คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Chapter 18
บทที่ 18
หลังจากที่ส่งเด็กหญิงอลีนาเสร็จสรรพโรสิตาก็บอกกับรามิลว่าตนคงต้องแวะซื้อของเข้าร้านก่อนให้เขาแยกกลับได้เลยเพราะเกรงใจกลัวอีกฝ่ายเข้างานสาย แต่กระนั้นรามิลที่มีน้ำหนึ่งเป็นไม้กันหมา คอยรับหน้าแทนให้ทั้งคนก็ยังยืนกรานจะอยู่เป็นเพื่อนให้ได้
และเมื่อโรสิตาทักถาม รามิลก็ว่า “ไม่เป็นไรเลยครับคุณโรส ผมเข้างานตอนไหนก็ได้”
“แล้วแบบนี้...พนักงานเขาจะไม่เอาเป็นตัวอย่างหรือคะ”
คำถามปนตำหนิน้อย ๆ นั้นนอกจากจะไม่ทำให้รามิลรู้สึกระคายหูเลยแม้แต่น้อยแล้ว มันกลับยังเรียกเสียงหัวเราะให้เขาได้อีกทางหนึ่งด้วย แล้วเขาก็ตอบไปด้วยท่าทางที่แลดูสบายใจยิ่ง “ไม่มีใครเขาสนใจผมหรอกครับ คนพวกนั้นเขากลัวยัยหนึ่งคนเดียวเท่านั้นแหละแค่ยัยหนึ่งไปเช้า ผมเข้าเที่ยงเข้าบ่ายก็ไม่มีใครมานั่งจับสังเกตอีกแล้วครับ”
“อืม...ค่ะ” แล้วโรสิตาก็ยอมใจอ่อนในที่สุด “งั้นก็ได้ค่ะ”
เพราะมีรามิลติดสอยห้อยตามกลับมาถึงที่บ้านด้วยในตอนเพล ทั้งหนุ่มคนนี้ยังช่วยยกของลงจากรถไปเก็บให้อีกอย่างขยันขันแข็ง เห็นอย่างนั้นพนิตาก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยทีเดียวว่าระหว่างบุตรสาวของตนกับชายหนุ่มคนนี้คือความสัมพันธ์ฉันใดกันแน่ หากแต่มารดาก็ยังคงไว้ได้ด้วยท่าทีที่สุขุมและสงบนิ่ง โดยเธอรอให้รามิลกลับไปก่อน และเมื่อโรสิตาเดินวกเข้ามาอีกครั้งพนิตาก็ทักขึ้นทันควัน
“ยันโรส แม่ขอถามอะไรหน่อยสิลูก”
เสียงนุ่ม ๆ ของมารดาเพรียกให้โรสิตาหยุดฝีเท้าที่ก้าวเลยไปแล้วโดยพลัน พลางหันมาเลิกคิ้วถาม “คะแม่?”
“แม่ถามตรง ๆ นะ” แม้น้ำเสียงจะถูกกดลงจนราบเรียบ ไม่ได้นุ่มนวลเช่นในประโยคแรก หากสีหน้าของสตรีวัยหกสิบต้น ๆ กลับยังคงมิได้เคร่งขรึมอย่างเสียงที่เอ่ย “หนูกับคุณที่ชื่อว่ารามิลนั่นน่ะ สนิทกันมากหรือลูก”
คำถามนี้ทำโรสิตาอึกอักพูดไม่ออก...เธอจึงเบนหน้าไปมองกล้วยไม้สีเหลืองอมส้มในกระถางซึ่งแขวนอยู่ริมระเบียงที่อยู่เยื้องออกไป ขณะที่ใจซึ่งคิดว่าทบทวนดีแล้วกลับยังมีความสับสนแทรกเข้ามาไม่หยุดหย่อน
อันที่จริงรามิลก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เขาติดซื่อด้วยซ้ำ...นั่นก็คงเพราะจบจากโรงเรียนชายล้วนละมัง! แต่เอาจริงหากจะถามว่ารู้สึกอย่างไรกับเขาโรสิตาไม่สามารถตอบได้ ก็เขาเข้ามาในชีวิตของเธอในตอนที่เธอกำลังสับสนในเรื่องของภควัตรอย่างพอเหมาะพอเจาะ และเฉกกันหากภควัตรไม่ก้าวกลับมาในชีวิตโรสิตาเองก็คงไม่เปิดโอกาสให้รามิลได้สนิทกับตนได้เร็วขนาดนี้
คิดมาถึงตรงนี้โรสิตาก็ได้แต่ทอดถอนใจ...เธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองนิสัยเสียได้เท่ากันตอนนี้เลยจริง ๆ
