คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : Chapter 21
บทที่ 21
“อะไรนะ นี่แกเจอนายรามิลอะไรนั่นอีกแล้วเหรอพิมมี่”
ช่วงเย็นหลังจากที่กลับมาถึงคอนโดฯ ในตอนแรกพิมพ์พิชชาตั้งใจว่าจะโทร.มาแสดงความยินดีกับมุกลิณญ์เรื่องงานหมั้นระหว่างหญิงสาวกับภควัตรที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ หากเมื่อมุกลิณญ์รับสายพิมพ์พิชชาก็เผลอพรั่งพรูเรื่องที่ตนประสบพบเจอเมื่อช่วงบ่ายออกมาจนหมด เท่านั้นไม่พอเจ้าตัวยังตั้งข้อสันนิษฐานอีก
“หรือว่าเมื่อเช้าฉันลืมดูดวง”
“ดูดวง?”
เมื่อเพื่อนสาวไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนพูด พิมพ์พิชชาจึงขยายความให้ “เอ้า...ก็ดูดวงออนไลน์ไงยัยมุก เสี่ยงเซียมซีน่ะเข้าไปในเว็บก็มีวัดให้เลือกเสร็จสรรพไม่ต้องตากแดดตากลมไปถึงที่”
มุกลิณญ์ได้ฟังก็ยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหน้าไปมาเบา ๆ แล้วถามกลับ “แล้วถ้าผลออกมาไม่ดีวันนี้ทั้งวันแกจะไม่ออกไปไหนว่างั้น?”
“เปล่า ถ้ารู้ว่าไม่ดีฉันก็จะได้แวะสะเดาะเคราะห์ก่อนไง”
“แกนี่นะ” ขณะพูดมุกลิณญ์เปิดดูปฏิทินไปด้วย เธอกวาดนิ้วเรียว ๆ ลงบนแผ่นกระดาษแล้วจึงนำปากกามาวงตรงวันนัดหมายสำคัญเสร็จสรรพ “หัดปล่อยวางซะบ้างเถอะพิมมี่”
พิมพ์พิชชาไม่อยากปล่อยวาง ใช่...ถ้าได้เจอหน้ารามิลจัง ๆ อีกหน เธอไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ เฉกเช่นวันนี้แน่ แต่ช่างเถอะ!เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน และเมื่อละวางความไม่ต้องใจไว้ได้สักครู่สาวเจ้าก็เข้าประเด็นที่คาใจทันที
“เรื่องของแกกับพี่ภีมเถอะมุก มันยังไงทำไมไวนักล่ะ”
คำถามของพิมพ์พิชชาทำให้มืออีกข้างของมุกลิณญ์ที่กำลังจิ้มปากกาสีม่วงลงบนกระดาษปฏิทินตรงวันกำหนดการหมั้นหมายของตนเองกับภควัตรสะดุดกึกโดยพลัน
เพราะคำถามนี้ทำให้ใจของมุกลิณญ์มีความสับสนแทรกเข้ามาในคราวเดียวกันด้วย ก็เรื่องที่เกิดขึ้นมันช่างรวดเร็วเหลือเกิน...มันเริ่มจากที่ภควัตรเอ่ยคำ...ขอโอกาสจากเธอเมื่อเย็นวันนั้น แล้วผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็นัดคุยกันจากนั้นมารดาของมุกลิณญ์จึงถามความเห็น ซึ่งตรงนี้เองมุกลิณญ์ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ตกปากรับคำมาริสาไปอย่างง่ายดายจนแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักนิดแบบนั้นไปได้
นี่เธอทำอะไรลงไป...คิดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ไม่รู้สิ แม่อยากให้หมั้นมั้ง”
“แล้วแกก็หมั้นตามแม่?” พิมพ์พิชชาฟังแล้วยังงงไม่หาย นี่...ความคิดง่าย ๆ แบบนี้น่ะหรือที่ออกมาจากสมองของเพื่อนซึ่งคบกันมานาน “แกไม่คิดหน่อยเหรอวะมุก ชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตเชียวนะ”
