คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Chapter 15
บทที่ 15
“มาหาพี่โรสค่ะ”
คำตอบนี้ทำให้โรสิตานึกโกรธขึ้งขึ้นมาทันควัน พูดไม่รู้เรื่องหรือ? สาวเจ้าปรามาสในใจ และขณะที่ปลายสายยังนิ่ง ต้นสายก็ว่าอีก
“ชะเอมไล่เท่าไรก็ไม่ยอมกลับค่ะ เรา...จะทำไงกันดีคะ”
และนี่ก็ทำให้โรสิตาตัดสินใจได้ในทันใดนั้นเอง “โอเค งั้นพี่กลับเดี๋ยวนี้แหละ”
เมื่อโรสิตาบอกว่ามีธุระต้องรีบกลับบ้านด่วน ทั้งรามิลรวมถึงน้ำหนึ่งที่กำลังคุยกับเจ้าตัวอย่างถูกคอก็รู้สึกเสียดายไม่น้อยทีเดียว ส่วนเด็กหญิงอลีนาที่กำลังเล่นเพลินเมื่อถูกมารดาขัดจังหวะก็ฉายแววผิดหวังขึ้นบนใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างเห็นชัด แต่เมื่อรามิลสัญญามั่นเหมาะว่าเดี๋ยววันหลังจะไปรับมาเที่ยวเล่นอีก เด็กหญิงตัวน้อยก็หยุดงอแงทันทีเหมือนกัน
ทันทีที่รถของรามิลเคลื่อนมาจอดสนิท ชะเอมที่ชะเง้อชะแง้รอคอยอยู่ด้วยใจที่กระสับกระส่ายก็รีบวิ่งเข้ามาหา เพียงเท่านั้นโรสิตาที่รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าคงต้องเป็นเรื่องแน่จึงก้มลงบอกกับบุตรสาวอย่างใจเย็น
“อันนา หนูเข้าบ้านกับพี่ชะเอมก่อนนะลูก” แม้ในใจจะเปี่ยมไปด้วยความกลุ้มกลัด หากน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยกับบุตรสาวยังละมุนยิ่ง “เดี๋ยวแม่คุยธุระกับ...แล้วแม่ตามเข้าไปนะคะ”
โรสิตาไม่รู้จะเรียกแทนตัวภควัตรกับเด็กหญิงอลีนาว่าอย่างไรดีเธอจึงละไว้ ส่วนเด็กน้อยเมื่อมารดาว่าอย่างนั้นก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย แต่กระนั้นเจ้าตัวยังไม่ลืม “ลุงรามิล วันหลังพาอันนาไปเล่นของเล่นอีกนะคะ”
“ได้สิครับ ถ้าอันนาอยากไปเที่ยวบ้านลุงมิลวันไหนก็ให้คุณแม่โทร.บอกลุงได้เลยนะ”
“ค่ะ”
โรสิตาทอดมองเด็กหญิงอลีนาที่เมื่อสวัสดีรามิลเสร็จสรรพก็ยอมให้ชะเอมจูงมือพาเข้าบ้านไปต้อย ๆ ด้วยความแช่มชื่น ลืมความหนักอื้อในใจไปชั่วขณะ
“คุณโรสเลี้ยงลูกได้ดีจริง ๆ เลยนะครับ”
คนเป็นแม่รู้ ที่อีกฝ่ายเอ่ยมานั้นมิใช่เพื่อเยินยอหากแต่เกิดจากความคิดในใจทั้งสิ้น โรสิตาจึงยิ้มน้อย ๆ พลางพยักหน้ารับ “ของคุณค่ะ” และเมื่อหางตาดันตวัดไปเห็นคนที่ยืนอยู่หลังพุ่มพฤกษ์ ดวงหน้าสวยจึงเชิดริมฝีปาก ยกยิ้มแล้วว่า “ถ้าไม่เป็นการรบกวน โรสอยากให้คุณรามิลมารับยัยอันนาไปส่งที่โรงเรียนด้วยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ” รามิลยิ้มร่าด้วยความดีใจ แถมยังก้มลงมองดูนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะนัดแนะ “ยินดีเลย งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้หกโมงครึ่งผมมารับนะครับ”
“ค่ะ” แล้วโรสิตาก็เอียงหน้ายิ้มพรายให้เขา ทั้งยังว่า “เดินทางกลับบ้านปลอดภัยนะคะ”
“โรส ถ้าคุณไม่สะดวกนั่งรถไฟฟ้าไปส่งลูกทำไมไม่บอกพี่”
โรสิตาเอียงหน้าพลางยกเปลือกตาขึ้นมองภควัตรที่กำลังขมวดหัวคิ้วถามด้วยน้ำเสียงที่คาดคั้นดังลั่น เขาคงนึกฉงนอยู่ไม่น้อยที่ทำไมอยู่ดี ๆ เธอจึงร้องขอต่อรามิลออกไปเช่นนั้น
ทั้งที่แท้จริงแล้ว โรสิตาเป็นคนที่ใจแข็งที่สุด...และเขาเองก็รู้ถึงข้อนี้ดีที่สุด!