“เอาละ ถ้าหนูยังตอบไม่ได้ในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร” แล้วมารดาก็พูดขึ้นอีก “และต่อไปหนูจะตัดสินใจอย่างไรแม่ก็จะไม่ห้าม แค่ให้นึกถึงตัวเองกับยัยอันนาให้มาก ๆ ก็พอ”
พนิตาคงอนุมานถึงความรู้สึกของรามิลที่มีต่อบุตรสาวเพียงคนเดียวของตนได้ไม่มากก็น้อย และเช่นกันหากโรสิตาจะเปิดใจรับใครเข้ามาเธอก็ไม่ว่า เธอขอแค่ให้เขาคนนั้นรับเด็กหญิงอลีนาได้ คิดว่าหลานสาวตัวน้อยคือส่วนหนึ่งของครอบครัวที่กำลังจะสร้างขึ้นด้วยกันไม่ใช่ส่วนเกิน เพียงเท่านี้คนที่เป็นทั้งแม่และยายในคราวเดียวกับก็พอใจที่สุดแล้ว
“คุณมุก!”
มุกลิณญ์หยุดฝีเท้าลงทันทีที่เสียงทุ้มใสเรียกจบ และเมื่อหันกลับมาตามเสียงนั้นก็พบว่าปรัชวิทย์กำลังยืนยิ้มพรายอยู่ใกล้ ๆ เธอจึงเลิกคิ้วแทนคำถาม ส่วนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ก่อนเมื่อเห็นมุกลิณญ์ทำทีเหมือนจะออกไปข้างนอกเขาจึงถามกลับอีกประโยค
“คุณจะกลับแล้วหรือครับ”
“ค่ะ พอดีวันนี้สอนเสร็จเร็ว”
“ดีเลยครับ” ปรัชวิทย์พยักพเยิดก่อนจะเดินเข้ามาประชิด แล้วคนที่เริ่มสนิทกันแล้วก็เอ่ยชวน “ผมมีร้านหนึ่งจะแนะนำ ไม่ทราบว่าคุณสนใจไหมครับ”
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติมุกลิณญ์คงคลี่ยิ้มด้วยยินดีแล้วรีบตอบรับอย่างไม่ต้องเสียเวลาให้ครุ่นคิด แต่ว่าตอนนี้ภควัตรหรือพี่ภีมของเธอยังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่คนละฝั่งที่เธอยืนอยู่ตอนนี้ แถมมุกลิณญ์ยังรับปากกับศุภลักษณ์ไปแล้วด้วยว่าเลิกงานจะรีบแวะไปหา
ต่อให้อยากไปกับคนตรงหน้ามากแค่ไหนคำที่พูดกับศุภลักษณ์ไปแล้วก็ย่อมต้องสำคัญกว่า มุกลิณญ์ที่เสียดายไม่น้อยจึงปฏิเสธเสียงแผ่ว “ฉัน...มีธุระน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้างั้นเดินทางปลอดภัยนะครับ”
“อื้ม...ขอบคุณค่ะ”
เพราะทางที่ผ่านมายังโรงพยาบาลมีร้านขนมที่ขึ้นชื่อประจำย่านนั้นตั้งอยู่ มุกลิณญ์ที่นึกขึ้นได้ว่าภควัตรคงชอบก็ไม่ลืมแวะซื้อติดมือมาด้วย ส่วนศุภลักษณ์เมื่อเห็นว่าบุตรชายของตนมีเพื่อนอยู่แล้วก็ขอตัวลงมารับประทานอาหารที่ด้านล่างทันทีโดยปล่อยให้ทั้งคู่อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง
จัดอาหารใส่ถ้วยเสร็จสรรพมุกลิณญ์จึงเดินมานั่งข้างเตียงของภควัตร และด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายยังหลับอยู่เพราะยาของหมอที่ให้มีฤทธิ์ทำให้ง่วง เธอจึงหยิบหนังสือที่ทางโรงพยาบาลวางเอาไว้สำหรับคนเฝ้าไข้อ่านแก้เบื่อขึ้นมาเปิด ๆ ดูฆ่าเวลาไปพลาง
