ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมใจปรารถนา (มี E-book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 17

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 64


    บทที่ 17 

     

    เรื่องที่ภควัตรหายไปทั้งวัน แถมกลับมาดึกดื่นในสภาพที่เปียกปอนไม่ต่างจาก ‘ลูกหมาตกน้ำ’ ตามที่บิดาได้แกล้งหยอกคงไม่ทำให้ความร้อนรุ่มในใจของมารดาที่เคยจัดแจงทุกอย่างให้แก่บุตรชายมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกคุกรุ่นเท่า ‘ภาพ’ ของมุกลิณญ์กับปรัชวิทย์ที่บังเอิญไปติดเป็นพื้นหลังสกู๊ปพาเที่ยวของคอลัมน์หนึ่งในสื่อออนไลน์เข้าในวันรุ่งขึ้น

    ว่าแล้วศุภลักษณ์ก็รีบยื่นไอแพดในมือให้นพสิทธิ์ดูทันทีพร้อมกับเอ่ยถามเสียงต่ำ “นี่ใช่หนูมุกไหมคะคุณ”

    นพสิทธิ์รับไอแพดในมือของศุภลักษณ์ไปดูแล้วก็พยักหน้ารับด้วยความเห็นพ้อง แต่กระนั้นฝ่ายสามีที่ยังไม่คลายสงสัยว่าภาพตรงหน้าจะทำให้อารมณ์ของภรรยาตนคุกรุ่นขึ้นได้อย่างไรก็ย้อนถามให้ “แล้วทำไมหรือคุณ?”

    “เอ้า...ก็” ศุภลักษณ์หันมาค้อนสามีพลางตั้งข้อสงสัย “แต่ผู้ชายคนที่เดินเคียงกับหนูมุกไม่ใช่ตาภีมลูกเรานี่”

    “ก็ดีแล้วนี่”

    “ดี...!” คราวนี้คนเปิดประเด็นอุทานเสียงแหลม แล้วเธอก็ซักไซ้สามีต่ออย่างเอาเรื่อง “ดียังไงคะ ฉัน...โอ๊ย จะบ้าตายคุณนี่เอาอะไรมาดี”

    นพสิทธิ์เห็นศุภลักษณ์เดินเต้นร่าไปมาแล้วก็อดขำไม่ได้ แล้วเขาที่ยังนึกไม่ออกกว่ามันไม่ดียังไงก็ยักไหล่พร้อมกับพูดลอยหน้าลอยตาราวไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งที่ภรรยากำลังกลัดกลุ้ม “คุณควรจะดีใจนะคุณศุ ที่คุณไม่มองว่าคนอื่นเป็นลูกของตัวเองน่ะ เพราะนั่นหมายความว่าสายตาของคุณน่ะยังดีเยี่ยมเลยละ”

    เธอหรือร้อนใจเหมือนอกจะแตกที่หญิงสาวซึ่งวางตัวไว้ว่าอยากจะเกี่ยวดองเป็นสะใภ้เสียวันนี้พรุ่งนี้ไปเดินเที่ยวเล่นสบายใจกับผู้ชายคนอื่น แต่ดูเอาเถอะนพสิทธิ์กลับเห็นเป็นเรื่องขบขันเสียได้ ว่าแล้วศุภลักษณ์ที่คิดไม่ตกก็ฉวยกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือเตรียมจะปลีกตัวไปที่อื่น แต่ถึงอย่างนั้นนพสิทธิ์ที่อุตส่าห์รามือจากงานที่ทำอยู่ชั่วครู่เพื่อคุยด้วยยังมีแก่ใจทักถาม

    “นี่คุณจะไปไหนครับคุณศุ?”

    “ฉันจะไปวัด!”

    แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าคำตอบนั้นคงเพื่อจงใจประชด แต่กระนั้นคนอารมณ์ดีก็ยังมีแก่ใจรับมุก “ดีครับ นั่นแหละทางสงบที่แท้จริง ยินดีด้วยคุณศุ...คุณมาถูกทางแล้ว”

    “เหอะ!”

