถ้านับวันที่ลูกเรียนจบมีงานการที่ดีทำแล้วก็เห็นจะเป็นวันที่ได้เห็นลูกที่เลี้ยงมากับมือได้เป็นฝั่งเป็นฝานี่แหละ”

    แล้วภควัตรก็พูดแบบติดตลก “แต่ผมแค่หมั้นเองนะครับ ยังไม่ได้แต่งซะหน่อย”

    “ก็นั่นแหละจ้ะ รู้ไหมลูกน่ะโชคดีมากเลยนะภีมที่ได้หนูมุกเป็นคู่ชีวิต”

    “ครับ...”

    “งั้นเราออกไปข้างนอกกันเถอะลูก” เพราะเวลาบกนาฬิกาข้อมือของนพสิทธิ์บอกชัด ว่าฤกษ์งามยามเหมาะได้ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว “เดี๋ยวจะเสียฤกษ์เสียหมด”

    ฟากมุกลิณญ์เองเมื่อแต่งตัวเสร็จสรรพแล้วก็เอาแต่นั่งทอดสายตาผ่านกระจกใสออกสู่ภายนอกอย่างไร้จุดหมาย ด้านพิมพ์พิชชาเองแม้จะรู้ว่าเพื่อนสาวมีอะไรในใจแต่เมื่อก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรจึงจับตาดูอยู่ห่าง ๆ จนเสียงแง้มประตูดังขึ้นเจ้าตัวจึงหันไปมองและเมื่อพบว่าเป็นมาริสาที่เดินเข้ามา พิมพ์พิชชาจึงร้องเรียกเพื่อนของตนเบา ๆ

    “มุก”

    “หือ...” เมื่อหันมาและพบว่ามารดายืนอยู่ข้าง ๆ สาวเจ้าจึงคลี่ยิ้มแล้วว่า “คุณแม่”

    มาริสาทอดมองบุตรสาวสุดรักอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เธอคงรู้สึกปลื้มปริ่มไม่ต่างกันกับศุภลักษณ์หากไม่เห็นแววตาแห่งความสับสนที่ฉายชัดผ่านนัยน์ตาสีเข้มคู่นี้ออกมาเสียก่อน และเมื่อเห็นว่ามุกลิณญ์ดูไม่ดีใจเท่าที่ควรจะเป็น มารดาที่อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้จึงทักขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่ง “มุก หนูพร้อมไหมจ๊ะลูก”

    “พร้อมค่ะ”

    “แต่ว่าหน้าของหนู...”

    “มุกแค่...ตื่นเช้ากว่าปกติเลยเพลีย ๆ น่ะค่ะคุณแม่”

    มาริสาไม่แน่ใจว่าที่บุตรสาวของตนพูดมานั้นตรงกับความคิดทั้งหมดหรือเปล่า แต่ก็อีก...แม่ที่เลี้ยงลูกมาเองกับมือย่อมรู้ ลงมุกลิณญ์ไม่ปริปากพูด ให้เอาอะไรมาง้างปากเธอก็ไม่พูด

    เห็นอย่างนั้นมาริสาจึงพูดได้แค่ว่า “ยังพอมีเวลา เดี๋ยวแม่หาอะไรให้ดื่มแก้ง่วงดีกว่า จะเอากาแฟหรือน้ำหวานดีจ๊ะ”

    “ไม่ต้องหรอกค่ะ” แล้วมุกลิณญ์ที่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างราบเรียบก็ฝืนยิ้มอีกครั้งพลางลุกขึ้นยืนเคียงมารดาที่อยู่ในชุดลูกไม้ราคาแพง พร้อมกับกระซิบบอก “เราลงไปข้างล่างกันดีกว่าค่ะ”


    โรสิตาแทบไม่ได้เปิดดูโทรศัพท์ของตนเลยนับตั้งแต่ที่โพสต์รูปของเด็กหญิงอลีนาลงอินสตาแกรมเมื่อครู่ที่ผ่านมา เพราะเด็กน้อยที่เพิ่งแสดงกิจกรรมของทางโรงเรียนเป็นครั้งแรกแลดูตื่นเต้นมากมารดาจึงต้องพูดปลอบให้คลายกังวลอยู่ข้าง ๆ จนครูประจำชั้นเรียกรวมตัวโรสิตาจึงชูสองนิ้วพร้อมบอกว่า “สู้ ๆ จ้ะหนูทำได้อยู่แล้ว” กับลูกสาวแล้วกลับมานั่งที่เดิม และเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าห่วงอีกเจ้าตัวจึงหยิบสมาร์ทโฟนของตนออกจากกระเป๋าเพื่อเตรียมถ่ายวิดีโอให้มารดากับคุณยายได้ดูตามที่บอกกันไว้

    แต่คงอีกพักหนึ่งกว่าอลีนาจะออกมา สาวเจ้าที่หันไปยิ้มกับรามิลทีหนึ่งจึงเปิดแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อตรวจดูความเคลื่อนไหว และสายตาก็ดันไปสะดุดกับการแจ้งเตือนหนึ่งเข้า

    ‘Ppakawat like your photo’