ภควัตรเหมือนเดินอยู่ลำพังในที่ซึ่งมืดมิด เขาทอดฝ่าเท้าที่เปลือยเปล่าลงไปตามสะพานไม้ที่ทอดสู่ท้วงทะเลสีดำคล้ำอย่างยากเย็นเพราะเห็นว่าโรสิตากับอลีนายืนอยู่ตรงสุดทางนั่น ด้วยความหวัง...แม้บรรยากาศโดยรอบจะทั้งวังเวงและน่าสะพรึงกลัว หากมีเพียงรอยยิ้มฉาบทาบนสองแก้มน้อย ๆ ของคนตัวเล็กกับมือป้อม ๆ กวักเรียก เขาก็พร้อมจะถลาเข้าไปหาคนซึ่งยืนคอยอยู่เบื้องหน้านั้นโดยพลัน
ภควัตรไม่กลัว! ดีเหมือนกัน วันนี้ได้อยู่ตามลำพังกับเธออีกครั้งเขาต้องถามถึงสาเหตุของเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อนให้รู้เรื่องให้ได้
“โรส...”
แปลก...ร่างแบบบางที่ยืนกอดอยู่กับเด็กหญิงตัวน้อยมิได้ขัดขืน เธอยินยอมให้เขาซึ่งเพิ่งเดินเข้าไปหาสวมกอดอย่างเต็มใจ เท่านั้นยังไม่พอมือเรียวยังเอื้อมมากอดแผ่นหลังกว้าง ๆ ของเขากลับอีกต่างหาก ตอนนี้เองที่ทำให้ภควัตรหลงลืมเรื่องที่จะตัดพ้อต่ออีกฝ่ายไปจนสิ้น เขาทอดมองดวงหน้าสวยที่ยิ้มละมุนอยู่พักหนึ่งแล้วจึงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มนวลช้า ๆ ด้วยความทะนุถนอม
“พี่ภีม...”
เห็นมารดาเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงว่าอย่างนั้น อลีนาก็เอ่ยบ้าง “คุณพ่อ...” ซึ่งคำนี้ทำภควัตรน้ำตาไหลพราก เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากเด็กหญิงที่มารดาหวงนักหนาทั้งยังพยายามกรีดกันไม่ให้เข้าใกล้มาก่อน คำที่เด็กหญิงเอื้อนเอ่ยได้นำความปลื้มปรีติมาสู่ใจของผู้เป็นพ่อได้ไม่น้อยทีเดียว
“โรส...อันนา” ภควัตรทอดมองสองแม่ลูกด้วยความรู้สึกที่ตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก “อย่าไปไหนอีกได้ไหม...”
“ค่ะ ต่อไปโรสกับลูกจะไม่หนีพี่ภีมไปไหนอีกแล้ว”
“สัญญานะครับ”
โรสิตาทำท่าจะพยักหน้ารับ หากทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไร ศุภลักษณ์ที่โผล่มาจากไหนก็สุดรู้ก็รีบเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างบุตรชายของตนกับสองแม่ลูกทันที เธอไม่มองบุตรชายของตนด้วยซ้ำเพราะมัวแต่สนใจโรสิตากับบุตรสาว ภควัตรเห็น...มารดาของเขาจ้องมองภรรยาและบุตรสาวตัวน้อยของเขาด้วยแววตาที่จ้องเขม็ง โกรธขึ้ง เธอปัดมือของโรสิตาที่กุมภควัตรอยู่ออกพร้อมกับตวาดกร้าว “ออกไปจากชีวิตลูกของฉันซะ!” แล้วมือเหี่ยวย่นก็เอื้อมไปผลักร่างแบบบางจนม้วนและตกลงสู่พื้นน้ำที่เชี่ยวกรากที่หมุนติ้วจนกลายเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ทันที
“โรส...” ภควัตรยื่นมือไปหา หมายจะไขว่คว้าสิ่งมีค่าในชีวิตให้รั้งอยู่แต่กลับไม่เป็นผล ชายหนุ่มที่เหมือนจะบ้าคลั่งเพราะเสียของรักจึงตะโกนลั่น “โรส...ไม่!”