    ศุภลักษณ์ไม่ได้ไป ‘วัด’ อย่างที่ได้แจ้งกับสามีหากแต่เธอกลับรีบรุดไปหามาริสาที่บ้านทันทีอย่างคนที่อดรนทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ และเมื่อก้นหย่อนถึงพื้นเธอก็ยังอุตส่าห์เล่าเรื่องที่ว่าให้เจ้าบ้านฟังโดยละเอียดพร้อมกับแสดงหลักฐาน หากเมื่อฟังจบมาริสากลับคลี่ยิ้มแล้วตอบกลับอย่างใจเย็น

    “เพื่อนที่ทำงานของยัยมุกเขาน่ะค่ะ”

    ถึงมาริสาจะเอ่ยปากรับแทนมุกลิณญ์ไปอย่างนั้นเพราะเชื่อที่บุตรสาวของตนว่า แต่ศุภลักษณ์ซึ่งพลันตีตนไปก่อนไข้หลายโขแล้วก็หาข้อมาแย้งจนได้ “เพื่อนอะไรไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนคะ เป็นเพื่อนสิต้องระวังตัวไม่ใช่มาเดินคู่กันแบบนี้”

    คำท้วงติงของศุภลักษณ์ทำให้มาริสาต้องพิจารณาดูรูปของบุตรสาวของตนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอไอแพดของแขกผู้มาเยือนอีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่เห็นว่าเกินเลยหรืออะไรตรงไหน? ปรัชวิทย์เองก็เว้นระยะห่างกับมุกลิณญ์ตามสมควร ไม่ได้เดินตัวติดกันจนเกินงามหรือว่าประเจิดประเจ้ออย่างที่ศุภลักษณ์พยายามโบ้ยให้เป็นไปตามที่ฝ่ายนั้นคิดเลยสักนิด!

    เห็นอย่างนั้นมาริสาจึงติงกลับ “ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะทำอะไรไม่ดีไม่งามนี่คะ หนุ่มคนนี้ก็ดูให้เกียรติยัยมุกของเราดี ดิฉันว่าคุณศุคงคิดมากไปเองมากกว่า”

    ให้ท้ายลูกเห็น ๆ ศุภลักษณ์วิภาษอยู่ในใจ และแม้ว่าตนจะรู้สึกไม่ถูกชะตากับปรัชวิทย์อย่างไรบอกไม่ถูก แต่ถึงกระนั้นคนที่อยากรู้อยากเห็นก็หาเรื่องมาหยั่งถามได้แค่ “แล้วคุณสาเคยเจอหนุ่มคนนี้บ้างหรือยังคะ”

    “ไม่เคยเจอหรอกค่ะ”

    “แล้วทำไมถึงคิดว่าเขาจะไม่ทำให้หนูมุกเสื่อมเสียล่ะคะ”

    “ใช้ประสบการณ์มั้งคะ” บนหน้าของมาริสามีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ระคนอยู่ ด้วยถึงแม้จะไม่รู้ถึงตื้นลึกหนาบางว่าชายหนุ่มในรูปว่าเป็นคนอย่างไรแต่เธอเชื่อใจมุกลิณญ์ที่สุด “แล้วอีกอย่างดิฉันก็เชื่อว่าคนอย่างยัยมุกคงไม่มีทางพาตัวเองเดินไปสู่หนทางที่จะทำให้ตัวเองเสียหายได้หรอกค่ะ”

    เมื่อแม่เขาว่าอย่างนั้น คนนอกอย่างศุภลักษณ์จะทำอย่างไรได้นอกเสียจากอึ้งไปพักหนึ่ง และเมื่อได้สติผู้มาเยือนจึงชวนคุยประเด็นอื่นไปตามเรื่องเพื่อแก้เก้อ

     

    เช้าวันนี้รามิลแต่งตัวด้วยชุดที่สุภาพและเนี้ยบที่สุด เขาหวีผมเรียบแปล้ทั้งยังพรมน้ำหอมกลิ่นฟุ้ง จนน้ำหนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารอยู่ด้วยรู้สึกเหม็นฉุน ตนจึงย่นจมูกพลางทำเสียงฟึดฟัดไปมาเพื่อขับไล่ความระคายเคืองเหล่านั้น แต่ทว่าอาการดังกล่าวก็ยังไม่จางหาย คนเป็นน้องที่จามแรงจนหน้าแทบกระแทกกับของโต๊ะจึงบ่นอุบขึ้น

    “พี่มิล นี่มันอะไรกันคะ?”