“แต่พี่ภีมเขาคือคนดี แกก็รู้”
“เออรู้ แล้วพี่ภีมเขาคิดกับแกแบบ...เฮ้อ”
พิมพ์พิชชาดูออกมาโดยตลอดว่าสายตาที่ภควัตรใช้มองเพื่อนสาวของเธอนั้นมันไม่เคยเกินความรักและห่วงใยที่พี่ชายมีต่อน้องสาวเลยสักครั้ง มีแค่มุกลิณญ์เท่านั้นที่เออออไปเกินกว่าที่ควรจะเป็นมาโดยตลอด
ก็เพราะผู้ใหญ่นั่นแหละที่ชี้นำ! แล้วพิมพ์พิชชาที่เป็นคนนอกก็ได้แต่ถอนหายใจรดต้นไม้ตรงระเบียงอย่างคนที่ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ พลางภาวนาอย่างเอาใจช่วย “ฉันขอให้ตัดสินใจถูกนะมุก”
อย่าว่าแต่มุกลิณญ์เลย ภควัตรเองก็คิดหนักไม่ต่างกันนัก โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเพราะทุกครั้งที่อยู่เพียงลำพังหน้าหล่อเหลาที่ดูคล้ายกับผู้ชายที่สุขุม ใจเย็นและมากด้วยเสน่ห์เหลือล้นก็จะถูกแทนที่ด้วยริ้วรอยแห่งความตึงเครียดเสมอ เขาเป็นแบบนี้มาได้สักพัก...ก็ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าต้องเข้าพิธีหมั้นหมายกับมุกลิณญ์นั่นแหละ
ไม่เต็มใจหรือ...เปล่า!
ภควัตรเองก็บอกไม่ถูก จริงอยู่ที่เขารู้สึกดีมาก ๆ กับมุกลิณญ์ที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลเขาเสมอ และถ้าตัดโรสิตาออกไปก็มุกลิณญ์นี่แหละคือคนที่เขาพร้อมจะดูแลไปตลอดชีวิตนับจากนี้
แต่มันติดตรงที่ภควัตรยังตัดใจจากโรสิตาไม่ได้นี่สิ...
“ทำไมแค่ตัดใจจากคุณมันถึงได้ยากจังเลยนะโรส”
ซึ่งนั่นทำให้ภควัตรได้ฉุกคิด ว่าตอนที่โรสิตาตัดใจจากเขาไปหาผู้ชายที่เทียวรับเทียวส่งกันเช้าเย็นคนนั้นมันจะยากเย็นขนาดไหน หรือว่าง่ายดายคล้ายตัดเชือกปอเท่านั้น คิดเท่าไรก็ไม่ตกเจ้าตัวจึงค่อยเอนหลังพิงกับเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วค่อย ๆ หลับตาไปอย่างช้า ๆ
“โรสรักพี่ภีมคนเดียว”
โรสิตาเขย่งเท้าพลางยื่นหน้าไปแนบชิดใบหูของภควัตรก่อนจะค่อยกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แล้วจึงเบือนกลับมาทอดมองดวงหน้าหล่อของชายเดียวที่เธอรักด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ท่ามกลางสายลมบางเบากับคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งในตอนเช้าตรู่กับแสงสีส้มที่เพิ่งโผล่พ้นเส้นขอบน้ำที่อยู่ไกลจนสุดลูกหูลูกตาเพียงหนึ่งในสาม ที่แลดูรวม ๆ แล้วเป็นทิวทัศน์ที่ชวนมองเป็นอย่างยิ่ง หากในสายตาของภควัตรแล้วเขามีเพียงโรสิตาเท่านั้นที่สวยเด่น
“พี่ก็จะรักโรสแค่คนเดียวเหมือนกันครับ”
“จริง ๆ นะคะ”
“ครับ” แล้วภควัตรก็ยื่นนิ้วก้อยออกมาให้โรสิตาเกี่ยวกุม “สัญญา...จากใจ”
ถ้อยคำง่าย ๆ แสนธรรมดา หากกับคนทั่วไปมันคงลอยไปกับกระแสลมทะเลตรงหน้า และคงไม่มีใครสนใจจะจดจำอีก แต่กับคนสองคนที่มีใจผูกสมัครรักกันอย่างยิ่งยวด ถ้อยคำนั้นจะตราตรึงอยู่ใจในเสมอ...
“คุณภีม!”