“โรส...อย่าไป โรส...”
เสียงที่อู้อี้กับหน้าที่ส่ายไปมาอยู่บนหมอนเหมือนกำลังสู้อยู่กับอะไรบางอย่างทำให้คนที่กำลังสนใจตัวหนังสือตรงหน้าชะงัก มุกลิณญ์รีบวางหนังสือลงบนโต๊ะทันทีแล้วก็พุ่งตัวเข้าประชิดกายของเจ้าของร่างสูงในชุดของทางโรงพยาบาลที่กำลังนอนละเมออยู่ทันควันด้วยความตกใจ
เธอพยายามจับคำก็ได้ยินว่า “โรส...อย่าไป คุณแม่อย่าทำโรส”
“โรส...”
มุกลิณญ์ทวนคำ โรสไหนกัน...นี่คือสิ่งที่เธอต้องคิดต่อ หรือจะเป็นโรสิตา “คิดมากน่า” อาจารย์มหาวิทยาลัยสาวสวยปรามตัวเองให้หยุดความคิดนั้นเสีย และช่วงที่เธอกำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรดี มือหนาก็ชูขึ้นเหมือนกำลังต้องการไขว่คว้าอะไรบางอย่างอยู่กลางอากาศ มุกลิณญ์เห็นอย่างนั้นก็รีบเอื้อมมือของตนไปกุมทันทีแล้วบีบหลวม ๆ ขณะที่ปากก็พูดปลอบ
“พี่ภีม ไม่เป็นไรนะคะ”
กระนั้น ภควัตรที่นอนหน้าซีด ปากแห้งอยู่บนเตียงคนไข้ยังว่า “โรส...คุณจะไม่หนีผมไปไหนแล้วไหมครับ”
เห็นหน้าหล่อที่ขาวโพลนไร้เลือดฝาดจาง ๆ เหมือนช่วงเวลาปกติเพราะฤทธิ์ไข้พยายามคลี่ยิ้มยินดีเพราะเข้าใจไปเองว่ามือที่กุมอยู่คือมือของเจ้าของชื่อที่เรียกขาน แวบหนึ่งมุกลิณญ์ก็ยากจะรับสมอ้างไปเสีย แต่ทว่าเมื่อเตือนสติได้ว่าการหลอกตัวเองเพื่อความสุขจอมปลอมเพียงชั่วขณะจิตหนึ่งเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่งยวด ดวงตาที่สุกใสก็มีแววหม่นเล็กน้อย แล้วเธอที่ทอดถอนใจก็ค่อยว่า
“ไม่ใช่โรสค่ะ”
“ไม่ใช่โรสหรอกหรือ” แล้วยิ้มจาง ๆ ก็เลือนหาย “แล้วใคร...โรสล่ะอยู่ไหน?”
“นี่มุกค่ะ ส่วนโรส...”
“โรส...” ภควัตรเรียกหาชื่อนั้นอีกครั้งด้วยความกระสับกระส่ายทั้งที่ตายังหลับ “อย่าไปไหนนะโรส อยู่ก่อน...อย่า...”
“พี่ภีมคะ” แล้วมุกลิณญ์ที่ไม่รู้ว่าภควัตรฝันถึงอะไร และไม่รู้จะปลอบให้หยุดอย่างไรก็จำใจโกหก “โรสอยู่บ้านค่ะพี่ภีม โรสไม่ได้ไปไหนนะคะ”
“จริงหรือ?”