แต่ก็ช่างปะไร ใช่เรื่องที่เธอจะต้องมานั่งทำความเข้าใจด้วยสักหน่อย
“นี่คือเรื่องที่คุณจะต้องคุยกับฉันให้ได้ไหม?”
เมื่อถูกโรสิตาเค้นเสียงถาม ภควัตรก็รีบเถียงทันควัน “ไม่ใช่”
“แล้วเรื่องที่ว่า คือเรื่องอะไรกัน” โรสิตามองภควัตรตาขวางอย่างคนที่เริ่มไม่สบอารมณ์นัก “คุณถึงได้ดูลนลานขนาดนี้น่ะ”
“คุณยกเลิกไม่ให้น้องอันนาเรียนพิเศษกับมุกทำไมโรส”
“อ้อ...เรื่องนี้” แล้วริมฝีปากเรียวได้รูปสวยก็ยกยิ้ม เย้ยหยันคู่สนทนาอีกครั้งพร้อมกับคำตอบที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ใช่เรื่องที่คุณต้องรู้ด้วยเหรอคะ?”
“ทำไม โรส...ทำไมพี่จะรู้เรื่องนี้ด้วยไม่ได้” ภควัตรยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก ๆ “ก็ในเมื่อ...”
“เพราะว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันไงคะ”
“ไม่เกี่ยวงั้นหรือ?”
ไม่รู้สิ... ถ้าจะให้พูดก็คือภควัตรรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับรามิลอย่างไรบอกไม่ถูก และยิ่งเห็นนายนั่นพยายามจะจีบโรสิตาอย่างออกนอกหน้า ทั้งวันนี้ยังออกไปไหนก็ไม่รู้ด้วยกันอีก ภควัตรก็ยิ่งรู้สึกว่านายรามิลคนนั้นดูจะขัดหูขัดตาตนขึ้นมาจนแทบทนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ อยากจะเข้าไปจับชายคนนั้นโยนลงพงหญ้าข้างทางหรือคลองส่งน้ำที่อยู่ข้าง ๆ กับสวนสาธารณะนี้ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่ออารมณ์ไม่คงที่ สติสัมปชัญญะที่เคยควบคุมไม่ให้ปากพูดในสิ่งที่ไม่สมควรก็ลดลงด้วย ว่าแล้วภควัตรที่จ้องหน้าโรสิตาด้วยแววตาที่มากด้วยคำถามก็หลุดคำจนได้
“แล้วนายรามิลนั่นล่ะ เขาเกี่ยวอะไรทำไมโรสถึงปล่อยให้เขามายุ่มย่ามกับอันนาแบบนั้น”
เท่านั้น โรสิตาที่เพียงเอียงหน้ามองในตอนแรกก็หันขวับมาจ้องภควัตรตาเขม็งด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่เขาพาดพิงถึงคนนอกราวไม่เชื่อใจเธอแบบนั้น ทว่าเมื่อสายตาสองคู่ได้ประสานกันอย่างจงใจริ้วรอยอาลัยรักแต่หนหลังกลับพวยพุ่งเข้ามาแทรก คนที่มีอารมณ์โกรธขึ้งคุกรุ่นอยู่ในตอนแรกจึงพลันหลุบตาไปเสีย
ควรหรือจะรื้อฟื้นหาความหลัง!