    น้ำหนึ่งปัดมือไปมาพร้อมกับเอียงหน้าจับความผิดปกติในตัวของพี่ชายตนด้วยความฉงน ด้วยวันนี้เขาตื่นเช้ากว่าปกติมากทั้งที่ในวันอื่น ๆ คนซึ่งชอบนั่งทำงานเงียบ ๆ ในห้องส่วนตัวตามลำพังจนดึกจะตื่นขึ้นมารับแสงแรกของวันได้ก็ล่วงเวลาเข้าสายโด่ง เท่านั้นไม่พอคนซึ่งนั่งข้าง ๆ กับตนยังขุดเอาเสื้อสูทยี่ห้อดังซึ่งเคยใส่แค่ครั้งเดียวตอนไปร่วมสัมมนาที่ต่างประเทศขึ้นมาสวมทับอีก...

    และเมื่อเก็บความสงสัยเอาไว้เพียงลำพังไม่ได้ คนเป็นน้องจึงโพล่งถามออกไปในที่สุด “นี่พี่มิล ผีเข้าเหรอคะ”

    “ผีอะไรของแกยัยหนึ่ง”

    “เอ้า ก็เห็นตื่นแต่เช้า ไหนจะดูแต่งตัวเข้าน่ะ...ประหลาดพิลึก!” แล้วน้ำหนึ่งก็ส่ายหน้าไปมา “มองยังไงก็ไม่ใช่พี่มิลของหนึ่งอะ”

    ใช่...ปกติรามิลจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและติดดินที่สุดชนิดที่ไม่ค่อยแต่ต่างอะไรกับลูกค้าทั่ว ๆ ไปนัก และเพราะว่าเขามีไลฟ์สไตล์เช่นนี้คุณป้าสะใภ้ของเธอถึงต้องคอยจัดแจงเรื่องเสื้อผ้าเอาไว้ให้พร้อมกับกำชับน้ำหนึ่ง “บังคับให้พี่เขาใส่ให้ได้นะลูก” หากวันนี้รามิลกลับนำชุดที่ซื้อมาเก็บออกใส่เองโดยไม่มีใครต้องขืนใจสั่ง คนที่ไม่คุ้นชินจึงมีสงสัยเป็นเรื่องปกติ

    “ก็วันนี้เป็นวันพิเศษ” รามิลยิ้มพรายพร้อมยกน้ำส้มคั้นสดขึ้นดื่มกลั้วคออย่างอารมณ์ดี แล้วจึงเฉลยความ “พอดีคุณโรสขอให้พี่ไปรับแล้วไปส่งน้องอันนาที่โรงเรียนด้วยกันน่ะ พี่ก็ต้องทำให้เขาประทับใจหน่อยสิ แบบว่า...อย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่อายใครเวลาที่ต้องเดินอยู่ใกล้ ๆ กับพี่ไง”

    “เอิ่ม...” น้ำหนึ่งวางส้อมที่เพิ่งจิ้มกีวีเข้าปากลงบนจานแล้วกลอกตามองบนให้กับความเกินเบอร์ไปมากของพี่ชายนอกไส้ ก่อนจะแกล้งกระแทกเสียงว่า “โถ่...ไอ้เราก็นึกว่าจะไปเดท”

    “วันนี้ยัง ก็ไม่ได้หมายความว่าวันข้างหน้าจะเป็นไปไม่ได้นะยัยหนึ่ง” รามิลยื่นหน้ามาพูดเสียงอ่อนเสียงหวานพลางก้มลงมองดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วพบว่าเวลานัดได้ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว เจ้าตัวจึงรีบจัดแจงตัวเองแล้วก็ลุกขึ้นทันที “พี่ไปละนะ เดี๋ยวไม่ทัน”

    “อ้าวแล้วหนึ่งล่ะคะ?”