เท่านั้น ภควัตรก็สงบลงทันที และเมื่อรู้ว่ามือที่กุมอยู่ไม่ใช่ของโรสิตาเขาก็ปล่อย
มุกลิณญ์ก้มลงมองมือเรียวนุ่มของตนที่ค่อย ๆ ลู่ลงไปอยู่ข้างลำตัวช้า ๆ พลางขยับนิ้วไปมาด้วยความวาบไหวอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยกมันขึ้นมาจัดแจงให้คนที่นอนไม่ได้สติดีนักให้เข้าที่เข้าทางทั้งยังดึงผ้าห่มมาปรกให้ถึงอก จากนั้นเจ้าหล่อนจึงค่อยกระซิบบอก “พักผ่อนนะคะพี่ภีม จะได้หายเร็ว ๆ ไงคะ”
“ถ้าหายแล้วไปหาโรสได้ใช่ไหม”
แม้ภควัตรจะถามออกมาเพราะพิษไข้สูงเข้าครอบงำทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้ทั้งหมด แต่มุกลิณญ์ที่เป็นห่วงกลัวอีกฝ่ายจะพะว้าพะวังไม่เป็นอันได้พักผ่อนก็ว่า “ได้สิคะ”
ชื่อ ‘โรส’ ที่ภควัตรละเมอเพ้อพกออกมายามเป็นไข้หนักมิได้ทำให้มุกลิณญ์เคลือบแคลงหรือมีริษยา แม้ในใจเธอจะมีเขาอยู่มานานหลายปี แต่หากวันหนึ่งภควัตรจะมีใครอื่นที่ไม่ใช่ตนเธอก็รับได้และพร้อมจะเคารพการตัดสินใจของเขา ด้วยมุกลิณญ์รู้ดีว่าที่ทั้งสองครอบครัวได้มาสนิทชิดเชื้อกันก็ด้วยเหตุผลทางธุรกิจเป็นที่ตั้ง
ทั้งมารดาก็ว่า “มุกลูกแม่ไม่ใช่ข้อต่อรองทางธุรกิจ”
จริงอยู่ที่มาริสาอยากฝากผีฝากไข้มุกลิณญ์ไว้กับครอบครัวของภควัตรเพราะเห็นว่าฝ่ายชายเป็นคนดีและเป็นที่พึ่งให้กับบุตรสาวของตนได้แน่ และนพสิทธิ์ก็เป็นเพื่อนเรียนกับสามีของตนมาก่อน แม้ว่าลึก ๆ แล้วเธอจะแอบมองว่าศุภลักษณ์มีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้างก็ตาม
แต่มาริสารู้...ศุภลักษณ์ไม่มีทางเอาเปรียบลูกสาวของตน
และถ้าสุดท้ายทั้งคู่ หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาจตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่ครองได้มารดาฝั่งทางมุกลิณญ์ก็จะไม่บังคับหรือฝืน ดังนั้นมุกลิณญ์เองจึงไม่ได้มีความกดดันหรือต้องมานั่งคิดมากเลยหากในใจของภควัตรจะมีคนอื่นซ่อนอยู่ เพราะถึงอย่างไรสถานะความเป็นพี่น้องก็จะคงอยู่เสมอ
แต่ที่มุกลิณญ์สงสัย...โรสที่ภควัตรหลุดปากว่านี่คือใครกันแน่!
ดวงตาสีเข้มทอดมองออกไปทางช่องหน้าต่างเนิ่นนาน ไม่รู้แม้มารดาเดินเข้ามาใกล้จนมาริสาต้องเอื้อมมือไปสะกิดมุกลิณญ์ถึงรู้สึก
“คะแม่?”
