ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมใจปรารถนา (มี E-book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #17 : Chapter 16

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 64


    บทที่ 16 

     

    หลังจากรับประทานอาหารตรงหน้าเสร็จสรรพ ปรัชวิทย์ยังอาสาพามุกลิณญ์ไปเดินเล่นริมน้ำซึ่งมีรั้วเหล็กเตี้ย ๆ กั้นอยู่ โดยตรงหน้าคือเรือสินค้าที่แล่นผ่านหน้าไปลำแล้วลำเล่าทำให้คนที่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกรู้สึกละลานตาไม่น้อยทีเดียว พอกันกับภาพตึกรามฝั่งตรงข้ามที่ประดับด้วยแสงไฟนีออนอยู่โดยรอบทำให้เมื่อทาบลงมาทอสะท้อนลงมาสู่ผืนน้ำที่ไหลแรงเป็นเกลียวคลื่นจึงส่องสกาวแวววาวและพลิ้วไหวราวมีใครนำเพชรนิลมาโรยแต้ม

    ยิ่งแรงปะทะของสายลมที่พัดโชยอยู่เหนือผิวน้ำมีมากเท่าไร เกลียวคลื่นเบื้องหน้าก็ยิ่งกระเพื่อมไหวสูงและถี่ขึ้นเท่านั้น

    “สวยจัง”

    เมื่อเห็นมุกลิณญ์ที่ทิ้งตัวด้านหน้าพิงราวเหล็กพลางทอดดวงตากลมโตมองตรงไปยังภาพแม่น้ำยามค่ำตรงหน้าด้วยความเพลินใจ แล้วคนที่แอบมองก็เผลอคลี่ยิ้ม เนิ่นนาน จนคนถูกแอบมองรู้ตัวจึงหันมาตีให้ที่ต้นแขนทีหนึ่ง

    “คุณปรัชญ์!”

    มุกลิณญ์ทำเสียงเข้มใส่ แต่...นี่ไม่น่าหลากใจเท่าเธอเรียกชื่อเล่นที่ตัดมาจากพยางค์แรกของเขาเป็นครั้งแรก! และแม้ในใจจะทั้งแช่มชื่นยินดีแทบไม่อยากจะเชื่อหูว่าเธอที่กำลังสนทนาอยู่ด้วยแจ้ว ๆ เรียกเขาด้วยชื่อนี้จริงหรือ ทว่าดวงหน้าหล่อกลับยังวางเฉยอยู่ได้อย่างแนบสนิท มุกลิณญ์ที่ชวนคุยแต่ปรัชวิทย์กลับไม่ยอมตอบคำจึงยกมือขึ้นโบกไปมาพลางร้องทัก “คุณคิดอะไรอยู่คะ เหม่อเชียว”

    “ครับ?”

    “ก็ฉันถามคุณตั้งสองรอบแล้วคุณก็ไม่ตอบฉัน”

    “ถาม?” ปรัชวิทย์เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความหลากใจ แล้วจึงส่ายหน้าไปมาเพื่อขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านเมื่อครู่จนทำให้ละเลยที่จะตั้งใจฟังคู่สนทนาไปครู่หนึ่งได้ “คุณถามผมว่าไงนะครับ”

    ท่าทางที่เหมือนลูกแมวเพิ่งตื่นนอนทำให้มุกลิณญ์อดไม่ได้ที่จะป้องปากขำ เธอทอดมองหน้าหล่อของเขาที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ด้วยเล็กน้อยแล้วส่ายหน้าไปมา และสุดท้ายก็ยอมทวนคำถามนั้นอีกครั้ง

    “คุณชอบที่นี่หรือคะ?”

    “ครับ สมัยเรียนผมชอบมานั่งเล่นที่นี่ อากาศมันดีน่ะครับ”

    “กับใครคะ?”

    มุกลิณญ์ก็แกล้งถามไปอย่างนั้น ทว่าไหนเลยปรัชวิทย์ถึงหรี่เสียงจนแผ่วแล้วตอบด้วยสีหน้าที่เจื่อนลงเล็กน้อย “คนเดียวครับ”

    “เหงาแย่...”