ฝันวันวานที่เคยหวานซึ้งตรึงใจปลุกให้โรสิตาสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ครั้นรู้ตัวว่านั่นคือความฝันเธอที่เหงื่อไหลท่วมตัวจึงเงยหน้ามองตัวเลขดิจิตัลบอกอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ โรสิตาถึงได้รู้ว่าก็ปกติเหมือนเช่นทุกคืน ไม่มีอะไรขัดข้องหรือเสียงหาย
“ก็ไม่ได้ฝันร้ายนี่นา”
โรสิตาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนยังนึกหลากใจอยู่เล็กน้อย ทำไมเหตุการณ์ครั้งวันวานที่หวนกลับมาย้ำเตือนในรูปแบบของความฝันถึงทำให้เธอสูญเสียพลังงานได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ครั้งหนึ่งมันคือสิ่งที่หวานซึ้งตรึงใจที่สุดในชีวิตของเธอด้วยซ้ำ
แล้วคนที่คิดไม่ตกก็เหลือบไปมองบุตรสาวตัวน้อยที่ยังนอนหลับสนิท มีเพียงผ้าห่มสีอ่อนถูกปัดให้ห่างจากตัวเท่านั้น คนเป็นแม่เห็นอย่างนั้นจึงค่อย ๆ ยกขึ้นห่มคลุมให้อย่างเบามือ โดยไม่คิดว่านั่นจะทำให้เด็กน้อยค่อย ๆ รู้สึกตัวและเอ่ยถาม “คุณแม่ เช้าแล้วเหรอคะ?”
โรสิตาทอดมองหน้าเล็กด้วยความรักใคร่เป็นอย่างยิ่ง แล้วเธอก็ก้มลงลูบไรผมเบา ๆ พลางตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มละมุน “ยังหรอกจ้ะ หนูนอนต่อนะลูก”
“แล้วทำไมคุณแม่ไม่นอนคะ หรือว่าคุณแม่ฝันร้าย”
“เปล่าหรอกจ้ะ” แล้วโรสิตาที่ไม่รู้จะว่าอย่างไรก็พูดอ้อมไปเรื่อย “แม่เห็นผ้าห่มของหนูหลุดเลยลุกมาห่มให้น่ะจ้ะ มา...นอนดีกว่าเดี๋ยวแม่นอนกอด”
“ค่ะคุณแม่” เด็กหญิงอลีนาตอบรับพลางยิ้มแย้ม
หลังจากจัดแจงพาบุตรสาวที่ตื่นขึ้นกลางดึกให้เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ได้อีกครั้งหนึ่ง โรสิตาที่ยังไม่สามารถทอดถอนอารมณ์วาบไหวอันเกิดพ่วงตามมากับความฝันเมื่อครู่นี้ได้ก็เอื้อมมือออกไปเพื่อกอดเลือดในอกของจนที่ก่อกำเนิดเกิดมาจนเป็นตัวเป็นตนให้เธอใช้ยึดเป็นสรณะเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตแนบแน่น เพื่อตอกย้ำกับใจที่ว่างเปล่าและพยุงตัวให้พอมีความหวังสำหรับวันต่อ ๆ ไป
“อย่างน้อย ๆ ก็มียัยอันนาอยู่ทั้งคน”
ภควัตรใช้เวลาในวันหยุดมารับมุกลิณญ์ไปลองชุดที่จะใส่ในวันหมั้นตอนช่วงสาย และเพราะว่างศุภลักษณ์ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญของงาน ทั้งยังรับหน้าที่จัดแจงเตรียมงานแทบทุกอย่างจนเกือบเรียบร้อยครบถ้วนแล้วจนมุกลิณญ์กับมาริสาแทบไม่ต้องขยับตัวทำอะไรเลยได้โทร.นัดหมายกับทางร้านแล้วว่าทั้งคู่จะเข้าไป ทำให้เมื่อทั้งภควัตรและมุกลิณญ์เดินทางมาถึงสาวเจ้าของร้านผู้เป็นดีไซเนอร์เก่าซึ่งพิศมองชายหญิงเพียงปราบเดียวก็รู้ทันทีว่าควรจัดชุดแบบไหนให้ก็พามุกลิณญ์เข้าไปยังห้องแยกสำหรับสุภาพสตรีทันที