    น้ำหนึ่งที่กะจะถือฤกษ์ดีติดรถพี่ชายไปทำงานพร้อมกันมองค้าง หากรามิลกลับยิ้มร่าแล้วว่า

    “รถไฟฟ้าไง หรือถ้ากลัวเปลืองตังค์แกจะโหนรถเมล์ไปก็ไม่มีใครว่านะ”

    “เหอะ! ทิ้งน้อง” แล้วน้ำหนึ่งที่เอียงหน้ามองตามแผ่นหลังกว้าง ๆ ที่เดินลิ่วออกไปก็สบถกับตัวเองไปพลาง “ว่าแต่คุณโรสิตาเขาจะชอบพวกเกินเบอร์แบบนี้เหรอวะ?”

    เมื่อรามิลขับรถมาจอดตรงเลาะรั้วข้างตัวบ้าน พระซึ่งมาบิณฑบาตในทุกเช้าก็พลันเดินสวนออกไปพอดี เขาจึงก้าวลงจากรถและตรงเข้าไปทักทายคุณยายบุญเรือนและพนิตาตามลำดับแล้วจึงเดินเข้าไปช่วยโรสิตาเก็บข้าวของ ซึ่งการกระทำของคนมาใหม่แม้จะทำให้ทั้งสองแม่ลูกผู้มีศักดิ์เป็นทวดและยายของเด็กหญิงอลีนาหลากใจเล็กน้อย แต่ทั้งคู่ก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วจูงกันเดินเลี่ยงเข้าบ้านไปเสีย

    จนเก็บของเสร็จสรรพและเดินเคียงกันเข้ามา รามิลก็ชวนคุยอีกตามเรื่อง “คุณโรสใส่บาตรทุกเช้าเลยเหรอครับ”

    “ค่ะ”

    “ดีจัง”

    “มันเป็นความเคยชินน่ะค่ะ” แล้วโรสิตาที่ยิ้มบาง ๆ ก็ถามกลับ “ว่าแต่เช้านี้คุณรามิลทานอะไรมาหรือยังคะ?”

    “เรียบร้อยแล้วครับ”

    เมื่อเขาว่าอย่างนั้นสาวเจ้าของบ้านจึงเงียบ ไม่พูดอะไรต่อจนเมื่อเข้ามาถึงภายในบ้านและเห็นว่าเด็กหญิงอลีนายังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดีโรสิตาจึงรีบไปช่วยจัดแจงให้ทันทีเพราะกลัวจะรบกวนเวลาของรามิลจนเกินจำเป็น โดยระหว่างนั้นโรสิตาก็ได้ขอให้แขกใหม่นั่งคุยอยู่กับคุณยายไปพลางก่อน จนครู่หนึ่งต่อมาเธอถึงเดินออกมาพร้อมกับเด็กหญิงตัวน้อย

    ส่วนเด็กหญิงอลีนาเมื่อเห็นรามิลก็พลันนึกถึงแต่เรื่องสนุกขึ้นมาทันที เด็กน้อยจึงวิ่งไปสวัสดีเขาอย่างนบนอบตามแบบที่มารดาสอนสั่ง ทั้งยังว่า “คุณลุงรามิลจะมารับอันนาไปเล่นของเล่นอีกใช่ไหมคะ”

    รามิลคลี่ยิ้มหากแต่ยังไม่ทันโต้ตอบใด ๆ โรสิตาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน

    “ไม่ใช่จ้ะ” มารดาเดินเข้ามาพลางค่อย ๆ อธิบาย “วันนี้คุณลุงรามิลจะมารับหนูไปส่งที่โรงเรียนนะจ๊ะ ส่วนของเล่นต้องคอยเล่นตอนวันหยุดจ้ะ”

    “ทำไมล่ะคะ ไปเล่นวันนี้เลยไม่ได้เหรอ”

    “ไม่ได้จ้ะ อันนาเป็นเด็กดีวันนี้เด็กดีต้องไปโรงเรียนก่อนนะคะ” โรสิตาพูดพลางยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับบุตรสาวตัวน้อยหลวม ๆ “แล้วเดี๋ยวถึงวันหยุดแม่จะพาหนูไปเล่นอีก...สัญญาไหมคะ?”