    เพราะตอนไปเดินเล่นชมวิวแถวหอไอเฟลสมัยอยู่ปารีส หรือแม้แต่ตอนข้ามมาเที่ยวชมวิวสองฟากแม่น้ำเธมส์ที่ลอนดอน มุกลิณญ์ก็มักจะชวนพิมพ์พิชชาไปด้วยเสมอ เพราะหนึ่ง...กลัวหลง กับสอง...ไม่รู้จะคุยกับใคร จึงไม่แปลกหากเธอจะนึกภาพยามปรัชวิทย์มานั่งเหงา ๆ ที่นี่ตามลำพังไม่ออก

    แต่ปรัชวิทย์ที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กับมุกลิณญ์อีกก้าวโดยที่เธอเองก็ไม่ทันได้สังเกตกลับว่า “ก็แย่กว่ามากับคุณนิดนึงน่ะครับ”

    “แย่กว่ามากับฉัน...” มุกลิณญ์ไม่แน่ใจว่าประโยคนี้มีอะไรแฝงไว้ด้วยหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ “หรือคะ?”

    “ก็...”

    คำย้อนถามเช่นนี้ทำปรัชวิทย์วาบไหวในไม่น้อย ส่วนมุกลิณญ์เองเมื่อเห็นว่าหน้าของอีกฝ่ายเริ่มมีสีแดงระเรื่อแทรกขึ้นก็ตกใจ เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แพ้ลมหรือ...

    ถ้าเช่นนั้น

    “เราเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ” มือเรียวยื่นมาแล้วแบออก ก็มีหยาดฝนร่วงลงบนมือนิ่มหยดหนึ่ง เห็นอย่างนั้นมุกลิณญ์จึงพูดแบบติดตลกไปว่า “พระพิรุณท่านจะยึดพื้นที่แล้ว!”

     

    แม้สายฝนยามนี้จะตกกระหน่ำแทรกลงมาโดยพร้อมเพรียงกันกับสายลมที่ส่ายกรรโชกราวความพิโรธแห่งห้วงเวหาที่ไม่อาจจะระงับยับยั้งหรือหยุดลงได้ และถึงกิ่งบานบุรีที่สูงกว่าศีรษะของภควัตรจะเอนไหวไปตามแรงลู่นั้นอย่างโดยที่ไม้หลายอันซึ่งค้ำยันอยู่ตรงกกจนคล้ายเป็นรั้วกั้นเล็ก ๆ ก็ไม่สามารถต้านทานได้

    แต่คนที่นั่งเหม่อและก้มลงจ้องมองพื้นเบื้องล่างที่มีเพียงหญ้าญี่ปุ่นนุ่ม ๆ ปูไว้กลับยังคงนิ่งเฉย ฝนที่กระหน่ำตกลงมาทำภควัตรเปียกไปทั้งร่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาที่หนาวเหน็บก็ทำเพียงแค่ยกแขนสองข้างขึ้นกอดตัวเองไว้เท่านั้น

    “คุณแม่คะ”

    ทันทีที่ร่างแน่งน้อยในชุดนอนลายการ์ตูนสีชมพูอ่อนค่อยเคลื่อนเข้ามาใกล้ โรสิตาที่กำลังนั่งตรวจเช็กรายการของที่ต้องซื่อเข้ามาอยู่บนชุดเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างหน้าต่างก็รีบหันมาจึงพบว่าเป็นบุตรสาวตัวน้อยที่ยืนกอดตุ๊กตาอยู่แนบอก

    เห็นอย่างนั้นมารดาจึงละมือจากงานที่ทำอยู่ตรงหน้าแล้วอ้าแขนให้ลูกรักโถมกายเข้ามาหาโดยพลัน

    “อันนากลัวค่ะ”

    “กลัวฟ้าหรือลูก?” โรสิตาลูบไรผมนุ่มสลวยพลางคลี่ยิ้ม แล้วแขนเรียวก็กอดรัดร่างน้อยแนบแน่น “ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ แม่อยู่นี่แล้ว”

    “ค่ะ”

    เด็กหญิงอลีนาขยับขึ้นไปนั่งบนตักของมารดา เธอสอดสายตามองดูแผ่นกระดาษที่มีคำซึ่งยากเกินกว่าที่เด็กสี่ขวบจะอ่านออก ชั่วครู่ก็เปลี่ยนความสนใจไปยังกระจกหน้าต่างที่บัดนี้มีไอน้ำเกาะจนเป็นฝ้า แล้วมือน้อย ๆ ก็จิ้มลงวาดเส้นไปมา เสร็จแล้วก็หันมายิ้มพรายกับมารดาด้วยความรักใคร่