“หนูเถอะยัยมุก คิดอะไรอยู่จ๊ะแม่เรียกตั้งนานไม่เห็นจะหัน”
“ขอโทษค่ะ” แล้วคนเป็นลูกก็แชเชือน “มุกก็คิดถึงเรื่องงานไปเรื่อยน่ะค่ะ”
มาริสาเพ่งมองคนที่บอกว่างานยุ่งอย่างละเอียดแล้วจึงทักขึ้นอีก “นี่หนูดูซูบไปหรือเปล่าน่ะลูก”
“ก็ไม่นะคะ”
“แล้ว...” มาริสาเว้นระยะเพื่อสรรคำมาถาม “หนูไปที่โรงพยาบาลมาหรือยัง”
“แวะไปแล้วค่ะ” ครั้นมาริสาถามต่อถึงอาการของภควัตร มุกลิณญ์ที่รู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูกก็ตอบเพียงสั้น ๆ ไปตามเรื่อง “พี่ภีมดีขึ้นแล้วค่ะ ถึงมือหมอแล้วไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรหรอกมั้งคะ”
แล้วเจ้าหล่อนในชุดนอนสีครีมก็ขอปลีกตัวขึ้นห้องไปในทันที ทิ้งมารดาที่แม้จะสงสัยในท่าทีที่เซื่องซึมแปลก ๆ แต่ครั้นจะเอ่ยถามก็เห็นจะไม่กล้ากลัวจะไปสะกิดต่อมบางอย่างของอีกฝ่ายให้มองตามตาละห้อยอยู่ตรงนั้นเอง
ภควัตรอาการดีขึ้นในระดับที่เรียกว่าสามารถครองสติรับรู้ถึงการกระทำของตนได้อย่างครบถ้วนในอีกสองวันต่อมา และคงเพราะก่อนหน้าที่จะนอนซมไปด้วยฤทธิ์ไข้ที่สูงเกือบสี่สิบองศามุกลิณญ์คือคนสุดท้ายที่เขาสนทนาพาทีด้วย ดังนั้นช่วงสายหลังรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยภควัตรก็รีบถามหาเจ้าหล่อนกับมารดาที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างทันที
“คุณแม่ครับ มุก...ได้มาบ้างหรือเปล่า”
เท่านั้น รอยยิ้มยินดีจึงปรากฏขึ้นบนดวงหน้าของศุภลักษณ์ด้วยความพึงใจในคำถามของบุตรชายเป็นที่ยิ่ง แล้วเธอก็เล่าถึงมุกลิณญ์ให้ภควัตรฟังด้วยความภาคภูมิใจโดยไม่หยุดปาก ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงผู้ถูกกล่าวถึงได้มาเยี่ยมเขาเพียงแค่วันแรกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ส่วนภควัตรเองเมื่อรับรู้เช่นนั้นก็วางใจ เขาจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
เพราะคนที่ทำให้เขาคาใจมีแค่คนเดียว และคนคนนั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...โรสิตา!
อันที่จริงภควัตรจำฝันรางในวันจับไข้หนักได้ แต่ก็จำได้เพียงคร่าว ๆ เท่านั้นไม่ใช่ละเอียด มันเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นอย่างไรบอกไม่ถูก แค่นั้นไม่พอเขายังรู้สึกเหมือนว่าโรสิตามาหา ทั้งเขายังได้จับมือของเธอเอาไว้... ตอนนั้นภควัตรรู้สึกสุขใจเหลือเกิน แม้ในความเป็นจริงจะยากยิ่งที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นก็ตาม
แต่ว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงก็เลือกที่จะเก็บงำความทรงจำในยามนิทรานั้นไว้มิได้เอื้อนเอ่ย จนมารดาจัดผลไม้แล้วเสร็จก็เลื่อนถาดเข้ามาใกล้ “กินผลไม้หน่อยนะลูก จะได้หายเร็ว ๆ” เธอบอกบุตรชายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแล้วก็นั่งเป็นเพื่อนเขาอยู่ที่โซฟาด้านข้างนั่น ภควัตรจึงละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านของตนไว้ชั่วคราวก่อน แล้วจึงหันมาสนใจต่อสิ่งที่มารดาตั้งใจตระเตรียมปอกเอาไว้ให้แทนทันที