    “ค่ะ”

    รอยยิ้มที่ฉายเด่นขึ้นมาบนพวกแก้มกลมแดงระเรื่อแบบคนที่มีเลือดฝาดน้อย ๆ กับนิ้วป้อม ๆ ที่ยื่นมาเกี่ยวพลายเขย่าเบา ๆ ทำให้คนทั้งบ้านรวมถึงรามิลพลอยหัวเราะครืนไปด้วย

    รามิลไม่รู้ว่าตนเองเริ่มชอบเด็กตั้งแต่เมื่อไร เพราะเขาจำได้ราง ๆ ว่าเมื่อร่มยี่สิบปีก่อนตอนที่ราเชนทร์พาน้ำหนึ่งผู้มีศักดิ์เป็นหลานสาวแท้ ๆ ในวัยไล่เลี่ยกับอลีนาตอนนี้ ซึ่งตอนนั้นเธอขาดทั้งบิดาและมารดาเนื่องจากอุบัติเหตุเข้ามาที่บ้านพร้อมบอกว่าเด็กคนนี้จะมาเป็นน้องของลูก เด็กชายวัยสิบขวบที่เคยเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่มาตลอดรู้สึกไม่ชอบเลยสักนิด แม้ว่ายัยเด็กผมเปียใส่ชุดติดลายดอกไม้คนนี้จะไม่ใช่น้องแท้ ๆ พ่อแม่เดียวกันก็เถอะ!

    ด้วยตอนนั้น แม้ว่าน้ำหนึ่งจะขี้อ้อนและน่ารำคาญในสายตาของเขาขนาดไหน มารดาก็ยังเอาอกเอาใจเธออยู่นั่น จนเด็กหญิงเริ่มโตและช่วยเขาที่พ่ออุตส่าห์ส่งเสียให้เรียนโรงเรียนชายล้วนชื่อดังที่เด่นด้านภาษาแต่ก็ยังไม่เอาอ่าวทำการบ้านส่งครูนั่นแหละ รามิลถึงจะมีใจนึกเอ็นดูยัยเด็กเปียคนนี้ขึ้นมาบ้าง

    แต่ทว่าวันนี้ เขากลับรักในความใสซื่อและน่ารักน่าชังของเด็กน้อยตรงหน้าคนนี้เสียแล้ว

     

    หลังจากที่นั่งคิด นอนคิดเรื่องที่ภควัตรเสนอมาให้ทั้งคืนกับอีกหนึ่งวันเต็ม ๆ ในที่สุดมุกลิณญ์ก็ตัดสินใจไลน์ไปบอกกับเขา ‘ได้ค่ะ พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะคะพี่ภีม’ แต่พอถึงเวลานัดหมายเข้าจริงกลับไร้เงาภควัตร มุกลิณญ์ที่รู้สึกถึงเซ้นส์บางอย่างที่เข้ามาสะกิดในใจ เหมือน...จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับอีกฝ่ายก็รีบโทร.ไปหาคนปลายสายทันที

    เสียงเรียกเข้าที่แสดงบนหน้าปัดสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะตรงข้างหัวเตียงเพรียกให้ภควัตรที่รู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วตัวแม้ภายในห้องจะเปิดเครื่องปรับอากาศเพียงยี่สิบเอ็ดองศาเซลเซียสเท่านั้น และเมื่อหนุ่มเจ้าของห้องค่อย ๆ ยกศีรษะขึ้นจากหมอนใบใหญ่เขาก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่ากลางศีรษะของตนนั้นหนักอื้อราวมีใครนำก้อนหินหนักสักยี่สิบกิโลกรัมมาถ่วงรั้งเอาไว้ด้วย

    แต่กระนั้น เจ้าตัวก็ยังฝืนเท้าที่เหมือนจะไร้ซึ่งกำลังแรงเพื่อเดินไปหยิบมันขึ้นมาจนได้

    “มุก...”

    ภควัตรยื่นนิ้วที่สั่นเทาไปกดรับสาย และทันใดนั้นเองมุกลิณญ์ก็รีบขานเรียกคนปลายสายทันที

    “พี่ภีม...” ครั้นเห็นว่าน้ำเสียงของภควัตรแลดูแผ่วเบาและสั่นเครือเล็กน้อย มุกลิณญ์จึงทักถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “พี่ภีมอยู่ไหนคะ แล้วนี่...เพิ่งตื่นเหรอคะ”

    “อ้อ พี่ว่าพี่ปวดหัวนิดหน่อยน่ะครับ”

    เท่านั้น มุกลิณญ์ก็เบิกตาโตด้วยความตกใจทั้งยังซักไซ้เพิ่มอีก “แล้วนี่พี่ภีมเป็นไงบ้างคะ ทานยาหรือยังถ้าไม่ไหววันนี้พักนะคะ หรือถ้าเป็นหนัก...”