    “อันนารักแม่ค่ะ” เมื่อโรสิตามองตามไปที่บานหน้าต่างก็พบว่ามีรูปหัวใจปรากฏอยู่ ขณะที่อลีนาก็ยังคงพูดต่อจ้อยแจ้ว “คุณครูบอกหัวใจแทนความรัก อันนาให้คุณแม่นะคะ”

    “จ้ะ”

    โรสิตาทอดมองความหวังและแรงผลักดันเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตลึกซึ้ง แล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้านุ่ม ๆ ที่หล่อหลอมขึ้นจากเลือดและเนื้อของตัวเองครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งเป็นของคนที่รักยิ่งไปมาอย่างทะนุถนอม แล้วจึงกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มละมุน “แม่ก็รักหนูนะลูก รัก…มากที่สุด”

    ใช่…และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นอีกครึ่งหนึ่งที่ร่วมกันสร้างสิ่งที่รักที่สุดขึ้นมาและพร้อมจะหวนคืนเพื่อสานต่อห้วงรักที่ขาดหายไป แต่ถ้านั่นจะหมายถึงว่าเธอกับลูกจะต้องเดินเข้าสู่หนทางที่ยุ่งยากในชีวิตที่มากกว่าเก่า สู่หนทางที่มีทั้งครอบครัว และคนรอบข้างคอยกรีดกัน! โรสิตาเองก็เหนื่อยจะดึงลูกเข้าไปพัวพันกับวังวนพวกนั้นด้วย

    เราอยู่กันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว…คิดอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ยิ่งกอดรัดร่างกลมแน่นเข้าไปอีก

     

    มุกลิณญ์ชะโงกหน้ามองออกไปข้างนอกก็เห็นว่าสายฝนที่ตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาจนพื้นปูนเบื้องหน้าเต็มไปด้วยน้ำที่เจิ่งขังพร้อมกับมือข้างที่แบรับหยาดฝนซึ่งตกลงมาเมื่อครู่ แล้วจึงหันมาบอก

    “ฝนหยุดแล้วค่ะ”

    “อ้อ”

    เมื่อเห็นว่าหลายคนที่อาศัยหลังคาโกดังขนาดใหญ่ร่วมยืนหลบฝนด้วยกันเมื่อครู่เริ่มทยอยพากันออกไป ปรัชวิทย์ที่ยืนเบียดกับมุกลิณญ์อยู่ก่อนเพราะต้องเอื้อเฟื้อพื้นที่ให้คนอื่นด้วยจึงค่อย ๆ เคลื่อนกายออกไปเล็กน้อย ชายหนุ่มผายมือให้มุกลิณญ์ที่ยืนเคียงอยู่ด้วยความระมัดระวังและรอจนเธอเดินออกไปจนพ้นเขตหลังคาแล้วเขาจึงเดินตามออกไป

    เพราะน้ำที่เจิ่งนองเป็นแอ่งขนาดใหญ่ทำให้เงาของชิงช้ายักษ์ซึ่งทาบทาลงมาแลดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ จนเจ้าถิ่นที่ทนเสียดายไม่ได้หากต้องปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ต้องว่า “คุณมุก มายืนตรงนี้สิครับ”

    “คะ...”

    แม้จะเลิกคิ้วถามด้วยความหลากใจ แต่สุดท้ายมุกลิณญ์ก็เดินไปยืนตรงตำแหน่งที่อีกฝ่ายว่า ส่วนปรัชวิทย์ที่เห็นว่าตรงที่เท้าของหญิงสาวเหยียบลงยังไม่ใช่ตำแหน่งที่เขามองว่าดีที่สุดเจ้าตัวจึงเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับเอื้อมมือแตะตรงไหล่นั้นเพียงแผ่วเบาแต่ก็พอจะทำให้เจ้าของร่างสูงโปร่งสะท้านไหว

    “ขอโทษครับ” ปรัชวิทย์รีบชักมือออกอย่างว่องไว พลางกระซิบบอก “คุณ...ช่วยถอยหลังไปก้าวหนึ่งได้ไหมครับ”

    “ค่ะ”