อย่าเลย...เพราะเพียงเท่านี้ชีวิตของโรสิตาก็วุ่นวายเกินพอแล้ว สู้ตัดใจเสียแต่วันนี้ดีกว่า
“ทำไม ฉันจะให้ใครเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตของฉันแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ” เมื่อตัดสินใจได้อย่างนั้นน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาจึงเปลี่ยนเป็นกระด้าง “และยิ่งไปกว่านั้น...อันนาคือลุกของฉัน ฉันจะปล่อยหรือไม่ปล่อยให้ใครมายุ่งกับลูกมันก็คือสิทธิ์ในการปกครองเหนือตัวของเขาเพียงผู้เดียวของฉัน คุณเองเถอะค่ะ อย่ายุ่งกับเราสองแม่ลูกให้มากจะดีกว่า!”
“แต่ผมไม่ชอบ”
“ไม่ชอบอะไรไม่ทราบ!”
“คุณ...” ภควัตรทอดมองโรสิตาอย่างทอดอาลัย เพราะเพียงแค่นึกถึงวันคืนเก่าก่อนที่เคยมีสุขร่วมกัน อารมณ์คุกรุ่นราวพายุลูกเล็กในตอนแรกก็ลดระดับลงทันที ประโยคต่อมาจึงเหลือเพียงตัดพ้อ “หรือว่าคุณลืมมันไปหมดแล้วจริง ๆ”
จะลืมได้ไง รักแรกลืมง่ายซะที่ไหน! แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของลูกทำให้โรสิตาต้องว่าในสิ่งที่ตรงกันข้ามทั้งหมด
“ใช่! ฉันลืมไปหมดแล้ว คุณเองอย่ารื้อฟื้นมันเลยค่ะ จะลำบากตัวเองเสียเปล่า ๆ”
ถ้าลงโรสิตาว่าให้อย่างนี้ ในท้ายที่สุดแล้วภควัตรก็ต้องยอมรับ
ถึงอย่างนั้น ความคาใจของภควัตรก็ยังเหมือนถูกปลิดออกไปไม่หมด เขาที่มองหน้าโรสิตานิ่งจึงหลุดปาก “แล้วน้องอันนา...” ก็เด็กหญิงตัวน้อยแม้จะมีอายุเพียงแค่สี่ขวบ แต่หากลองมองพิศดูแล้ว เธอ...ช่างหน้าตาละม้ายศุภลักษณ์เสียขนาดนั้น แล้วจะให้เขาคิดเป็นอื่นไปได้อย่างไรกัน
คำถามนั้นทำให้โรสิตารู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่กระนั้นคนใจแข็งก็กลืนน้ำลายลงคอและรีบตอบกลับทันควันไปว่า “เด็กคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณทั้งนั้น แล้วก็ถ้ายังไม่หยุดคุกคามลูกของฉันอีกฉันฟ้องคุณแน่”
ฟ้อง...นี่ถือเป็นคำขู่ เพราะ...ไม่รู้สิ แม้โรสิตาจะปฏิเสธก้าวอย่างไร แต่ภควัตรก็ยังเชื่อในสัญชาตญาณของตนมากกว่าอยู่ดี
แล้วภควัตรที่ก็มั่นใจในแต้มของตนไม่ต่างกันจึงกระตุกยิ้มมุมปากพลางท้ากลับ “ก็ดี ถ้าโรสฟ้องพี่ก็จะฟ้องเหมือนกัน”
“อะไรของคุณ”
“อ้าว ก็ฟ้องขอให้ศาลสั่งให้ตรวจดีเอ็นเอไงครับโรส” แล้วภควัตรก็สาธยายข้อกฎหมายที่ปรึกษาเพื่อนซึ่งเป็นทนายมาบ้างแล้วให้โรสิตาฟังโดยละเอียดยิบ “จะได้รู้กันไปเลยว่าน้องอันนาใช่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเรื่องคืนนั้นหรือเปล่า”
“หึ! แค่คืนเดียวเองอย่ามั่นหน้า มั่นใจไปหน่อยเลยคุณ”
“ทำไมพี่จะมั่นใจไม่ได้?” คราวนี้ไม่ถามเปล่า ภควัตรยังเอื้อมมือไปจับต้นแขนของโรสิตาเขย่าอีกต่างหาก “ก็ในเมื่อโรส...เรารักกัน”