    การแจ้งเตือนดังกล่าวทำให้โรสิตาที่จำไม่ได้ว่าเปลี่ยนตั้งค่าการมองเห็นจากเฉพาะคนที่ติดตามเป็นสาธารณะตั้งแต่เมื่อไรขมวดคิ้วมุ่น หากเป็นคนอื่น ๆ โรสิตาคงไม่ฉงน แต่นี่เป็นเขา...เขาที่ยังอยู่รอบ ๆ ตัวเธอ และเธอก็ยังอยู่ในการรับรู้ของเขาตลอดเวลา

    ในแวบแรกโรสิตาที่กดไปที่ฟังก์ชั่นให้ตั้งค่าก็เกือบเปลี่ยนการมองเห็นให้เป็นเฉพาะแค่ผู้ติดตามอย่างเดิมแล้วเหมือนกัน แต่พอมาคิดดูอีกที...ให้เขาได้รู้ความเคลื่อนไหวในชีวิตของเธอบ้างก็จะเป็นอะไรไป แล้วเจ้าของรูปภาพก็กดเข้าไปดูบัญชีของภควัตรทันที แต่กลับกลายเป็นว่าเขาแทบไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เลย

    ไม่สิ...เขาเคลื่อนไหวบัญชีนาน ๆ ครั้ง และแม้แต่ละครั้งที่โพสต์รูปภาพลงไปภควัตรจะไม่ได้บรรยายข้อความประกอบ แต่โรสิตาก็รู้แก่ใจดี...ทุกรูปที่โพสต์ลงนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่หรืออาหารที่ทั้งคู่เคยวาดหวังว่าจะไปเที่ยวหรือไปรับประทานด้วยกันทั้งสิ้น

    “พี่ภีม...”

    “ครับ...?”

    “อ้อ” และเมื่อถูกรามิลสะกิดเบา ๆ โรสิตาที่เพิ่งรู้สึกตัวจึงหันไปหหาเขาทันที “คะคุณรามิล”

    “น้องอันนาจะออกมาแล้วนะครับ”

    “อ้อค่ะ” แล้วทุกความสนใจก็พุ่งไปที่บุตรสาวตัวน้อยของตนทันที

    เด็กหญิงอลีนากับกลุ่มเพื่อนอีกนับสิบออกมาเต้นระบำกับเป็นวงกลมเต็มเวที แลดูแล้วก็น่ารัก เพลินตาไม่น้อยทีเดียว โดยขณะทำการแสดงบนหน้าตาจิ้มลิ้มก็มีรอยยิ้มฉายเด่นตลอด จนการแสดงในชุดนี้จบลงกลุ่มเด็กจึงมายืนเรียงกับเพื่อขอคุณคนดู และก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อเอี้ยวตัวเพื่อที่จะหันหลังกลับ เด็กคนข้างหน้าที่ถืออุปกรณ์ประกอบการแสดงชิ้นใหญ่สะบัดสิ่งที่อยู่ในมือมาทางข้างหลังโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุได้ ส่วนอลีนาเมื่อเห็นว่ามีสิ่งของที่อยู่ในมือของเพื่อนยื่นเข้าหา ตนก็รีบเอี้ยวตัวหลบทันที

    และร่างน้อย ๆ ก็หล่นตุ้บลงมาท่ามกลางหลายคู่สายตาที่ต่างก็ตะลึงลานไปตาม ๆ กัน

    “อันนา!”

    ภาพตรงหน้าทำให้คนเป็นแม่รีบวางโทรศัพท์ในมือลงบนเก้าอี้ทันทีพลางวิ่งไปหาบุตรสาวที่นอนนิ่งและมีเลือดสีแดงฉาดไหลอาบหน้าผาก เห็นอย่างนั้นโรสิตาก็รีบช้อนร่างน้อย ๆ ขึ้นมาหนุนอยู่บนแขนของตนทันทีพร้อมกับร้องบอกรามิลด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

    “คุณรามิล อันนา...เลือดค่ะคุณ” โรสิตาตกใจจนลนและพูดฟังไม่ได้ศัพท์ ความกลัวทำให้น้ำตาที่ปกติแทบไม่ยอมให้ใครเห็นไหลออกมาอาบแก้ม “คุณรามิล ยัยอันนาจะเป็นอะไรไหมคะ ทำไม...เงียบขนาดนี้ล่ะ”

    “คุณโรส...” รามิลเองก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ในเมื่อโรสิตาทำอะไรไม่ถูกไปคนหนึ่งแล้วขาจึงต้องตั้งสติให้ได้ รวมถึงพยายามดึงสติของเธอด้วย “ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ”

    “แต่ว่ายัยอันนา...” ขณะพูดมือเรียวก็ปาดเลือดไปด้วย “ทำไมเลือดออกเยอะขนาดนี้ล่ะคะ แล้ว...ทำไมยัยอันนาไม่รู้สึกตัวแล้วด้วยล่ะ?”

    “คุณโรส....ตั้งสติก่อนครับ” แล้วรามิลก็เอื้อมมือมากุมมืออีกข้างที่จับมือเล็ก ๆ ของคนที่นอนนิ่งอย่างวิสาสะ “เราพาน้องอันนาไปหาหมอกันนะครับ”

    “หาหมอ?”

    “ใช่ครับ ไปเดี๋ยวนี้เลย ผมพาไปเอง”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×