    รูปที่ถ่ายออกมาโดยมีชิงช้าสวรรค์ประดับไฟสีสะท้อนลงสู่ผิวน้ำที่พื้นเป็นฉากหลังสร้างความประทับใจให้กับมุกลิณญ์ได้ไม่น้อยทีเดียว เธอเดินไปก็พลางยิ้มไปด้วยหัวใจที่พองโตจนลืมระวังรอบข้าง พื้นที่เปียกเฉะและลื่นจึงทำให้เท้าที่ก้าวด้วยความมั่นใจแต่ขาดความรอบคอบสูญเสียการทรงตัวและถลาไปข้างหน้า

    ยังดีที่ปรัชวิทย์ซึ่งหันมาหมายจะชวนให้ดูเรือสำราญขนาดใหญ่เห็นเข้าพอดี เขารีบกางแขนออกรับมุกลิณญ์ที่ควรจะต้องหงายหน้าล้มลงไปกองกับพื้นเบื้องล่างเอาไว้ได้อย่างทันท่วงทีพร้อมกับดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมอกกว้างโดยอัตโนมัติ

    “คุณมุก...”

    “เอ้อ...”

    มุกลิณญ์รู้สึกหน้าแตกเล็กน้อย ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองปรัชวิทย์ที่ขานเรียกชื่อตนเสียงหลงด้วยความเป็นห่วงหน้าของเธอและเขาก็อยู่ในระดับที่ขนาบกันพอดี ดวงตากลมโตสองคู่จึงได้ประสานกันชั่วขณะจิตหนึ่ง แต่เมื่อพริบตาและลืมขึ้นอีกครั้งมุกลิณญ์ที่ได้สติก่อนก็รีบดีดตัวขึ้นยืนทันที

    “ขอบคุณค่ะ” เมื่อคนพูดแกล้งขยับตัวเล็กน้อย มือที่เกาะอยู่ที่เอวจึงยอมปล่อย มุกลิณญ์ยิ้มให้ปรัชวิทย์จาง ๆ ด้วยความขวยเขิน แล้วจึงแกล้งบ่นตัวเองไปเรื่อยเพื่อแก้เก้อ “แย่จังนะคะ...แต่คงแย่กว่านี้เยอะถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วย”

    เพราะถ้าไม่มีแขนของเขาอ้าออกมารับ ป่านนี้เธอคงได้ลงไปนอนคลุกน้ำที่ขังอยู่ข้างล่างนั่นแล้ว!

     

    การที่ภควัตรหายตัวไปตั้งแต่ช่วงสายจนถึงย่ำค่ำก็ยังไม่กลับได้สร้างความกระวนกระวายใจให้แก่มารดาไม่น้อย ส่วนนพสิทธิ์เมื่อเห็นศุภลักษณ์เอาแต่นั่งนิ่ง ๆ ก็พลอยกังวลใจไปด้วยแม้ตนจะเชื่อใจว่าบุตรชายคงไม่ไปเหลวไหลที่ไหนก็ตาม แล้วชั่วครู่หนึ่งเขาในฐานะสามีจึงเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ พลางกุมมืออีกฝ่ายหลวม ๆ

    “คุณศุ”

    ในทีแรกศุภลักษณ์ก็ดูทีจะไม่ตอบสนองใด ๆ แต่เมื่อนพสิทธิ์ถามอีกว่าได้โทร.ไปเช็กกับมุกลิณญ์หรือยังเธอจึงคิดได้ ว่าแล้วคนเป็นภรรยาก็รีบกดโทรศัพท์ไปหาผู้ถูกกล่าวถึงที่กลายเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของตนในตอนนี้ทันที

    เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นทำให้มุกลิณญ์ที่กำลังเดินเข้าบ้านจำต้องหยุดฝีเท้าพลางหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่อยู่ในกระเป๋าสะพายข้างออกมา และเมื่อเห็นว่าบนหน้าปัดเป็นชื่อของศุภลักษณ์ปรากฏเจ้าตัวจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วก็กดรับสาย

    “สวัสดีค่ะคุณป้า”

    ส่วนศุภลักษณ์ก็ไม่มัวมากหมอมากความ รีบสอบถามถึงข้อสงสัยที่เกาะอยู่ในใจของตนทันทีด้วยความร้อนใจ “หนูมุก พี่ภีมอยู่กับหนูหรือเปล่า?”

    “พี่ภีม...เปล่านะคะ”

    “อ้าว พี่เขาไม่ได้ไปหาหนูที่บ้านหรือลูก”

    “มาค่ะ แต่...”