แพทย์เจ้าของไข้อนุญาตให้ภควัตรกลับมาพักรักษาตัวต่อที่บ้านในอีกสองวันต่อมา และแม้บิดาจะบอกว่าให้พักได้ยาว ๆ แต่คนที่ฟื้นไข้ได้เร็วก็รั้นจะไปทำงานในวันรุ่งขึ้นให้ได้
และก็เช่นเคย วันนี้ภควัตรออกจากบ้านแต่เช้าตรู่แต่ว่าก็ถึงที่ทำงานในช่วงสายอย่างเช่นวันก่อน ๆ ไม่มีผิดเพี้ยน และแม้ว่าใครก็ตามที่ผ่านมาทางด้านข้างของตัวโรงเรียนจะเห็นคล้ายว่าเขาที่นั่งทอดสายตาออกไปทางช่องหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกใสเนิ่นนานอยู่เพียงลำพังเหมือนคนที่กำลังปล่อยใจให้ว่าง เพลิดเพลินต่อภาพวิวตรงหน้าไร้กังวล แต่ใครจะรู้...ในใจของชายหนุ่มยามนี้ร้อนรุ่มอย่างไฟสุมอก
ภาพโรสิตาเดินเคียงกับรามิลที่อุ้มเด็กหญิงอลีนาแนบอกยังติดตา ไม่เพียงเท่านั้นทั้งคู่ยังดูสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก ภควัตรไม่รู้ว่ารามิลเข้ามาในชีวิตของผู้หญิงที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขาเมื่อไร...ไม่มีระยะเวลายืนยัน แต่เซ้นส์กลับบอกว่าก็ไม่น่าจะนานเท่าไรนักหรอก!
“บ้าเอ้ย!”
คิดแล้วก็เจ็บใจ ทำไมนะ ทำไมโรสิตาที่ปกติไม่ค่อยยอมเปิดรับใครเข้ามาในชีวิตมากนักถึงได้ถึงยอมรับในตัวของรามิลรวดเร็วถึงเพียงนี้
“นายนั่นมันมีดีอะไรกัน?”
“คะ...”
แล้วคนที่เข้าใจว่าตนนั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ก็สะดุ้งเฮือก ครั้นหันกลับมาก็พบว่าเลขาคนเดิมกำลังยืนเลิกคิ้วพลางทำหน้างง ๆ อยู่ตรงหน้า ภควัตรเองก็มีอารามตกใจไม่น้อยไม่น้อย แต่กระนั้นคนที่เก็บอาการได้ดีก็เพียงถอนหายใจยาว ๆ แล้วแก้เก้อโดยการถามกลับ
“คุณฝน มานานแล้วหรือครับ”
“เพิ่งเข้ามาค่ะ” เธอยื่นแฟ้มเอกสารที่เปิดออกเรียบร้อยให้ภควัตรพร้อมกับชวนคุยจ้อยแจ้ว “ว่าแต่คุณภีมบ่นถึงใครหรือคะ ว่าพี่อยู่หรือเปล่า”
“อ้อ...” นั่นทำให้ภควัตรเริ่มมีหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ซ่อนความรู้สึกได้ค่อนข้างดีกลับไม่กระโตกกระตากแถมยังหยั่งเชิงกลับอีก “ทำไมถึงคิดว่าผมกำลังบ่นคุณฝนอยู่ล่ะครับ?”
“ก็คุณภีมพูดว่ามีดีอะไร?” เลขาทวนคำที่ได้ยิน และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลางานมือทั้งสองข้างก็รวบแฟ้มที่ผู้เป็นนายจรดปากกาเซ็นชื่อลงไปอย่างรวดเร็วกลับเข้าหาตนด้วยในตอนเดียวกัน “พี่ก็อดคิดไม่ได้ซีคะว่าคุณภีมกำลังพิจารณาเลิกจ้างพี่อยู่หรือเปล่า”
แสดงว่าเพิ่งเข้ามาจริง ๆ เมื่อคิดได้อย่างนั้นภควัตรกลับคลี่ยิ้มจาง ๆ แล้วจึงว่าแกมหยอก “ไม่หรอกครับ คุณฝนทำงานดีอยู่แล้วผมจะมีเหตุผลอะไรไปไล่คุณออกล่ะครับ อ้อ...แล้วก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลนี่นะครับ”
“ค่ะ” คนอายุมากกว่าหลายปีตอบเพียงสั้น ๆ แล้วเธอก็เดินยิ้มร่าออกไปทันที
ความคิดเห็น