“สวยมากค่ะคุณมุก”
หญิงสาวในวัยสามสิบปลาย ๆ ทอดมองเรือนร่างสูงโปร่งทว่าแบบบางในสวมชุดไทยจักรีสีแดงสด ทาบทับด้วยสไบสีทองอีกชั้นหนึ่งซึ่งเสริมให้เจ้าของเรือนกายแลดูสวยเด่นพลางเอ่ยชมไม่ขาดปาก ขณะที่มือทั้งสองก็บรรจงสวมสร้อยคอซึ่งมีจี้ทรงข้าวหลามตัดสลักลายงดงามลงบนเรียวคอที่ยาวระหง บนหน้าเจ้าของร้านมีริ้วรอยยิ้มแย้ม ยินดียิ่ง “อย่างกับนางในวรรณคดีไทยแน่ะค่ะ”
มุกลิณญ์ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงปล่อยให้สาวคนเดิมนำเครื่องประดับหลากชิ้นค่อย ๆ สวมทับชุดที่ยาวกรอมเท้าทอดมองตัวเองผ่านกระจกเงาบานกว้างที่มีความยาวไล่ลงมาจรดพื้นกระเบื้องสีอ่อนด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แม่ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งของหนูนะลูก… แต่ครั้นนึกถึงหน้าของมารดาที่ยังอวยพรให้เมื่อเช้าเจ้าตัวก็ฝืนยิ้มเจื่อน ๆ ขึ้นมาทีหนึ่ง
ชั่วครู่ต่อมาสาวเจ้าของร้านที่นำปิ่นสำหรับประดับบนมวยผมซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับใบหูสองข้างที่มีต่างหูยาวระย้าประดับอยู่มาปักให้เป็นชิ้นสุดท้าย แล้วก็พลันจัดการจับผ้าผืนยาวที่ทาบลงบนกายให้มีความเรียบร้อยสวยงาม แล้วจึงกระซิบบอก “เราออกไปข้างนอกกันเถอะค่ะ ป่านนี้คุณภีมคงตื่นเต้นอยากเห็นคุณมุกจะแย่แล้ว”
คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางพูดพลางยิ้มละมุน หากมุกลิณญ์ที่ยังไม่แน่ใจนักว่างานหมั้นในครั้งนี้เกิดจากความสมัครใจของภควัตรกี่ส่วนกันเชียวกลับสับสน แล้วคนที่ก้าวตามไปอย่างว่าง่ายก็หยุดฝีเท้าก้าวที่สองเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งเพื่อหยุดคิด ครั้นพอตัดสินใจได้ว่าเป็นไงก็คงต้องเป็นกันเท้าเรียวยาวบนรองเท้าส้นเข็มที่สูงเกือบห้านิ้วก็จึงก้าวไปต่ออย่างแช่มช้า
“คุณภีมคะ” เสียงเล็ก ๆ เพรียกให้ภควัตรในชุดไทยสีน้ำตาลกลางละสายตาจากนิตยสารที่เพิ่งหยิบมาอ่านฆ่าเวลาทันที “คุณมุกมาแล้วค่ะ”
ภควัตรทอดมองมุกลิณญ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพลางฉายยิ้มละมุนบนหน้าหล่อซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ส่วนสาวเจ้าเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นก็หลงดีใจจึงส่งยิ้มกลับ โดยหารู้ไม่ว่าภาพที่ปรากฏอยู่ในมโนความคิดของเขาไม่ใช่เธอ!