    แล้วเธอซึ่งพบกับภควัตรในช่วงสายก่อนจะออกไปเที่ยวเล่นกับปรัชวิทย์ก็พลอยขมวดคิ้วตามด้วยความฉงน

    หรือว่า...

    “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ”

    “ตาภีมยังกลับไม่ถึงบ้านเลยหนู ป้าโทร.หาก็ไม่รับ”

    เพียงเท่านั้น ความห่วงใยที่มีต่อผู้ที่ถูกกล่าวถึงก็พวยพุ่งเข้ามาจุกอยู่ที่อกทันที พี่ภีม...หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา!และเมื่อตระหนักในใจว่าอย่างนั้น เธอจึงวางสายจากศุภลักษณ์แล้วช่วยผู้มากวัยกว่าติดต่อกับเขาอีกแรงหนึ่งโดยไม่รีรอ

    ฝนที่ตกกระหน่ำมาเมื่อครู่ได้หยุดลง เหลือเพียงร่องรอยเอาไว้ให้ดูต่างหน้าในรูปแบบของน้ำที่แหยะแฉะ พื้นหญ้าเองก็โน้มเอนไปคนละทิศทางแลดูขัดตาไม่น้อย กับใบไม้แห้งที่ร่วงลงมาเต็มพื้นทำให้ลานกว้างกลางเป็นเกะกะและไม่เป็นระเบียบ

    ทว่าภาพตรงหน้ากลับไม่ระคายต่อสายตาของภควัตรเลยแม้แต่น้อย และเขาที่เปียกชุ่มไปทั้งตัวก็ยังคงนั่งแหมะอยู่อย่างนั้น จนพนักงานรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้กันสวนสาธารณะแห่งนี้ผ่านมาเห็นและทักเข้า

    “คุณ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ครับ” สายตาคู่ที่มองมาแลดูงง ๆ ระคนหวาดระแวงเล็กน้อย คนนั้นคงคิด...คนอะไรทำไมมานั่งตากฝนอยู่แบบนี้ ยังสติดีอยู่หรือเปล่าละมัง แต่ถึงจะคิดอย่างไรภควัตรก็สุดจะรู้ได้ เพราะในประโยคถัดมานั้นมีเพียงแค่ “มันอันตราย กลับบ้านเถอะครับดึกแล้ว”

    คำ ‘ดึกแล้ว’ ทำให้ภควัตรได้สติ ครั้นก้มลงดูเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าปัดของนาฬิกาข้อมือยี่ห้อหรูก็พบว่าเป็นเวลาถึงสี่ทุ่มกว่าล่วงเข้าไปแล้ว

    ตายละวา...ป่านนี้ทั้งบิดากับมารดาคงร้อนใจแย่ที่เขาหายออกมาอย่างนี้ และเมื่อคิดได้อย่างนั้นภควัตรจึงพยักหน้าช้า ๆ พลางหมุนตัวเดินกลับไปที่รถทันที

     

    เสียงแจ้งเตือนสัญญาณเรียกเข้าดังเข้ามาไม่ขาดระยะเป็นสายที่เท่าไรก็สุดรู้ เมื่อขึ้นมานั่งอยู่บนรถเสร็จสรรพภควัตรก็หยิบมันขึ้นมาดูอย่างเนิบช้า ครั้นเห็นว่าคนที่โทร.เข้ามาคือมุกลิณญ์เจ้าตัวที่กำลังต้องการที่พึ่งทางใจก็กดรับทันที

    “พี่ภีม” เสียงที่ขานเรียกนั้นแลดูร้อนรนไม่น้อย “นี่พี่ภีมอยู่ไหนคะ คุณป้าเป็นห่วงพี่ภีมมากเลยนะคะ”

    ภควัตรเพิ่งตระหนักรู้ได้ ว่าในช่วงเวลาที่เขามัวนั่งหงอยอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานอย่างหมดอาลัยตายอยากทั้งยังน้อยเนื้อต่ำใจอย่างที่สุดด้วยสาเหตุที่ถูกผู้หญิงที่เคยรักยิ่งผลักไสอย่างไม่ไยดีโดยไร้ซึ่งสาเหตุ ยังมีอีกหลายคนที่เป็นห่วงตนอยู่ เมื่อคิดได้เฉกนั้น บนหน้าหล่อซึ่งหม่นหมองจึงฝืนยิ้มกับตนเองด้วยใจที่พองฟูขึ้นมาเล็กน้อย แล้วคุณค่าของอีกหลายคนที่รออยู่ข้างหลังและพร้อมจะเดินเคียงข้างก็ปรากฏขึ้นในใจที่ชอกช้ำ