ภควัตรรู้ดี...แม้โรสิตาจะพยายามป้ายสีให้ตัวเองดูแย่ในสายตาของเขาอย่างไร แต่แววตามันปิดบังกันไม่ได้ และเขาก็ดูออกว่าสายตาที่ยังคงเยื่อใยภายใต้ดวงหน้าที่พยายามตีให้เหมือนไร้ซึ่งเยื่อใยยามอยู่ต่อหน้าเขา กับสายตาที่ว่างเปล่าบนดวงหน้าที่พยายามฝืนทำเป็นแย้มยิ้มยินดียามอยู่ต่อหน้ารามิลมันช่างแตกต่างอย่างไร
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเลยล่ะ!
เมื่อถูกทอดมองด้วยแววตาที่บ่งบอกว่ากำลัง ‘จับพิรุธ’ อยู่ คนที่ยังไม่อยากถูกจับได้ในตอนนี้จึงสะบัดแขนของตนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการนั้น และเมื่อสู้แรงชายไม่ได้น้ำเสียงสั่น ๆ จึงแผดว่า “แต่ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณแล้ว ไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วคุณ...ก็เลิกบ้าได้แล้ว ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
“โกหก!” ก็สายตาที่เว้าวอนมันบอกชัดว่ายังรู้สึก “โรส...พี่ ทำไมวันนั้นต้องหนีพี่ไปด้วย”
“ถ้าคุณไม่เข้าใจให้ย้อนไปฟังประโยคก่อนหน้าดูนะคะ”
“พี่ไม่ฟัง” แล้วภควัตรก็ดึงโรสิตาเข้ามากอดแนบอก แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามขัดขืน ก่อนจะเคลื่อนดวงหน้าเข้ามาใกล้พลางกระซิบ “เพราะว่าพี่มีวิธีพิสูจน์ของพี่เอง”
เมื่อดวงหน้าของคนที่เคยอิงแอบแนบเคียงกายเคลื่อนเข้ามาประชิด หัวใจที่พยายามปิดให้สนิทจึงกลับมาเต้นรัวอีกครั้งหนึ่ง แล้วโรสิตาที่พยายามดิ้นเพื่อให้ตนได้หลุดจากอ้อมแขนที่โอบรัดไว้หลวม ๆ กลับถามเสียงดุ
“นี่จะทำอะไรน่ะคุณภควัตร?”
“ก็จะทำให้โรสจำสิ่งที่โรสบอกลืมไปหมดแล้วได้ยังไงล่ะ”
ภควัตรกระตุกยิ้ม ขณะที่โรสิตาซึ่งบัดนี้เป็นเพียงลูกไก่ตัวน้อยในอุ้มมือหนามองเขาตาเป็นหมัดอย่างท้าทาย ส่วนคนถูกท้าก็ไม่รอช้ายกมือข้างหนึ่งช้อนศีรษะของหญิงสาวที่เตี้ยกว่าตนเล็กน้อยเข้ามาใกล้แล้วประกบริมฝีปากของตัวเองกับริมฝีปากที่เรียวบางทั้งยังแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีขมพูระเรื่อแนบแน่นโดยไม่รีรอ
จุมพิตวาบหวานทำให้หัวใจของโรสิตาซึ่งถวิลหาภควัตรอยู่แทบจะตลอดเวลาเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ เธอปล่อยให้มือข้างที่โอบเอวเอาไว้ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเรียวบางของตนโดยไร้ซึ่งเหตุผลที่จะขัดขืน ขณะที่ปากก็เผยอให้เขาได้ดูดดื่มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ทันใดนั้นเมื่อสายลมอ่อน ๆ พัดเข้าปะทะต้นแขนสติสัมปชัญญะทั้งหมดจึงหวนกลับคืน เจ้าของมือบางจึงรีบผลักอกของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรงพลันก้าวถอยหลังด้วยเรียวขาที่อ่อนล้า
“คนทุเรศ” ไม่เพียงกราดด่า มือหนึ่งยังฟาดไปที่หน้าของเขาอย่างเต็มแรงอีกด้วย “ออกไป แล้วอย่ามายุ่งกับฉันอีก”
“โรส...”