เพราะสิ่ง…ที่กลั่นจากประสาทสัมผัสทางการมองเห็นของภควัตร…คือดวงหน้าสวยหวานของโรสิตาเท่านั้นที่ฉายชัด
มันชัดเจนเสียจนหัวใจที่โหยหาหักห้ามไม่ไหว ภควัตรจึงปล่อยให้ปากที่หยักได้รูปเอ่ยชื่อเดียวของหนึ่งหญิงที่ตราตรึงอยู่ในใจออกมาจนได้
“โรส…”
เสียงนุ่มละมุนที่มีไว้เพื่อเอื้อนเอ่ยชื่อของโรสิตาเพียงเท่านั้นทำให้มุกลิณญ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉงน เธอเอียงหน้ามองภควัตรที่ยังยิ้มพรายค้างอยู่เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งแล้วจึงหุบยิ้มน้อย ๆ บนหน้าสวย ด้วยมุกลิณญ์เริ่มรับรู้ได้ว่ายิ้มนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเธอ…เช่นนั้น เธอก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องยิ้มตอบ แล้วมุกลิณญ์ก็เบือนหน้าไปหาหญิงคนที่ดูแลตนตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาถึงพลางยิ้มน้อย ๆ แก้เก้อ
ส่วนสาวเจ้าของร้านเมื่อเห็นลูกค้าหนุ่มหล่อยังคงจ้องหน้าสาวสวยนิ่ง นานราวจมดิ่งอยู่ภายใต้ภวังค์ของความงามจนไม่อาจทอดถอน เธอจึงยื่นนิ้วไปแตะที่ต้นแขนของเขาเพียงแผ่วเบาแล้วจึงทักแกมหยอก “คุณมุกสวยจนไม่กล้ากะพริบตาเชียวหรือคะคุณภีม? ”
“ครับ? ”
และเมื่อภควัตรขยับเปลือกตาเพียงครั้งหนึ่ง ภาพดวงหน้าของโรสิตาก็พลันจางหายพร้อมกับดวงหน้าของมุกลิณญ์ปรากฏขึ้นมาแทนที่ มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร…ในเมื่อทุกครั้งที่พบหน้าก็เป็นเธอที่ผลักไส!ครั้นรำลึกได้อย่างนั้นภควัตรก็ส่ายหน้าเบา ๆ ทีหนึ่งแล้วจึงยิ้มน้อยให้กับมุกลิณญ์ที่หันกลับมาพอดี
“สวยหล่อยังกับคุณหลวงกับแม่หญิงเลยค่ะ”
เมื่อสาวคนหนึ่งว่า พนักงานอีกคนจึงเสริม “เหมาะสมกันที่สุดเลยค่ะ”
‘เหมาะสม…’ หรือ เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นมุกลิณญ์ที่ต้องมานั่งครุ่นคิดอะไรคนเดียวอยู่ตรงระเบียงด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก็เห็นอยู่ว่าเมื่ออยู่กับตนภควัตรนั้นเหมือนกับหุ่นยนต์ใส่ถ่านที่ใครบอกให้ทำอะไรก็ทำตามอย่างไม่ขัดขืน แต่ขณะเดียวกันก็ดูไม่ได้กระตือรือร้นราวสิ่งที่ทำงานด้วยจักรกลไร้ซึ่งชีวิต
แม้แต่รอยยิ้มที่มอบให้…กับสายตาที่มองมายังดูว่างเปล่า… ดูเถอะ ต้นไม้ฟอกอากาศที่อยู่ตรงริมระเบียงยังดูมีชีวิตชีวาเสียมากกว่าอีก!
โครม!
เสียงของแข็งดุจกันที่เคลื่อนเข้ามากระแทกหลังรถดังโครมทำให้หน้าของคนที่นั่งเคียงกันมาเกือบทิ่มบาร์หน้ารถ ชั่วครู่น้ำหนึ่งที่เงยหน้าขึ้นก่อนจึงหันไปบ่นพี่ชายปาว ๆ ขณะที่มือก็คลึงหน้าผากที่รู้สึกเจ็บหนึบ ๆ ไปด้วย
“นี่พี่มิล! ขับรถยังไงวะคะ?”
“ก็มันมีรถขับมาชนท้ายเนี่ย” รามิลกระแทกเสียงใส่น้องสาวเพียงคนเดียวอย่างหัวเสีย “ทำไมมันซวยแบบนี้นะ เดี๋ยวพี่ลงไปดูก่อนนั่งรออยู่นี่ล่ะ”
“อืม”
และเมื่อรามิลเดินอ้อมไปที่ด้านหลังเขาก็ต้องอ้าปากค้าง ส่วนคนชนก็ไม่คอยให้เขาหายอึ้ง...พิมพ์พิชชาที่ตอนแรกกะจะลงมาขอโทษขอโพยเพราะรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่ดูให้ดีว่ามีรถจอดอยู่ข้างหน้า แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเขา เธอก็เปลี่ยนเป็นกล่าวโทษแทนในทันใดนั้นเอง
“นี่คุณจอดรถอะไรตรงนี้ยะ ที่ตั้งเยอะตั้งแยะทำไมไม่ไปจอด” พิมพ์พิชชาร่ายยาวทันที “แหม...ขวางทางเก่ง ชาติที่แล้วเกิดเป็นจระเข้เหรอวะ!”