    “มุก...” ภควัตรขานชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ขอบคุณมากนะครับที่ห่วงพี่ แล้วก็...ขอโทษที่ทำให้ทุกคนกังวลใจ”

    เขาคงไม่อยากบอกที่อยู่ปัจจุบัน หรืออาจจะรวมถึงไม่อยากบอกกว่าตนไปเจออะไรมาด้วยจึงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นเสีย ส่วนมุกลิณญ์รู้ดีว่าคู่สนทนาของตนไม่ใช่คนมีลับลมคมในอะไรแต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยตัวตนให้ทุกคนบนโลกรู้ได้ทุกเรื่องในชีวิต ก็ได้...ในเมื่อบางงเรื่องหากเก็บงำไว้เพียงลำพังแล้วสบายใจกว่า มุกลิณญ์ก็จะไม่ฝืนถามต่อ

    “ไม่เป็นไรค่ะพี่ภีม แต่ว่านี่ดึกแล้ว...คุณลุงกับคุณป้าเป็นห่วงนะคะ”

    นี่เขา...ทำให้พ่อและแม่ต้องมาพลอยกังวลใจด้วยอีกแล้ว แย่จัง!...ทำไมเขาถึงได้เหลวไหลแบบนี้นะ ภควัตรทอดถอนใจกับตัวเองครั้งที่เท่าไรก็สุดจะรู้ได้ และเมื่อก้มลงมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม ชายหนุ่มจึงรีบกระซิบบอก “งั้นพี่ขอขับรถกลับบ้านก่อนนะครับ”

    “ค่ะ ขับรถดี ๆ นะคะพี่ภีม”

    “ครับ” แล้วภควัตรที่เงยน้าขึ้นมองขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งบัดนี้มีดวงดาวสุกสกาวแวววาวอยู่จึงค่อยกระซิบบอกคนปลายสายด้วยสุ้มเสียงที่อ่อนโยนยิ่ง “ฝันดีนะครับมุก”

    “กู๊ดไนท์ค่ะพี่ภีม”

    และก่อนที่มุกลิณญ์จะวางสาย ภควัตรก็หลุดปากว่า “วันจันทร์ให้พี่ไปรับที่บ้านนะครับมุก”

    มุกลิณญ์นิ่ง อึ้ง ทำอะไรไม่ถูก ส่วนภควัตรเองก็นึกประหลาดใจตนเองเช่นกัน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมถึงเอ่ยออกไปเช่นนั้น...เขารู้เพียงว่าหลังพูดประโยคนั้นจบ ตนก็ไม่ได้รู้สึกเปลี่ยวเหงาและว้าเหว่อย่างเช่นเมื่อตอนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

    ส่วนมุกลิณญ์เมื่อถูกถามเช่นนี้ แทนที่จะดีใจหรือแช่มชื่นเจ้าตัวกลับรู้สึกมวนท้องและเกิดอาการสับสนขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก เธอจึงได้หยุดคิดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะว่า “มุกขอคิดดูก่อนได้ไหมคะพี่ภีม...” คนพูดหยุดทอดถอนใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วจึงขยายความต่อ “ถ้าไงภายในพรุ่งนี้ตอนเย็นมุกจะให้คำตอบนะคะ”

    “งั้นก็ได้ครับ”

    ภควัตรมองดูชื่อที่เลือนหายไปจากหน้าปัดสมาร์ทโฟนทันทีที่มุกลิณญ์กดวางสายแล้วก็ระลึกได้อย่างหนึ่งว่าอีกฝ่ายก็คงโตพอที่จะมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเองแล้ว ไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยหรือเด็กสาวอ่อนประสบการณ์ที่เมื่อผู้ใหญ่ฝั่งทางตนที่อยากจะเกี่ยวดองกันนักหนาตะล่อมให้ทำอะไรก็เออออไปตามน้ำเสียทุกอย่างเหมือนดั่งแต่ก่อน

    แล้วคนที่เหมือนถูกทิ้งไว้ข้างทางก็กระตุกยิ้มอย่างจะเย้ยเงาตัวเองที่ทาบลงบนกระจกหน้ารถอย่างนึกสังเวชในตนอยู่เล็กน้อย ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไปด้วยความเชื่องช้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×