น้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลอาบแก้มของโรสิตาที่ไม่ได้ยินยอมพร้อมใจด้วย...ทำให้ภควัตรรู้สึกผิดขึ้นมาเดี๋ยวนี้เอง แต่จะแก้ตัวอย่างไรในเมื่ออีกคนได้วิ่งหนีไปไกลแล้ว เขาจึงได้แต่ยกมือขึ้นเสยผมตัวเองพลางทอดถอนใจอยู่ตรงนั้น
“พี่ ขอโทษ!”
ช่วงเย็น ปรัชวิทย์พามุกลิณญ์นั่งเรือจากท่าสะพานตากสินไปเรื่อย ๆ จนถึงคอมมูนิตี้มอลล์ขึ้นชื่อซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่กั้นฝั่งพระนครสองฟากข้าง บัดนี้มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเริ่มทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสาย
เมื่อมุกลิณญ์ได้ทำการค้นหาข้อมูลเสริมจากในอินเตอร์เน็ตก็รู้ได้ทันทีว่าสถานที่สุดชิคที่แห่งนี้แต่เดิมคือโกดังเก็บของเก่าที่ได้นำมาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมวันละหลายพันคนในภายหลัง เจ้าตัวก็อดที่จะรู้สึกพิศวงถึงแนวคิดที่แสนฉลาดของคนต้นคิดไม่ได้ และยิ่งเมื่อดวงตากลมโตได้กวาดมองไปหยุดอยู่ที่ภาพของชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำอันถือเป็นจุดขายสำคัญตรงหน้า มุกลิณญ์ก็เผลออุทานออกมาด้วยความหลากใจ
“นี่มัน London Eye เมืองไทยชัด ๆ”
“ผมถึงบอกไงครับว่าต้องคอยให้ค่ำก่อน” ปรัชวิทย์หันมากระซิบบอก ส่วนเหตุผลที่ต้องรอจนเย็นย่ำนั้น เขาว่า “เดี๋ยวพอค่ำเขาจะเปิดไฟ สวย...ถ่ายรูปแล้วออกมาดีมากเลยครับ”
“แต่ว่าตอนนี้ยังไม่มืดเท่าไรเลยนี่คะ”
“งั้นเราไปหาของกินกันก่อน จะได้มีแรงเดินเที่ยวนาน ๆ” แล้วคนเคยมาก็ผายมือ แนะนำ “ทางโน้นครับ มีของให้เลือกเยอะ”
“โอเคค่ะ”
พูดจบปรัชวิทย์ก็คว้าข้อมือของมุกลิณญ์เพื่อพาไปซื้อของกินทันที แต่เพราะมื้อเย็นไม่เน้นของหนักท้องคนอาสาพากินจึงชวนหญิงสาวที่จะจูงไปไหนก็ไม่ขัดมานั่งที่ร้านส้มตำซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับชายน้ำ เขารอให้เธอจัดการท่านั่งจนเสร็จสรรพแล้วจึงว่า
“คุณสั่งได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำให้”
“อ้าว แล้วคุณไม่เลือกก่อนล่ะ” เพราะถ้าให้มุกลิณญ์เลือกให้ บอกได้เลย “ฉันเลือกให้คุณไม่ถูกหรอกนะคะ”
“คุณทานอะไรได้ผมก็ทานได้เหมือนกันครับ”
มุกลิณญ์ละสายตาจากรายการอาการที่พนักงานนำมาวางให้แล้วเงยหน้าขึ้นมองปรัชวิทย์ปราบหนึ่งก็เห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ฉาบทาอยู่บนใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา สะอาดสะอ้าน เจ้าตัวก็เผลอยิ้มกลับทั้งยังว่า “งั้นก็ได้ค่ะ”