ซวยคุณสอง รามิลสบถในใจ
“ทำไมเป็นคุณอีกแล้วล่ะ?” คนถูกชนถามขึ้นด้วยความฉงน หรือว่า “คุณสะกดตามผมมาเหรอ?”
“อะไรใครตามคุณ” พิมพ์พิชชาที่เริ่มมีโมโหเถียงกลับแบบขาตะไกรถี่ยิบ ไม่ยอมลดละ “ฉันจะเสียเวลาชีวิตไปตามคนบ้าประสาทกลับแบบคุณทำไม คุณสิพวกมิจฉาชีพ อ้อ...ที่แกล้งเบรกรถกะทันหันนี่ก็คงจะเป็นกับดักของคุณด้วยสินะ เหอะ...แผนสูงเหมือนกันนี่ แต่ขอโทษนะแผนตื้น ๆ แบบเนี้ยทำอะไรคนฉลาด ๆ อย่างฉันไม่ได้หรอกน่า”
นั่นทำให้รามิลงงไม่น้อย นี่มันอะไรกันเขาจะลงมาเคลียร์ดี ๆ แต่ยัยนี่กลับสวดใส่ไม่ยั้ง เธอ...ยังสติดีอยู่หรือเปล่า!
“นี่คุณ...”
“นี่คุณ” พิมพ์พิชชาพูดตามรามิลแบบเป๊ะ ๆ แล้วหญิงสาวก็ขยายความให้ทีหลัง “ถ้าจะแถละก็เงียบไปเลยนะ ว่าแต่...”
เมื่อลองพินิจดูดี ๆ ชายผู้นี่ก็น่าจะบ้านรวยอยู่ไม่น้อย ถ้างั้น...รวบรัดเลยละกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลานาน คิดได้อย่างนั้นคนชนจึงยกยิ้มพลางยื่นข้อเสนอ “เอามาห้าแสนแล้วจบแยก ดีลมะ?”
ข้อเสนอดังกล่าวทำให้รามิลอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะทวนคำของผู้หญิงตรงหน้าเสียงดังลั่น “ห้าแสนอะไรของคุณ?”
“เอ้า ก็ค่าซ่อมรถไงคะ!”
มิจฉาชีพจริง ๆ ด้วย รามิลหมายหัว เพี้ยน ๆ แบบนี้ลืมทานยาระงับประสาทมาด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่...เดี๋ยวนะ เธอขับรถมาชนท้ายรถของเขาแท้ ๆ แล้วยังจะมีหน้ามาเชิดหน้า เท้าสะเอวเรียกค่าเสียหายเอาหน้าซื่อ ๆ อีกฝันไปเถอะ!
“ง่ายไปไหมคุณ อยู่ ๆ มาชนพอชนเสร็จแล้วยังจะมีหน้ามาเรียกร้องค่าเสียหายหน้าตาเฉย” แล้วรามิลก็เล่นมุกเดิมกับพิมพ์พิชชาอย่างไม่มีการขอซื้อล่วงหน้า “ไม่มีเงินซื้อยาระงับบ้าทานหรือไง!”