    มุกลิณญ์ยังไม่ทันพูดจบ ภควัตรที่รู้สึกยืนไม่ไหวก็ค่อย ๆ ทรุดลงทันทีอย่างคนเข่าอ่อน ทำให้มืออีกข้างที่ยื่นออกไปหมายจะหาที่เกาะกุมปัดโดนแจกันซึ่งอยู่ข้าง ๆ จนกลิ้งลงไปกระทบกับพื้นกระเบื้องจนดังสนั่น แล้วเขาก็ล้มตึงลงไปกองกับพื้นในที่สุด

    “พี่ภีม!”

    เสียงดังโครมของแจกันแก้วซึ่งแตกกระจายเป็นหลายเสี่ยงไม่เพียงแค่ทำให้มุกลิณญ์ตกใจสุดขีดและเป็นห่วงภควัตรอย่างสุดใจเท่านั้น เสียงดังกล่าวยังทำให้ศุภลักษณ์และนพสิทธิ์ที่กำลังนั่งดื่มกาแฟพร้อมอัปเดตข้อมูลข่าวสารในเช้าวันใหม่สะดุ้งสุดตัว แล้วสองสามีภรรยาก็หันมามองหน้ากันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมารดาก็พลันอุทานขึ้น

    “ตาภีม!”

    แล้วศุภลักษณ์ก็รีบวิ่งนำสามีขึ้นไปที่ชั้นสองของตัวบ้านทันที เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องมารดาที่พบว่าบุตรชายของตนนอนแผ่อยู่บนพื้นตรงปลายเตียงด้านล่างก็รีบโผลเข้าไปประชิดตัวแล้วพลิกร่างสูงใหญ่ที่นอนตะแคงขึ้นมาบนตักพลางยกมือขึ้นอังหน้าผาก ขณะที่ปากก็ร้องบอกสามีด้วย “คุณคะ ลูกเป็นไข้ค่ะ”

    “ฮะ?”

    นพสิทธิ์ยังมองภาพตรงหน้าด้วยความงวยงง ส่วนศุภลักษณ์ก็รนรานไปแล้ว

    “เราต้องพาลูกไปหาหมอค่ะ เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

     

    หลังจากที่พาตัวของภควัตรที่สลบไสลไปเพราะฤทธิ์ไข้ส่งโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วศุภลักษณ์จึงโทร.กลับไปหามุกลิณญ์อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับบ่นพึมพำถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของตนให้หญิงสาวผู้อ่อนกว่าด้วยวัยฟังอยู่หลายเรื่องด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด นอกจากนี้คนโตกว่ายังตั้งข้อสงสัย

    “ช่วงนี้พี่เขาชอบทำตัวแปลก ๆ แล้ววันซืนก็กลับมาแบบตัวเปียกโชกเชียวหนูมุกป้าว่านี่ละมั้งที่ทำให้ไข้ขึ้นน่ะ”

    อันที่จริงศุภลักษณ์พอจะจับสังเกตความผิดปกติในตัวของภควัตรมาได้สักพักหนึ่งแล้ว และยิ่งมีหลักฐานยืนยันว่าเขาแอบไปพบกับผู้หญิงที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเคยรักกันหวานซึ้งด้วยแล้ว ความวิตกกังวลในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่อยากให้เกิดมีขึ้นก็ยิ่งถาโถมเข้ามาภายในใจโดยไม่หยุดหย่อน

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งศุภลักษณ์กลัว ว่าตำแหน่งลูกสะใภ้ที่หมายมาดว่าจะต้องเป็นของมุกลิณญ์เท่านั้นหลุดลอยไปมากกว่าสิ่งอื่น....