นายคนนี้กินง่ายดี...มุกลิณญ์ทอดมองแผ่นหลังกว้างที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไปเรื่อย ๆ จนเขาเดินลับสายตาไปเธอจึงหันมาสั่งอาหารกับพนักงานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ปรัชวิทย์หายไปเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น แล้วเขาก็กลับมาพร้อมกับน้ำปั่นสองแก้วโดยแก้วที่เป็นกาแฟ คือของเขา ส่วนแก้วที่เป็นโกโก้ปั่นนั้นชายหนุ่มยื่นให้กับมุกลิณญ์ที่นั่งรออาหารอยู่
“ขอบคุณค่ะ” มุกลิณญ์เอียงหน้ามองแก้วโกโก้ตรงหน้าชั่วครู่ก่อนจะย้อนถามด้วยความฉงน “ว่าแต่คุณรู้ได้ไงคะว่าฉันชอบโกโก้?”
“ทักษะการสังเกตล้วน ๆ เลยครับ”
สังเกต…หรือ? มุกลิณญ์หรี่ตามองดูเพื่อนร่วมทางคล้ายจะประเมินว่านายคนนี้ต้องว่างขนาดไหนกัน ถึงมานั่งสังเกตได้ว่าในทุก ๆ วันเวลาพักเที่ยงเธอมักจะซื้อโกโก้มาทานกลั้วคอหลังจากมื้ออาหารคาวเสมอ!
แล้วนี่ ทำสถิติไว้ด้วยหรือเปล่า?
แต่ยังไม่ทันได้แกล้งแซวกลับ พนักงานคนเดิมก็นำอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟพอดี บทสนทนาจึงสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น
หลังจากที่แยกย้ายกับโรสิตา ภควัตรที่ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังเสียศูนย์ก็ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนเก่า ๆ ซึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นบานบุรีนั่น เนิ่นนาน...จนแสงแดดจ้าที่สาดทอลงมาในช่วงบ่ายแก่แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีส้มอมคล้ำตรงเส้นขอบฟ้าแนวนอนซึ่งขนาบกับเส้นขอบโลก เสียงนกกาขับขานเจื้อยแจ้วเพื่อเพรียกให้สมาชิกที่ต่างแยกย้ายกันออกไปหาอาหารแต่เช้าตรู่ได้หวนคืนสู่รังนอนอย่างพร้อมหน้า กระนั้นคนที่นั่งคอตกทั้งยังกุมมือแน่นก็ยังไม่ติ่งไหวต่อสิ่งแวดล้อมตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าภาพโรสิตาคุยกันกับรามิลกะหนุงกะหนิงยังติดตา ในใจจึงก่อเกิดเป็นคำถาม
“ทำไมนะโรส...”
แล้วภาพ...แววตาที่บ่งบอกว่าแสนชังยามรอยจุมพิตประกบกับริมฝีปากของตนเพื่อทบทวนหวนรำลึกถึงลิ้มรสหวานซึ้งเมื่อห้าปีก่อน กับมือเรียวที่ปัดป้องให้ออกห่างไปเสียก็แทรกขึ้น
ทุกสิ่งอย่างทำให้ใจดวงน้อยของคนตัวใหญ่สับสน
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...”
คำถามในใจที่เปล่งออกมาผ่านน้ำเสียงที่แผ่วเบา คงมีเพียงสายลมที่พัดโชยเท่านั้นกระมังที่พอจะรับฟังได้บ้าง
แต่ถึงอย่างนั้น...มันก็เมินเสียที่จะตอบกลับ
ความคิดเห็น