คำว่า ‘เงินซื้อยาระงับอาการทางจิต’ ทำให้คนที่ไม่ถนัดตบมุกอย่างพิมพ์พิชชาต้องหยุดคิดสักพัก ครั้นพอนึกขึ้นได้เจ้าตัวจึงปรี๊ดขึ้นทันที
“ไอ้บ้านี่ พูดงี้หมายความว่าไงวะ” นอกจากแผดเสียงด่าแจ้ว ๆ แล้วสาวเจ้ายังชี้มือชี้ไม้พลางกระทืบเท้าปึงปังไปด้วย “แก...ไร้ความเป็นสุภาพบุรุษที่สุด”
บทสนทนาที่ยังหาทางออกไม่ได้นั้นดังพอให้น้ำหนึ่งรับรู้ได้ถึงความผิดปกติได้ ว่าแล้วเธอจึงรีบลงมาดูทันที และนอกจากนี้เสียงที่ถกกันแจ้ว ๆ ยังดังพอให้พนิตาต้องหันมาสะกิดบอกกับโรสิตาที่กำลังปอกผลไม้อยู่ข้าง ๆ ด้วยว่า
“ไปดูหน่อยสิจ๊ะยัยโรส ใครมาโวยวายอะไรหน้าบ้านเราน่ะลูก”
“ค่ะแม่”
โรสิตารามือจากงานตรงหน้าแล้วจึงรีบเดินออกไปดูทันทีก็เห็นว่ารามิลซึ่งเป็นแขกที่เธอเอ่ยชวนมาเองกับพิมพ์พิชชากำลังยืนจ้องหน้าเขม่นกันอย่างเอาเรื่อง และเมื่อมองเลยไปจึงเห็นน้ำหนึ่งยืนทำหน้างงอยู่ไม่ห่างจากพี่ชายของตนนัก สาวเจ้าของบ้านที่คิดใคร่ครวญแล้วก็ตัดสินใจได้ตอนนั้นเองว่าถามสาวคนนี้น่าจะได้เรื่องดีที่สุด ว่าแล้วโรสิตาจึงเดินเข้าไปหาน้ำหนึ่งโดยพลัน
“คุณน้ำหนึ่งคะ” โรสิตาอดมองไปที่คนทั้งสองที่กอดอก เท้าเอวใส่กันอย่างเอาเรื่องด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก “ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นคะ”
“เอ่อ…คือ”
ขณะที่น้ำหนึ่งกำลังอ้ำอึ้งไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี พิมพ์พิชชาที่กลัวไปก่อนแล้วว่าโรสิตาจะเอาใจเข้าไปทางข้างของสองพี่น้องนี่ จนจะพาส่งเสริมให้พวกเขาเอาเปรียบตนไปด้วยก็ชิงพูดขึ้น “ก็บอกไปสิคะว่าพี่ชายของคุณนึกจะจอดรถตอนไหนก็จอดน่ะ บ้าที่สุด!”
ใช่....รามิลผิดเต็ม ๆ ที่นึกจะเบรกก็เบรกตรงนั้นเลย แต่ว่าสาวคู่กรณีก็จะตั้งสติแล้วค่อย ๆ เจรจากันไม่ได้หรือ...
และแม้จะนึกไม่พอใจต่อท่าทีเช่นนี้อยู่เหมือนกัน แต่น้ำหนึ่งเองที่ยังไม่อยากมีเรื่องจึงทำนิ่งเสีย ส่วนโรสิตาก็เหลียวซ้ายแลขวาตัดสินไม่ถูก รามิลเห็นอย่างนั้นจึงตัดบทด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างห้วน “ก็กล่องของขวัญมันหล่นนี่”
กล่อง...ใส่ของขวัญชิ้นที่แย่งไปจากมือของเธอวันก่อนนั้นสินะ คิดแล้วก็ยังเจ็บใจไม่หาย! พิมพ์พิชชาจึงกัดฟันกรอด ๆ อย่างคนที่ทำอะไรไม่ได้มากขณะที่ในแววตาก็ยังคุกรุ่นด้วยอารมณ์โกรธ น้ำหนึ่งที่รู้ดีอยู่ว่าถึงผิดแต่รามิลคงไม่ลดทิฐิในตัวเองแล้วมาขอโทษพิมพ์พิชชาก่อนแน่ เจ้าตัวจึงออกหน้ารับแทนด้วยความอะลุ่มอล่วย
“คุณ...เอ่อ” แล้วน้ำหนึ่งที่ไม่รู้ว่าสาวคนนี้ชื่ออะไรก็ยิ้มแก้เก้อแล้วกล่าวต่อ “หนึ่งต้องขอโทษแทนพี่มิลด้วยนะคะ ส่วนค่าสึกหรอนี่หนึ่งจะให้ประกันมาเคลียร์ให้คุณทีหลัง แบบนี้ดีไหมคะ”
ฟังแล้วได้ความเช่นนั้น พิมพ์พิชชาก็เหลือบมองรามิลแล้วยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ เธอหันมาหาโรสิตาที่มองทำนองว่าขอร้องไม่ให้ต่อความยาวสาวความยืดอีก คนที่เห็นแกกรุ่นพี่จึงค่อยลดราวาศอกแล้วสะบัดเสียงใส่ “ก็ได้ค่ะ”
ความคิดเห็น