    พอกันกับมุกลิณญ์ที่ก็พอรับรู้ได้ด้วยเซ้นส์ของตัวเองเช่นกันว่าภควัตรดูเปลี่ยนไปพอควร อาทิ ไม่ค่อยสนใจหรืออยากชวนเธอไปไหนมาไหนเหมือนตอนอยู่ฝรั่งเศส เป็นต้น ทว่าเธอก็พอเข้าใจได้ว่าเมื่อต้องกลับมารับหน้าที่ผู้ช่วยผู้บริหารเต็มตัวเขาคงงานยุ่งและไม่มีเวลาเหมือนอย่างก่อน ดีเสียอีก...เพราะช่วงหลังมานี้บางเวลาเมื่อได้อยู่ใกล้กับภควัตรมุกลิณญ์เองก็รู้สึกอึดอัดอย่างไรบอกไม่ถูกเหมือนกัน

    “แล้วพี่เขาได้บอกไหมจ๊ะว่าทำไมถึงได้ไปนั่งตากฝนแบบนั้นน่ะ”

    ศุภลักษณ์คาดหวัง ด้วยอาจจะมีบ้างที่คนซึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงยามนี้จะไม่อยากเล่าเรื่องบางอย่างให้ตนฟังด้วยเหตุผลเรื่องช่วงวัยหรืออะไรก็ตาม แต่กับมุกลิณญ์ไม่ใช่เพราะภควัตรไว้ใจเธอที่สุด

    แต่คำตอบจากปากของคนซึ่งกำลังเตรียมเอกสารสำหรับการสอนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ถึงห้านาทีกลับว่า “ไม่นะคะคุณป้า พี่ภีมคงไม่สะดวกเล่าน่ะค่ะ”

    “กับหนูมุกก็ไม่สะดวกงั้นหรือ?”

    “เรื่องบางเรื่องที่เป็นส่วนตัวมาก ๆ บางทีเล่าออกไปก็ไม่เป็นผลดีนะคะ” มุกลิณญ์คลี่ยิ้ม “คุณป้า ถ้าพี่ภีมเขาสบายแบบนั้นเราก็...แกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ได้ค่ะ เพราะบางทีการที่เราพยายามอยากรู้เรื่องที่ยากจะหาคำตอบได้มากเกินไป สุดท้ายก็ตัวเรานั่นแหละค่ะที่จะทุกข์ซะเอง”

    มุกลิณญ์พยายามจะบอกเป็นนัยถึงความไม่พึงใจในเรื่องที่ศุภลักษณ์ได้ไปถามหาความเอากับมารดาของตนในเหตุที่มีรูปของเธอกับปรัชวิทย์ปรากฏเป็นพื้นหลังเล็ก ๆ บนสื่อออนไลน์นั้น เธอไม่ชอบเลย...ไม่ชอบที่ผู้มากวัยกว่าแสดงความหวังดีจนเกินเหตุขณะที่มาริสายังวางเฉย

    ซึ่งคำพูดอ้อม ๆ เช่นนั้นก็ได้ทำให้ศุภลักษณ์สะดุ้งในใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว เมื่อถูกตอกหน้ากลับด้วยถ้อยคำเรียบ ๆ เนิบ ๆ เจ้าตัวที่ถือดีว่าตนนั้นมากกว่าด้วยทั้งวัยวุฒิและประสบการณ์ จะกล่าวอะไรออกไปผู้อ่อนวัยกว่าก็จำต้องก้มหน้ารับฟังโดยดุษณีจึงเงียบไปเสีย ส่วนมุกลิณญ์เองเมื่อปรายตาลงดูนาฬิกาข้อมือและพบว่าได้เวลางานพอดีก้รีบฉวยโอกาสชิงตัดจบบทสนทนาตอนนี้เอง

    “คุณป้าคะ มุกต้องเข้าสอนแล้วค่ะ” แม้จะไม่ถูกใจในต่อการกระทำของมารดาฝ่ายนั้นไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นน้ำใจต่อพี่ชายที่เคารพรักเพียงคนเดียวก็ยังคงมีให้ไม่ได้ขาด “เดี๋ยวเลิกงานมุกแวะไปเยี่ยมพี่ภีมนะคะ”

    “อ้อ...แล้วเจอกันจ้ะหนูมุก”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×